ความคิดเห็นที่ 1 เพราะกลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายยักษ์ๆ ของโลก.. เข้าจัยป่ะ จากคุณ : สี่หามสามแห่ - [ 24 มิ.ย. 48 01:31:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ประเทศผู้ค้า เอากันจริงๆ ก็ได้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ เขาก็ขายในราคาปกติ แต่ที่มันแพง เพราะไอ้พวกกองทุนน้ำมัน และ การซื้อขายล่วงหน้าครับ จากคุณ : ธนูไฟ - [ 24 มิ.ย. 48 01:43:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มันเลวทั้งคู่แหละ   ฝ่ายกองทุนน้ำมันก็ปั่นราคา   ฝ่ายขายน้ำมันก็ขายไปอมยิ้มไป   ฝ่านหนึ่งปั่นได้ อีกฝ่ายก็ขายได้เหมือนกัน จากคุณ : เกมส์123 - [ 24 มิ.ย. 48 08:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 4 "ไอ้บุช"....... ปธน.อันธพาล เป็นคนสั่งก่อสงครามอิรัก ทำให้วงการน้ำมันปั่นป่วน (อิรัก ผลิตน้ำมันอันดับ 2 ของโลก และอยู่นอกกลุ่มโอเปค) "เฮดจ์ฟันด์"....... ตัวเก็งกำไรราคาน้ำมัน ส่วนใหญ่เป็นกองทุนจากสหรัฐ "สหรัฐ"..... ประเทศที่ซดน้ำมัน อันดับต้นๆ ของโลก "จีน".... ประเทศที่มีแนวโน้มว่าจะซดน้ำมันแซงหน้าสหรัฐ "โอเปค" เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเต็มที่ แต่ยังสู้ฝีมือการเก็งกำไรระดับมืออาชีพไม่ได้ สรุปคือ "น้ำมันยังไม่หมดไปจากโลก" ไม่ได้ขาดแคลน แต่ที่ราคาสูงในปัจจุบัน เพราะการเก็งกำไรเป็นหลักครับ!!! จากคุณ : ตกขอบ - [ 24 มิ.ย. 48 09:35:48 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เพราะ บ้านเมืองเราไม่มีบ่อน้ำมัน แต่ใช้กันซะ อย่าไปโทษคนอื่นเลยครับ ข้าวแลกน้ำมัน ดูยังไงก็แพ้ รัฐไม่ส่งเสริมเรื่องการประหยัด ประชาชนก็รับกรรม กันไป จากคุณ : พูดตรง - [ 24 มิ.ย. 48 10:56:22 A:210.86.156.205 X: TicketID:038237 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ส่งเสริมเรื่องการประหยัดครับ แต่ประชาชนมันไม่ทำ ดีแต่อ้าปากเห่า ว่าน้ำมันแพง จากคุณ : หมูอ้วนของตัวน้อย (piggy_and_kitty) - [ 24 มิ.ย. 48 11:26:06 ]

ความคิดเห็นที่ 7 รู้สึกว่าการขึ้นราคาน้ำมัน มันจะก้าวกระโดดเร็วมากนะช่วง 10 ปีมานี่ จากคุณ : Darth Zomo - [ 24 มิ.ย. 48 17:29:34 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เออ แบบว่า ไอ้การประหยัดนี่ มันต้องให้ใครมาบังคับ หรือ ส่งเสริมด้วยหรอ จากคุณ : ธนูไฟ - [ 25 มิ.ย. 48 00:43:14 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ทำไมราคาน้ำมันถึงพุ่งในตลาดโลกทยานสูงขึ้นได้ขนาดนี้?นี่เป็นคำถามยอดฮิตจริงๆค่ะ แต่คำตอบที่หลายๆคนมักจะฝากไว้ให้ด้วยรอยเกลียดชังก็คืออเมริกา โอ้โหแฮะ! ดิฉัน ได้แต่นั่งนึกในใจดวงเท่ากำปั้นนี้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไรนี่ที่ประเทศที่ชาวโลกตั้งชื่อให้ ว่าเป็นทั้งนักบุญและคนบาปจะแบกรับความไม่สมบูรณ์ของโลกใบนี้ทั้งหลายทั้งปวงไว้ ทั้งใบ .ไม่เว้นแม้แต่การก่อความไม่สงบในภาคใต้ของไทย หุหุ นี่ดิฉันกำลังดูหนัง เรื่องโลกทั้งใบให้นายคนเดียวอยู่รึเปล่าคะนี่? อิอิอิ ดิฉันในฐานะพลเมืองโลกคนหนึ่งขอให้ความเห็นต่อคำถามของคุณเจ้าของกระทู้ดังนี้นะคะ.. การที่ราคาน้ำมันพุ่งทยานสูงขึ้นในตอนนี้นั้นประกอบไปด้วยสามปัจจัยหลักด้วยกันคือ: 1. ด้าน geopolitics(ไม่แน่ใจว่าภาษาไทยใช้คำว่าภูมิรัฐศาสตร์รึเปล่านะคะ) 2. เศรษฐกิจในระดับมหภาค 3. อุตสาหกรรมปิโตรเลียม อย่างที่รู้กันนะคะว่าณ ตอนนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้พุ่งทะลุไปที่ 60 เหรียญดอลลาร์ สหรัฐต่อบาร์เรลซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนนับตั้งแต่ปี 1980 ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นนี้ย่อมก่อให้ เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจตามมาเช่นอัตราภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น อัตราการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจก็ย่อมหยุดชะงักลง ส่วนสาเหตุที่มองในระดับมหภาคแล้วนั้นย่ิอมหนีไม่พ้น: - ความต้องการทางด้านอุปสงค์การบริโภคน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น การขยายตัว ทางด้านเศรษฐกิจโลกนั้นสูงมากค่ะโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม(ประเทศอุตสา หกรรมนี้หาใช่มีแต่อเมริกาประเทศเดียวนะคะคุณเจ้าของกระทู้(แต่นั่นรวมไปถึงกลุ่มประเทศ ในยุโรปและญี่ปุ่นด้วยนะคะ)และการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ความต้องการในการบริโภคน้ำมันของจีนนั้นในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้นเพิ่มมากขึ้นเกือบ20% เลยทีเดียวซึ่งก็ถือว่ามากอยู่อักโขอยู่นะคะเมื่อเปรียบเทียบช่วงปี 1992-2002 ซึ่งเพิ่มขึ้น เพียง 6.5%เท่่านั้น จากปัจจัยตรงนี้หากว่าเศรษฐกิจของจีนยังโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในระดับนี้จีน อาจจะกลายเป็นตัวแปรหรือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นแต่เพียงผู้ เดียวแต่กระนั้นก็ตามนี่อาจไม่ใช่เหตุผลทีทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างทรงตัวอย่างนี้ตลอด ไปเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้าน supply และ inventories อยู่ตลอดเวลาเมื่อมอง ภาพรวมในอนาคตประเทศจีนมีปริมาณการบริโภคน้ำมันเกือบจะอยู่ในระดับเดียวกับญี่ปุ่น แล้วนะคะ ความต้องการในการบริโภคน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของจีนนี้จะไปทดแทน อัตราการเจริญเติบโตที่ชลอตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ยุโรป รัสเซีย ลาตินอเมริกา อาฟริกา และอเมริกาค่ะ ..และกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปคนั้นถูกกำหนดโดยความต้องการ ของตลาดยกตัวอย่างเป็นต้นว่าซาอุฯนี่สามารถผลิตได้ 75% นั่นหมายความว่าถ้าหากซาอุฯ ผลิตน้ำมันเต็มกำลังความสามารถในการผลิตก็จะเป็นผลให้ราคาน้ำมันในตลาดตกลงทันที ซึ่งมันไม่ make sense อยู่แล้วค่ะที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มเต ิมเพราะตั้งแต่วิกฤติการณ์ น้ำมันสงครามอาหรับ- อิสราเอลในปีช่วงปี 1970s มีกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นที่มาจาก กลุ่มประเทศ non-opec ประกอบกับแหล่งพลังงานอื่นๆมีมาทดแทน และถึงแม้จะนำอิรัก เข้าสู่ world market อิรักก็ยังไม่สามารถที่จะผลิตน้ำมันเพื่อสนองความต้องการของการ บริโภคน้ำมันในขณะนี้ได้ค่ะเนื่องจากว่าบ่อน้ำมันของอิรักนั้น(nation’s oil fields) ถูกปล่อย ปละละิเลยขาดการเหลียวแลเอาใจใส่อย่างที่ควรจะเป็นในช่วงซัดดัมยังเรืองอำนาจอยู่และ สภาพบ่อน้ำมันของอิรักในปัจจุบันนี้ต้องใ้ช้จำนวนเงินมหาศาลหลายพันล้านดอลล่าร์เลยล่ะ ค่ะเพื่อซ่อมแซมทำนุบำรุงก่อนที่อิรักจะสามารถมีศักยภาพในการผลิตน้ำมันเพื่อป้อนความ ต้องการน้ำมันของตลาดโลก ณ ตอนนี้นะคะคุณเจ้าของกระทู้ Iraq oil industryไม่สามารถแม้แต่จะผลิตเพื่อสนองความ ต้องการภายในประเทศได้ไม่ว่าจะเป็น petro, diesel, oil และ heating oil หากคุณเป็นผู้ ที่ติดตามสงครามอิรักมาโดยตลอดคุณจะทราบทันทีว่าทหารไทยที่ถูกส่งไปอิรักนั้นเป็นคน พูดเองค่ะว่าบ้านเมืองในอิรักนั้นถูกทิ้งร้างขาดการซ่อมแซมบูรณะมานานอันเป็นผลมาจากสง ครามอิรัก-อิหร่านและสงครามอ่าวครั้งที่หนึ่งก็ให้แปลกใจนะคะที่คุณไม่เคยกล่าวถึงตรงนี้เลย ในตอนนี้ผู้ส่งออกน้ำมันหลักในกลุ่มโอเปคก็ขัดแย้งกันเองนั่นคือซาอุฯกับคูเวตต้องการเพิ่ม กำลังการผลิตน้ำมัน(ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่ประธานาธิบดีบุชเจรจากับผู้นำซาอุฯเมื่อหลาย อาทิตย์ที่ผ่านมานั่นเองค่ะ)เพื่อทำให้ราคาน้ำมันลดต่ำลงในระดับหนึ่งแต่เวเนฯไม่เห็นด้วย ซึ่งก็มีผลกระทบกับผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่อย่างอเมริกา เป็นต้น ประเทศเวเนซุเอล่าซึ่งเป็น หนึ่งในสมาชิกโอเปคมีสินค้าส่งออกหลักคือน้ำมันปิโตรเลียมและมีปริมาณน้ำมันสำรองมาก เป็นอันดับ 6 ของโลกนั้นยังมีอุณหภูมิการเมืองภายในประเทศที่ร้อนระอุยู่ประธานาธิบดี Hugo CHAVEZ Frias เพื่อนเลิฟของคาสโตรนั้นได้มีนโยบายที่จะลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอยู่ใน ตอนนี้ โดยการจัดสรรตำแหน่งทางการเมืองสำคัญๆในระดับผู้บริหารให้กับเพื่อนสนิทของเค้า หรือจะมองข้ามฟากไปยังกาฬทวีปอย่างอาฟริกา..กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนได้เรียกร้องให้บริษัท น้ำมันสัญชาติตะวันตกหนีการลงทุนในซูดานเนื่องจากว่ากองกำลังทหารเพียงแค่พันกว่าคน นั้นไม่สามารถป้องกันพวกหัวขโมยน้ำมัน(นับหมื่น)โดยใช้วิธีกาลักน้ำสูบน้ำมันจากท่อส่งน้ำ มันของไนจีเรียมากกว่า 100,000 บาเรลต่อวันได้คุณก็ลองตรองดูเถอะค่ะว่ามันมากมายขนาด ไหน? ซูดานนั้นนั้นมีสงครามกลางเมืองมายาวนานค่ะและเริ่มร้อนระอุเมื่อปีที่แล้วนั่นเองเมื่อ กลุ่มติดอาวุธอาหรับจานจาวีดสังหารคนไปร่วมแสน เหตุการณ์เหล่านี้นี่ถือว่าเป็น chronic chaos ที่เป็นผลให้อุตสาหกรรมภายในประเืทศนั้นเดือดร้อนขนาดไหนแถมยังส่งผลไปทั่วโลกรวมไป ถึงความไม่มั่นคงทางด้านการเมืองในประเทศแองโกล่าด้วย ด้วยความวุ่นวายทางด้านการเมืองในประเทศกลุ่มโอเปคเหล่านี้เลยทำให้รัสเซียกลายมาเป็น ประเทศที่ผลิตน้ำมันได้มากที่สุดรองจากซาอุดิอาระเบียนั่นเองและตราบเท่าที่ OPECยังคง maintain ราคาน้ำมันให้สูง high-cost Russian oil ก็เตรียมพร้อมที่จะหาตลาดได้ทันทีอย่าง บริษัท BPนี่ก็ทำการค้ากับ TNKของรัสเซียลงทุนไปร่วม $ 8 billionซึ่งเน้นกำลังการผลิตน้ำ ให้เพิ่มสูงขึ้นและก็ซื้อ Amoco ด้วยราคาที่สูงถึง $62 billion บริษัท Exxon เองก็สนใจในการ ลงทุนนี้เช่นกัน แต่การไหลของ capital และเทคโนโลยี know-how นั้นยังไม่เกิดขึ้นในบัดดล เนื่องด้วยความไม่มีสเถียรภาพทางด้านการเมืองในรัสเซียรวมไปถึงการจับกุม Mikhail Khodorkovsky ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นอดีต chief executive ของ oil giant Yukos และรวมไปถึงข้อจำกัด ด้าน infrastructure ด้วยเหตุนี้ขีดความสามารถในการผลิตน้ำัมันของรัสเซียจึงยังไม่พอเพียง ที่จะสนองความต้องการบริโภคน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นของโลกไม่สมบูรณ์ใบนี้ได้ .เห็นรึยังคะว่า ระบบเผด็จการนั้นสงผลกระทบต่อโลกใบนี้มากขนาดไหนแต่คนมองไ่ม่เห็นหรอกค่ะ มักมีคำ ตอบเบ็ดเสร็จไปลงที่"ลุงแซม"เสมอ แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 48 13:06:00 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 25 มิ.ย. 48 11:50:30 ]

ความคิดเห็นที่ 10 world demand for oil จะยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆค่ะขณะที่ด้าน supplyยังคงไม่เพียงพอ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม Ben Funnel และ Teun Draaisma ผู้บริหารร่วมของ European Equity Strategy ที่มอร์แกน สแตนลี่ย์จึงให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทน้ำมันมากกว่าบริษัทพลังงานอื่นๆ และหุ้นในบริษัทน้ำมันต่ำสุดในสองปีเมื่อเทียบกับราคาตลาดเงินปันผลก็ดีขึ้นตามไปด้วยและนั่น ทำให้กลุ่มโอเปคพอใจกับการรักษาราคาน้ำมันให้สูงขึ้นด้วยอุปสงค์เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากเศรษฐ กิจโลกที่กำลังฟื้นตัว ก็นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนบางคนและเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับ เหล่าผู้ปกครองชาวอาหรับและกลุ่มประเทศโอเปค แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับผู้บริโภคอย่างเีราๆท่านๆ นี้ค่ะ ปัจจุบันนี้มีคนกล่าวว่าราคาน้ำมันสูงขึ้นนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นผลเนื่องมาจาก ปริมาณ(คลัง)น้ำมันสำ รองสำหรับการพานิชย์อยู่ในระดับที่ต่ำและการคาดการณ์ความต้องการบริโภคน้ำมัน จริงๆแล้ว นี่คลังสำรองน้ำมันดิบทั้งหมดในอเมริกาไม่ได้อยู่ในระดับที่ต่ำเลยค่ะแถมปริมาณน้ำมันสำรองอยู่ ในระดับสูงที่สุดตั้งแต่ปี 1995 เสียด้วยซ้ำเมื่อราคาน้ำมันพุ่งไปอยู่ที่เกือบๆระดับ 18 ดอลล่าร์ต่อ บาเรล แต่กลุ่มผู้ค้าน้ำมันดิบนั้นเลือกที่จะเน้นเพียงน้ำมันสำรองในตลาดการค้าเท่านั้นแต่ละเลยที่ จะมองถึงปริมาณ น้ำมันสำรองฉุกเฉินใน SPR (Strategic Petrolium reserve) และก็เป็นธรรม ชาติของนักคาดการณ์ที่เค้าเลือกพิจราณาหลายๆตัวแปรไล่ตั้งแต่การก่อการร้าย อัตราแลกเปลี่ยน เงินตรา บทบาทของกลุ่มโอเปค และทิศทางของตลาดหลังจากที่เป็นระยะเวลากว่าสามปีครึ่งที่ ราคาน้ำมันสูงขึ้นราคาน้ำมันนั้นอยู่ในช่วงที่โอเปคตั้งเป้าหมายเอาไว้(Opec’s target price band) .OPEC has credibility ค่ะ อย่างที่ทราบกันนะคะว่า OPEC(Organization of Petroleum Exporting Countries) นั้นเป็นเป็น องค์การเศรษฐกิจระหว่างประเทศตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1960 มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงเวียนนา มีสมาชิกผู้ ผลิตน้ำมัน 13 ประเทศ สมาชิกก่อตั้งคือ อิหร่าน อิรัค คูเวต ซาอุดิอาระเบีย และเวเนซุเอลาต่อมา มีประเทศที่เข้าร่วมด้วยคือ อัลจีเรีย อีเควดอร์ กาบอง อินโดนีเซีย ลิเบีย ไนจีเรีย กาตาร์ และยูไน เต็ด อาหรับ อิมิเรทส์ (เดิมคือ อาบูร์ ดาบี) นโยบายสำคัญคือ ความร่วมมือกันรักษาผลประโยชน์ โดยเฉพาะคือความร่วมมือกันกำหนดราคา และปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ ผู้ค้าน้ำมันดิบทั้งหลาย นี่เค้ามองเห็นตรงนี้ค่ะว่าไม่มีเหตุผลที่แข็งแกร่งพอในการที่ OPECจะลดกำลังการผลิตลงเพื่อสร้าง ความสมดุลย์ในตลาด(คือในที่นี้หมายถึงความสมดุลย์ระหว่างอุุปสงค์-อุปทาน)ในสองไตรมาสถัด ไปนี้อย่างที่โอเปคได้สัญญาเอาไว้ ผู้ค้าน้ำมันดิบเค้ารู้สึกตรงนี้ค่ะว่าจะมีน้ำมันดิบขาดตลาดในระยะ เวลาอันสั้นหากกลุ่มโอเปคไม่ได้ทำตามอย่างที่พูดไว้ แล้วตอนนี้ล่ะคะเป็นอย่างไร? Why not go with the flow! ไม่ว่าคุณจะด่าหรือเกลียดประธานาธิบดีบุชมากเพียงใดก็ตามแต่อยากให้คุณรับรู้ไ้ว้ ตรงนี้ค่ะว่าประธานาธิบดีคนนี้นี่แหละที่เป็นอุปสรรคขวากหนามใหญ่ของพวกนักเก็งกำไร(ซึ่งไม่จำ เป็นต้องเป็นคนอเมริกันเสมอไปนะคะ)และขวางทางการแบล็คเมล์ของพวกกลุ่มโอเปค ระยะทาง พิสูจน์ม้า การเวลาพิสูจน์คนจะปรากฏให้คุณเห็นเองค่ะดิฉันเป็นเพียง minority voiceในห้องนี้ที่ เลือกมองอีกด้านหนึ่งของเหรียญและไม่เดินตามแนวความคิดของพวกนักหนังสือพิมพ์กระดาษเปื้อน หมึกบางคนที่พยายามชี้นำและครอบงำความคิดเท่านั้นเอง..ถ้าหากอเมริกาต้องการยึดครองบ่อน้ำ มันอิรักจริงป่านนี้อเมริกาสูบน้ำมันจากบ่อน้ำมันของอิรัคออกมาขายทุ่มตลาดเพื่อไม่ให้พวก OPEC แบล็คเมลล์มิดีกว่าหรอกหรือคะ?แล้วสงครามอิรักครั้งนี้นี่งบมหาศาลนะคะสงครามอิรักครั้งนี้นี่เป็น ส่วนหนึ่งของสงครามต่อต้านการก่อการร้ายค่ะและเป็นสงครามที่เกิดจากการกระทำของซัดดัม ฮุสเซ็นเองด้วยและที่สำคัญนะคะเป็นสงครามที่ถูกต้องตามกฏหมายทุกประการ สงครามอิรักครั้งนี้เกิดขึ้นก็เพื่อความมั่นคงของอเมริกาและประโยชน์ที่ได้คือการรักษาสเถียรภาพ ทางเศรษฐกิจของโลกเอาไว้ไม่ให้เกิดสภาวะถดถอย(นั่นหมายถึงการสร้างประชาธิปไตยในตะวัน ออกกลาง) เพราะถ้าเกิดขึ้นแล้วคนที่เจ็บหนักก็คือใครคะ?ก็คือประเทศกำลังพัฒนาแบบไทยหรือ ประเทศในโลกที่สาม แต่คนที่ร่ำรวยจนอ้วนแล้วอ้วนอีกก็คือกษัตริย์หรือผู้นำของประเทศตะวันออก กลางและกลุ่มโอเปคมากกว่าไม่ใช่ใครที่ไหนแถมเงินที่ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำจากการค้าน้ำมันก็ นำไปสนับสนุนการก่อการร้ายสากลอีกที แล้วใครเดือดร้อน? ประชาชนประชาชีทุกผิวสีไงคะที่ตก เป็นเหยื่อวงจรอุบาศก์อย่างไม่สิ้นสุดตรงนี้.. ____________________ และขอฝากคำกล่าวของท่านนายกทักษิณไว้ตรงนี้นะคะซึ่งดิฉันคิดว่าท่านกล่าวได้ตรงประเด็น และตรงใจดิฉันมากๆค่ะ "...โลกปัจจุบันอยู่ใต้เศรษฐกิจทุนนิยม แต่ประเทศที่ประสบความสำเร็จมาก 5 ประเทศ คือ สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น ซึ่งส่วนหนึ่งของความสำเร็จคือคำว่า "ชาตินิยม" หรือ "Nationalism" ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความคลั่งชาติ คือ การยึดผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง และ เมื่อใดที่ผลประโยชน์ตนขัดต่อผลประโยชน์ชาติ ทุกคนก็จะหยุด ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาล้ม เหลวกับระบบทุนนิยม แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงมอบเป็นการบ้านให้ กอ.รมน. ไปหาวิธีการเพื่อ ให้คนตระหนักถึงผลประโยชน์ชาติ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องดี ความสวยงามของ ระบอบประชาธิปไตย คือ ความหลากหลายทางความคิด แต่แน่นอนว่า การครอบงำทางความคิด บางครั้งต้องแยกแยะ เพราะจริงๆ แล้ว สิ่งที่ปรากฏอยู่บนสื่อฯ มักมาจากคนที่พูด 3 ส่วน คือ รัฐบาล ฝ่ายค้าน และผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ซึ่งอาจเป็นผู้ที่ชอบฝ่ายค้าน หรือไม่ชอบก็ได้ แต่ หลายอย่างที่เราไม่อาจหาข้อยุติในสังคมได้ เพราะผู้ไม่รู้กำลังเถียงกับผู้ไม่รู้ "จุดอ่อนของสังคมไทย คือ ระบบข้อมูลข่าว ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลให้เป็นความรู้ยังอ่อนแอเมื่อ ความรู้ไม่พอ ปัญญาก็ไม่ค่อยมี ฉะนั้น การเถียง การกระทำด้วยความรู้สึก อารมณ์ ความเป็นพวก มีเรื่องการเมือง ผลประโยชน์และพวกพ้องมาเกี่ยวข้อง เมื่อ 3 อย่างนี้มาพบกัน เมื่อเกิดประเด็น ขึ้นการปรุงแต่งจึงมีนานาประการ เพราะเป็นสิ่งที่แยกแยะไม่ออก สังคมจึงควรเข้าใจและยึดหลัก อย่างเดียวว่าอะไรคือประโยชน์ชาติ อะไรคือสิ่งที่เราควรรักษาไว้ ความเข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้นจะ ง่ายขึ้นมาก" นายกรัฐมนตรี กล่าว แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 48 12:44:21 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 25 มิ.ย. 48 12:15:31 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อพูดถึงซูดานแล้วไม่พูดถึงสงครามกลางเมิองที่เกิดขึ้นก็กระไรอยู่ มาดูการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่"ซูดาน"ต่อเลยดีกว่าค่ะคุณเจ้าของกระทู้ดิฉันขอเรียกว่าเป็น "Chronicles of a Genocide" ก็แล้วกันนะคะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เขต ดาร์ฟูร์ทางตะวันตกของประเทศซูดานนี่ก็ ถือว่าเป็นวิกฤตการณ์ฆ่าล้างมนุษย์ ที่โหดร้ายไม่แพ้สงครามกลางเมืองที่คองโกเหมือนกันค่ะ......เป็นสงครามกลาง เมืองระหว่างกลุ่มติดอาวุธอาหรับกับกลุ่มชนพื้นเมืองแอฟริกันเมื่อ 2 ปีก่อนที่ รัฐปล่อยให้กองกำลังติดอาวุธมุสลิมอาหรับไล่ฆ่าคนดำพื้นเมืองตายเหยียบแสน กลุ่มชนพื้นเมืองแอฟริกันต้องแปรสภาพไปเป็นผู้ลี้ภัยราวหนึ่งล้านหกแสนเรียก ว่าเลวร้ายน้องๆยุคเขมรแดงก็ไม่ผิดนักซึ่ง "โคฟี่ อันนัน" เองยังไม่สามารถที่จะ ควบคุมสถานการณ์เหตุการณ์สุดเลวร้ายที่เมืองดาฟูร์นี้ได้แต่อยางใดซึ่งมันแสดง ถึงความไร้ฝีมือโดยสิ้นเชิงค่ะ...... เหตุการณ์ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สุดเลวร้ายที่เมืองดาฟูร์ทางตะวันตกของซูดาน นี้เป็นเพียงเหตุการณ์สุดเลวร้ายเพียงเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้นนะคะที่ยังไม่รวมสง ครามกลางเมืองทางตอนใต้ของประเทศซูดานซึ่งกินระยะเวลายาวนานถึง 21 ปี มีผู้เสียชีวิตกว่าล้าน 500,000 คนและมีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยกว่า4ล้านคนจากสงคราม กลางเมืองในครั้งนี้....แล้วสหประชาชาติองค์กรที่มีหน้าที่โดยตรงในการ"รักษา สันติภาพ"ทั่วโลกเป็นศูนย์สำหรับช่วยเหลือประเทศต่างๆ ทำอะไรได้บ้างคะกับ เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าันธ์ในครั้งนี้?......และก็เป็น "อเมริกา" ที่พวกรักสันติทั้งหลาย ทั้งเดินขบวนทั้งตะโกนก่นด่านี่แหละค่ะคุณเจ้าของกระทู้ที่ใช้ความพยายามในการ ผลักดันมติสหประชาชาติเพื่อแก้ไขเนื้อหาจากฉบับก่อนตำหนิรัฐบาลซูดานให้หนัก ขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามกลางเมืองที่ทวีความรุนแรงขึนเรื่อยๆ เพราะอะไร ถึงทำให้อเมริกาต้องการแก้ไขเนื้อหาของมติสหประชาชาติในฉบับที่แล้ว?? นั่นก็ เพราะว่าเนื้อหาในฉบับที่แล้วนั้นไม่มีส่วนใดหรือท่อนใดของพารากราฟเลยแม้แต่ บรรทัดเดียวที่กล่าวตำหนิีหรือวิพาษ์วิจารณ์รัฐบาลซูดานที่ปล่อยให้กองทัพติด อาวุธ*อาหรับมุสลิม*ที่จ้องโจมตีสังหารพลเรือนชาวอาฟริักันพื้นเมืองเลย หรือกล่าวถึงการข่มขืนประทุษร้ายทางเพศและการใช้กำลังบังคับให้ชุมชนชาว อาฟริักันพื้นเมืองต้องทิ้งถิ่นที่อยู่อาศัยไปของพวกกลุ่มติดอาวุธอาหรับมุสลิมซึ่ง มันก็เหมือนมติสหประชาชาติที่มีกลุ่มประเทศอาหรับหนุนหลังในการประณามอิส ราเอลนั่นล่ะค่ะแต่*ไม่มีสักประโยคที่กล่าวถึงการโจมตีของพวกกลุ่มก่อการราย ชาวปาเลสไตน์*ตรงนี้สิคะที่เรียกว่า"สองมาตรฐาน"และที่น่าเกลียดยิ่งกว่านั้นก็ คือมติสหประชาชาติแทนที่จะกล่าวประณามรัฐบาลซูดานหรือจำเป็นจะต้องเพิ่ม แรงกดดันต่อรัฐบาลและกลุ่มกบฎให้ยุติการสู้รบแต่เนื้อหาในมติฉบับก่อนกลับแสดง จุดยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับรัฐบาลซูดานด้วยเหตุนี้อเมริกาจึงใช้สิทธิวีโต้ มติฉบับ ดังกล่าวยังไงล่ะคะ ซูดานยังถูกสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรทางทหารและทางเศรษฐกิจเพื่อตอบโต้การ ที่ซูดานมีส่วนเกี่ยวพันกับการก่อการร้ายและการลอบวางระเบิดสถานเอกอัครราช ทูตสหรัฐฯในเคนยาและแทนซาเนียในปี 1998 แต่ในตอนหลังอเมริกาก็เริ่มผ่อน คลายมาตรการคว่ำบาตรซูดานเพื่อเปิดทางให้มีความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อ ซูดานนอกจากนี้ อียิปต์ ยังได้กล่าวหาซูดานว่า พยายามลอบสังหารประธานาธิบดี Hosni Mubarak ในเอธิโอเปีย เมื่อปี1995ด้วยและก็เป็นรายงานของกลุ่มHRWนั่น ล่ะค่ะที่รายงานว่า ชนเผ่าพื้นเมืองเฟอร์ถูกกลุ่มติดอาวุธอาหรับใช้กำลังเข้าตีโอบ ล้อมสังหารด้วยความช่วยเหลือของกองกำลังรัฐบาลซูดานนั่นเองค่ะ.. การฆ่าล้่างเผ่าพันธ์ที่ประเทศซูดานนั้นมีสาเหตุทั้งมาจากความขัดแย้งในเรื่องศาสนา (ที่คาร์ทูมทางภาคใต้ของซูดาน)และเชื้อชาติ(เมืองดาร์ฟูทางตะวันตกของซูดาน) อย่างการฆ่าล้างหมู่ชาวคริสเตียนทางตอนใต้ของซูดานนั้นก็เกิดจากกรณีพิพาทระ หว่าง กลุ่มกบฎทางภาคใต้ (เป็นถิ่นที่อยู่ของประชากรผิวดำ นับถือศาสนาคริสต์ SPLA) จับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาล (มุสลิมอาหรับ) ของประธานาธิบดี นายพล อูมาร์ ฮาซาน อาเหม็ด อัลบาเชียร์ ที่ควบคุมพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ สงครามและ ทุพภิกขภัยเป็นเหตุให้คนล้มตายอย่างน้อย 1.5 ล้าน และไร้ที่อยู่อาศัยอีกหลายล้าน ซึ่งรัฐบาลของนายพล บาเชียร์ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จัดทำขึ้นบนพื้น ฐานกฎหมายอิสลาม นำกฏหมายอิสลามเข้ามาปกครองมีการจัดตั้งSizana Islamic Courtขึ้นที่คาร์ทูมโดยบังคับให้ประชาชนที่มิใช่มุสลิมทุกคนอยู่ภายใต้กฏหมายอิส ลาม และรัฐบาลซูดาน นั้นยังโดนตำหนิด้วยอีกว่าเป็นผู้กระทำการ "ล้างเผ่าพันธุ์ชาว นูบา" ทางตอนใต้ อีก ด้วยส่วนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์่ล่าสุด(ethnic cleansing)ที่เมือง ดาร์ฟูนั้นเป็นความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างชาวอาฟริกันพื้นเมือง(ซุนหนี่มุสลิม) กับกลุ่มติดอาวุธมุสลิมเชื้อสายอาหรับที่มีรัฐบาลซูดานหนุนหลังคอยให้การสนับสนุน อยู่ซึ่งกลุ่มติดอาวุธมุสลิมอาหรับเหล่านี้ต้องการแย่งชิงดินแดน ฟาร์มเลี้ยงสัตว์และ เรือกสวนไร่นาของชาวอาฟกันผิวดำพื้นเมือง(แม้จะนับถืออิสลามเหมือนกัน) มาเป็น ของตนนั่นเอง .นี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างเท่านั้นนะคะ แล้วไหนล่ะค่ะพวกที่เรียกตัวเองว่าเสียงแห่งสันติภาพ? ไหนล่ะค่ะกลุ่มโล่ห์มนุษย์ที่ ต้องการนำตัวเองไปบดบังกระสุนแทนคนบริสุทธ์?ในเมื่อเรียกตัวเองว่ากลุ่มต่อต้านสง ครามก็ควรที่จะต่อต้านสงครามทุกรูปแบบนะคะหรือคำนิยามสงครามของพวกที่เรียก ตัวเองว่ารักสันติทั้งหลายนั้นจะต้องมี"อเมริกา"เข้ามาเกี่ยวข้องถึงจะเรียกว่าสงคราม เอ อย่างนี้เรียกว่าต่อต้านสงครามหรือต่อต้่านอเมริกาดีนะ เนี่ยอ่ะค่ะดิฉันมองเห็นความ เป็น"สองมาตรฐาน"ของพวกที่เรียกตัวเองว่ารักสันติอย่างชัดเลย. สุขสันต์วันหยุดสุดสัปดาห์นะคะ! จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 25 มิ.ย. 48 12:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Geopolitic แปลว่าการเมืองโลกครับ น้ำมันแพงเกิดจาการที่สหรัฐหลงกลแขกบินลาเดนไปบุกอิรักก็เป็นส่วน หนึ่งซึ่งทำให้จีน อินเดีย ญี่ปุ่นหันมากว้านซื้อน้ำมันทำให้ราคาสูงขึ้น เพราะการสร้างสถานการณ์ก่อกวนจะทำได้ง่ายเมื่อทหารสหรัฐอยู่ใน อิรักอันนี้คือการจุดชนวนปัญหา แต่ที่ราคามันพุ่งสุดขีดในปัจจุบัน ไม่ได้มาจากสหรัฐ แต่มาจากการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาล ของจีนและอินเดียที่มีเศรษฐกิจร้อนแรงและรัสเซียนั้นก็มีปัญหาทาง การเมืองกับบริษัทน้ำมันในประเทศก็เลยไม่ต้องหวังพึ่งรัสเซียให้มา คานกับกลุ่มโอเปคหรอก ส่วนตอนนี้บริษัทน้ำมันจีนได้เข้าซื้อกิจการ น้ำมันยูโนแคลเพื่อเป็นหลักประกันในเรื่องพลังงานของตน จนเป็น ประเด็นร้อนในสหรัฐขณะนี้ ต่อแต่นี้ไปมนุษย์โลกก็คงจะทำสงคราม แย่งพลังงานกันหละ คอยดูเถอะ ฮ่าๆๆๆ จากคุณ : เคทีเอ็ม - [ 25 มิ.ย. 48 13:27:42 A:10.36.3.44 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อืมมม เธอเก่งจริง หุหุ จากคุณ : 2b-rich - [ 25 มิ.ย. 48 14:13:02 ]

ความคิดเห็นที่ 14 "..น้ำมันแพงเกิดจาการที่สหรัฐหลงกลแขกบินลาเดนไปบุกอิรักก็เป็นส่วนหนึ่ง.." เอื้องไม่คิดอย่างที่อาจารย์ ktm กล่าวมาเลยค่ะ อิอิอิ สงครามอิรักนี่แหละค่ะ อาจารย์ที่จะทุบแขกบิน ลาเดนแอนเดอะแก๊งค์ อาจารย์ได้อ่านจดหมายของ ซาคาวีร์ล่าสุดนี้รึยังคะ? พวกโจรก่อการร้ายอาหรับและผู้นำที่ปกครองประเทศ โดยระบอบทรราชย์เนี่ยล่ะค่ะจะอยู่ไม่ได้พวกที่จะอยู่ได้ก็คือพวกที่ปรับตัวเป็น ประชาธิปไตย ซึ่งมันก็ดีกับประชาชนหมู่มากมิใช่หรือคะ ครั้งนี้บุชยังคงย้ำจุด ยืนว่าสงครามการปราบพวกโจรชั่วก่อการร้ายไม่ใช่สงครามศาสนา และคน อเมริกันทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในความเชื่อทางศาสนาใดๆก็ได้หรือจะไม่เชื่อไม่ นับถือศาสนาใดๆก็ได้แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฏหมายเดียวกัน นี่แหละค่ะที่ เรียกว่าประชาธิปไตย บางครั้งการแก้ปัญหาอาจต้องใช้ความรุนแรงบ้างตามความเหมาะสม..ยากค่ะ ที่จะแก้ปัญหาด้วยความนุ่มนวลได้ในทุก ๆ เรื่อง หรือแม้แต่การแก้ปัญหาทาง ภาคใต้ของไทยอาจารย์คิดว่ารัฐบาลท่านทักษิณจะสามารถใช้ความนุ่มนวลอย่าง เดียวเข้าแก้ปัญหาได้รึเปล่าคะ เอื้องบอกได้เลยค่ะว่าไม่มีทาง ..การที่เราเรียก ร้องหาสันติภาพนั้นเราต้องเข้าใจด้วยค่ะว่าเราเรียกร้องสันติภาพกับใครหากคน ที่เราเรียกร้องด้วยนั้นมีนิยามคำว่า"สันติภาพของพวกเค้าคือการสูญเสียของเรา" สันติภาพนั้นก็คงเป็นได้แค่จินตนาการเท่านั้นเองค่ะ... อ้อ! ขอบคุณนะคะสำหรับคำว่า geopolitics ว่าแต่อาจารย์ตรวจการบ้านลูกศิษย์เสร็จรึยังคะถึงแอบมาเล่นพันทิพน่ะ(ขอแซวอาจารย์หน่อย อิอิ) จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 25 มิ.ย. 48 14:18:53 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อเมริกาสูญเสียความชอบธรรมในการบุกอิรัก เพราะอ้างว่าอิรักมีอาวุธทำลายล้างสูง แต่บุกเข้าไปเป็นปีแล้วยังหาไม่เจอเลย ที่คุณอ้งคำของนายกฯมาว่า "จุดอ่อนของสังคมไทย คือ ระบบข้อมูลข่าว ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลให้เป็น ความรู้ยังอ่อนแอเมื่อความรู้ไม่พอ ปัญญาก็ไม่ค่อยมี ฉะนั้น การเถียง การกระทำด้วยความรู้สึก อารมณ์ ความเป็นพวกมีเรื่องการเมือง ผลประโยชน์และพวกพ้องมาเกี่ยวข้อง เมื่อ 3 อย่างนี้มาพบกัน เมื่อเกิดประเด็น ขึ้นการปรุงแต่งจึงมีนานาประการ เพราะเป็นสิ่งที่แยกแยะไม่ออก สังคมจึงควรเข้าใจและยึดหลักอย่างเดียวว่าอะไรคือประโยชน์ชาติ อะไรคือสิ่งที่เราควรรักษาไว้ ความเข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้นจะ ง่ายขึ้นมาก" ผมเห็นด้วยแต่ตรงนี้ก็เป็นลักษณะของพวกนีโอคอน และหมาบ้าบุชด้วย เพราะว่าคนพวกนี้มีข้อมูลที่อ่อนมากเกี่ยวกับ อิรัก วิเคราะห์ข่าวไม่เป็นปล่อยให้พาวเวลล์เอารูปอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ รูปถ่ายไปแสดงที่สหประชาชาติบอกว่าอิรักมีอาวุธทำลายล้างสูง เสร็จแล้วก็ใช้อารมณ์สั่งทหารบุกอิรัก พอมีหลายประเทศคัดค้าน ก็เอาแต่อารมณ์ไปเถียงโดยไม่ฟังเหตุผลที่เขาคัดค้านแบบปัญญา ไม่ค่อยมี แถมยังมีผลประโยชน์ของพวกพ้องอย่างดิ๊ก เชนีย์เข้ามา เกี่ยวข้องอีก เมื่อ ๓ ประการนี้มาพบกันพวกนีโอคอนก็เกิดการปรุง แต่งเรื่องอาวุธทำลายล้างสูงและเรื่องอื่นๆอีกนานับประการ พวก นีโอคอนก็เลยไม่รู้ว่าอะไรคือประโยชน์ของสหรัฐและคนอเมริกัน อย่างแท้จริง เฮ้อ จากคุณ : เคทีเอ็ม - [ 25 มิ.ย. 48 14:22:22 A:10.36.3.44 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 16 "..อเมริกาสูญเสียความชอบธรรมในการบุกอิรัก เพราะอ้างว่าอิรักมีอาวุธทำลายล้างสูง แต่บุกเข้าไปเป็นปีแล้วยังหาไม่เจอเลย.." หุหุหุ  เอื้องไม่คิดว่าคำกล่าวนี้เป็นประโยคที่ถูกต้องนะคะอาจารย์ ktm โดยส่วนตัวทุก คนมีสิทธิ์คิดได้เช่นที่อาจารย์คิดค่ะ..เอื้องเชื่อค่ะว่าทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเองแต่ ทว่าเหตุผลเป็นของตัวเองนั้นไม่พอค่ะอาจารย์ Dr. ktm ต้องอาศัยหลักฐานมาสนับสนุน ด้วยว่าสิ่งที่ตนพูดมานั้นน่าเชื่อถือมากน้อยขนาดไหน เพราะเรื่องของสงครามอิรักนั้น "Fact" กับ "Attitude" มันเป็นคนละเรื่องกันค่ะหากเราไม่สามารถหาหลักฐานมาสนับ สนุนความคิดของเรามันก็คือการกล่าวหาเพียงลอยๆโดยขาดน้ำหนักเท่านั้นเอง สงครามอิรักนั้นไม่ได้วางอยู่บนพื้นฐานของการอ้างว่าอิรักมีอาวุธทำลายล้างสูงอย่างเดียว อย่างที่อาจารย์พูดหรอกค่ะและเอื้องก็ไม่เคยเห็นผู้ที่กล่าวหาว่าประธานาธิบดีบุชโกหก แม้แต่คนเดียวสามารถหาคำพูดแม้แต่ประโยคเดียวมาพิสูจน์ให้ได้ว่าบุชโกหกหรืออาจารย์ สามารถพิสูจน์ได้คะ? หากอาจารย์ติดตามข่าวสารสงครามอิัรักมาตลอดอาจารย์จะทราบ ทันทีว่าประธานาธิบดีบุชท่านกล่าวถึงเหตุผลในการเข้าสู่สงครามนั้นชัดเจนค่ะบุชได้กล่าว ถึงเหตุผลทั้ง 4 ข้อสำหรับเป็นเหตุผลที่ใช้ในการบุกอิรักมิใช่เพียงข้อใดข้อหนึ่งอย่างที่ หลายคนเข้าใจในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อ องค์การสหประชาชาติหรือ UN ในวันที่ 12 กันยายน 2545 และต่อประชาชนชาวอเมริกันในวันที่ 17 มีนา 2546 ก่อนสงครามอิรักจะ เริ่มขึ้นเหตุผลที่ใช้ในการบุกอิรักนั้นประกอบไปด้วยเหตุผลหลัก 4 ข้อด้วยกันคือ 1. ซัดดัมละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ทำไว้กับยูเอ็นในเรื่องเกี่ยวกับอาวุธ (Saddam's material breach of the cease fire accords concerning weapons). 2. ซัดดัมให้การสนับสนุนการก่อการร้่ายสากล (Saddam's sponsorship of international terrorism). 3. เพื่อปลดปล่อยชาวอิรักให้พ้นจากการปกครองในระบบทรราชย์ของเผด็จการซัดดัมและ พรรคบาธ (To liberate the Iraqi People). 4. เพื่อเสริมสร้างความมีเสถียรภาพในตะวันออกกลาง(To remove the instability caused by Saddam in the Middle East) ดังนั้นความคิดสำหรับอาจารย์ที่มีความเข้าใจว่า "WMDเป็นเหตุผลเดียว" ที่บุชใช้บุกอิรัก นั้นเป็นการมองข้ามข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิงค่ะแต่ ประกอบไปด้วยเหตุผลทั้งสี่ข้อค่ะมิใช่ข้อใดข้อหนึ่งโดยเฉพาะ อาจารย์ทราบรึเปล่าคะว่าไม่ใช่เพียงแค่บุชเท่านั้นที่คิดว่าซัดดัมมีWMD คลินตันเองก็เชื่อว่า ซัดดัมมีอาวุธร้ายแรงเหล่านั้นเช่นกันและคลินตันยังกล่าวเองด้วยว่าซัดดัมเป็นภัยคุกคามกับ อเมริกาหรือแม้แต่องค์การสหประชาชาติ(UN)ก็ยังเชื่อว่าซัดดัมยังคงครอบครองอาวุธเหล่า นั้นไว้เพราะว่าตัวเค้าเองไม่เคยให้รายละเอียดเกี่ยวกับรายงานที่บ่งบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับ "รายการอาวุธที่ยังไม่มีในบันทึกที่มอบให้กับยูเอ็นที่ยูเอ็นร้องขอนี่จึงเป็นที่มาของคำกล่าวที่ ว่าเหตุผลเรื่อง WMD นั้นไม่ใช่เป็นเรื่อง"the presence of WMD"แต่เป็นเรื่องของ"the absence of evidence" ที่เป็นพื้นฐานของข้อใหญ่ใจความในรายละเอียดที่แสดงอยู่ใน"มติยูเอ็นที่ 1441(Resolution 1441)" และก็เป็นระยะเวลาถึง 12 ปีที่ยูเอ็นเรียกร้องให้ซัดดัมปลดอาวุธ และยื่นรายงานเกี่ยวกับ "unaccounted weapons" ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธของยูเอ็น และเนื่องจากการไม่ให้ความร่วมมือของซัดดัมเองและการละเมิดต่อมติยูเอ็นหลายๆฉบับของ อิรัก..ด้วยเหตุนี้เองนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายๆคนเชื่อว่าอิรักภายใต้ซัดดัมยังคงมีอาวุธร้าย ไว้ในครอบครอง แม้กระทั่ง "Iraqi Kurds" ในอิรักเองก็ยังเชื่อว่าซัดดัมมีอาวุธร้ายแรงเหล่า นั้น...ก่อนที่สงครามอิรักจะเริ่มขึ้นในครั้งนี้นั้นมีเด็กและผู้หญิงชาวเคิร์ดจำนวนมากมายได้อพ ยพมุ่งหน้าขึ้นภูเขาเพราะกลัวว่าซัดดัมอาจจะใช้อาวุธเคมีตอบโต้อเมริกาและบรรดาพันธมิตร รวมไปถึงชาวเคิร์ดที่ช่วยในการสู้รบครั้งนี้ด้วย..ดังนั้นการมากล่าวหาว่าบุชโกหกจึงเป็นการจง ใจมองข้ามข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิงค่ะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 25 มิ.ย. 48 14:45:56 ]

ความคิดเห็นที่ 17 "..ผมเห็นด้วยแต่ตรงนี้ก็เป็นลักษณะของพวกนีโอคอนและหมาบ้าบุชด้วย " อ้าว นี่เป็นคำพูดของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นครูบาอาจารย์เหรอคะเนี่ย นี่อาจารย์ กำลังด่ากระทบท่านนายกฯว่าเป็นหมาบ้าด้วยเหรอคะเนี่ย หุหุ ไม่น่าเชื่อ! จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 25 มิ.ย. 48 14:51:14 ]

ความคิดเห็นที่ 18 "...เพราะว่าคนพวกนี้มีข้อมูลที่อ่อนมากเกี่ยวกับอิรัก วิเคราะห์ข่าวไม่เป็นปล่อยให้พาวเวลล์ เอารูปอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่รูปถ่ายไปแสดงที่สหประชาชาติบอกว่าอิรักมีอาวุธทำลายล้างสูง เสร็จแล้วก็ใช้อารมณ์สั่งทหารบุกอิรัก พอมีหลายประเทศคัดค้านก็เอาแต่อารมณ์ไปเถียง โดยไม่ฟังเหตุผลที่เขาคัดค้านแบบปัญญาไม่ค่อยมี แถมยังมีผลประโยชน์ของพวกพ้องอย่าง ดิ๊ก เชนีย์เข้ามาเกี่ยวข้องอีก เมื่อ ๓ ประการนี้มาพบกันพวกนีโอคอนก็เกิดการปรุงแต่งเรื่อง อาวุธทำลายล้างสูงและเรื่องอื่นๆอีกนานับประการ พวกนีโอคอนก็เลยไม่รู้ว่าอะไรคือประ โยชน์ของสหรัฐและคนอเมริกันอย่างแท้จริง เฮ้อ.." ใช้อารมณ์สั่งทหารบุกอิรัก? ไม่จริงล่ะมั๊งคะตรงนี้ สงครามไม่ได้เกิดขึ้นง่ายเหมือนการ ปอกกล้วยเข้าปากหรอกค่ะอาจารย์ มาดูข้อเท็จจริงกันหน่อยเป็นไร? จริงๆแล้วมันก็มี การคานอำนาจกันอยู่ในยูเอ็นอยู่แล้วล่ะค่ะแต่ันักวิพากษณ์วิจารย์หลายคนมักจะชี้นิ้วไป เรื่องสงครามอิรักและกล่าวโทษอเมริกาว่าทำตัวกร่างไม่เคารพองค์กรนานาชาติแห่งนี้ จริงๆแล้วหากอเมริกามีอำนาจสามารถบังคับยูเอ็นได้จริงอย่างที่หลายๆคนกล่าวหาก่อน สงครามอิักจะเริ่มขึ้น second resolution คงผ่านไปด้วยดีแล้วล่ะค่ะจริงๆต้องบอกว่า อเมริกานี่ยังเคารพยูเอ็นอยู่นะถึงได้พยายามออก second resolution มีหลายคนรวมทั้งอาจารย์เข้าใจว่าอเมริกาไม่ฟังเสียงยูเอ็นหรือให้ความสำคัญกับยูเอ็น น้อยลงซึ่งตรงนี้ไม่เป็นความจริงเลยค่ะและยังมีกลุ่มที่คัดค้านสงคราม(อาจไม่รักสันติ จริงตามลมปากคือคัดค้านแต่สงครามอิรักแต่สงครามในแอฟริกากลับนิ่งเฉย)ได้กล่าว บิดเบือนข้อเท็จจริงว่าอิรักยอมปฏิบัติตามคำเรียกร้องของยูเอ็นโดยสดุดี(หลังจากที่ถูก อเมริกาภายใต้คลินตันและอังกฤษบอมบ์ทางอากาศผู้แทนชาติสมาชิกของยูเอ็นบาง ชาติออกมาประณามการตัดสินใจบอมบ์ของบิลคลินตันครั้งนี้ด้วยค่ะอาจารย์) แต่จริงๆ แล้วหากไปอ่านในรายละเอียดของรายงานในยูเอ็นจริงๆแล้วหาเป็นเช่นกลุ่มที่คัดค้าน สงคราม ต่อต้านอเมริกา กล่าวหาค่ะเพราะหลังจากที่มีการดีเบทกันอย่างเผ็ดมันท่ามกลาง Security Council membersในการแก้ไขสถานการณ์ในอิรัก(ในปี1999)เพื่อหาทางออก นั้นอเมริกาและอังกฤษยืนยันว่าอิรักจำต้องถูกปลดอาวุธให้เรียบร้อยเสียก่อนก่อนที่จะมี การยกเลิกการคว่ำบาตรแต่จีน ฝรั่งเศส และรัสเซียก็ยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าอิรักถูก ปลดอาวุธเรียบร้อยแล้วและแย้งว่าควรจะมีการผ่อนปรนการคว่ำบาตรควรเพื่อโน้มน้าว ให้อิรักกระทำตามข้อเรียกร้องยูเอ็นเป็นครั้งสุดท้ายในส่วนตรงนี้ตัวแทนของอิรักกล่าว ยืนยันว่าจะต้องยกเลิกการคว่ำบาตรเสียก่อนก่อนจึงจะยอมให้มีการกลับเข้าไปปลดอาวุธ ของ inspectorsในอิรักอีกครั้ง ที่เห็นชัดเจนตรงนี้ก็คือชาติสมาชิกถาวรของคณะมนตรี ความมั่นคงแบ่งออกเป็นสองฝ่ายและอิรักยังคงไม่ยอมให้คณะผู้ตรวจสอบอาวุธของยูเอ็น กลับเข้าไปในอิรักจนกว่าจะมีการยกเลิกการคว่ำบาตรนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้Security Councilจึงได้ออกResolution 1284เพื่อแต่งตั้งทีมรับช่วงการทำงานต่อจากUNSCOM ซึ่งประกอบไปด้วยทีมUN Monitoring การพิสูจน์หาหลักฐาน ของอาวุธทำลายล้างสูง ที่ขาดหายไปโดยไร้ร่องรอย และทีมInspection Commission (UNMOVIC)แต่จีน ฝรั่งเศสและรัสเซียกลับงดเว้นไม่ลงคะแนนเสียงให้กับRes.1284ฉบับนี้ค่ะ.... จะว่าไปแล้วเนื้อหาในResolutionฉบับนี้ได้เอื้อประโยชนให้กับอิรักในการขายน้ำมันภาย ใต้โครงการ"น้ำมันแลกอาหาร(ที่ลูกชายนายโคฟี อันนันกำลังถูกกล่าวหาว่ามีเอี่ยวด้วย)" อย่างไม่มีวงจำกัดเสียด้วยซ้ำและเงื่อนไขการยกเลิกมาตรการการคว่ำบาตร จะถูกเพิ่ม ขยายเป็นเวลายาวนานถึง4เดือนหากเพียงอิรักร่วมมือกับคณะผู้ตรวจสอบอาวุธชุดใหม่ซึ่ง Resolutionฉบับนี้ให้สิทธิ new UN teamเข้าไปตรวจไซท์ทุกๆแห่งในอิรัคที่ต้องสงสัยว่า จะเป็นแหล่งสะสมอาวุธต้องห้าม(เหตุผลเรื่องWMDนั้นไม่ใช่เป็นเรื่อง presence of WMD แต่เป็นเรื่องของ * absence of evidence* ค่ะและ Res.1284ก็เขียนไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆค่ะ) Res.1284ฉบับนี้ยังเรียกร้องคณะผู้ตรวจสอบอาวุธชุดใหม่UNMOVIC และIAEA สรุปรายงานรายการของอาุวุธต้องห้ามที่ยังไม่ถูกกำจัดหรือทำลายภายในเวลา 60วัน เพื่อว่าอิรักจะได้เข้าใจถึงบทบาทของตัวเองว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ที่ยูเอ็นต้องการ แล้วเกิดอะไรขึ้นคะทีนี้? อิรัคปฏิเสธ Res.1284ฉบับนี้ค่ะ.. หากยังจำกันได้เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีบุชกล่าวสุนทรพจน์ ในปี2002และ ยกให้อิรักภาย ใต้ซัดดัมเป็นหนึ่งในสมาชิก "อักษะแห่งความชั่วร้าย"ร่วมกับอิหร่านและเกาหลีเหนือซึ่งก็ ไม่ผิดจากความจริงแต่ประการใดนักยกเว้นกลุ่มที่ต่อต้านอเมริกาและคณะรัฐบาลบุชอย่าง สุดโต่งเท่านั้นถึงจะมองตรงข้ามอย่างขวางหูขวางตา จริงๆคำกล่าวของบุชนี่ในทางการมือง แล้วถือว่าเป็นการทำสงครามจิตวิทยาักับพวกเผด็จการโดยตรงเลยล่ะค่ะ เพราะหลังจากนั้น เพียงเดือนเดียวเจ้าหน้าที่ของอิรักก็รีบแจ้นมาพบกับ Secretary-general Annan และ UNMOVIC Executive Chairman Blix เพื่อถกกันเรื่องการตรวจสอบอาวุธอิรักเป็นครั้งแรก หลังจากปี1998 แต่เจ้าหน้าที่ยูเอ็นล้มเหลวในการเจรจาครั้งนี้ค่ะในการที่จะนำ inspectors กลับเข้าไปในอิรักคืนรวมไปถึงความล้มเหลวในการเจรจากับอิรักที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภา และกรกฏาปีเดียวกัน(2002)ด้วยเพราะอิรักสร้างเงื่อนไขไว้เยอะมากค่ะพูดง่ายๆก็คือต้อง การเล่นแง่เพื่อยืดระยะเวลาออกไปเท่านั้นเอง . หลังจากการเจรจาที่ล้มเหลวของยูเอ็นประธานาธิบดีบุชได้กล่าวสุนทรพจน์ที่UNอีกครั้งเรียก ร้องให้UNปฏิบัติตามบังคับใช้มติที่ตัวเองออกมาให้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับการปลด อาวุธอิรักพูดง่ายๆก็คืออย่าออก Res.มาเพียงเพื่อเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวเท่านั้นและอเมริกา ก็ส่งสัญญาณให้กับยูเอ็นอย่างชัดเจนว่าหากยูเอ็นยังคงละล้าละลังไม่ปฏิบัติตามมติที่ตัวเอง ออกมาอย่างจริงจังอเมริกาจะทำเอง the United States will หลังจากที่บุชได้กล่าวสุนทร พจน์ที่UNเพียงไม่กี่วันจากนั้นทางแบกแดดประกาศว่าจะยอมให้inspectorsกลับคืนเข้ามาใน อิรักอีกครั้งอย่างไม่มีเงื่อนไข (หากอิรักมีความจริงใจในการปลดอาวุธจริงทำไมไม่ยอมตั้งแต่ แรก) อิรักและเจ้าหน้าที่ยูเอ็นตกลงกันที่จะเจรจาในเรื่องการกลับเข้ามาของ inspectorsอีกครั้ง. อเมริกาเตือนยูเอ็นว่าอิรักเพียงต้องการถ่วงเวลาออกไปเรื่อยๆเท่านั้นเองอย่างไรก็ตามอเมริกา ได้นำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาใหม่โดยเสนอมติสหประชาชาติฉบับใหม่(to declare Iraq in material breach of its obligation to disarm)ที่เรียกร้องให้อิรักยอมให้weapons inspectors เข้าไปตรวจได้ทุกๆไซท์ที่ต้องสงสัยในการเก็บอาวุธต้องห้ามอย่างอิสระไม่มีเงื่อนไขและอนุมัติ ให้ใช้กำลังทางทหารได้หากอิรักไม่ปฏิบัติตาม.. second U.N. resolution ฉบับใหม่นี้ได้รับ การสนับสนุนจากอเมริกา อังกฤษ บุลแกเรียและสเปนแต่ก็ถูก ฝรั่งเศส รัสเซียและจีนวีโต้กลับ ไม่ผ่านอเมริกาจึงถอน resolution ฉบับใหม่นี้กลับคืนและสงครามในการโค่นล้มซัดดัมจึงเริ่ม ต้นขึ้นและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเคยกล่าวด้วยค่ะว่าอเมริกามี legal support เพียงพอใน การใช้กองกำลังทางทหารบุกอิรักเพื่อโค่นซัดดัมในครั้งนี้ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานresolution1441 และอีกสอง resolution ก่อนหน้านี้คือ Res.678 ซึ่งอนุมัติให้ใช้กำลังทางทหารกับอิรักได้และ Res. 687ซึ่งกล่าวถึงเงื่อนไขการหยุดยิง เมื่อสิ้นสุด 1991 Gulf War อิรักไม่เคยปฏิบัติตามเงื่อน ไขที่เขียนไว้ในข้อตกลงหยุดยิงที่อิรักเป็นผู้ลงนามเลยดังนั้นการใช้ "force" จึงถูกต้องตามกระ บวนการทางกฏหมายด้วยประการทั้งปวงค่ะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 25 มิ.ย. 48 15:25:33 ]

ความคิดเห็นที่ 19 สภาความมั่นคงของสหประชาชาติมีหน้าที่รักษาสันติภาพและเรียกร้องความช่วยเหลือจาก ประเทศสมาชิกให้ส่งกำลังไปช่วย ถ้าหากมีความจำเป็นในการรักษาสันติภาพคณะมนตรีนี้ ประกอบด้วยสมาชิกถาวร(Permanent members) 5 ประเทศ คือ จีน ฝรั่งเศส สหภาพโซ เวียต อังกฤษ และสหรัฐฯและสมาชิกไม่ถาวร(Non-permanent members)อีก10ประเทศ สมาชิกถาวรมีสิทธิ์ยับยั้ง คือป้องกันการกระทำของสภาความมั่นคงเมื่อประเทศสมาชิกถาวร ไม่เห็นด้วย องค์การสหประชาชาติก็เหมือนเช่นกันกับสันนิบาตชาติในอดีตในบางกรณีคือไม่มีทางใดทำ ให้ประเทศมหาอำนาจทำงานร่วมมือกันได้ค่ะนอกจากว่าประเทศมหาอำนาจประเทศนั้นๆต้อง การทำด้วยความสมัครใจบางทีคุณค่าจริงๆ ของสหประชาชาติก็คือเป็น"เวทีของการอภิปราย เท่านั้นเอง"ยกตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันและเนโต้(NATO)ต้องการ ใช้กำลังทหารเข้าไปแทรกแซงในโคโซโวนั้นถูกคัดค้านอย่างหนักจากรัสเซียที่ยืนกรานว่าจะ วีโต้ทุกๆ resolution ที่ออกมาทั้งที่ความขัดแย้งก็เป็นหตุให้คนตายไปเรื่อยๆเหมือนดังเช่นที่ ฝรั่งเศสประกาศไว้นั่นล่ะค่ะว่าจะใช้สิทธิวีโต้สำหรับสงครามอิรักในครั้งนี้ ดังนั้นการใช้กำลัง ทหารเข้าไปแทรกแซงในโคโซโวของอเมริกาภายใต้คลินตันนั้นจึงปราศจากการอนุมัติของ ยูเอ็นเช่นกันค่ะแล้วอย่างนี้เรียกว่าเป็นสงครามที่ผิดกฏหมายก็คงไม่ผิดใช่รึเปล่าคะ? ในเมื่อ หลายคนใช้มาตรฐานการอนุัมัติของยูเอ็นเข้าตัดสินถึงความถูกต้องชอบธรรมของสงครามอิรัก ในครั้งนี้... จะว่าไปแล้วในกรณี Bosnia นั้นเกิดสงครามมานานแล้วยูเอ็นมัวไปทำอะไรอยู่คะ?ก่อนหน้านี้ ทำอะไรกันอยู่ก่อนจะส่งทหารเข้าไปช่วยหรืออย่างกรณีรวันด้าก็เช่นกันFrench intervention in Rawanda นั้นก็ปราศจากการอนุัมัติของยูเอ็นเช่นกันค่ะแต่ทั้งรวันด้าและโคโซโวทำไมพวก ต่อต้านสงครามหรือเรียกตัวเองว่ารักสันติอย่างอาจารย์ถึงไม่บอกว่าเป็นการกระทำที่ิผิดกฏฺหมายคะ? อย่างนี้เรียกว่าสองมาตรฐานรึเปล่าคะ? ทั้งในรวันด้าประชาชนถูกสังหารและฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ในโคโซโว ประชาชนถูกสังหารและฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ในอิรัก ประชาชนถูกสังหารและฆ่าล้างเผ่า พันธ์ เช่นกัน ทั้งสงครามรวันด้า โคโซโวและอิรักนั้นต่างก็ไม่ได้รับการอนุัมัติของยูเอ็นเช่นกัน Both their leaders were also taken out. What's the difference ka? จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 25 มิ.ย. 48 15:40:47 ]

ความคิดเห็นที่ 20 รายงานใหม่ของยูเอ็นเขาก็ออกมาแล้วค่ะว่าการคว่ำบาตรและ Oil For Food นี่เปิด โอกาสให้มีการคอรัปชั่นในยูเอ็นขนาดไหน .ซัดดัมรวยเละมีเงินถุงเงินถังค่ะ มีเงิน ไปติดสินบนประเทศในยูเอ็นหลายๆประเทศให้โหวตเข้าข้างตัวเองในที่ประชุม Security council มองๆไปแล้วเห็นมีแต่ความล้มเหลวจะรอให้ซัดดัมแก่ตายไปรึก็ เจอนายอุเดย์ ลูกชายซึ่งซาดิสต์เสียยิ่งกว่าผู้พ่ออีกยิ่งมองก็ยิ่งเห็นแต่ว่ามัน'doom'ค่ะ แค่เหตุผลนี้อันเดียวก็ Justify war แล้วไม่ต้องมองไปถึงว่าจะ spread democracy หรอกเพราะ Bloood for oil ตัวจริงเีสียงจริงเริ่มแย้มๆออกมาแล้วค่ะเอื้องขอยกตัว อย่างรายชื่อแค่สองสามชื่อนะคะเพราะถ้าให้เขียนหมดหนึ่งนี่หน้ากระดาษก็ไม่พอค่ะ เริ่มที่คนนี้เลยค่ะScott Ritterอดีตหัวหน้าผู้ตรวจสอบอาวุธยูเอ็นแปลกใจรึเปล่าคะ ว่ามีชื่อคนนี้คนที่โจมตีประธานาธิบดีบุชตลอดเวลานั้นได้รับเงินเป็นจำนวนถึง ,0000 เลยทีเดียว บุคคลที่สองคือหัวหน้าโครงการน้ำมันแลกอาหารได้รับเงินจากอดีตประ ธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็นไปหลายล้านเลยทีเดียวและอีกคนหนึ่งคือ French Ambassador to the UN ที่ได้รับเงินจากซัดดัมฮุสเซ็นและGeorge Gallowayนักการเมืองชาว อังกฤษ(มีภรรยาเป็นชาวปาเลสไตน์) ที่ออกมาด่าอเมริกาด้วยความร้อนตัวได้รับเงิน จากซัดดัม ฮุสเซ็นไปหลายล้านเลยทีเดียวจึงไม่แปลกเลยค่ะที่กลุ่มคนเหล่านี้ออก มาต้านสงครามปฏิญาณตนว่าจะเอาตัวเข้าเป็นโล่ห์บังกระสุนแต่เอื้องก็ไม่เห็นเหล่า ผู้กล้าที่กล่าวไว้ก่อนสงครามจะเริ่มแม้แต่คนเดียวกระทำในอย่างที่ตนได้พูดไว้ค่ะและ ที่สำคัญลูกชายนายโคฟี อันนันเองนั่นแหละค่ะที่ทุจริตในโครงการน้ำมันแลกอาหาร..หุหุหุ ยังจะมีความจริงที่ปรากฏออกมาเรื่อยๆค่ะอาจารย์เพียงแต่ว่าอาจารย์อย่าตกข่าวสาร หรือละเลยข้อเท็จจริงเป็นพอ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 25 มิ.ย. 48 15:59:28 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอพูดถึงเรื่องนีโอคอนที่อาจารย์ ktmได้กล่าวโจมตีอยู่บ่อยๆนะคะการกล่าวหากลุ่มนีโอคอน นี่ที่ปรากฏชัดเจนที่สุดก็เห็นจะเป็นอยู่ในบทความมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า "Noble lies and perpetual war: Leo Strauss, the neo-cons, and Iraq" ค่ะซึ่งเขียนโดย "Shadia Drury" ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย University of Regina ประเทศแคนาดาซึ่ง Drury นั้นถูก ยกย่อง(จากพวกลิเบอร์รัล/ซ้ายตกขอบ)ให้เป็นนักวิพากษณ์ทฤษฎีของ"Strauss"ในระดับ แถวหน้าของ"มหาวิทยาลัยเรไจนา" ประเทศแคนาดาโชคดีค่ะว่าเอื้องเองเคยเรียนที่แคนาดา มาก่อนเลยทราบว่าShadia Druryนั้นเธอเป็นพวก"Leftist-liberal writer"ของพวกซ้ายป้าย สีของมหาวิทยาลัยเรไจนาตัวยงเลยล่ะค่ะ..ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่บทความส่วนใหญ่ของ เธอจะมุ่งโจมตี "neco-conseratives" ด้วยจุดมุ่งหมาย self-serving ให้กับความมีอคติของ ตัวเธอเอง .หลายๆงานเขียนของเธอเป็นที่พิสูจน์ได้ค่ะว่านำเสนอไม่ตรงกับความเป็นจริง(ถูก วิจารณ์เสียยับโดยอาจารย์ของเอื้องเอง อิอิ)ยกตัวอย่างเช่น งานเขียนของเธอที่ตีความผิดถึง แนวความคิดของTomas Aquinasนักปราชญ์ชาวอิตาเลียนในเรื่องของการทำแท้งเป็นต้น อีกบทความหลายๆอันที่เอื้องเห็นพวก Leftists/radical liberals นำมาโจมตีกลุ่มนีโอคอนและ รัฐบาลบุชก็คือบทความที่มาจาก "American Conservative Magazine" ของ Pat Buchanan ค่ะในบทความของ Buchananนั้นกล่าวไว้ว่า: "..มันไม่ใช่ความลับแต่อย่างใดที่ นักปรัชญา สองคนผู้ยิ่งใหญ่ในความคิดของ Strauss นั้นคือ Nietzsche(นักปรัชญาชาวเยอรมัน) และ Martin Heidegger ซึ่งทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับลัทธินิยมพวกนาซี(nazism) /national socialism" ดังนั้นเนี่ยเมื่อ Leo Strauss นั้นคือนักปรัชญาการเมืองที่มีอิทธิพลต่อ เเนวคิดของกลุ่ม neoconservatives แล้วพวก "Leftists/radical liberals" เลยสรุปว่ากลุ่ม neoconมีความคิดแบบพวกนาซีนี่จึงเป็นที่มาของคำว่า "the brownshirts" ที่พวกเสรีนิยม หัวรุนแรงนำมาเรียกคณะรัฐบาลบุชนั่นเองค่ะเรียกได้ว่า *brainwashed liberals* ทั้งหลาย เห็นคล้อยตามงานเขียนของ "fascist/isolationist"อย่างPat Buchananเต็มที่ไปเลยเพื่อจะ ได้โจมตีบุชและกลุ่มนีโอคอนได้อย่างเต็มที่ว่างั้นเถอะ ทราบรึเปล่าคะว่าำพฤติกรรมแบบนี้ล่ะ ค่ะที่ทำให้ Left-wing democrats พ่ายแพ้การลือกตั้งคราวนี้แบบอกกลัดหนองมาจนถึงทุก วันนี้ อิอิ .. แต่จริงๆแล้วก็ไม่ผิดหรอกค่ะที่ Pat Buchananเค้่าจะพูดอย่างนั้นเพราะหลังจากที่ Nietzsche เสียชีวิตลงงานเขียนของ Nietzsche ก็ถูกนำมาใช้โดยพวกนาซีในเวลาต่อมา แต่ที่เอื้อง อยากจะพูดตรงนี้คือผลงานงานเขียนของ Nietzsche นั้นได้ถูกแก้ไขและเปลี่ยนแปลงไปจาก ของเดิมโดยอลิซาเบธน้องสาวของ Nietzsche นั่นเองค่ะซึ่งตัวเธอเองนั้นเป็นพวกนิยมนาซี และชาตินิยมเยอรมันรุนแรงตัวยงเลยล่ะค่ะตรงนี้ล่ะค่ะที่บทความของBuchanan ไม่กล่าวถึง ตั้งใจลวงคนอ่านให้เข้าใจไปว่าNietzscheมีความเชื่อมโยงกับพวกนาซีหรือนิยมนาซี(อย่าลืม ค่ะว่า Nietzsche นั้นเสียชีวิตลงก่อนที่นาซีและฮิตเลอร์จะเรืองอำนาจในเยอรมันและยุโรป นะคะ/ก่อนนาซีครองเยอรมัน) .แต่ในความเป็นจริงแล้วตัว Nietzscheเองนั้นต่อต้านพวก นาซี/ national socialism อย่างรุนแรงเลยล่ะค่ะ รวมไปถึงรังเีกียจและเหยียดหยามแนวความ คิดที่ต่อต้านยิว(anti-Semitism)และชาตินิยมของชาวเยอรมันและชาวยุโรปในสมัยนั้นด้วย พร้อมตั้งคำถามถึง"ด้านมืด"ของวัฒนธรรมเยอรมันในตอนนั้นด้วย .จริงค่ะที่แม้ Nietzsche จะไม่ใช่นักประชาธิปไตยที่ดีนักและบางงานเขียนของ Nietzsche นั้นจะวิพากษ์วิจารณ์จำนวน ชาวยิวในยุโรป(ชาวยุโรปยังไงลึกๆก็ไม่อยากให้ชาวยิวมีความรู้เหนือกว่าตัว) แต่ Nietzsche เองนั้นก็ให้การสรรเสริญและยกย่องความแข็งแกร่งของชนชาติยิวทั้งในด้านวิชาการ วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไม่เคยถูกกลืนแม้จะถูกรุกรานจากชนชาติต่างๆมานานนับพันปี ในอดีต (Nietzsche คงไม่ตระหนักว่าก็เพราะว่าช่าวยิวมีความศรัทธาอันแรงกล้าในพระคัมภีร์ โทราห์และทัลมุดนั่นเอง..ค่ะและที่ลืมไม่ได้คือ Jewish Values "Tikkun Olam" ) และตัว Nietzscheเองนั้นรังเกียจ"หลักคำสอน" ส่วนใหญ่ของศาสนาคริสเพราะเค้าคิดว่าหลัก คำสอนของศาสนาคริสต์บางบทบัญญัติที่กล่าวเน้น "ความเมตตา" "เวทนา"และความ"เห็นอก เห็นใจ"นั้นได้นำพาสังคมของประเทศเยอรมันไปสู่ความตกต่ำและอ่อนแอ หลักปรัชญาของ Nietzsche นั้นไปด้วยกันกับความเชื่อบางอย่างของพวกเสรีนิยมด้วยเช่นกัน เช่นเรื่องโทษประ หารและการลงโทษอาชญกรสถานหนัก ปรัชญาการเมืองของ Nietzsche นั้นไม่มีความชัดเจน ว่าเค้ามีแนวทางการเมืองแบบใด .ค่ะซึ่งก็ถือว่า Nietzsche นั้นเป็นนักปรัชญาโดดเ่ด่นเฉพาะ ตัวไม่เหมือนใคร และตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาหลักปรัชญาของ Nietzsche นั้นมี อิทธิพลต่อการเมืองฝ่ายซ้ายในยุโรปมากโดยเฉพาะในประเทศฝรั่งเศส แต่ในอเมริกาเองอิทธิ พลหลักปรัชญาของ Nietzsche นั้นก็ถูกนำมาใช้บ้างโดยนักวิชาการหัวอนุรักษ์นิยม .. ส่วน Heidegger ที่ Buchanan กล่าวถึงอีกคนนั้นจริงๆแล้ว Heideggerได้ถอนตัวออกจากNational Socialism ตั้งแต่ปี 1934 แล้วค่ะเหตุผลหลักก็คือมุมมองที่เห็นต่างกันสุดขั้วกับพวกนาซีในเรื่อง "สิทธิมนุษยชน"นั่นเอง...นี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างเท่านั้นที่สะ้ท้อนให้เห็นถึงการจับแพะชนแกะ ของและพวกซ้ายจัดที่ต้องการโยงแนวคิดของกลุ่มนีโอคอนเข้ากับพวกนาซีเพื่อต้องการดิสเคร ดิตรัฐบาลบุชโดยมีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองและการต่อต้านอเมริกันยิวแอบแฝงอยู่... จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 25 มิ.ย. 48 17:22:20 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ราคาน้ำมันมีแต่จะแพงขึ้นครับ เอาง่ายๆ อย่างนี้ดีกว่า น้ำมันเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดนะครับ แล้วที่ขุดง่ายๆน่ะ เกือบจะหมดอยู่แล้ว จึงต้องไปขุดหาจากแหล่งใหม่ๆที่เข้าถึงยาก และมีต้นทุนในการผลิตน้ำมันสูง พวก OPEC เค้าก็ไม่อยากให้น้ำมันราคาแพงเกินไปหรอกครับ เพราะถ้าแพงถึงระดับหนึ่ง พลังงานทดแทนจะถูกแทนที่ ทำให้เค้าขายน้ำมันให้ใครไม่ได้ เรื่องนี้มันเป็นไปตาม สภาพความเป็นจริงของทรัพยากรน้ำมันครับ เที่ยวชี้หาตัวคนผิดไม่ได้หรอกครับ ประเทศเราไม่มีทรัพยากรน้ำมัน แต่ก็ใช้พลังงานกันอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อความสะดวกสะบาย พอราคาสูงขึ้น ก็กระอักกันอย่างที่เป็นอยู่กันนี่ล่ะครับ ก็เข้าใจว่าหงุดหงิด แล้วก็เดือดร้อนกันทั่วหน้า แต่ขอให้มองปัญหาเรื่องนี้ ตามสภาพความเป็นจริง และเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายด้วยนะครับ จากคุณ : ^_^ - [ 25 มิ.ย. 48 20:37:20 A:210.86.160.9 X: TicketID:003158 ]

ความคิดเห็นที่ 23 "..ต่อแต่นี้ไปมนุษย์โลกก็คงจะทำสงครามแย่งพลังงานกันหละ คอยดูเถอะ ฮ่าๆๆๆ.." ตรงนี้ขอเห็นต่างจากอาจารย์นะคะคงไม่ถึงกับต้องทำสงครามแย่งชิงน้ำมันกันหรอกค่ะอาจารย์ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้าน supply และ inventories อยู่ตลอดเวลา เอื้องเองเพิ่ง กล่าวถึงบทบาทของรัสเซียในการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดโลกในความเห็นที่9(พารากราฟสุดท้าย) แต่ยังมีอุปสรรคทางด้านการลงทุนให้กับผู้ลงทุนจากต่างประเทศอันเนื่องมาจากความไม่มี สเถียรภาพทางด้านการเมือง แต่วันนี้ก็นับว่า้เป็นข่าวดีไม่น้อยทีเดียวค่ะที่ประธานาธิบดีวลาดิ เมียร์ ปูตินของรัสเซียแจ้งต่อกลุ่มผู้ลงทุนจากสหรัฐที่นครเซนปีเตอร์เบิร์กในวันนี้ว่ารัสเซียพร้อม ที่จะให้การต้อนรับบริษัทน้ำมันทั้งจากจากสหรัฐและจากประเทศอื่นๆเพื่อร่วมลงทุนในภาคการ พัฒนาพลังงานขนาดใหญ่ของรัสเซีย ปูตินกล่าวถึงเรื่องนี้ขณะที่พบปะกับคณะผู้แทนธุรกิจจาก สหรัฐที่รวมถึงบริษัทไอบีเอ็ม. อินเทล ยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์และบริษัทโคโนโคฟิลิปส์พร้อมทั้ง กล่าวว่าสถานการณ์ในรัสเซียมีความมั่นคงทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ. การคิดค้นเเละผลิตพลังงานชดเชยที่มีประสิทธิภาพมาแทนน้ำมันนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นใน อนาคตอันใกล้นี้ค่ะแล้วที่มีการกล่าวถึงกันบ่อยว่าเราจำต้องหันไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพราะ น้ำมันในตะวันออกกลางกำลังจะหมดภายในไม่กี่สิบปีนั้นไม่จริงเลยค่ะน้ำมันยังคงมีเยอะอยู่โดย เฉพาะ unconventional oil(Tar Sands) ที่มีอยู่มหาศาลในแคนาดา รัสเซีย รวมไปถึงแหล่ง สำรองน้ำมันดิบประเภท conventional crude oil ที่ทวีปแอนตาร์กติกาในขั้วโลกใต้อาจเป็นทาง เลือกหนึ่งในอนาคตที่สามารถจัดบริการสนองความต้องการด้านพลังงานของโลกในอนาคตรวม ไปถึงในอลาสก้าและมหาสมุทรอาร์กติกปัจจัยสำคัญอยู่ที่เทคโนโลยีค่ะเฉกเช่นในช่วงปลาย ศตวรรษที่18 ที่ได้มีการถกเถียงกันในบรรดาหมู่ชนนักคิด นักทฤษฏีบนสมมติฐานที่ว่าการขยาย ตัวของประชากรจำต้องถูกจำกัดเนื่องด้วยทรัพยากรของโลกที่มีอยู่อย่างจำกัดและโลกก็ไม่สา มารถบำบัดความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์( basic needs)ได้อีกต่อไปเมื่อระดับอัตราการ เพิ่มของประชากรสูงขึ้นดังที่นักคิดชาวอังกฤษอย่าง "Thomas Malthus" ที่มองการเพิ่มของประ ชากรในแง่ร้ายว่าถ้าหากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของประชากรเพิ่มขึ้นนำหน้าความสามารถใน ทางเศรษฐกิจแล้วจำนวนประชากรอาจจำต้องถูกจำกัดให้ลดลงโดยสงคราม ภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น ทุพภิกภัย ความอดอยาก ความขาดแคลนและโรคระบาดในที่สุด..แต่โชคดีค่ะที่การทำนาย ของ Malthus ไกลจากความเป็นจริงมากและเศรษฐกิจของโลกก็ยังคงประสพกับการเจริญเติบ โตทางเศรษฐกิจในแง่บวกในช่วงสองศตวรรษทีผ่านมาแม้ว่าจำนวนประชากรโลกได้เพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็วแต่ผลิตภัณฑ์มวลรวม(aggregate output)ที่ถูกผลิตโดยเศรษฐกิจของโลกก็เพิ่มในอัตรา ส่วนที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน. ดังที่ Alfred Marshallนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษและเป็นผู้ก่อตั้ง Cambridge School of Economics ได้กล่าวถึงบทบาทขององค์ความรู้และเทคโนโลยีที่มีส่วนสำคัญต่ออัตราการเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจไว้ว่า: " while nature shows a tendency to diminishing return knowledge is our most powerful engine of production; it enables us to subdue nature and satisfy our wants" แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 48 12:56:12 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 09:44:20 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ในช่วงที่น้ำมันแพงอย่างนี้เรามาร่วมใจ ประหยัดพลังงาน สร้างนิสัย รักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่ต้องให้ใครเริ่มเป็นตัวอย่างก่อนแต่เริ่มที่ตัวเราเองค่ะ .มีแนวทางการประหยัดพลังงานมาฝากคุณเจ้าของกระทู้และเพื่อนๆทุกคนค่ะ การขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งทางภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม รวมทั้งการเพิ่มจำนวนประชากรอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการใช้พลังงานมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว ในลักษณะที่รวดเร็วและสูญเปล่า ทำให้ส่งผลกระทบต่อแหล่งที่มาของพลังงาน นั่นคือ ทรัพยากร เพราะทรัพยากรที่มีอยู่ล้วนถูกนำมาใช้เพิ่มขึ้นตามปริมาณของพลังงานที่สูญเสียไป ในไม่ช้าเราคงไม่เหลือทรัพยากรอะไรอีก ดังนั้น จึงขอเสนอแนวทางในการช่วยกันประหยัดพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเป็นการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย แนวทางการประหยัดไฟฟ้าในการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ 1. ไฟฟ้า - ปิดสวิตช์ไฟเมื่อไม่ใช้งาน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม - ใช้แสงสว่างเท่าที่จำเป็น เลือกเปิดไฟเฉพาะบริเวณที่ต้องการใช้แสงเท่านั้น - เลือกใช้หลอดไฟฟ้าวัตต์ต่ำ ๆ ไว้ในส่วนที่ต้องเปิดทิ้งไว้แต่ไม่ต้องการแสงสว่างมาก เช่น ห้องน้ำ ห้องเก็บของ - จัดโต๊ะทำงานหรือที่นั่งอ่านหนังสือไว้ใกล้ริมหน้าต่างเพื่อจะได้รับแสงธรรมชาติได้มาก - ทำความสะอาดหลอดไฟและโคมไฟอยู่เสมอ เพราะฝุ่นละอองที่เกาะอยู่จะทำให้แสงสว่างลดน้อยลง และอาจเป็นเหตุให้ต้องเปิดไฟหลายดวงเพื่อให้แสงสว่างเท่าเดิม - ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดหลังใช้งานเสร็จ เช่น เมื่อเล่นเว็บบอร์ดพันทิพเสร็จแล้วควรปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทันทีไม่ควรเปิดทิ้งไว้ (ข้อนี้ดิฉันเพิ่มเติมเองค่ะ อิอิ) - ฯลฯ 2. เครื่องปรับอากาศ - ควรเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศให้มีขนาดที่เหมาะสมกับขนาดของห้องตามความสูงของห้อง - เลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง คือใช้กระแสไฟฟ้าน้อยที่สุด แต่ให้ความเย็นตามที่กำหนดไว้ - ปรับตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม อยู่ที่อุณหภูมิสบาย ๆ คือ 25 องศาเซลเซียส ไม่เย็นเกินความจำเป็น - หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งและควรให้ช่างล้างทำความสะอาดทั้งเครื่องปีละ 1 ครั้ง - ควรบุฉนวนห้อง ช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่ภายในห้อง เป็นการลดระยะเวลาการทำงานของเครื่องปรับอากาศจะสั้นลง ประหยัดไฟฟ้าได้มาก ลดการสึกหรอ ประหยัดค่าซ่อมแซม - ปิดเครื่องปรับอากาศ ทุกครั้งที่มิได้ใช้งานในห้องนานเกิน 1 ชั่วโมง - ฯลฯ 3. การใช้น้ำ - อย่าเปิดน้ำทิ้งไว้เมื่อไม่ได้ใช้งาน และควรใช้น้ำให้ประหยัดที่สุด เช่น ขณะแปรงฟันหรือ ถูสบู่ขณะอาบน้ำ ไม่ควรเปิดน้ำทิ้งเอาไว้ตลอดเวลา - น้ำทิ้งที่สะอาดสามารถนำไปรดน้ำต้นไม้ได้ - หมั่นตรวจดูไม่ให้มีส่วนใดรั่วไหลหรือซึม ถ้าพบก็ควรรีบซ่อมแซมทันที - ฯลฯ 4. ลดปริมาณการใช้รถยนต์ - ระยะทางใกล้ ๆ เดินหรือขี่จักรยานแทนการใช้รถยนต์ - ดับเครื่องทุกครั้งที่ต้องจอดรถรอ - หมั่นบำรุงรักษาสภาพเครื่องยนต์และรถให้สมบูรณ์จะได้ไม่ปล่อยมลพิษอีกทั้งช่วยประหยัดพลังงาน - ใช้น้ำมันให้ถูกและเหมาะสมกับประเภทเครื่องยนต์ เช่น เครื่องยนต์ให้เติม 91 เราก็เติม 91 - ไม่ขับรถเร็วเกินความจำเป็น - ฯลฯ เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เราสามารถช่วยกันประหยัดพลังงาน หากเราทุกคนหันมาให้ ความสนใจและร่วมมือกันโดยเริ่มจากตัวเราเองและคนใกล้ชิด ฝึกให้เป็นนิสัย เพียงเท่านี้ก็ช่วยกันประหยัดพลังงานลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก " ใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า รักษาสิ่งแวดล้อม " ที่มา: http://www.bu.ac.th/NewsandInform/bunews/2545/Feb22/html/environment.html จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 11:38:57 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แล้วสหรัฐหาข้อเท็จจริง (Fact) มาสนับสนุนทัศนคติ (Attitude) ที่ว่าอิรักมี อาวุธทำลายล้างสูงนะสิยิ่งคุณพูดเรื่องว่าใช้ Absence of evidence มาพูดก็ตลก สิ้นดีเพราะการขาดหลักฐานเป็นสิ่งเลื่อนลอย Presence of WMD นะสำคัญ กว่านะผมถึงเรียกคนพวกนี้ว่าหมาบ้าไง อยากจะบุกทั้งๆที่ข้อมูลไม่เพียงพอ การที่อเมริกาอ้างว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรงในการบุกไม่ใช่หรือ สหรัฐไม่มีการสนับ สนุนทางกฎหมายในการบุกอิรักเพราะเมื่อถูกสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่น คงใช้สิทธิยับยั้ง (veto)ก็เลยโดยอ้างว่า ฝรั่งเศสกับรัสเซียมีผลประโยชน์ซึ่งก็จริง แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย ซัดดัมนะโหดสุดๆ ถูกจับได้ก็สมน้ำหน้า มันแล้ว แต่ผลการบุกอิรักก็เปิดช่องให้บินลาเด็นป่วนด้วย มันเป็นการจุด ชนวนให้ราคาน้ำมันพุ่งปรี๊ดตามแผนของพวกบังบิน การบุกอิรักให้ประโยชน์ กับคนแค่หยิบมือเดียวแต่ชาวโลกส่วนใหญ่เสียประโยชน์แต่มันก็น่าเห็นใจ ชาวอิรักที่ทุกข์ทรมานมานานและต้องทุกข์ทรมานกับสงครามรายวันต่อไป ผมก็ไม่แน่ใจว่าทิศทางของโลกจะเป็นไปตามที่ Marshall ทำนายนักเพราะ การพัฒนาพลังงานทดแทนยังมีต้นทุนสูงอยู่และการพัฒนาเพื่อให้ทดแทนน้ำ มันนั้นค่อนข้างช้า ตอนนี้หลายประเทศก็เริ่มหน้ามืดดูดน้ำมันกันเป็นการใหญ่ สงครามแย่งชิงทรัพยากรก็คงต้องเกิดขึ้นสักวันตามที่ Malthus ทำนายก็ได้ ปล.ผมขอให้คุณเอื้องยืนยันนิดหนึ่งว่า Malthus นั้นชื่อ Robert หรือ Thomas กันแน่ครับ? จากคุณ : เคทีเอ็ม - [ 27 มิ.ย. 48 17:08:22 A:10.36.3.44 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 26 "...แล้วสหรัฐหาข้อเท็จจริง (Fact) มาสนับสนุนทัศนคติ (Attitude) ที่ว่าอิรักมีอาวุธทำลายล้าง สูงนะสิยิ่งคุณพูดเรื่องว่าใช้ Absence of evidence มาพูดก็ตลกสิ้นดีเพราะการขาดหลักฐาน เป็นสิ่งเลื่อนลอย Presence of WMD นะสำคัญกว่านะผมถึงเรียกคนพวกนี้ว่าหมาบ้าไงอยาก จะบุกทั้งๆที่ข้อมูลไม่เพียงพอการที่อเมริกาอ้างว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรงในการบุกไม่ใช่หรือ " ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายค่ะอาจารย์ หุหุ พวกที่เป็นหมาบ้่าตัวจริงเสียงจริงคือพวกซ้ายป้ายสีและ พวกเกลียดอเมริกาบูชาซัดดัมที่ต้องการเอาชนะอย่างเดียวและเขียนบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่าง ที่หาอ่านได้ตามหนังสือพิมพ์กระดาษเปื้อนหมึกหลายฉบับและจงใจมองข้ามข้อเท็จจริงทั้งที่มี ให้เห็น ให้อ่านอยู่ทนโท่ นี่แหละค่ะหมาบ้าของแท้กัดไม่เลือก อิอิ การที่อาจารย์กล่าวว่า:"แล้ว สหรัฐหาข้อเท็จจริง (Fact) มาสนับสนุนทัศนคติ" นั้นไม่ตลกไปหน่อยหรือคะ? อ่านดูแล้วก็ เหมือนถอดแบบมาจากคำพูดของพวกลิเบอร์รัลยังไงยังงั้นเลย อิอิ การกล่าวว่าสงครามระดับนี้ เกิดขึ้นเพราะทัศนะคติอย่างเดียวนั้นเป็นการจงใจมองข้ามข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง . อาจารย์ ktm คะอเมริกาไม่เคยอ้างว่าบุกอิรักเพราะเหตุผลเรื่องอาวุธร้ายแรงเพียงอย่างเดียวค่ะ นั่นเป็นสิ่งที่Liberal mediaในอเมริกาจงใจเขียนโดยพยายามชี้นำสาธารณะชนไปในทาง ที่ผิดอาจารย์ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วนี่คะว่าสื่อยักษ์ใหญ่ในอเมริกาส่วนใหญ่นั่นเป็นพวกลิเบอร์รัลหรือ อิงการเมืองฝ่ายซ้่ายไม่ว่าจะเป็นสำนักข่าว ABC, NY Times, LA Times, Washington Post, CBS หรือสำนักข่าวต่างประเทศอย่าง BBC, AP, AFP, Rueter ที่ในประเด็นสงครามอิรักมักจะพูด ความจริงเพียงครึ่งเดียว(half truth)หรือจงใจเปลี่ยนดำให้เป็นขาวหรือขาวให้เป็นดำ เหตุผลที่ บุชให้ในการบุกอิรักนั้นประกอบไปด้วย 4 ข้อค่ะมิใช่ข้อใดข้อหนึ่งเพียงข้อเดียวอย่างที่ อาจารย์กล่าวหาเหตุผล 4 ข้อในการบุกอิรักนั้นมันก็ชัดเจนนะคะที่บุชเคยกล่าวไว้คือ: 1. ซัดดัมละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ทำไว้กับยูเอ็นในเรื่องเกี่ยวกับอาวุธ (Saddam's material breach of the cease fire accords concerning weapons). 2. ซัดดัมให้การสนับสนุนการก่อการร้่ายสากล (Saddam's sponsorship of international terrorism). 3. เพื่อปลดปล่อยชาวอิรักให้พ้นจากการปกครองในระบบทรราชย์ของเผด็จการซัดดัมและพรรค บาธ (To liberate the Iraqi People). 4. เพื่อเสริมสร้างความมีเสถียรภาพในตะวันออกกลาง(To remove the instability caused by Saddam in the Middle East) ดังนั้นความคิดสำหรับอาจารย์ที่มีความเข้าใจว่า "WMDเป็นเหตุผลเดียว" ที่บุชใช้บุกอิรักนั้นเป็น การมองข้ามข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิงค่ะและเหตุผลทั้งสี่ข้อนี้อเมริกาก็กำลังทำตามทุกข้อเลยค่ะ ทำไมอาจารย์ถึงปฏิเสธข้อเท็จจริงเหล่านี้ล่ะคะ?เอื้องเห็นคนที่กล่าวโจมตีประธานาธิบดีบุชเรื่อง WMDนี่ล่ะคะแต่ไม่เคยหาหลักฐานแม้แต่หนึ่งประโยคมาสนับสนุนว่าบุชตัดสินใจบุกอิรัก เพราะWMDเพียงเรื่องเดียว หรืออาจารย์สามารถหาหลักฐานสุนทรพจน์ของบุชมายืนยันได้ว่าบุช อิรักเพราะWMDเพียงเรื่องเดียว? และที่สำคัญนะคะอาจารย์เหตุผลข้อที่หนึ่งที่เขียนว่า:Saddam's material breach of the cease fire accords concerning weapons นั้นหากคนที่อ่านภาษาอัง กฤษแตกจะเข้าใจทันทีว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร? เหตุผลข้อที่หนึ่งนั้นระบุไว้ชัดเจนว่าเหตุ ผลเรื่อง"WMD"นี่จริงๆแล้วไม่ใช่เป็นเรื่อง * presence of WMD* ขอย้ำอีกคราแต่เป็นเรื่องของ *absence of evidence* ค่ะอาจารย์ เหตุผลข้อแรกที่บุชกล่าวถึงเรื่องละเมิดมติยูเอ็นในเรื่องเกี่ยว กับWMDนั้นพูดภาษาชาวบ้านง่ายๆให้เข้าใจก็คือเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธของยูเอ็น"ตามหา" อาวุธที่อิรักไม่ยอมรายงานต่อสภาความมั่นคงให้ครบนั่นเองนั่นทำไมถึงเรียกว่า"absence of evidence"...หากอาจารย์เข้่าไปอ่านรายละเอียดแล้วจะทราบทันทีว่าทั้ง Res.1441, Res.687, Res.678 และแทบทุกๆ Res.ของยูเอ็นระบุว่า show us your arms and destroy them(all), or your programs and destroy them(all). นั่นทำไมอเมริกาจึงให้เหตุผลว่า: Saddam's material breach of the cease fire accords concerning weapons ซึ่งก็ถูกต้องที่สุดแล้วค่ะ เพราะอิรักเคยมีและเคยครอบครองอาวุธทำลายล้างสูงมาแล้วไงคะยูเอ็นจึงต้องติดตามตรวจสอบ อาวุธที่มีอยู่และหลงเหลือและทำลายอาวุธเหล่านั้นให้หมด แล้วก็ต้องไม่ลืมด้วยค่ะว่าอิรักเคยใช้ WMD มาแล้วด้วยในอดีตและซัดดัมก็เป็นเพียงผู้นำ(ที่มี ชีวิตอยู่) ในโลกเพียงคนเดียวที่ใช้อาวุธทำลายล้างสูงเข่นฆ่าประชาชนของตัวมาแล้ว(The use of WMD by Saddam on civilians) ดังนั้นการที่มีหลายคนยกคำถามขึ้นมา(เพื่อต้องการเน้นว่ารัฐ บาลบุชdouble standard ) ว่าทำไมอเมริกาไม่บุก"อิหร่าน" ทำไมอเมริกาไม่บุก"เกาหลีเหนือ" ทำไมอเมริกาไม่บุก"ปากีสถาน" ทำไมอเมริกาไม่บุก"อินเดีย" ฯลฯ นั้นล้วนแล้วแต่ตีความหมาย ของเหตุผลข้อที่หนึ่งผิดไปค่ะ อีกอย่างรายชื่อประเทศที่กล่าวมาไม่ว่าจะเป็นอิหร่าน เกาหลีเหนือ ปากีสถานไม่เคยใช้อาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง(WMD) ในการเข่นฆ่าประชาชนของตัวเองแบบที่ ซัดดัมไม่ลังเลที่จะใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าชาว Iraqi Kurds เลยค่ะที่เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่น คนมาแล้วในอดีตแล้วหากซัดดัมมีโอกาสครอบครองอาวุธเหล่านั้นอีกคนที่ต่อต้านสงครามมีอะไร มาการันตีว่าซัดดัมจะไม่ใช้อีกในเมื่อเค้าเคยใช้มาแล้ว ตรงนี้ล่ะค่ะคือข้อแตกต่างระหว่างซัดดัมและ ผู้นำอย่างคิม จอง อิล มูชาราฟและคาตามี.. ซัดดัมเคยมีWMDและเคยใช้มาแล้วอย่างไม่ลังเลตรง นี้ล่ะค่ะที่ทำให้เค้าต่างจากผู้นำเผด็จการคนอื่น แล้วปากีสถาน เกาหลีเหนือ อิหร่านเคยใช้WMDเข่น ฆ่าประชาชนของตัวเองรึเปล่าคะ? ด้วยเหตุนี้แค่เหตุผลข้อที่หนึ่งปากีสถาน เกาหลีเหนือ อิหร่านก็ ไม่เข้าข่ายแล้วค่ะ ใช่ค่ะอาจารย์จากข้อเท็จจริงตรงนี้ล่ะค่ะไม่ใช่(ทัศนคตินะคะอาจารย์)ที่เอื้องคิด ว่ามันตลกสิ้นดีที่อาจารย์กล่าวว่า อเมริกาขาดหลักฐานเป็นสิ่งเลื่อนลอยในการบุกอิรัก จริงๆที่เอื้องกล่าวไปแล้วในความคิดเห็นที่ 16 นั้นมันก็ชัดเจนมากเลยนะคะ แต่คงต้องเน้นย้ำอีกที เพราะมันคือข้อเท็จจริงพูดอีกกี่ร้อยทีมันก็ยังคงเป็นข้อเท็จจริงวันยังค่ำนั่นก็คือคณะมนตรีความมั่น คงนั้นได้ผ่านร่างมติสหประชาชาติฉบับที่1441อย่างเป็นเอกฉันท์ซึ่งมีคำสั่งให้คณะผู้ตรวจ สอบอาวุธชุดใหม่เข้าไปตรวจค้นอาวุธทำลายล้างสูงในอิรักและกำจัดอาวุธต้องห้าม(WMD)เหล่า นั้นทิ้งให้หมดในส่วนตรงนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่ายูเอ็นเองก็เชื่อว่าอิรักยังคงมีศักยภาพครอบครอง อาวุธทำลายล้างสูงอยู่หากยูเอ็นคิดว่าซัดดัมหมดเขี้ยวเล็บจริงแล้วยูเอ็นออกRes.1441ฉบับนี้มาทำ ไมล่ะคะจริงมั๊ย? ไม่ใช่เพียงแค่อเมริกาเท่านั้นที่คิดว่าซัดดัมมีWMD UN เองก็โหวตด้วยคะแนน เสียงอย่างเป็นเอกฉันท์ให้กับ resolution 1441 เพื่อบังคับให้ซัดดัมกำจัดอาวุธต้องห้ามที่มีไว้ ในครอบครองทิ้งเสียถ้าหากคณะมนตรีความมั่นคงไม่เชื่อว่าอิรักมี ทำไมถึงโหวตให้กับ resolution 1441 อย่างเป็นเอกฉันท์อย่างท่วมท้น?  ตรงนี้สิคะที่คนที่กล่าวหาว่าอเมริกามีข้อมูลไม่เพียงพอว่า อิรักมีอาวุธร้ายแรงอย่างอาจารย์ต้องตอบให้ได้ก่อน แม้กระทั่งฝรั่งเศสที่ต่อต้านสงครามเหยงๆยัง โหวตให้กับ resolution 1441เลยค่ะ เพราะRes.1441ฉบับนี้นั้นออกมาก่อนอเมริกาบุกอิรักเพียงสาม เดือนเท่านั้นเองค่ะนี่คือข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ให้เห็นว่า อิรักมีอาวุธร้ายแรงไว้ในครอบครองนั้นถูกเชื่อ โดยทุกคนที่มีส่วนในการ"สนับสนุน"และ"ต่อต้าน"สงครามอิรักในครั้งนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแม้ แต่ Hans Blix เองก็ยังกล่าวให้การต่อคณะมนตรีความมั่นคงเมื่อปี 2003 กล่าวถึงซัดดัมว่า Saddam Hussein's regime นั้นไม่ได้ปฏิบัติตามมติของยูเอ็นเลยอีกทั้งไม่ให้ความร่วมมือกับคณะ ผู้ตรวจสอบอาวุธด้วย..โปรดอย่าลืมด้วยนะคะว่า Blix แถลงคำพูดของเค้าในเดือนมีนาเดือนเดียวกับ ที่อเมริกาบุกอิรักหาก Blix มั่นใจว่าซัดดัมไม่มีอาวุธจริงแล้วพูดออกมาทำไมคะ? แต่จะมีนักวิพากษณ์ วิจารณ์สงครามสักกี่คนที่มองข้อเท็จจริงตรงนี้ แต่จะขอยืนยันกระต่ายขา้เดียวแบบไร้ข้อเท็จจริง สนับสนุนว่าอเมริกาโกหกอย่างเดียว หากว่าอเมริกาโกหกแล้วยูเอ็นทั้งองค์กรนั่นล่ะค่ะก็ต้องจัดเข้า ข่ายว่าโกหกด้วยเช่นกัน . จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 28 มิ.ย. 48 00:19:20 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อกล่าวถึง Liberal media ในอเมริกาไม่ว่าจะเป็นสำนักข่าว ABC, NY Times, LA Times, Washington Post, CBS หรือสำนักข่าวต่างประเทศอย่าง BBC, AP, AFP, Rueter ที่ในประเด็นสงครามอิรักมักจะพูดความจริงเพียง ครึ่งเดียว (half truth) หรือจงใจเปลี่ยนดำให้เป็นขาวหรือขาวให้เป็นดำนั้นไม่ยกข้อเท็จจริงมาให้อาจารย์เดี๋ยวจะ กลายเป็นว่าเอื้องกล่าวหาเพียงลอยๆ ยกตัวอย่างนะคะ อาทิเช่นสำนักข่าว BBC นี่มีเรื่องฉาวโฉ่เมื่อปีที่แล้วนี่เอง เกี่ยวกับสงครามอิรักคงไม่ลืมข่าวนี้กันนะคะควันยังไม่ทันจางหรอกค่ะ.. เรื่องรายงานเท็จของ"แอนดรู กิลลิแกน" ผู้สื่อข่าวบีบีซีที่เป็นสาเหตุให้ เกรกไดค์ผู้อำนวยการใหญ่สถานีโทรทัศน์บีบีซีต้องยื่นหนังสือลาออกมาแล้วด้วย ข้อหาละเลยการตรวจสอบข้อเท็จจริงในรายงานข่าวของกิลลิแกนก่อนนำออกอากาศทั้งยังถูกกล่าวหาว่าเพิกเฉย ไม่จัดตั้งคณะทำงานอิสระขึ้นสืบสวนหาหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวสื่อ Liberal Media อย่าง BBC กับรัฐบาลอังกฤษนี่ทำสงครามกันรุนแรงยิ่งกว่าอังกฤษทำสงครามกับอิรักอีกซะอีกนะคะ. พูดถึงเรื่องการนำเสนอข่าวสงครามอิรักในด้านลบของสำันักข่าว"บีบีซี(BBC)"ของอังกฤษนี่ยังไม่หมดค่ะ ยังมีอีกค่ะทำให้นึกถึงการรายงานข่าวที่ผิดพลาดของบีบีซีอีกข่าวนึงค่ะเมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวบีบีซีออกมา ขอโทษเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองสำหรับการรายงานข่าวที่ไม่ถูกต้องเรื่องจำนวนผู้เสียชีวิตชาวอิรักที่เป็นพลเรือนจาก สงครามครั้งนี้ที่บีบีซีรายงานว่าอเมริกาและกองกำลังของอิรักอาจมีส่วนรับผิดชอบในจำนวนพลเรือนผู้เสียชีวิต ชาวอิรักในระหว่างการสู้รบ(Collateral damage) ที่คิดเป็นตัวเลขถึง 60 เปอร์เซ็นในระยะหกเดือนที่ผ่านมาจาก รายงานข่าวชิ้นนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุขของอิรักได้ให้สัมภาษณ์ว่าบีบีซี ได้ตีความผิดสำหรับตัวเลข สถิติของผู้เสียชีวิตที่บีบีซีได้รับและละเลยถ้อยแถลงจากรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุขของอิรักที่ ได้อธิบายถึงจำนวนตัวเลขไว้อย่างชัดเจนก่อนหน้านี้ สรุปว่าที่บอกว่าจำนวนพลเรือนผู้เสียชีวิตชาวอิรักในระหว่าง การสู้รบ(Collateral damage) ที่คิดเป็นตัวเลขถึง 60 เปอร์เซ็นนี่เป็นการโกหกคำโตของบีีบีซีค่ะ .แบบนี้เค้า เรียกว่าสปินข่าวให้เป็นด้านลบไว้ก่อนค่ะไม่ได้รายงานข่าวที่เป็นจริง นี่เป็นคำให้สัมภาษณ์ของบีบีซีค่ะ: "BBC apologises for misinterpreting Iraqi death stats" Iraq's health minister said the BBC misinterpreted the statistics it had received and had ignored statements from the ministry clarifying the figures. "Today, the Iraqi Ministry of Health has issued a statement clarifying matters that were the subject of several conversations with the BBC before the report was published, and denying that this conclusion can be drawn from the figures relating to 'military operations'," the BBC said in a news statement on Saturday. "The BBC regrets mistakes in its published and broadcast reports yesterday." A BBC spokesman said the statistics would not feature in the Panorama show on Sunday. อีกหนึ่งตัวอย่างนะคะสำนักข่าวเอพีลงข่าวเรื่องที่ CBS ไล่พนักงานออกโทษฐานใช้เอกสารปลอมเป็น เหตุทำให้ประธานาธิบดีบุชเสื่อมเสีย แต่เอพีกลับตีพิมพ์ข่าวลงไปว่า CBS ปลดพนักงานออกเพราะไปทำข่าว บุช หุหุ อย่างนี้จะให้คนอ่านข่าวอย่างเราๆท่านๆเข้่าใจว่าอย่างไรล่ะคะุถ้าไม่่ใช่จงใจให้คนอ่านข่าวเข้าใจผิด ไปว่า บุชใช้อำนาจมืดหรืออะไรอย่างเนี้ยะไปข่มขู่สำนักข่าวอีกอันลงว่า CBS ปลดพนักงานฐานโดยไม่คำนึง ถึงว่านักข่าวต้องการความเป็นผู้นำในการเสนอข่าวอาจารย์ดูสิคะยิ่งนานวันก็ยิ่งจะเห็นธาตุแท้ของนักข่าวจอม ปลอมพวกนี้นะค่ะช่วยเหลือพวกเดียวกันทั้งๆที่รู้ว่าจรรยาบรรณของนักข่าว คือการต้องเช็คความถูกต้องก่อน อื่นและนำเสนอแต่ข่าวไม่ใช่แทรกความคิดเห็นของตัวลงไปในเนื้อข่าวเพราะนี่คือข่าวไม่ใช่บทความกลับกลาย เป็นว่าออกมาเข้าข้างนาย Dan Rather บอกว่าวงการจะสูญเสียบุคลากรอันมีค่าอย่างนายแดน เพราะ เคยทำข่าวสมัยอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิคสันทำให้นิกสันต้องตกเก้าอี้ คนพวกนี้นี่ไม่ทราบต้องก่นด่าอีกกี่รอบ นะคะถึงจะแยกแยะออกซักทีว่ามันคนละเรื่องCBSจงใจรีบนำเสนอข่าวทำลายบุช ช่วงโค้งสุดท้ายเลือก ตั้ง ที่ทุเรศกว่านั้นคือ พวกเดโมแครตออกมารับลูกในวันถัดมาแถมด้วยโฆษณาเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยค่ะเรื่องนี้นี่ เป็นหลักฐานว่าสื่อ Liberal กับพรรคเดโมแครตนี่พวกเดียวกัน การทำโฆษณาไหนๆเป็นไปไม่ได้ค่ะว่าวันเดียว ทำกันเสร็จโฆษณาอันนี้ทำมาก่อนหลายวันค่ะแต่ว่าเค้ารอให้ CBS ปูดเรื่องบุชขึ้นมาก่อนแล้วถึงค่อยรับลูกสก ปรกค่ะ สกปรกมาก มันสมควรที่จะถูกเจอไล่ออกกันหมด ผลที่สุดเป็นยังไงคะนายแดนก็ต้องลาออกอยู่ดี นาย แดนนี่ลงทุนไปสัมภาษณ์นายซัดดัมถึงอิรัคเลยนะคะ Liberal media นี่ยังฝักใฝ่เผด็จการอยู่ค่ะไม่รู้เป็นอะไรชอบ ให้ท้ายพวกประเทศเผด็จการเป็นประจำ และเมื่อเร็วๆนี้ก็มีการศึกษาล่าสุดพบว่าสื่อมวลชนอเมริกันรายงานข่าวความขัดแย้งในอิรัก เมื่อปี 2004 ไม่ได้ เอนเอียงเข้าข้างรัฐบาลตามที่กลุ่มต่อต้านสงครามกล่าวหารายงาน "สถานะการสื่อข่าวของอเมริกา" ประจำปีของโครงการเพื่อความเป็นเลิศด้านสื่อสารมวลชนสังกัดคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่ง เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ระบุว่า ข่าวสงครามอิรักในปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มีการนำเสนอใน*ด้านลบ* ผลการศึก ษาพบว่า ข่าวในอิรักกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ มีเนื้อหาที่ไม่สามารถชี้ชัดโทนของข่าวได้ ขณะที่สัดส่วนของเนื้อหาที่ ระบุได้ชัดเจนส่วนใหญ่เป็นการรายงานเชิงลบ หรือร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับข่าวเชิงบวก ซึ่งมีเพียงร้อยละ 20. ส่วนข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผลสำรจพบว่าการหาเสียงของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชถูกสื่อ สารออกมาในแง่ลบ มากกว่าคู่แข่งจอห์น แคร์รี ถึง 3 เท่า ขณะที่ข่าวเชิงบวกของผู้นำสหรัฐฯมีเพียง20เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตมีทั้งหมด 30 เปอร์เซ็นต์ แต่หนังสือพิมพ์ไทยส่วนใหญ่ก็มักจะไปหยิบข่าวจาก liberal media นี่ล่ะค่ะมาให้คนไทยได้เสพกัน..อย่ามาสวมหน้ากากอีกเลย เดี่ยวมีเวลาเอื้องจะลิสต์รายชื่อของกลุ่ม neo-commies และพวก Political left ของอเมริกาที่ แยกออกเป็นทั้งFunders, Groups, Individuals, Media, Politics, Issues และ Academia มาให้ดูค่ะ อิอิ แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 48 01:32:46 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 28 มิ.ย. 48 01:13:17 ]

ความคิดเห็นที่ 28 "..สหรัฐไม่มีการสนับสนุนทางกฎหมายในการบุกอิรักเพราะเมื่อถูกสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคง ใช้สิทธิยับยั้ง (veto)ก็เลยโดยอ้างว่า ฝรั่งเศสกับรัสเซียมีผลประโยชน์ซึ่งก็จริงแต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่ ชอบด้วยกฎหมาย.." ตรงนี้ขอแย้งอาจารย์นะคะ และเอื้องคิดว่าคณะรัฐบาลบุชก็คงไม่ทำอะไรผลีผลามโดยปราศจากการ ปรึกษานักกฎหมายระหว่างประเทศหรอกค่ะระดับนี้แล้วไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมาย International humanitarian lawหรือcustomary international lawที่วางพื้นฐานอยู่บน Geneva Conventions ตั้งแต่ปี 1949 สงครามอิรักนั้นเป็นสงครามที่ถูกกฏหมายและชอบธรรมด้วยประการทั้งปวงค่ะแน่นอน ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศด้วย เอื้องขอเขียนสั้นๆนะึคะว่าทำไมสงครามอิรัคครั้งนี้จึงเป็นสงคราม ทีี่ถูกกฏหมาย มาถึงตรงนี้ภายใต้เงื่อนไขของ Res.1441นั้นได้ระบุว่าถ้าหากอิรักขัดขวางการทำงานรอบใหม่ของคณะ ผู้ตรวจสอบอาวุธแล้ว"chief inspectors"จำต้องรายงานผลกลับไปยัง Security Councilโดยทันทีซึ่ง Security Council อาจมีการจัดรอบประชุมอย่างเร่งด่วนเพื่อพิจารณาึถึงสถานการณ์ในอิรักและ "need for full compliance" และ Res.1441ฉบับนี้ยังมีการขู่เข็ญอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ด้วยว่าหาก อิรักยังดึงดันไม่ยอมให้ความร่วมมือกับUNMOVICและIAEAแล้วจะต้องเจอกับ"serious consequences" ภายใต้มาตรา13. security council ได้ลงมติยอมรับRes.1441ซึ่งออกมาในเดือนพฤศจิกาปี2002(ก่อนบุกอิรักประมาณ สามเดือน)โดยมติฉบับ1441นี้ได้ระบุว่า:"อิรักยังคงไม่ปฏิบัติตาม/ละเมิด previous security council resolutionsและขู่เตือนอิรักว่าต้องเจอกับ*serious consequences*หากอิรักยังคงดื้อดึงไม่แสดงราย การอาวุธที่ยังคงครอบครองอยู่ทั้งหมดต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นและUN inspectorsต้อง รายงานกลับมายังคณะมนตรีความมั่นคงอย่างทันทีทันใดหากอิรักยังคงดื้อดึงฝ่าฝืน" อาจารย์ทราบรึ เปล่าคะว่าประเทศฝรั่งเศสได้ใช้ความพยายามอย่างหนักในการวิ่งล็อบบี้เพื่อแก้ไขเนื้อหาของมติ1441 ฉบับนี้ในส่วนที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นต้องรายงานกลับมายังคณะมนตรีความมั่นคง อย่างทันทีทันใดหากอิรักยังคงดื้อดึงฝ่าฝืนเพราะฝรั่งเศสนั้นทราบดีค่ะว่าอิรักนั้นปฏิเสธแน่คือฝรั่งเศส นี่กลัวตัวเองอดทำธุรกิจกับซัดดัมต่อไปน่ะค่ะ..และเมื่ออิรักปฎิเสธที่จะ fully complyกับมติฉบับ1441 นี้อเมริกาและกองกำลังพันธมิตรทั้ง72ชาติจึงเข้าสู่สงครามอิรักในเดือนมีนาและจบmajor combat operations ในเวลาอันรวดเร็ว.. และในความเป็นจริงหากว่ากันตามตัวบทกฏหมายนั้นภายใต้ customary international lawอเมริกา สามารถโจมตีอิรักได้แม้กระทั่งปราศจากSecurity council authorizationแต่ด้วยความเคารพในองค์ กรระหว่างประเทศ(UN)แห่งนี้ไงคะอเมริกาจึงได้พยายามออก second resolutionอยู่... กฏหมายระหว่างประเทศ(international law)นั้นอณุญาติให้อเมริกาใช้กองกำลังทหารโค่นล้มอิรัคภาย ใต้ซัดดัมได้โดยวางอยู่บนหลักพื้นฐาน 2 ข้อที่แยกอิสระจากกัน ดังนั้นหากหนึ่งในสองข้อนี้เพียงพอใน ทางด้านกฎหมายการใช้กองกำลังบุกอิรักภายใต้ซัดดัมจึงถูกต้องเป็นไปตามหลักกฎหมาย ระหว่างประเทศด้วยประการทั้งปวง. ข้อที่1. คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(Security council)ให้อำนาจการใช้กำลังทางทหาร บุกอิรัคเพื่อทำให้เงื่อนไขการหยุดยิงที่ต้องการให้เกิดการเี่ลี่ยงการปะทะกันในสมัยสงครามอาวครั้งที่ หนึ่งนั้นกลับมามีผลบังคับใช้ตามเดิมเนื่องจากอิรัคได้ละเมิดเงื่อนไขการหยุดยิงที่ได้ถูกร่างขึ้นมาตาม หลักปฏิบัติของกฏหมายระหว่างประเทศทั้งในฐานะกฎหมายสนธิสัญญาและกฏหมายการพักรบ(treaty and armistice law)ซึ่งอณุญาติให้อเมริการะงับเงื่อนไขการหยุดยิงไว้่ก่อนและ/หรือสามารถใช้กำลัง เพื่อผลักดันให้ิอิรัคยอมทำตามข้อตกลงเหล่านั้น การใช้กองกำลังทางทหารนั้นได้เป็นการกระทำที่ สอดคล้องกันกับการปฏิบัติของอเมริกาทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับอิรักและในส่วนที่เกี่ยวกับสนธิสัญญาหลายๆ ฉบับและเงื่อนไขการหยุดยิง ข้อที่2. กฎหมายระหว่างประเทศอณุญาติให้มีการใช้กองกำลังทางทหารบุกอิรัคสำหรับ"anticipatory self-defense" เพราะว่าอิรัก armed with WMDอย่าปฏิเสธนะคะว่าอิรักไม่เคยมีและไม่เคยใช้WMD และซัดดัมยังสนับสนุนการก่อการร้ายสากลอีกด้วย ทีนี้มาดูว่าการที่ซัดดัมสนับสนุนการก่อการร้ายสากล นั้นถือว่าละเมิดมติของยูเอ็นและผิดกฏหมายระหว่างประเทศหรือเปล่า? ในเรื่องนี้นั้นUNSCR687ห้าม ซัดดัมในการสนับสนุนหรือปฎิบัติการการก่อการร้ายหรือยอมให้องค์การก่อการร้ายปฏิบัติการในอิรักแต่ ซัดดัมยังคงละเมิดในเงื่อนไขเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง..สงครามอิรักในครั้งนี้จึงเป็นสงครามที่ถูกต้องชอบ ธรรมด้วยกฏหมายประการทั้งปวงค่ะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 28 มิ.ย. 48 02:26:15 ]

ความคิดเห็นที่ 29 "..ปล.ผมขอให้คุณเอื้องยืนยันนิดหนึ่งว่า Malthus นั้นชื่อ Robert หรือ Thomas กันแน่ครับ?" อ้อ เอื้องลืมตอบอาจารย์เรื่องนี้ไปค่ะ ขอยืนยันกับอาจารย์อีกครั้งนึงค่ะว่าเป็น "Thomas Malthus" ค่ะ Malthusเป็นนักคิดชาวอังกฤษ และยังเป็นนักเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิกสำนักเดียวกับอดัม สมิท เดวิด ริคาร์โดและจอห์น สจ๊วต มิลล์นักปราชญ์ที่สำคัญอีกผู้หนึ่งที่ได้พัฒนาแนวคิดเรื่องของประโยชน์ ส่วนรวม( Utilitarianism)จนแพร่หลายและยังเป็นเจ้าของ Quote อมตะเกี่ยวกับมุมมองของการมีชีวิต อยู่ภายใต้เผด็จการทรราชย์และสงครามได้อย่างเพอร์เฟคทีุ่สุดค่ะ Malthus ได้กล่าวเกี่ยวกับอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรในแง่ร้ายค่ะแต่อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการทำ นายของ Malthus ไกลจากความเป็นจริงมากและเศรษฐกิจของโลกก็ยังคงประสพกับการเจริญเติบ โตทางเศรษฐกิจในแง่บวกในช่วงสองศตวรรษทีผ่านมาแม้ว่าจำนวนประชากรโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างรวด เร็วแต่ผลิตภัณฑ์มวลรวม(aggregate output)ที่ถูกผลิตโดยเศรษฐกิจของโลกก็เพิ่มในอัตราส่วนที่ มากขึ้นในระดับที่ยังยืนด้วยเช่นกันเมื่อดูจากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติทั้งหมด(total GNP)และ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัวต่อคน(GNP per capita) ซึ่งเป็นดัชนีวัดอัตราวัดอัตราการเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจในทฤษฎี Economic growth ของเศรษฐศาสตร์การพัฒนา .. เรื่องส่วนเรื่องพลังงานทดแทนเป็นต้นว่า "ไบโอดีเซล" ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนเปโทร เลียมดีเซลในสัดส่วนผสมต่างๆ ได้โดยไม่เกิดผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ กับเครื่องยนต์ดีเซลนั้นก็มีการ ทำวิจัยอย่างเป็นล่ำเป็นสันทั้งในอเมริกาและยุโรป หรือ"พลังงานแสงอาทิตย์"ก็มีการทำวิจัยอย่างเป็น ล่ำเป็นสันทั้งในอเมริกาและแคนาดาด้วยเช่นกันการพัฒนาอีกด้านหนึ่งที่น่าจับตามองก็คือ นาโนเทคโนโลยี ซึ่งในตอนนี้มีการพัฒนาไปเยอะมากในทวีปอเมริกาเหนือร่วมมือกับประเทศอิสราเอล ซึ่ง Israeli scientists นี่ถือว่าล้ำหน้าในเรื่องนี้มากค่ะซึ่งเอื้องคิดว่า Nanotechnology (the creation and use of the very smallest of particles) นี่ล่ะค่ะจะมีบทบาทสำคัญในอนาคต อย่างเมื่อปีที่แล้วนี่ก็มีนัก วิจัยและผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจาก Georgia Techได้เดินทางมาเยี่ยมชม Hebrew University of Jerusalem, Technion-Israel Institute of Technology, Weizmann Institute of Science และ Ben-Gurion University อิสราเอลนี่ลงทุนทางด้าน R&Dเยอะมากๆค่ะและก็เป็นประเทศอิสราเอลนี่ล่ะค่ะที่มีผลงาน การทำรีเสิร์ชมากเป็นอันดับสองรองจากอเมริกา เอื้องอยากให้ประเทศไทยเราหันมาให้ความสนใจ ทางด้านการลงทุนวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้นเพราะอิสราเอลนี่ทรัพยากรธรรมชาติน้อยนะคะแต่ส่งออก ทางด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 48 23:13:21 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 30 มิ.ย. 48 23:09:33 ]

ความคิดเห็นที่ 30 "..ตอนนี้หลายประเทศก็เริ่มหน้ามืดดูดน้ำมันกันเป็นการใหญ่สงครามแย่งชิง ทรัพยากรก็คงต้องเกิดขึ้นสักวันตามที่ Malthus ทำนายก็ได้ " และที่อาจารย์บอกว่าหลายประเทศเริ่มหน้ามืดดูดน้ำมันกันใหญ่นี่ไม่ทราบว่าเ็ป็นที่ไหนคะ? ถ้าจะดูดน้ำมันก็คงเป็นประเทศเจ้าของบ่อน้ำมันนั่นล่ะค่ะที่จะดูดเองอย่างในตะวันออกกลาง บ่อน้ำมันน่ะแขกอาหรับเป็นเจ้าของค่ะหรืออณุญาติให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนทางด้าน การสำรวจขุดเจาะน้ำมันเพราะยังมีเทคโนโลยีไม่ทันสมัยพอบริษัทต่างชาติก็ได้เพียงแค่ค่า จ้างในการขุดเจาะและรับจ้างกลั่นเท่านั้น และพวกอหรับที่เป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน oil-rich countries นี่ก็ใช่ว่าจะยอมเปิดประตูบ้านต้อนรับบริษัทน้ำมันสัญชาติตะวันตกรวมไปถึงบริษัท ขุดเจาะน้ำมันจากประเทศจีนง่ายๆหรอกนะคะ อย่างประเทศซาอุฯนี่การลงทุนในธุรกิจสำรวจ และผลิตน้ำมันยังไม่เปิดให้บริษัทน้ำมันต่างชาติเข้าลงทุนได้ 100%ด้วยเหตุนี้บริษัทน้ำมัน ยักษ์ใหญ่เหล่านี้จึงเริ่มคิดเกี่ยวกับการลงทุนทางด้าน unconventional resources ซึ่ง optionใหม่นี้ก็มีอยู่ที่แคนาดานั่นเองค่ะคือ "oil sands" หรือ "tar sands" น้ำมันทรายคือทราย ที่ทับถมและถูกทำให้อิ่มตัวด้วยทาร์ที่มีองประกอบของไฮโดรคาร์บอนเป็นจำนวนมากซึ่งเป็น น้ำมันดิบที่เหนี่ยวมากเรียกว่า บิทูเมน และสหรัฐอเมริกานำเข้า น้ำมันจากซาอุดิอา ระเบียเป็นอันดับ 2รองจากแคนาดา แคนาดาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดให้กับอเมริกา ค่ะเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าปัจจุบันการพัฒนาน้ำมันทรายจะพัฒนาไม่ได้เร็วเท่าที่ควรจะเป็นแต่ก็ ช่วยให้อเมริกาลดการนำเข้าน้ำมันดิบที่ขึ้นอยู่กับตะวันออกกลางได้พอสมควรทีเดียว ณ ตอนนี้นะคะบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง Exxon Mobil Corp ,Chevron Corp., Royal Dutch/Shell Group และ ConocoPhillips Coได้วาง oil sands project ไว้ที่นี่เป็นที่เรียบร้อยแล้วรวม ไปถึงบริษัทน้ำมันของประเทศจีนเองก็กระตือรือร้นในการลงทุนกับ oil sands project นี้เช่น กันเพราะอย่างที่รู้จีนในขณะนี้มีความต้องการในการบริโภคน้ำมันสูงมาก แม้ว่าการสกัดน้ำมัน ดิบจาก tar sands จะมีต้นทุนสูงเพราะต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยรวมไปถึงอาจมีผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมเพราะวิธีการสกัดน้ำมันดิบจาก tar sands นี่จะเหมือนกับการทำเหมืองไม่ใช่ ปั๊มออกมาเหมือนกับ conventional oil ทั่วไปซึ่ง Oil sands operations นี้จะปล่อยก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์และ greenhouse gas ออกมาแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับ ความทันสมัยของ เทคโนโลยีค่ะเพราะตอนนี้กลุ่ม Oil sands developers กำลังร่วมกันวิจัยพัฒนาอย่างหนัก ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือเพียง 45 % ต่อบาร์เรลในไม่เกิน 5 ปี ข้างหน้านี้ และเอื้องคิดว่าสิ่งที่ อัลเฟรด มาแชล พูดเกี่ยวกับความก้าวหน้่าทางด้านไม่ไกล จากความเป็นจริงค่ะ High Demand for Petroleumในปัจจุบันนี้ทำให้น้ำมันทรายมีบทบาทเป็นพลังงานทดแทน การนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางมากในอนาคตอันใกล้นี้อย่างในอเมริกาเองนี่ก็มีนะคะน้ำ มันทรายโดยเฉพาะในพื้นที่แถบมลรัฐ Utah, Colorado, Wyoming และ Idahoและมีหลายๆ ที่ในอเมริกาที่จะเป็นcandidatesสำหรับการขุดเจาะน้ำมันแต่ยังไม่มี infrastructureในพื้นที่ๆ จะทำการสำรวจน้ำมันอย่างพอเพียงเท่านั้นเองฟังดูแล้วตลกนะคะ บริษัทน้ำมันส่วนใหญ่เค้า prefer ที่จะไปสำรวจแหล่งน้ำมันในภูมิภาคอื่นมากกว่าในอเมริกาค่ะเนื่องมาจากบริษัทเหล่า นี้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวก greenies และ tree huggers นั่นเอง เอ แบบนี้อเมริกาต้องรุก รานแคนาดาด้วยรึเปล่านี่เพราะปริมาณน้ำมันสำรองจากน้ำมันทรายหากพิจราณาทางด้านเทค นิคแล้วนี่ แคนาดามีปริมาณน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลกนะคะ อิอิ  แล้วใครคะเป็นจ้าของน้ำ มันมหาศาลเหล่านี้ก็คือคนแคนาเดี้ยนนั่นเอง อย่างรัสเซียนี่ก็มีปริมาณน้ำมันสำรองเยอะนะคะ ก็เป็นคนรัสเซียอีกนั่นแหละที่เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันเพราะเมื่อเร็วๆนี้ปูตินยังเชื้อเชิญพร้อมที่จะ ให้การต้อนรับบริษัทน้ำมันจากสหรัฐและจากประเทศอื่นเพื่อร่วมลงทุนในภาคการพัฒนาพลัง งานขนาดใหญ่ของรัสเซียหากเจ้าของประเทศไม่เชื้อเชิญบริษัทเหล่านี้จะเข้าไปร่วมลงทุนได้ อย่างไร? เอื้องยังงงอยู่เลยค่ะที่กล่าวกันว่าอเมริกาไปฮุบบ่อน้ำมัน ตะวันตกไปสูบน้ำมันตามข้ออ้างของ แขกบิน ลาเดนเพื่อหาความชอบธรรมในการฆ่าคนนี่เรียกว่า่อ่านแล้วมันก็ตาหลกสิ้นดีอย่าง ประเทศซาอุฯนี่การลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมันยังไม่เปิดให้บริษัทน้ำมันต่างชาติเข้า ลงทุนได้ 100%เลยนะคะต้องมีการออกใบอนุญาตสำรวจแหล่งน้ำมันและรัฐบาลในประเทศ นั้นๆชักชวนบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนค่ะบริษัทน้ำมันถึงจะสามารถเข้าทำการสำรวจและขุด เจาะได้แต่บ่อน้ำมันก็ยังเป็นของเจ้าของประเทศอยู่ดี น้ำมันแพงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันกลุ่ม โอเปคทั้งนั้นที่เป็นคีย์สำัคัญเราต้องไม่ลืมด้วยนะคะว่าโอเปคเป็นองค์การเศรษฐกิจระหว่าง ประเทศเป็นองค์การค้่าองค์กรหนึ่งนโยบายสำคัญคือ ความร่วมมือกันรักษาผลประโยชน์โดย เฉพาะคือความร่วมมือกันกำหนดราคา และปริมาณการผลิตน้ำมันดิบราคาน้ำมันนั้นอยู่ในช่วง ที่โอเปคตั้งเป้าหมายเอาไว้โอเปคเค้าจะีมี target price band ของเค้าบวกกับในตอนนี้จีนซึ่ง เป็นตลาดใหญ่ที่กำลังเติบโต เป็นสาเหตุที่ทำให้สินค้าวัตถุดิบและน้ำมันโลกแพงขึ้นรวมไป ถึงการเมืองโลกผลจากการเลือกตั้งในอิหร่านซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับสี่ของโลกด้วย . แล้วก็เป็นเรื่องปกติวิสัยของกลุ่มโอเปคค่ะที่เมื่อราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นต้องชี้นิ้วมาที่กองทุนhedge funds หรือนักเก็งกำไรนี่แหละเพราะว่ามันง่ายดี เหอ เหอ แหม แต่ก็นะคะลองคิดตามสภาพ ความเป็นจริงดูเถิดว่ากลุ่มโอเปคไม่มีส่วนรับผิดชอบเลยหรือ?นักเศรษฐศาสตร์ทางด้านพลังงาน เค้าได้กล่าวเรื่องนี้เองค่ะว่า hedge funds นั้นมีส่วนอยู่บ้างเมื่อประมาณปีที่แล้วแต่ก็น้อยมากค่ะ: "The "net long" positions (that is, their speculative bets on higher prices) held by such funds peaked in March last year and dropped through 2004, but oil prices kept rising regardless." นั่นแสดงให้เห็นว่าคีย์หลักที่ทำให้น้ำมันแพงนั้นในขณะนี้นั้นกลุ่มกองทุน hedge funds ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย และก็เป็น คาร์เทลเองนั่นล่ะค่ะตัวที่สมควรอย่างยิ่งที่จะต้อง ถูกตำหนิสำหรับการเก็งราคาเพราะอะไรน่ะหรือคะ? ก็เพราะคาร์เทลนี่ประกาศความตั้งใจอย่าง ชัดแจ้งค่ะในนโยบายที่จะสนับสนุนราคาน้ำมันให้อยู่ที่ระดับ 30 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลและขึ้นมาเป็น 40 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลเมื่อปีที่แล้วและตอนนี้ขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 60 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลนี่เป็น เหตุผลทำให้นักลงทุนหลายๆคนเชื่อว่า คาร์เทลจะลดกำลังการผลิตเพื่อป้องกันไม่ให้ราคาน้ำัมัน ตกลงอย่างที่กลุ่มโอเปคได้ประกาศตั้งราคาเอาไว้ล่วงหน้าเมื่อปีที่แล้วนี่เองรวมไปถึง limited spare refinery capacity ด้วย การบริโภคน้ำมันทั่วโลกนั้นเพิ่มขึ้นสูงมากถึง 3.4 % จากปีที่แล้วซึ่งปกตินี่ความต้องการในการ บริโภคน้ำมันจะเพิ่มประมาณ1-2% เท่านั้น ความต้องการที่มากมายนั้นก็มาจากประเทศจีนนั่น เองรวมไปถึงอินเดียด้วย จีนบริโภคพลังงานมากแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาในปี 2546 จึงเป็นปัจจัยที่มี ผลกระทบต่อตลาดน้ำมันโลกและมีการคาดการณ์ว่าในปี 20 ปีข้างหน้าจีนจะมีความต้องการใน การใช้น้ำมันสูงถึง 12.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน จาก 5.56 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2546 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 48 03:16:18 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 48 03:14:21 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 48 03:11:17 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 1 ก.ค. 48 03:08:20 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แต่เอื้องเชื่อว่ากลุ่มโอเปคไม่ต้องการให้ราคาน้ำมันสูงเกินไปเป็นระยะเวลานานหรอกค่ะผลเสีย จะตกแ่ก่กลุ่มโอเปคเองเพราะนักลงทุนจะระดมเงินทุนไปลงที่ non-OPEC oil และพลังงาน ประเภทอื่นมากขึ้นนั่นเอง oil shocks ในช่วงปี1970s อันเนื่องมาจากสงครามอาหรับ-อิสราเอล ที่ทำให้ราคาน้ำมันได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมากนำความมั่งคั่งและอิทธิพลทางการเมืองมาสู่ซาอุดีฯ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็น บทเรียนให้กับผู้นำโอเปคย่างซาอุฯมาแล้วจนทำให้รัฐมนตรี กระทรวงน้ำมันของซาอุฯออกมากล่าวว่า:"ประเทศเราเจริญรุ่งเรืองได้ก็เพราะอัตรา การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอื่นซึ่งมีความต้องการในการบริโภคพลังงาน" แน่ นอนอยู่แล้วค่ะเพราะเศรษฐกิจของซาอุดิอาระเบียพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมันเป็นอย่าง มากคิดเป็น 90-95% ของรายได้จากการส่งออกและ 40% ของ GDP นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ซาอุฯถึงได้ทำหน้าที่เป็น"เสียงสายกลาง"ในกลุ่มโอเปคและเรียกร้องให้กลุ่มประเทศ price hawks อย่างเช่นลิเบีย อิหร่าน และเวเนซุเอล่า(เวเนฯนี่ตั้งแต่ได้ท่านประธานาธิบดี Hugo Chavez เพื่อนสุดเลิฟของคาสโตรนี่ซ่าส์ไม่หยอก!!) หยุดบีบบังคับ ขูดรีดผู้บริโภคน้ำมันได้แล้ว นี่นึกถึงสมัย ซัดดัมยังเรืองอำนาจนั้นมีอิทธิพลต่อกลุ่มโอเปคมากและจะเห็นได้ว่ากลุ่มประเทศโอเปคนั้น สมาชิกส่วนใหญ่มีระบอบการปกครองเป็นแบบเผด็จการ อัตตาธิปไตยที่มีผู้นำรวบอำนาจเบ็ด เสร็จเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว หรือราชาธิปไตยโดยมีเจ้าผู้ครองรัฐเป็นประมุขและอำนาจการ ปกครองทั้งหมดตกอยู่กับเจ้าผู้ครองรัฐและราชวงศ์ จะตั้งแก๊งค์แบล็คเมล์ประชาคมโลกก็ทำ ได้ง่าย ที่สำคัญทำให้ยูเอ็นกับประเทศในกลุ่มยุโรปหมอบราบคาบแก้วได้ล่ะ เหอๆ แต่ยังมีคน ไทยบางคนบ่นเรื่องราคาน้ำมันแพงโน่นไปชี้ด่ายิว ด่าอเมริกา ง่ายดี หุหุ ทั้งที่ประเทศไทย เราเองส่งออกสินค้าไปยังประเทศอิสราเอลโดยไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าอิสราเอลคิด เป็นมูลค่าถึง 5,848.4 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชีย ไทยมีส่วนแบ่งการ ตลาดในอิสราเอลในลำดับที่ 8 รองจากประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง อินเดีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน ในขณะที่ประเทศกลุ่มโอเปคสูบเงินจากผู้บริโภคนำมันอย่างไทยจนหน้าซีด แถมประเทศไทยขาดดุลย์การค้ากับประเทศเหล่านี้ เนื่องจากไทยนำเข้าน้ำมันดิบเป็นปริมาณ สูงนั่นเอง สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลค่ะที่ประกาศให้เรื่องพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ มาร่วมกันประหยัดพลังงานกันได้แล้วค่ะคนไทยที่รักทั้งหลาย .. แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 48 03:50:16 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 48 03:29:04 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 1 ก.ค. 48 03:28:10 ]