ความคิดเห็นที่ 1 เห็นด้วยทุกประการครับ จากคุณ : jedi-jaidee - [ 10 มิ.ย. 48 18:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เค้าเหลือแค่ SUS แล้วครับ มีน้ำใจ  มีสามัคคี และรู้จักอ่อนน้อม จากคุณ : IRQ5 - [ 10 มิ.ย. 48 19:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นด้วยทุกประการครับ   ไม่ชอบSOTUSมากๆ กินน้ำแก้วเดียวกัน  ถ้ามีใครซักคนเป็นโรคติดต่อ เช่นไวรัสB หรือเป็นหวัดล่ะ เรียนเสร็จ  ก็เหนื่อยแล้ว   ยังให้มาทำอะไรถึกๆอีก   อีกหลายอย่างเยอะแยะ  ไม่อยากบ่น   ผมก็ผ่านระบบSOTUSมา   แต่ทุกวันนี้ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องใช้ระบบที่ว่าเลย ไร้สาระมากๆ  ไม่มีประโยชน์อะไรเลยซักนิด จากคุณ : ส้มน้ำตาล - [ 10 มิ.ย. 48 19:43:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เหอะๆ ไม่อยากพูดแล้ว ... ตราบใด อำนาจนิยม ยังอยู่ในจิตใจนักศึกษา จากคุณ : มารศาสนา (atheist) - [ 10 มิ.ย. 48 19:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ลองอ่านกระทู้จากที่อื่นๆๆมาจะมีอยู่กลุ่มนึงที่บอกทำไม่ได้ก้อไปตายซะสึกว่าหดหู่มากกับคำพูดนี้อยากบอกรุ่นพี่ทุกมหาวิลัยว่า  หัวใจคนเราแข็งแรงไม่เท่ากันครับ เห็นด้วยกับความคิดเองกระทู้ครับ น้องที่เสียชีวิตชาติหน้ามีจริงให้สอบติดเกษตรอีกะครับ..... จากคุณ : VASPA1964 (@LLTimE) - [ 10 มิ.ย. 48 20:38:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นด้วยครับ ไร้สาระจริงๆ ระบบการสร้างความสามัคคี ความมีวินัย การเคารพ รุ่นพี่รุ่นน้อง ผมเห็นด้วยครับ แต่ไม่ควรนำระบบของทหารมาใช้เลย....เพราะนักศึกษา ไม่ใช่ทหาร ไม่ได้เรียน รด วิธีการ สร้างความสามัคคี ความีวินัย มีตั้งยเอะตั้งแยะ ไม่เห็นต้องใช้แรงมากขนาดนั้น........สร้างกิจกรรมที่มีประโยชน์ให้รุ่นน้องทำก็ได้ เช่นการแบ่งกลุ่ม ออกไปทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชน ถนนหนทาง สอนหนังสือเด็กๆ.......หรือแข่งกีฬาสากลหรือพื้นบ้าน ฯ อยากให้สร้างสรรค์กว่านี้หน่อย ไม่ควรหักโหมแบบทหาร จากคุณ : Athit - [ 10 มิ.ย. 48 22:26:55 A:203.113.35.11 X:203.151.140.118 TicketID:001723 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เจ้าของกระทู้จะต้องแยกแยะระหว่าง การรับน้อง (Initiation ritual หรือ Initiation ceremony) กับการกลั่นแกล้งน้อง (Hazing) ซึ่งมีทั้งการตะคอก กดดัน กลั่นแกล้ง สารพัด ถ้าการรับน้องไม่มี Hazing ก็จะดี โดยมีแค่การจัดปาร์ตี้ บายศรีสู่ขวัญ เล่นเกมส์สนุกก็น่าจะเพียงพอแล้ว การนำระบบทหารแบบโซตัสมาใช้ย่อม ไม่สมควรกับนิสิตนักศึกษาที่เป็นพลเรือน ปัญหาก็อย่างที่เจ้าของกระทู้บอก ไอ้คนที่ทำกันอยู่มันไม่รู้ที่มาที่ไป แม้แต่ตัวผู้ก่อตั้ง ม.เกษตรที่นำระบบนี้มาใช้ ยังไม่รู้เลยว่ามันมาจากการฝึกทหาร ผมเคยแปะกระทู้พวกนี้มาเยอะแล้วข้อมูล ผมก็มีมาก แม้ว่าที่มาที่ไปมันจะคลุมเครือแต่ก็พอจะทราบว่ามากจาก Cornell กับ U of Philipinnes ซึ่งลอกมาจากโรงเรียนนายร้อยสหรัฐซึ่งก็ พัฒนามาจากโรงเรียนกินนอนอังกฤษที่วิชราวุธเอาแบบมานั่นแหละ ถ้าคุณถามว่าโซตัสคืออะไรคนอเมริกันกับฟิลิปปินส์ที่จบจาก ๒ มหาลัย นั่นในปัจจุบันคงตอบไม่ได้ คนอเมริกันก็อาจจะตอบว่า Sotus คือ State of Union Speech อะไรทำนองนั้น จากคุณ : เคทีเอ็ม - [ 11 มิ.ย. 48 12:30:48 A:202.28.78.70 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 9 การรับน้อง แท้จริงก็คือการเปลี่ยนจากกลุ่มคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยให้กลายเป็นเพื่อนที่รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แน่นอนล่ะ มันต้องมีการให้เผชิญกับความกดดันบ้าง เพราะมันจะทำให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน     ขอให้รุ่นพี่ทุกคนระลึกไว้เสมอครับ มันก็คือยาที่ใช้สร้างความสัมพันธ์กันในหมู่นักศึกษา แต่ยานี้ค่อนข้างอันตราย และมีผลข้างเคียงสูง จากคุณ : row3625 - [ 11 มิ.ย. 48 14:52:06 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ในสหรัฐอเมริกาได้มีเว็ปไซด์ต่อต้านการซ่อมน้อง (Hazing) ถ้าใครเก่งภาษา อังกฤษก็ลองเข้าไปตามลิงค์ที่ผมให้เอาไว้นะครับมีเยอะเลย ถ้าใครสามารถ เขียนอีเมล์ไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชาวอเมริกันเพื่อแลกเปลี่ยข้อมูล กันก็จะดีนะครับ เพราะปัญหาคล้ายคลึงกัน การเตรียมงานมันก็ไม่ได้ช่วย ให้อะไรดีขึ้นหรอกคุณ Masculiner ทางสหรัฐก็พยายามที่จะออกกฏหมาย มาควบคุมพวกว๊ากเกอร์ (Hazer) ต่างๆอยู่นะครับคุณเพื่อนร่วมชาติโดย เสนอตัดสิทธิการรับทุนของพวกที่ชอบซ่อมน้อง งั้นดูตามลิงค์นะครับ www.stophazing.org หยุดการรับน้องแบบซ่อม hazing.hanknuwer.com ที่คอยหาหลักฐานที่มีผู้ตายจากการซ่อมน้อง www.lycoming.edu/stuprograms/anti-hazing.htm privateschool.about.com/cs/students/a/hazing1.htm www.menstuff.org/issues/byissue/hazing.html หรือไม่ก็หาคำว่า Hazing จาก Yahoo หรือ Google ก็ได้นะครับ หรืออาจจะเป็น Anti-hazing Stop hazing นะครับ คุณ row3625 ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการรับน้องจริงๆ การรับน้อง เป็นการเข้าสู่ชิวิตใหม่ (Rite of passage) ในมหาวิทยาลัยไม่ใช่การ เปลี่ยนจากกลุ่มคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยให้กลายเป็นเพื่อนที่รู้จักช่วยเหลือ เกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างที่นิสิตนักศึกษาไทยเข้าใจกันโดยทั่วไป เราไปรับประเพณีแองโลแซ็กซอนมาโดยไม่รู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริง การรับน้องเป็นพิธีที่มีรากเหง้ามาจากศาสนาคริสต์ที่เรียกว่า บัพติศมานั้นแหละ ไอ้การกดดันภาษาอังกฤษเรียกว่า Hazing ครับ จากคุณ : เคทีเอ็ม - [ 11 มิ.ย. 48 15:09:18 A:202.28.78.70 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตอนนี้ได้ข้อมูลใหม่มาว่า U of Phillipines ยังมีคนตายจากการรับน้องอยู่ ตามลิงค์ http://www.upd.edu.ph/~updinfo/archives/FebMar2000/den.htm ทีอธิการบดีต้องออกมาขอโทษ ที่ฟิลิปปินส์ได้ออกกฏหมายต่อต้านการรับ น้องโหดตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ แล้ว ไทยน่าจะมีบ้างนะครับ สหรัฐก็ออกกฎหมาย ไปแล้วถึง ๔๔ รัฐแล้วนะครับ ดู THE ANTI-HAZING LAW OF THE REPUBLIC OF THE PHILIPPINES http://www.taugammaphionline.com/antihazing.htm จากคุณ : เคทีเอ็ม - [ 11 มิ.ย. 48 15:56:40 A:10.36.3.44 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณเคทีเอ็มครับ  ผมได้ข้อมูลนี้มาจากทหารสหรัฐฯ ครับ เขาต้องรับน้องกันแรง เพราะเวลาปฎิบัติการจริง มันโหดกว่านี้เยอะ (คิดว่าทหารทั้งโลกก็คงเหมือนกัน) แล้วไทยก็ไปรับมาโดยไม่รู้อะไรอย่างที่คุณว่านั่นแหละ และ การเปลี่ยนคนที่ไม่รู้จักให้มาเป็นเพื่อนร่วมกันนี่ มันก็เป็นการเข้าสู่ชีวิตใหม่อยู่แล้วนี่นา..... (มันต่างกันตรงไหน อธิบายด้วยครับ จะขอบคุณมาก) จากคุณ : row3625 - [ 11 มิ.ย. 48 19:43:17 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมขอแทรกครับ จากความเห็นที่ 9 การรับน้องคือการทำให้คนไม่รู้จักกัน ได้รู้จักกัน ข้อนี้เห็นด้วย แต่ถ้ารวบความว่าถ้าจะรับน้อง ต้อง ว้ากน้อง และมีวิธีนี้วิธีเดียวที่ได้ผล ผมไม่เห็นด้วย ผมคิดว่าการ ว้ากน้อง หรือ การแกล้งน้อง นี่ถ้าถือเป็นยา ก็ต้องบอกว่าเป็นยารุ่นโบราณ มีประสิทธิภาพต่ำ มีผลข้างเคียงสูง ที่ยังใช้กันอยู่ เพราะไม่เปิดตาดูให้ได้รู้ว่ามันมีวิธีอื่น อย่างที่พวกที่เขาทำสัมนากันเป็นอาชีพเขาใช้ละลายพฤติกรรมพนักงานในบริษัท ให้ลดความไว้ตัว และให้ความร่วมมือในกิจกรรมพัฒนาบุคคลากรของบริษัทพวกนั้นก็ไม่ต้องมาตะคอก หรือมาดุกัน เขาทำให้คนรู้จักกัน เขาทำให้คนสนิทกัน ผ่านการทำกิจกรรมร่วมกันที่กดดันครับ เช่นแบ่งเป็นกลุ่ม แล้วให้งานแบบโคตรหินไปทำ ให้เวลาจำกัด เคยอ่านนิยาย กล่าวถึงตัวละครที่ไปเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในต่างประเทศ เล่าถึงความกดดันที่ต้องทำ Case Study เป็นกลุ่มๆ เวลาจำกัด งานยาก ข้อมูลที่ต้องย่อยก็เยอะ ปรากฏว่าพวกที่ทำงานกลุ่มด้วยกัน แม้จบไปแล้วก็รักกันดี มีสายสัมพันธ์อันดีต่อเนื่องยาวนาน คนที่ต้องร่วมมือกันทำงานยากๆ ในเวลาจำกัดนี่ จะรู้จักกันดีเลยครับ ใครกินแรงเพื่อน ใครชอบเอาหน้า ใครขี้เกียจ ใครเสียสละ ใครรับผิดชอบ ไม่รับผิดชอบ พอโดนกดดันหนักเข้า ด้วยเงื่อนเวลาที่กระชั้นชิด จะยิ่งสาหัส และจะยิ่งรู้จักและรักกันได้มากขึ้น (วิทยากร จะคอยเป็นพี่เลี้ยงแนะนำ และมีหน้าที่สลายความเครียดเมื่อสังเกตว่าจุดใดมีความเครียดก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง) วิธีนี้อันที่จริง น่าจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะสามารถนำไปใช้ในชีวิตทำงานได้จริงๆ แม้แต่ในชีวิตมหาวิทยาลัยก็ได้ใช้กันจริงๆ ไม่ต้อง อมลูกอมเม็ดเดียวกันทั้งแถว (มีประโยชน์อะไร?) ไม่ต้อง เคี้ยวกล้วยลูกเดียวกันทั้งกลุ่ม (มีประโยชน์อะไร?) ไม่ต้อง คลานร้อยเมตร (มีประโยชน์อะไร?) ไม่ต้อง นั่งก้มหน้าให้คนตะคอก (มีประโยชน์อะไร?) แต่ผมรู้ว่าที่ไม่ทำกัน เพราะถึงมันจะได้ผล แต่ มันก็ไม่สนุกกับรุ่นพี่ โดยเฉพาะคนที่คิดอะไรไม่ค่อยออก ตะคอกอย่างเดียว รุ่นผมจัดรับน้อง เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว กิจกรรมคือ ให้ก่อไฟให้ติด และปิ้งไก่ (ที่เตรียมไว้ให้) ให้สุก และแบ่งกันทานให้หมดภายในเวลาที่กำหนด (แม้จะหลอกว่าถ้าทำไม่สุก ก็ต้องกินดิบๆ แต่เมื่อทำไม่ได้จริงๆ ก็ไม่บังคับให้กินของดิบหรอก รุ่นพี่นั่นแหละ เอามาปิ้งต่อ กินเองตอนคอยรุ่นน้องกลุ่มต่อไป) อีกกลุ่มหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิด เป็นรุ่นน้องผมรุ่นนึง - รุ่นที่ผมรับเขาด้วยวิชาป้ิงไก่นี่แหละ) เขาจัด ให้สร้างเครื่องดีดหิน ด้วยวัสดุที่กำหนด ภายในเวลาจำกัด ใครดีดได้ไกล ได้รางวัล แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 48 21:06:56 จากคุณ : ขุนแสวงสรรพกิจ (ขุนแสวงสรรพกิจ) - [ 11 มิ.ย. 48 21:03:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณ คุณ เคทีเอ็ม ครับที่นำข้อมูลมาฝาก ผมเคยอ่านบทความชิ้นหนึ่งมานานแล้วจำได้รางๆว่า ระบบ โซตัส นำมาใช้ในมหาวิทยาลัยไทย ครั้งแรกคือ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ซึ่งสมัยก่อนเปิดสอนวิชาด้านเกษตรศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ คณะ วนศาสตร์.....ซึ่งเรียนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ป่าไม้และสัตว์ป่า ซึ่งระบบการเรียนที่โหดมาก ต้องมีวินัย อดทน มีความแข็งแรงทางร่างกาย...(ลองสังเกตุผู้เรียน หรือคนที่จบมาแล้ว ส่วนใหญ่หน้าตาโหดมาก.....อิอิ) ในการใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขา ซึ่งมีทั้งอันตรายจากสัตว์ร้าย ต่างๆ ฯ มหาวิทยาลัยจึงใช้ระบบทหาร(โซตัส)มีการเตรียมความพร้อมของร่างกายให้กับนิสิต เพื่อให้ฝึกความอดทน ความมีวินัย ความแข็งแรง ฯ ซึ่งต่อๆมาระบบ โซตัส ถูกนำมาใช้ผิดเพี้ยนไป เพราะระบบนี้ถูกนำมาใช้กับเกือบทุกมหาวิทยาลัย ทุกคณะ ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย จากคุณ : Athit - [ 11 มิ.ย. 48 21:29:16 A:203.113.34.61 X:203.151.140.111 TicketID:001723 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตอบ คุณ row3625 การเข้าสู้ชีวิตใหม่ไม่จำเป็นต้องตะคอกกันนะครับ การเข้าสู๋ชีวิตใหม่คือการ เปลี่ยนสภาพจากนักเรียนมัธยมมาเป็นนักศึกษาซึ่งมีรูปแบบการดำเนินชีวิต ที่ต่างออกไปเป็นสร้างความมั่นใจให้น้องใหม่กล้าที่จะก้าวต่อไป การทำให้ น้องรู้จักกันเป็นเรื่องรองครับ จุดประสงค์หลักคือการสร้างความมั่นใจครับ จากคุณ : เคทีเอ็ม - [ 13 มิ.ย. 48 18:07:46 A:202.28.78.70 X: TicketID:055979 ]