ความคิดเห็นที่ 1 ต่อ... แหล่งที่มาของอำนาจในวัฒนธรรมไทยเดิม ซึ่งยังปรากฏให้เห็นในชุมชนเกษตรกรรมชนบทของปัจจุบัน มีความหลากหลายมาก ผมหมายความว่า เราไม่อาจจัดบันไดเพียงอันเดียวเพื่อวางทุกคนลงไปตามขั้นบันไดได้หมด คนรวยก็มีอำนาจบนบันไดอันหนึ่ง กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านก็มีอำนาจบนบันไดอีกอันหนึ่ง จ้ำหรือ แก่วัดซึ่งอาจจะยากจน แต่มีความรู้ที่ชาวบ้านเห็นว่าจำเป็นแก่ชุมชนก็มีอำนาจอยู่บนอีกบันไดหนึ่ง จนถึงที่สุดลุงแก่ๆ คนที่หุงข้าวกระทะได้เก่ง ก็มีอำนาจในอีกบันไดหนึ่ง เพราะถ้าแกไม่ช่วย ก็จัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ไม่ได้ ฉะนั้น อำนาจในวัฒนธรรมชาวบ้านจึงกระจายไปยังคนต่างๆ ในชุมชนอย่างกว้างขวาง ไม่ได้อยู่ในระบบลำดับขั้นของอำนาจเพียงระบบเดียว เหมือนองค์กรราชการ ถ้านิยามอำนาจในระดับพื้นฐานเลย อำนาจคือความสามารถที่ทำให้คนอื่นทำตามความปรารถนาของตัว และในทุกสังคมมนุษย์การใช้อำนาจย่อมมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาก็คือคนในวัฒนธรรมชาวบ้านอย่างที่ผมกล่าว ซึ่งมีอำนาจจากฐานที่ต่างกันจะใช้อำนาจแก่กันอย่างไร ? นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก วัฒนธรรมชาวบ้านเชี่ยวชาญด้านกลวิธีที่หลากหลายและสลับซับซ้อน ในอันที่จะทำให้ความปรารถนาของตัวสัมฤทธิผล นับตั้งแต่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ รวมไปถึงสร้างความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์, ใช้เส้น (เช่น ดึงเอาญาติผู้ใหญ่หรืออุปัชฌาย์ของคนที่เราจะใช้อำนาจมาอยู่ฝ่ายเดียวกับเราก่อน), ใช้เสียงของคนหมู่มากบีบบังคับทางอ้อม, ยกย่องให้เป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ, ฯลฯ พูดให้ฟังขลังๆ ก็คือ ปฏิบัติการทางอำนาจ ของชาวบ้านละเอียดอ่อน และต้องใช้สติปัญญามากกว่าพวก "ปัญญาชน" ในมหาวิทยาลัยอย่างมาก เพราะ "ปัญญาชน" มีวัฒนธรรมของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่จัดอำนาจไว้ในลำดับขั้นของบันไดเดียว ฉะนั้น การใช้อำนาจจึงง่ายมาก นั่นก็คือออกคำสั่ง ถ้าเกรงว่าเขาไม่เชื่อก็ข่มขู่ตะคอก ไปจนถึงใช้กำลังบังคับเอาด้วยวิธีต่างๆ ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ชนชั้นนำไทยรู้จัก ปฏิบัติการเชิงอำนาจ อยู่อย่างเดียว คือบีบบังคับ อีกทั้งไม่รังเกียจความรุนแรงที่จะใช้ในปฏิบัติการเชิงอำนาจอีกด้วย ขอแต่ให้ผู้ใช้ความรุนแรงนั้นยืนในตำแหน่งที่ถูกต้องของบันไดแห่งอำนาจเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ผู้คนในสังคมซึ่งเข้าถึงสื่อพากันสนับสนุนการฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด, เคยสนับสนุนการใช้ความรุนแรงกับผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้, สนับสนุนการขจัดอาชญากรรมด้วยโทษที่รุนแรง เช่น จับอาชญากรคดีข่มขืนตอน หรือนำโทษประหารชีวิตมาใช้กับคดีอุกฉกรรจ์เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการลดหย่อน ฯลฯ ก็สั่งแล้ว ไม่ฟังนี่หว่า จากคุณ : ถูกบีบให้กินตามน้ำ... - [ 18 มิ.ย. 48 03:37:20 A:203.172.54.251 X: TicketID:097643 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ต่อ.... ฉะนั้น ทุกครั้งที่ผู้คนซึ่งได้รับการศึกษาสูงๆ และสังกัดอยู่ในชนชั้นนำพูดว่า คนไทยชอบให้ใช้อำนาจเด็ดขาด, เฉียบขาด, เฉียบพลัน และรุนแรง ผมอดรู้สึกทุกครั้งไม่ได้ว่า พวกมึ เท่านั้นหรอกที่เป็นอย่างนั้น ชาวบ้านไทยหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจในลักษณะเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง กว่าชุมชนในชนบทจะตัดสินใจทำอะไรร่วมกันได้สักอย่าง มีการเจรจาต่อรอง โอ้โลมปฏิโลม รวมทั้งนวดเส้นเกาหลังกันมามาก จึงจะได้มติเอกฉันท์ของชุมชน โดยไม่มีใครสั่งให้ใครทำอะไร (อย่างออกหน้า) เลย วัฒนธรรมราชการจึงเป็นเรื่องตลกในหมู่บ้านเสมอมาไงครับ เพราะทุกคนขอรับกระผมกับนายอำเภอเสมอ โดยไม่เคยทำตามที่นายอำเภอสั่งสักครั้งเดียว ก็นายอำเภอทุกคนต่างจบมหาวิทยาลัยและผ่านพิธีกรรมรับน้องมาแล้วทั้งนั้น ทั้งในฐานะรุ่นน้องและรุ่นพี่ ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของรุ่นพี่ก็คือ จะกลืนอำนาจเถื่อนของตัวเข้าไปในระบบแห่งอำนาจที่เป็นทางการได้อย่างไร ตราบเท่าที่กลืนไม่ได้ ก็ยากที่จะทำให้รุ่นน้องยอมรับบันไดแห่งอำนาจอันเดียวได้ รุ่นพี่ที่จุฬาฯ ทำให้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้องกลายเป็น "ประเพณี" ซึ่งเป็นหนึ่งในคำขวัญของนิสิตมหาวิทยาลัยนั้น อะไรที่เป็น "ประเพณี" ไปแล้วนี่เลิกยากนะครับ เพราะถ้าเลิก "ประเพณี" นี้ได้ เดี๋ยวก็จะพาลไปเลิก "ประเพณี" โน้นเข้าอีก และมหาวิทยาลัยไทยโดยเฉพาะจุฬาฯ นั้น เขาตั้งขึ้นมาทำไมหรือครับ หนึ่งในหน้าที่หลักคือตั้งขึ้นมาเพื่อรักษา "ประเพณี" น่ะสิครับ โดยเฉพาะ "ประเพณี" ทางสังคมและการเมืองซึ่งให้อภิสิทธิ์แก่อภิสิทธิ์ชน ด้วยเหตุดังนั้น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่รุ่นพี่สร้างขึ้นครอบงำรุ่นน้อง (และแสดงออกให้สังคมได้รู้ผ่านพิธีกรรมรับน้อง) จึงได้รับการยอมรับและส่งเสริมโดยนัยยะจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เสมอมา จากคุณ : ถูกบีบให้กินตามน้ำ... - [ 18 มิ.ย. 48 03:39:09 A:203.172.54.251 X: TicketID:097643 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ต่อ.... สมัยผมเรียนจุฬาฯ บางคณะมีกฎห้ามไม่ให้น้องใหม่ใช้บันไดหน้าขึ้นตึกบางแห่ง อาจารย์คณะนั้นก็รู้ แต่ไม่เคยมีใครบอกน้องใหม่ว่า นี่ไม่ใช่กฎของมหาวิทยาลัย น้องใหม่ต้องแต่งเครื่องแบบของมหาวิทยาลัยให้ถูกต้องเป๊ะ บางครั้งมหาวิทยาลัยก็ช่วยกวดขันให้ด้วย แต่ไม่เคยกวดขันกับรุ่นพี่เลย (เช่น เด็กผู้หญิงต้องสวมถุงเท้าขาวจนกว่าจะผ่านปี 1 แล้ว) มาในภายหลัง ผมพบว่าน้องใหม่ถูกบังคับขืนใจโดยเปิดเผยมากขึ้นในทุกมหาวิทยาลัย บังคับให้วิ่งและซ้อมเชียร์กันทุกเย็นจนดึกดื่น มีว้ากเกอร์ออกมา "ปฏิบัติการทางอำนาจ" ที่สิ้นปัญญาให้เห็น ฯลฯ แต่ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนร้อนใจต่อแบบปฏิบัติของความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไร้ความเท่าเทียม และทำลาย "มนุษยภาพ" อย่างซึ่งๆ หน้าเช่นนี้เลยสักแห่งเดียว ถึงส่วนใหญ่ของน้องใหม่ไม่ได้ฆ่าตัวตายทางกาย แต่ทุกคนตายทางวิญญาณ และสติปัญญาไปหมดแล้ว ภายใต้สายตาของมหาวิทยาลัยนั้นเอง จากคุณ : ถูกบีบให้กินตามน้ำ... - [ 18 มิ.ย. 48 03:40:12 A:203.172.54.251 X: TicketID:097643 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ต่อ.... ที่มหาวิทยาลัยไม่กระดิกทำอะไรตลอดมานั้น ก็เพราะลึกลงไปจริงๆ แล้ว ความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบนี้คือวัฒนธรรมของอาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัยนั่นเอง ก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือที่น้องใหม่ซึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นชนชั้นนำของสังคม จะต้องเรียนรู้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในวัฒนธรรมนี้ ปัญหารับน้องใหม่จึงไม่ใช่นอกหรือในสถานที่, หรือท่าเต้นที่น้องถูกบังคับให้ทำมันลามกอนาจารหรือไม่, หรือครูดูแลได้ทั่วถึงหรือไม่ ฯลฯ มันลึกกว่านั้นแยะครับ เพราะมันเกี่ยวกับวัฒนธรรมอำนาจของชนชั้นนำไทย ซึ่งรุ่นพี่, อาจารย์, ผู้บริหาร, สังคมคนอ่านหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ตัวน้องใหม่เอง ต่างสังกัดอยู่ในวัฒนธรรมอำนาจอันเดียวกันนี้ จากคุณ : ถูกบีบให้กินตามน้ำ... - [ 18 มิ.ย. 48 03:41:12 A:203.172.54.251 X: TicketID:097643 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ต่อ....สุดท้าย ฉะนั้น ถ้าอยากแก้ไข ไม่ใช่ไปแก้ที่ตัวพิธีกรรมซึ่งทำหน้าที่เพียงช่วยตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคมที่ผู้คนยอมรับอยู่แล้วเท่านั้น แต่ต้องไปแก้ให้ระบบการศึกษาเป็นระบบการเรียนรู้ที่ไม่สร้างบันไดแห่งอำนาจบันไดเดียว เช่น มีเด็กที่ได้เป็นวีรบุรุษ-สตรีเต็มไปทั้งห้อง (เมื่อไหร่เด็กคะแนนบ๊วย แต่วาดเขียนเก่งจึงจะได้รับการยกย่องเท่ากับที่หนึ่งของห้องเสียที) ในขณะเดียวกันก็ต้องไปแก้ที่ระบบการเมือง, เศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มชนชั้นนำนั่นแหละ ให้ยอมรับอำนาจที่หลากหลาย และ ปฏิบัติการทางอำนาจ ที่ต้องใช้เหตุผลกันมากขึ้น แทนที่จะใช้แต่ตำแหน่งบนขั้นบันได อย่างไรก็ตาม ผมออกจะสงสัยด้วยว่า ถึงเราไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่จำลองมาจากองค์กรราชการซึ่งเป็นระบบความสัมพันธ์กระแสหลักในหมู่ชนชั้นนำไทย กำลังจะถูกท้าทายมากขึ้นจากระบบความสัมพันธ์แบบอื่นเรื่อยๆ ถึงจะยกกันขึ้นไปเป็นซีอีโอ นับวันซีอีโอก็ทำอะไรไม่สำเร็จมากขึ้น จนเกือบจะกลายเป็นตัวตลกไปแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในพิธีรับน้องและการปฏิบัติต่อน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย คือสัญญาณของการล่มสลายของระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่กำลังจะพ้นสมัยไปเสียแล้ว http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0418170648&srcday=2005/06/17&search=no จากคุณ : ถูกบีบให้กินตามน้ำ... - [ 18 มิ.ย. 48 03:42:42 A:203.172.54.251 X: TicketID:097643 ]

ความคิดเห็นที่ 6 "ถึงส่วนใหญ่ของน้องใหม่ไม่ได้ฆ่าตัวตายทางกาย แต่ทุกคนตายทางวิญญาณ และสติปัญญาไปหมดแล้ว ภายใต้สายตาของมหาวิทยาลัยนั้นเอง" ใช่ครับ ตายไปแล้วแน่ๆ ทำอะไร ลืมพ่อ ลืมแม่ ลืม ศีลธรรมอันดี จนหมดสิ้น... จากคุณ : ถูกบีบให้กินตามน้ำ... - [ 18 มิ.ย. 48 03:48:36 A:203.172.54.251 X: TicketID:097643 ]

ความคิดเห็นที่ 7 "ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรกับลูกศิษย์ให้เลิกรับน้องแบบว๊ากและบังคับให้ทำโน่นทำนี่ และผมก็ไม่อยากสั่งนักศึก ษาเหมือนกัน พึ่งจะเข้าใจถ่งแท้จากการอ่านบทความของอาจารย์เดี๋ยวนี้เองว่าเป็นเพราะอะไร ผมถึงไม่อยากสั่ งให้นักศึกษาเลิกรับน้องแบบว๊าก เพราะลองพิเคราะห์ตัวเองแล้วผมก็ไม่เคยชอบมีอำนาจเหนือใครแบบสั่งเอาๆ ผม ไม่เคยได้รับการรับน้องแบบนี้สมัยอยู่ในมหาวิทยาลัยเลยเจอแต่แบบพี่ให้ความสำคัญช่วยเหลือน้องเสมอ และเรา ยังเป็นพี่น้องที่เคารพกันด้วยใจเสมอมาแม้นจะ20กว่าปีแล้วก็ตาม ผมคงจะขออนุญาติเอาบทความของอาจารย์ไปพูด คุยกับลูกศิษย์และคนอื่นๆนะครับ และผมมั่นใจว่าน่าจะได้ผลมากว่าการที่จะใช้คำสั่งห้ามกับนักศึกษา ความเห็นที่ 4 : โดยคุณ มะดอร์จูเนียร์ " จากคุณ : ถูกบีบให้กินตามน้ำ... - [ 18 มิ.ย. 48 03:50:54 A:203.172.54.251 X: TicketID:097643 ]

ความคิดเห็นที่ 8 "เรื่องนี้ เป็นเรื่อง แก่นของปรัชญาประชาธิปไตย แต่คนหลายคน ที่จมอยู่ในวังวน ของผลประโยชน์ จอมป ลอม ที่ถูกยัดเยียดให้ โดยคนที่ใช้ชื่อว่า "รุ่นพี่" กลับหลงละเมอกับมัน ละเมอกับอำนาจ ที ่ถูกอุปโลกขึ้นมา น่าตกใจยิ่ง พอพวกเขาออกมา อำนาจแห่งอธรรมเช่นนี้กลับมีจริง พวกเขายินดีช่วยพวกพ้องเสมอ โดยมิพักต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นใด ด้วยเพียงเพราะ พวกพ้องนั้น ได้ผ่านการ "เชียร์" และรับรุ่นมาแล้วเท่านั้น พวกเขาไม่รู้เลยว่าได้ถูกครอบงำไปแล้วเต็มสมอง น่าสังเวชใจยิ่ง ที่สำคัญ พวกเขา หลายคน กลับได้ขึ้นเป็นใหญ่ในแผ่นดินไทย บ้านเมื อง และสังคมจึงได้ บิดเบี้ยว ยากแก่การเยียวยาเช่นทุกวันนี้ ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ทุกประก าร แต่ย่อหน้าสุดท้าย เกรงว่า การนั้นจะเป็นเรื่องตรงกันข้าม ความเห็นที่ 10 : โดยคุณ ศิษย์คนหนึ่ง - สามสิบปีมาแล้ว " จากคุณ : ถูกบีบให้กินตามน้ำ... - [ 18 มิ.ย. 48 03:53:20 A:203.172.54.251 X: TicketID:097643 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โอ้ ไม่ได้โม้ มีคนคิดแบบผมด้วย แต่เราคิดได้แค่เปลือกๆ ไม่ละเอียดอ่อนเหมือนคุณนิธิ จากคุณ : the good - [ 18 มิ.ย. 48 04:43:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 การใช้อำนาจ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ วาทะเด็ดจากป๋ามวล จากคุณ : Can - [ 18 มิ.ย. 48 05:14:40 A:202.5.88.141 X: TicketID:014491 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมไม่อยากค้านไปมากครับ ผมเชื่อว่าการรับน้องเป็นเรื่องดีครับ เพียงแต่วิธีการที่คนนำไปทำ มันแหกคอก แหกกฎ แหกระเบียบมากกว่า อาวุโสเป็นเรื่องดี ไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีประเพณีวัฒนธรรมเกี่ยวกับผู้อาวุโส หรือการถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น ( เฉพาะสิ่งดี ๆ ) สิ่งที่เรียกว่าเป็น ประเพณี ควรที่จะคัดสรรแต่สิ่งที่ดีงาม ถ่ายทอดกันไป ( ตัดสิ่งชั่วร้าย ที่ถูกสังคมค่อนแคะประนามออกไป ) นี่ไปยอมรับสิ่งชั่วร้ายเป็นประเพณี มันไม่ใช่ มันเป็นการแก้แค้น เป็นการบำบัดอารมณ์ของคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบทำตามใจตัวเอง โดยอ้างอาวุโส อ้างสิทธิที่มาก่อน โดยลืมระเบียบและกฎหมาย ความเป็นระเบียบ ใครบอกว่าความเป็นระเบียบไม่ดี ก็ต้องมาเถียงกันหน่อย...แต่คนที่คุมระเบียบทำตามอำนาจหน้าที่หรือมีคุณธรรมหรือไม่ต้องพิจารณา ความสามัคคีใครว่าไม่ดี ต้องย้อมไปฟังพระราชดำรัส รู้รักสามัคคี ( การเรียกร้องให้สามมัคคี มันใช้การรับน้องแทนได้มั๊ย ) สปิริต ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเสียสละ ความเอื้อาทร ไม่ดีตรงใหน คนที่มองแต่แง่ลบ เพราะมองการนำไปใช้แบบผิด ๆมากกว่าครับ สิ่งที่ดีงามจากที่อื่น กลับถูกนำมาใช้แบบบิดเบือน หลงลืมรากเหง้าของตัวเอง กลับไปคิดเอาเอง เออเองว่าสิ่งที่ตนทำ เป็นสิ่งโก้เก๋ เห็นการทำอะไรพิเรนทร์ เป็นสิ่งที่ที่ควรกระทำ เพียงเพราะต้องการคำว่า "แตกต่าง" แตกต่างจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ แตกต่างจากเด้กมัธยมสู่สังคมปัญญาชน...ทำไมเหรอ ปัญญาชนมันเปลี่ยนแปลงได้แค่ชั่วข้ามคืน แค่การได้เรียนสูงขึ้นอีกปีหนึ่งแค่นั้นเองหรือ หรือมันต้องสั่งสมกันไปเรื่อย ๆ ผมเห็นเด็กปีสี่ กับบัณฑิตตกงาน มันก็วัยใกล้เคียงกันนั่นแหละ อยู่ในหมาวิทยาลัย ขึ้นปีสุดท้ายก็ถือว่ายิ่งใหญ่ แต่พอพ้นรั้วมหาวิทยาลัย ก็คือละอ่อนทางโลกแห่งการทำงาน ถ้ามันเป็นผู้ใหญ่จริง ทำไมไม่ผู้ใหญ่ให้ตลอดล่ะ การกระทำแบบไร้สติ ไม่ใช้ปัญญา มันก็พากันลงเหว ผมยังเชื่อมั่น การรับน้องแบบสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ดี ควรกำจัดวิธีรับน้องแบบวิปริตผิดธรรมชาติของคนดี ๆพึงกระทำ ใช้ธรรมะเข้าไปดูหน่อยละกันครับ จะทำให้สวยงามก็ได้ จะทำให้มันอุบาทว์ก้ได้ มันขึ้นกับผู้ที่นำไปปฏิบัติ พวกรุ่นพี่ที่ตีความเข้าข้างตัวเองนั่นแหละอันตรายสุด ๆ ไม่งั้นเราคงไม่มีคำว่า...หลงผิด...บ้านเมืองวุ่นวายเพราะตีความหลักการผิด ๆ ไม่ว่าทางศาสนา ทางสังคม ทางกฎหมาย ตีความเข้าข้างตนเองจนหลลืมหลักการก้วุ่นวายไม่สิ้นสุด ไม่ว่าการรับน้องจะเป็นการยอมรับเชิงอำนาจหรืออะไรก็แล้วแต่ อำนาจนั้นมันมีอำนาจโดยธรรม และ อำนาจเชิงบังคับ อะไรควรบังคับ อะไรควรจูงใจ ปัญญาชนคงคิดกันได้นะครับ จากคุณ : Can - [ 18 มิ.ย. 48 05:42:53 A:202.5.88.139 X: TicketID:014491 ]

ความคิดเห็นที่ 12 พี่ Can ครับ ผมเห็นด้วยว่าการรับน้องที่ดี ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและไม่ริดรอนสิทธิ มนุษยชน ควรจะมีต่อไปครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายๆมหาวิทยาลัย ในขณะนี้ แม้กระทั่งในบางคณะ ของจุฬาฯ เองก็ตาม  รุ่นพี่มันบ้าเลือด หลุดโลกไปแล้วครับ เรื่องให้น้องผู้ชายแก้ผ้าเพื่อวัดความเป็นชาย แล้วพาไปขึ้นครู   อย่าปฏิเสธนะว่า ในบางคณะของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของรัฐ ก็เคยทำกันมาก่อน  เพียงแต่ว่ามันไม่ได้มีการอะไรแบบโหดๆ และน้องๆยอมรับต่อๆกันมาโดยไม่ได้โวยเหมือนบางที่ในขณะนี้ ผมเห็นว่า วิธีการอุบาทว์ ชั่วร้ายทั้งหลาย รวมทั้งการข่มขู่จากรุ่นพี่ๆ ควรจะหมดไปได้แล้ว  ถ้าอยู่กันแบบพี่แบบน้อง บรรยากาศมันควรจะออกมาในลักษณะเอื้ออาทรกันแบบให้น้องๆรู้สึกว่า Happy และอยากไปมหาวิทยาลัยทุกวันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดีกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 48 08:56:53 จากคุณ : AQUANAUTS - [ 18 มิ.ย. 48 08:50:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วยครับ AQUANAUTS เพราะคณะที่ผมเรียน มันก็จุ๋มจิ๋ม เพราะผู้ชายน้อย ผู้หญิงเยอะ คนที่เรียนในสมัยหลัง ๆก็ออก ไฮโซ ซะแล้ว ไม่ใช่ยกยอคณะตัวเองนะครับ แต่ผมคิดว่าอาจารย์ และรุ่นพี่ ควรดูแลกัน คุยกันบ่อย ๆ คณะผมในรุ่น ผู้ชายแค่ 14 คนเองครับ ถ้าไม่มีภาคค่ำมาเสริม กลางวันนี่หง่าวเลย อิ อิ ประเภทจับสลากใครได้ไปเที่ยวหญิง ก็ครั้งเดียว คนเดียว แถมแนะวิธีให้เสร็จ ไม่ได้น่าเกลียดพาเฮโลกันไปนะครับ จากคุณ : Can - [ 18 มิ.ย. 48 09:41:02 A:202.5.88.131 X: TicketID:014491 ]

ความคิดเห็นที่ 14 . จากคุณ : เหมียวศิลา - [ 18 มิ.ย. 48 10:35:09 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ลองใหม่ จากคุณ : เหมียวศิลา - [ 18 มิ.ย. 48 10:36:27 ]

ความคิดเห็นที่ 16 โย่ จากคุณ : เหมียวศิลา - [ 18 มิ.ย. 48 10:37:27 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อืม.. ไฟล์รูปภาพ จากคุณ : เหมียวศิลา - [ 18 มิ.ย. 48 10:38:44 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถูกที่ว่า.. ต้องแก้ที่ระบบการให้การศึกษา และปลูกฝังวิธีคิด แต่ไม่ทราบว่าอาจารย์ทราบหรือไม่ว่า การรับน้องของคนกลุ่มหนึ่ง เป็นการรับน้องเพื่อให้น้องได้รู้จักคิด โดยเฉพาะให้คิดจนเถียงรุ่นพี่ได้ จากคุณ : firstini chemistani - [ 18 มิ.ย. 48 12:22:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 .. ถ้ารับน้องแบบนี้ ปัญหาคงไม่เกิดนัก http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3542060/A3542060.html .. จากคุณ : POGGHI - [ 18 มิ.ย. 48 13:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 20 นับถืออาจารย์ครับ จากคุณ : Aloner - [ 18 มิ.ย. 48 14:08:19 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เอ้า!  หนูๆที่จะรับน้องทั้งหลาย....  สละเวลาที่จะไปแหกปากว้ากรุ่นน้อง  สั่งให้น้องวิ่ง  หมอบคลาน  สก๊อตจั๊มป์  แทงปลาไหล  ร้องเพลงเชียร์บ้าเลือด  เต้นท่าไก่ย่างกล้วยปั่นนมปั่น  มาอ่านบทความนี้ของปัญญาชนผู้หลักผู้ใหญ่อย่างอาจารย์นิธิ  หรือของอาจารย์ใจกันมั่งนะจ๊ะ  มีอยู่กระทู้ล่างๆ  จะได้รู้ว่าไอ้ประสบการณ์ไอ้สิ่งดีๆอะไรๆที่หนูคิดจะเอาไปสอนรุ่นน้องน่ะ  มันยังกว้างแค่โลกในกะลาของหนูเท่านั้นเอง.... จากคุณ : แพรร่ำ - [ 18 มิ.ย. 48 14:08:59 ]

ความคิดเห็นที่ 22 "พูดให้ฟังขลังๆ ก็คือ ปฏิบัติการทางอำนาจ ของชาวบ้านละเอียดอ่อน และต้องใช้สติปัญญามากกว่าพวก "ปัญญาชน" ในมหาวิทยาลัยอย่างมาก เพราะ "ปัญญาชน" มีวัฒนธรรมของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่จัดอำนาจไว้ในลำดับขั้นของบันไดเดียว ฉะนั้น การใช้อำนาจจึงง่ายมาก นั่นก็คือออกคำสั่ง ถ้าเกรงว่าเขาไม่เชื่อก็ข่มขู่ตะคอก ไปจนถึงใช้กำลังบังคับเอาด้วยวิธีต่างๆ ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ชนชั้นนำไทยรู้จัก ปฏิบัติการเชิงอำนาจ อยู่อย่างเดียว คือบีบบังคับ อีกทั้งไม่รังเกียจความรุนแรงที่จะใช้ในปฏิบัติการเชิงอำนาจอีกด้วย ขอแต่ให้ผู้ใช้ความรุนแรงนั้นยืนในตำแหน่งที่ถูกต้องของบันไดแห่งอำนาจเท่านั้น" เห็นด้วย 1000% จากคุณ : ถูกบีบให้กินตามน้ำ... - [ 18 มิ.ย. 48 14:42:49 A:203.172.54.178 X: TicketID:097643 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แวะอ่านและ ฝากกระทู้ไว้ด้วยค่ะ http://www.pantown.com/board.php?id=11020&name=board1&topic=25&action=view จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 18 มิ.ย. 48 19:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แล้ว ประเพณี เป็นาเหตุ ของการ เล่นสี กันหรือเปล่าครับ ??? องค์กร บางที่มีแต่ สีชมพู .... จากคุณ : Acoustic... - [ 19 มิ.ย. 48 03:34:44 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ได้เลยครับถ้าจะบอกว่ารากฐานของระบอบประชาธิปไตยและเรื่องสิทธิ  นั้นมีความสำคัญให้เรามีสิทธิในการกระทำต่างๆของเราให้เราเลือกเองว่าจะเคารพใคร  ถ้าเราพูดกันถึงรากฐานนะครับมันลงไปแก้อย่างไรก็โดนคนหมู่มากอย่างที่อาจารย์ว่านั่นแหละครับกลบจนหมด แต่ถ้ามีการรับน้องดีๆที่จะชี้ทางให้เค้าไป  และทำให้พวกเค้าเท่ากันก่อนจะเริ่มชีวิตมหาลัย  เพราะทุกท่านคงรู้ว่าเราทำให้ทุกคนเท่ากันก่อนออกไปนอกห้องเชียร์  และต้องมีพี่ว้าก  หรือสตาฟต่างๆที่ไม่บ้าอำนาจ  การว้ากจริงๆก็คือการสอน  การสอนของแต่ละที่ก็มีหลากหลายและอาจหลุดโลกพวกนั้นต้องแก้ไขกันไป   จริงอยู่ผมอ่อนประสบการณ์และยังอายุน้อย  และผมก็เคารพในความเห็นของอาจารย์  แต่ขอถามหน่อยเถอะว่า  ถ้ากระบวนทั้งหมดทั้งมวลของพวกท่านสำเร็จแล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับเมืองไทย มีคห.นึงบอกว่าตอนสมัยก่อนไม่เห็นต้องทำแบบนี้ก็ยังรักกับรุ่นพี่ดี  ก็เพราะมันเป็นรุ่นของท่านน่ะสิครับ  ไม่ต้องสอนใครๆเค้าก็รู้ว่าต้องเค้ารพรุ่นพี่  และผมกล้าพนันเลยว่ารุ่นนั้นน่ะเค้าไม่ตั้งคำถามด้วยซ้ำว่าทำไม   แต่เด็กสมัยนี้ขนาดพ่อแม่มันเถียงฉอดๆๆ  แล้วกับครูหรือรุ่นพี่มันจะเหลือหรือครับ  ยิ่งม.เอกชนนะครับ(ที่ผมได้ยินมานะ)  มันคิดว่ามันให้เงินอาจารย์มาสอนมัน  แล้วมันจะเคารพหาพระแสงอะไร  แล้วถ้าคุณหวังจากอาจารย์ว่าจะมาสอนเรื่องอย่างนี้นะครับ  เลิกคิดได้แล้วขนาดอาจารย์นิธิยังด่าอาจารย์ซะขนาดนั้นว่ามันมาเป็นระบบ  ทำไมเราไม่คิดว่านี่แหละโอกาสที่เราจะมาแก้ไขให้เด็กที่จะออกไปจากเชียร์ครั้งนี้เข้าใจสิ่งต่างๆรอบตัว  ทำให้มันดีไปเลยพิสูจน์กันไปเลยสิครับไม่ใช่ตัดปัญหากันดื้อๆแบบนี้ มาว่าแต่ให้เลิกแล้วคุณคิดกันรึยังว่าจะรับมือกับปัญหาที่ผมว่ามาเนี่ยยังไงกันครับช่วยบอกหน่อยนะครับ อย่าบอกแต่ให้เลิกแล้วไม่เสนอทางแก้ไขนะครับ จากคุณ : Menaji - [ 20 มิ.ย. 48 00:09:04 ]

ความคิดเห็นที่ 26 แล้ว ประเพณี เป็นาเหตุ ของการ เล่นสี กันหรือเปล่าครับ ??? องค์กร บางที่มีแต่ สีชมพู .... จากคุณ : Acoustic... >>> อาจารย์นิธินี่แหละครับ เขียนไว้ในบทความเมื่อนานมาแล้วว่า มีส่วนครับ จากคุณ : น้ำใส - [ 20 มิ.ย. 48 12:03:07 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าคุณเคยอ่าน aday weekly (หนังสือดีที่โดนปิด)  ฉบับนึงนะครับ  ขออภัยที่จำไม่ได้ว่าเล่นไหน  มันมีเรื่องการเข้ามหาลัยคือทุกสิ่ง  มันกำหนดตั้งแต่สังคมต่อไปในอนาคต  เพื่อนฝูง  รุ่นพี่รุ่นน้องในอนาคตของคุณ  จะได้เข้าทำงานที่ไหน  มันจะโดนกำหนดไปโดยปริยายครับ  และก็ไม่มีแค่สีเดียวครับ   ผมขอเสริมกระทู้ตัวเองอีกหน่อยนะครับ  (คห.25)  จุดเริ่มต้นของระบอบประชาธิปไตยและสังคมนิยม(คอมมิวนิส)แรกเริ่มนั้นตรงกันครับ  คือให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม แต่พอมาถึงยุคปัจจุบันนั้น  ทั้ง2ระบบนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง  ระบบประชาธิปไตยเองกลายเป็นระบบพวกมากลากไป  และพวกส่วนน้อยในสังคมก็กลายเป็นพวกสังคมรังเกียจไปในที่สุด  ส่วนระบบสังคมนิยมนั้นก็อย่างที่รู้กันคือไม่ประสบความสำเร็จเพราะผู้นำที่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน  ถึงแม้ในรัสเซียทุกคนจะต้องไปรอรับขนมปังแต่ก็มีพวกคนที่ยศสู้กว่าได้ไปก่อนในที่สุด   ระบบที่ล้มเหลวต่างๆนี้ทำอะไรมันไม่ได้อีกต่อไปแล้วเนื่องจากมันได้ใช้เวลาบ่มเพาะความเน่าเฟะ  มาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  ทางที่ผมเห็นและริบรี่ที่สุดและที่พวกคุณกำลังจะปิดทางนั้นกัน  ก็คือพวกเราที่เป็นรุ่นพี่ที่จบมานานแล้วหรือไม่นานก็แล้วแต่  มันถึงเวลาแล้วครับเราคงได้ตระหนักกันทุกคนแล้วว่ามันไม่ได้ไกลตัวเราเลย  กลับไปดูน้องของท่านกันให้พร้อมหน้าพร้อมตากันเถอะครับ  อย่าบอกว่าการรับน้องเป็นเรื่องของน้องมันไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว   ตอนนี้ถ้าคุณเป็นพ่อแม่จงให้คำปรึกษาเค้าในทุกๆก้าว  ถ้าคุณเป็นครูเค้า  ก็อย่าให้เค้าดุน้องตามลำพังดูพฤติกรรมพวกเค้าบอกว่าอะไรควรไม่ควร  ถ้ายิ่งเป็นทั้งครูทั้งรุ่นพี่ยิ่งมีสิทธิพอที่จะเข้าไปในกระบวนการของพวกเค้าได้  เข้าไปเลยครับ  ไม่ใช่เวลามาลังเลอีกแล้ว  คณะไหนที่ควรมีกิจกรรมอย่างไรเพื่อสอนน้องต่อไปว่าเค้าจะเจออะไรบ้างเค้าควรทำตัวอย่างไรบ้างสอนเค้าครับสอนทุกสิ่ง  อย่าคิดว่าบางอย่างน่าจะรู้แล้ว  เด็กสมัยนี้แย่กว่าที่คุณคิดมากนัก สุดท้ายนี้ผมขอบอกว่าผมคนนึงละที่จะไปดูการรับน้อง(ถึงจะไม่มีแล้วก็ตาม และถึงผมจะไปทุกปีอยู่แล้วก็ตาม)  แล้วคุณล่ะคิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวรึยัง จากคุณ : Menaji - [ 20 มิ.ย. 48 22:39:26 ]