ความคิดเห็นที่ 1
เผยสร้างอวดต่างชาติ-เทียบทำเนียบขาว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบแผนผังการก่อสร้างอาคารประชุม ครม.หลังใหม่ ทางสำนักเลขาธิการ ครม.อ้างเหตุผลว่า เป็นโครงการที่มีความสำคัญระดับชาติ เป็นภาพลักษณ์ที่ต้องทำให้อาคันตุกะผู้มาเยือนประทับใจ มีระบบควบคุมและรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุดสำหรับผู้นำประเทศ เทียบชั้นได้กับทำเนียบขาวของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยมีระบบการติดต่อสื่อสาร สารสนเทศ และระบบโสตทัศนูปการที่ทันสมัย เพื่อให้การปฏิบัติงานของคณะผู้บริหารประเทศและการประชุม ครม.เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด มีความสง่างามสมกับเป็นอาคารที่ทำงานของผู้นำของประเทศ ทั้งนี้ อาคารดังกล่าวตั้งอยู่หลังตึกนารีสโมสร ทอดยาวจากถนนลูกหลวงไปจรดถนนพิษณุโลก การก่อสร้างอาคารแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.อาคารสำนักเลขาธิการ ครม. พื้นที่ 16,668.10 ตารางเมตร รวม 4 ชั้น แบ่งเป็นชั้นใต้ดิน 2 ชั้น บนดิน 2 ชั้น และ 2.อาคารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พื้นที่ 6,219.20 ตารางเมตร รวม 4 ชั้น แบ่งเป็นชั้นใต้ดิน 1 ชั้น และบนดิน 3 ชั้น รวมพื้นที่ใช้สอย 22,887.30 ตารางเมตร สำหรับอาคารสำนักเลขาธิการ ครม.ในชั้นใต้ดินชั้นที่ 2 ซึ่งอยู่ลึกสุด จะมีห้องประชุม ครม.ซึ่งมีความสูง 2 ชั้นทะลุมาชั้นใต้ดินที่ 1 ซึ่งจะอยู่ติดกับลานจอดรถและจะมีการปลูกเป็นสวนหย่อมเอาไว้ด้านบน มีห้องเก็บเอกสาร ครม. ห้องอาหารสำหรับ ครม. ห้องประชุมย่อยขนาด 25-50 คน จำนวน 9 ห้อง และจะทำสวนน้ำหน้าห้องประชุม ครม. สำหรับชั้นใต้ดินชั้นที่ 1 นอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของห้องประชุม ครม.แล้ว จะมีห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะอยู่ใกล้บริเวณอุโมงค์ทางเชื่อมไปยังอาคารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่บริเวณชั้นดาดฟ้าจะเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ส่วนอาคารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะประกอบด้วยลานจอดรถชั้นใต้ดิน พร้อมทั้งมีอุโมงค์ใต้ดินเป็นทางเชื่อมไปสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ขณะที่ชั้น 1 จะเป็นสถานที่ทำงานของสื่อมวลชน ส่วนชั้น 2 และ 3 จะเป็นห้องทำงานรองนายกฯ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นต้น ส่วนชั้นดาดฟ้าจะเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานเลขาธิการ ครม. ได้เตรียมที่จะย้ายข้าราชการไปทำงานที่ตึกสำนักงาน ก.พ. และตึก ป.ป.ช. เพื่อเตรียมการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลต่อไป และจากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า ทำเนียบรัฐบาลมีแผนที่จะทุบตึกสำนักเลขาธิการ ครม. ซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ อาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และตึกบัญชาการ 1 และ 2 ด้วย ฝ่ายค้านชิงเสนอตั้ง กก.ร่วมแก้ ก.ม.ฉุกเฉิน สำหรับความคืบหน้าในการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่จะเข้าพิจารณาในที่ประชุมสภา วันที่ 24 สิงหาคมนี้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน แถลงภายหลังการประชุมถึงการพิจารณา พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า วิปฝ่ายค้านได้พิจารณาถึงเรื่องดังกล่าวถึงการเตรียมการอภิปราย พ.ร.ก. เนื่องจาก พ.ร.ก.ดังกล่าวเป็นที่น่าสนใจของทุกฝ่ายและขัดแย้งกันมาก ระหว่างฝ่ายรัฐบาลและแนวทางสมานฉันท์ ซึ่งฝ่ายค้านเห็นว่า เราควรร่วมเสนอความคิดเห็น ดังนั้นเมื่อ พ.ร.ก.มีความขัดแย้งกันมาก ก็ควรเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยเสนอให้มีการประชุมตั้งแต่เวลา 09.30 น. ในวันที่ 24 สิงหาคม ซึ่งคาดว่าการพิจารณาเพียง 1 วันน่าจะจบได้ นายสาทิตย์ กล่าวว่า สำหรับจุดยืนของฝ่ายค้านต่อ พ.ร.ก.ดังกล่าว ฝ่ายค้านรู้สึกเป็นห่วง เพราะเมื่อมีการนำไปใช้แล้วมีปัญหาในทางปฏิบัติ จึงเห็นว่าน่าจะไม่ชอบโดยกระบวนการออกกฎหมาย โดยเฉพาะการที่นายกฯ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ได้เตรียมกฎหมายต้นฉบับไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เกิดปัญหาในภาคใต้ จึงต้องรีบออกเป็น พ.ร.ก. ดังนั้นจึงถือว่าไม่ชอบ เพราะสามารถออกเป็น พ.ร.บ.ได้ และยังไม่ชอบด้วยเนื้อหาที่ฉกฉวยโอกาสในสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่กลับประกาศครอบคลุมทั้งประเทศ ไม่จำกัดทั้งเงื่อนเวลา และถือเป็นการสถาปนาอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ แสดงว่ารัฐบาลมีแบบแผนการใช้อำนาจบริหารจากศูนย์กลาง โดยไม่คำนึงถึงรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวสามารถผ่านการเห็นชอบของสภา แต่อยากให้รัฐบาลรับฟังทุกฝ่าย เราเห็นด้วยที่รัฐบาลจะเปิดโอกาสให้แก้ไข พ.ร.ก.นี้ ดังนั้นหลังจากที่ พ.ร.ก.ผ่านการเห็นชอบแล้ว ฝ่ายค้านจะเสนอตั้งคณะกรรมการยกร่าง พ.ร.บ.แก้ไข พ.ร.ก.ฉบับนี้ โดยเฉพาะการใช้อำนาจ บทบัญญัติที่เสี่ยงกับการขัดรัฐธรรมนูญ การนิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่ไว้ล่วงหน้า ซึ่งมี 2 แนวทางในการตั้งคณะกรรมการ คือ ให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพจัดตั้งคณะกรรมการ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะรัฐบาลเป็นผู้ออกกฎหมาย หรือให้ประธานรัฐสภาใช้อำนาจกลไกของรัฐสภาตั้งเป็นคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้น โดยต้องให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ได้แก่ รัฐบาล ตัวแทนคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) กรรมการสิทธิมนุษยชน เครือข่ายประชาชนเพื่อประชาธิปไตย องค์กรภาคประชาชน และประชาชนในพื้นที่ โดยฝ่ายค้านจะเข้าร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดและไม่กระทบต่อการใช้อำนาจของรัฐในฐานะที่ออกกฎหมาย นายสาทิตย์ กล่าว ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทยยังไม่มีแนวคิดที่จะเสนอแก้ไข พ.ร.ก.ดังกล่าว นายสาทิตย์ กล่าวว่า ไม่ใช่พรรคไทยรักไทยจะตัดสิน แต่ต้องอาศัยกระบวนการทางสังคมร่วมตัดสินด้วย เพราะ พ.ร.ก.ดังกล่าวมีความคลุมเครือที่ครอบคลุมไปทั้งประเทศ และมีเนื้อหาขัดรัฐธรรมนูญที่ต้องแก้ไข แต่พรรคไทยรักไทยอาจมองประเด็นตามรัฐบาล เมื่อรัฐบาลไม่ขยับ พรรคก็ไม่ขยับ "หากนายกฯ มีจุดยืนที่ได้ประกาศในงานฉลอง 60 วันสันติภาพเชิดชูเสรีไทยว่า สังคมจะต้องจารึกไว้ในการแก้ปัญหาสถานการณ์ในภาคใต้ แต่ผมก็ประหลาดใจ เพราะปัญหาภาคใต้เกิดในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ อย่างไรก็ตาม การตั้ง กอส.ก็ถือเป็นแนวทางสมานฉันท์หนึ่ง แต่การตั้งคณะกรรมการแก้ไขก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง" นายสาทิตย์ กล่าว พ.ร.ก.ฉุกเฉินอาจสะดุดหากมีใครส่งตีความ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีไปชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในที่ประชุมพรรคไทยรักไทย วันที่ 16 สิงหาคม ว่า เป็นการเล่าความเป็นมาเป็นไป ซึ่งก็มี ส.ส.บางส่วนสอบถาม และบางคำถามเป็นคำถามที่ดี ส่วนที่นายกรัฐมนตรีบอกว่า หากมีข้อโต้แย้งใน พ.ร.ก.ก็สามารถไปแก้ไขได้ในขั้นตอน พ.ร.บ.นั้น ตนไม่ทราบ แต่เรื่องนี้ตามขั้นตอนแล้วก็ต้องทำคนละครั้ง การเสนอ พ.ร.ก.ก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 218-219 คือ เมื่อออกเป็น พ.ร.ก. เป็นกฎหมายแล้ว ก็ต้องเอา พ.ร.ก.นั้นย้อนเข้าไปถามสภาทีละสภา ถ้าสภาใดติดใจ เขาก็ส่งศาลรัฐธรรมนูญก่อนได้ ก็จะหยุด ชะลอการพิจารณาไว้ แต่ถ้าไม่ติดใจและผ่านไปจนจบ แล้วใครจะคิดแก้ไขอะไรก็สามารถทำได้ ซึ่งปกติรัฐบาลไม่คิดจะแก้ แต่ ส.ส.เข้าชื่อขอแก้เอง เหมือนแก้ พ.ร.บ.ก็ทำได้อยู่แล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า กฎหมายฉบับนี้เมื่อเข้าสภาแล้ว รัฐบาลจะฟังเสียงคัดค้านหรือไม่ หรือจะใช้เสียงข้างมาก นายวิษณุ กล่าวว่า ต้องฟัง ไม่ฟังไม่ได้หรอก ฟังทั้งนั้นล่ะ ตนยังไม่เห็นมีอะไรที่ไม่ฟัง เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา พ.ร.ก.ที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว มันไม่มีทางแก้ไขได้ นายวิษณุ กล่าวว่า ความจริง พ.ร.ก.เป็นการทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 218, 219 ซึ่งแก้ไขไม่ได้อยู่แล้ว แต่หลังจากนั้นจะกลับมาแก้ก็ได้ เหมือนที่เราแก้ พ.ร.ก.มีหลายฉบับแล้ว จนเลิกไปก็มี ส่วนที่จะให้หน่วยงาน 3 ฝ่าย เข้ามาศึกษาตามที่เคยบอกนั้น ตนเชื่อว่าวันนี้เขากำลังศึกษาอยู่ เมื่อเขาบอกมาว่าเขาอยากได้ เขาก็ต้องดูต่อไปว่า เขาอยากได้ให้มันเข้มข้นกว่านี้ หรือเบาลงกว่านี้ เขามีหน้าที่อยู่ในพื้นที่ เขาเป็นคนประเมินสถานการณ์และสามารถเสนอมาได้ "ทักษิณ"มั่นใจเข้าสภาไม่มีปัญหา ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะนำเข้าสู่สภาในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ว่า ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม รองนายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ได้ไปอธิบายให้ ส.ส.ของพรรคได้เข้าใจ ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ยังมี ส.ส.บางคน เช่น นายประมวล รุจนเสรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ แกนนำกลุ่มวังน้ำเย็น ยังมีข้อข้องใจในหลายประเด็นจะมีปัญหาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เป็นไร อย่าเพิ่งพูดอะไร ทุกคนต้องไปทำหน้าที่ เราต้องถือว่าบ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว และบ้านเมืองเป็นเรื่องของบ้านเมือง ต่อข้อถามว่า ขณะนี้สภาทนายความเตรียมเสนอให้มีการแก้ไขประเด็นการขังลืมของผู้ต้องสงสัยในคดีก่อความไม่สงบ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวยืนยันว่า ไม่มีเรื่องการขังลืมแน่นอน เรื่องที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องมีการขออนุญาตจากศาล ไม่ได้ทำตามใจชอบ การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยมีระยะเวลาแค่ 30 วัน ซึ่งทุกอย่างจะต้องขออนุญาตจากศาลทั้งหมด ส่วนจะต้องมีการทบทวนหรือไม่นั้น คงต้องดูเรื่องของการปฏิบัติงานก่อน และดูปัญหา ถ้ามีปัญหาเป็นช่องว่างให้เจ้าหน้าที่ทำในสิ่งไม่ถูกต้องก็ต้องปรับปรุง แต่เราจะควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดก่อน เมื่อถามว่าจุดนี้เป็นปัญหาหนึ่งหรือไม่ เพราะท่านเคยบอกว่า เป็นจุดที่ทำให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยหยิบยกมาเป็นช่องว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ตนไม่ได้พูดอย่างนั้นเลย ทุกอย่างจะต้องขออนุมัติศาล มีขั้นตอนรายละเอียดชัดเจน และวันนี้ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์ขังลืมเกิดขึ้นเลย อย่าตีตนไปก่อนไข้ อย่าไปห่วงคนที่ทำอะไรไม่ค่อยดีนัก คนดีกำลังเดือดร้อนกันมาก--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
จากคุณ :
vizion
- [
18 ส.ค. 48 07:13:01
]
|
|
|