ความคิดเห็นที่ 68
เข้าใจเจ้าของกระทู้ ว่าเป็นคนที่มองและเข้าถึงจนถึงห่วงใยปัญหา(เห็น แล้วมีความรู้สึกร่วมต่อความรับผิดชอบชั่วดี เป็นห่วงสถานการณ์ เป็นสิ่งที่ดี) แน่นอน ถ้าเราวัดจากผล แบบนั้น ?หลายคนจะต้องมอง และเห็นต้องคิดเห็นออกมาแบบนั้น เพราะเรามองที่ผลโดยขาดความเข้าใจในมิติของเหตุ ปัจจัยทำให้เกิด???
และที่มีบางท่านยกตัวอย่าง ภาวะสงคราม หรือหนังฯ(อันนี้น่าจะใกล้เคียง) สิ่งที่เป็นเหตุ แห่งปัญหาความต่าง ที่เลยเถิดขยายแผลขยายผลไปสู่สงความความคิดความเชื่อ ซึ่งอันนี้ซับซ้อนยืดเยื้อกว่าสงครามกว่าสภาวะสงครามที่วัดกันด้วยกำลัง แบบ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งหรือแม้แต่ครั้งที่สอง
ผมจะยกตัวอย่างความเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนให้เห็นนั้นคือ "สงครามครูเสด" (สงครามความคิดความเชื่อที่ต่างกันเพราะศาสนา) นั้นมันยืดเยื้อ กันหลายพันปี ที่ทุกวันนี้มันยังไม่จบเลย(สงครามก่อการร้าย นี่คือเจเนอเรชั่นY ของสงครามครูเสดในปัจจุบัน)
แล้วปัญหาใต้เราเชื่อมโยงอย่างไรกับเรื่องนี้ แม้ในเชิงโครงสร้างอาจจะไม่ชัดเจน (เพราะมันมีปัญหาอื่นเข้ามาร่วมชงบลิ้วเพิ่ม หรือซ้ำเติมปัญหาอยู่ แต่แกนหลักของปัญหาคือความคิดความเชื่อ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนำไปสุ่แนวคิดแยกดินแดน) และเพราะความคิดความเชื่อที่ต่างกันมันจึงทำให้เรามอง"ผล" ที่มาจากเหตุเดียวกัน ตีความแปล เจตนา ไปต่างกันอย่างสุดขั่ว เช่นพลีชีพคือการเสียสละที่ยิ่งใหญ่คล้ายกมิกาเซ่?
แต่อีกความคิดต่างกับมองว่า พวกนี้คือพวกที่ยกพวกไปตีกับหลักศาสนาที่ถูกต้อง(อัลเลาะห์) แล้วยังแอบอ้างเอาศรัทธาผิดๆนั้นไปเซ็นตืสัญญาเงินกู้ เพื่อเป็นทุนทางศรัทธาในการยกพวกไปตีหลักศาสนาที่ถูกต้องหรืออันธพาลในนามพระเจ้า ที่ผลคือความเบียนเบียด ความเคียดแค้น เพิ่มแรงเหวี่ยง ให้กับปฎิกิริยาข้างอกุศลกรรม ลงไปในวงกลมวัฎจักรสงสาร จนมันดันทุรังบิดเบี้ยวเป็นรูปทรง อินฟินิตี้ ของวัฎจักรความขัดแย้งเกลียดชังไม่สิ้นสุด
คือถ้าเรามองให้เห็นเหตุของปัญหาจนเข้าใจในปัญหาความต่าง แล้วใช้ไตรสิกขา ที่หนึ่งในนั้นคือปัญญา(ศิล,สมาธิ,ปัญญา) ในการแก้ไขปัญหา ด้วยเมตตาธรรม หรือย่างน้อยๆดับเหตุของปัญหา ,ลดเงื่อนไขให้ได้ก่อนที่ข้างตัวเรา แบบนี้เราจะหนีปัญหา หรือยอมให้เขาเป็นฝ่ายกระทำไหม?
เหมือนใช่ แต่ถ้าเราใช้ไตรสิกขา และเมตตา เข้าร่วมในการพิจารณาแก้ไขปัญหา อย่างน้อยลดเหตุแห่งปัญหาที่ความเข้าใจในปัญหาความต่างได้ไปกว่าครึ่ง แล้วส่วนที่เหลือจึงความใช้ปัญญาให้รู้แจ้งในเหตุ ในการเข้าระงับเหตุ ที่เป็นปัจจัยจากภายนอก ที่เขาส่งมาทางวิวัติกรรมหรือการเบียดเบียนที่รุนแรงจากกรรมหรือการกระทำจากปัจจัยอื่น ด้วยสติ
ก่อนอื่นเราเข้าใจโดยเบื้องต้นก่อนว่า กรรมมันเป็นเช่นนนั้นของแต่ละอัตตาความต่างและมีวิธีทางของแต่ละผลรวมของรัสมีเส้นรอบกรรมของอัตตาหนึ่งที่จะคือผลรวมของอัตตาหนึ่งหรือคนๆหนึ่ง จึงไม่มีใครไปก็อปปี้กรรมใคร หรือออกแบบกรรมใครได้ทั้งหมด ยกเว้นระงับควบคุม จำกัดบริเวร(กรรม) จนถึง แอพซอร์พ กระจายหรือสลายพฤติกรรม จนพลังในทางเบียดเบียนลดน้อยลงไปหรือสลายแรงไปเท่านั้น
ทั้งหมดคือการบริหารจัดการกับความต่าง ที่เราต้องมาพิจารณา "เหตุ"ที่ตัวเราก่อนว่าเราผิดพลาดอย่างไร? เช่น ใช้อำนาจนิยม ในแบบรัฐนิยมตามแนวคิดรัฐเดี่ยวเข้าไปบริหารจัดการ ในแบบกดทับปัญหาไว้ในลักษณะเอาขี้เถ่าไปกลบเตาปฎิกรณ์ฯ หรือเปล่า? หรือความผิดพลาดซ้ำที่เรานำเอาศ.อ.บ.ต(ตัวแทนอำนาจรัฐที่ไม่สอดคล้องไม่ใช่ไปกดทับปํญหา(เตาปฎิกรณ์)ไว้ชั่วคราว) เข้าใจว่าเป็นการสยบกรรม
แต่นั้นคือการสะสมกรรมของความขัดแย้งกับข้อหาข้าราชการรังแกประชาชน หรือพวกเอาปลากระป๋องไปปาหัวชาวบ้าน(สังเกตุว่ามันไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืนคือยุบปุ๊บมันเกิดปั๊บ) แต่เรากลับผิดพลาดซ้ำ ที่การทดแทนที่ผิดพลาดด้วยการเอาแนวคิด CEO ที่แพ็ก ใส่กล่องจากส่วนกลางไปโยนโครมลงในพื้นที่ โดยมีตลกคณะ ส.ลุยไฟพายเรือไม่พ้นอ่าง( ส.ต.งชูวิทย์และเสธแดงตั้งฉายาให้ขณะนั้น) เอาไปลงพื้นที่แบบจิ๊กโก๋พกหวี พกอำนาจการผูกขาดกระบวนการยุติธรรม ไปซ้ำเติมปัญหา
จนคำว่า"อุ้ม"(จริงๆชื่อนี้เป็นดาราสวยน่ารักไม่น่าเอาไปตั้งให้คนกลัวแบบนั้นเลย) มันระบาดมาถึงกรุงเทพฯ(สมชายฯ) ทั้งหมดที่พูดไม่ใช่เจตนาฟื้นฝอยอย่างที่เจ้าของกระทู้พยายามจะนำเสนอ แต่ ผมพยายาม จะให้เราเข้าใจในมิติของการดับปัญหาที่เหตุ ที่ถูกสร้างเงื่อนไขมาจากตัวเราก่อน
ผมเข้าใจด้วยข้อมูลส่วนตัวว่า ปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ โดยพื้นฐานแล้วไม่น่ามีอะไร?มาก ประวัติศาสตร์รัฐปัตตนี นั้นก็ลืนลางเต็มทีที่จริงแล้วถ้าจะอ้างกันแบบนั้น คู่กรณีก็มีถึงไดโนเสาร์ ถ้ามันจะเกิดยกพวกมาทวงดินแดน ก้ต้องยอมมันสิ? เงื่อนไข รังแกมุสลิมแบบยิวปาเลสไตน์เราก็ไม่มี ? (เราเสรีทุกศาสนาโดยเฉพาะในหลวงท่านวางตัวเป็นกลางทุกศาสนา)
(แต่เราพลาดไปสร้างเงื่อนไขแบบใกล้ๆจากยุทธการจุดพลุส่งสัญญาน ของความช่วยเหลือหรือสรางเงื่อนไขแบบนี้เมื่อคราวตากใบ และครือเซ่ะเอง) ดีที่พื้นฐานเราไม่มีอะไร?เองจริงไม่งั่นยุ่งไปกันใหญ่อีก ตัวเราทั้งนั้นบวกกับการวางตัวไม่สมดุล กับกระแสความขัดแย้งโลก ที่พยายามจะพาตัวไปอยู่ในระยะหมัดของความขัดแย้งโลก(อันนี้ยาวเล่ายาวเลยไม่เอา)
ก่อการร้ายฯ กับตะวันตก(เจเนอร์เรชั่นYของสงครามครูเสด) ที่เรามีจุดอ่อนไหวที่จะสามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มนักรบผี(ก่อการร้ายสากล) ด้วยระบบเอ็นทร้านซ์แขก(ยังงัยไปหาอ่านเพิ่มเติมพูดบ่อยแล้วไม่ดีคำไม่ค่อยเหมาะสม?) นี่คือส่วนที่จะขยายเหตุแห่งปัจจัยภายนอกที่ไม่ใช่ตัวเรา แทนที่เราจะหาทางระงับ หรือดับที่เหตุนั้น แต่เรากับไปพลาดซ้ำ จนสร้างเงื่อนไขเพิ่ม ซ้ำเติมสถานการณ์ เอง
ดังนั้นทั้งหมดนั้นเราเข้าไปบริหารจัดการกับปัญหาความต่าง ด้วยการการเอาน้ำ ไปดับไฟชนิดพิเศษ ที่ใช้น้ำในการช่วยติดไฟแบบสารเคมีชนิดพิเศษ(กำลังอำนาจนิยมในแบบค้นหาทำลายล้างตามยุทธศาสตร์การรบแบบอเมริกา) เราไปจำมาผิดๆจากท่าทีนายดับเบิ้ลทูบูด ที่ดับๆได้เฉพาะสังขารความเชื่อ แต่กลับจะไปขยายจิตวิญญานความเชื่อความขัดแย้งให้มากขึ้น
เพราะถ้าเขาอ้างว่าจะแยกไปปกครองตนเองหรือแบ่งแยกดินแดนนั้น ส่วนหนึ่ง น่าจะเกิดมาจาก เราทำให้เขารู้สึกถูกปกครอง และถูกแบ่งแยกเอง แต่ตัวเชื่อมที่สำคัญของปัญหาความต่างนี้คือ"""ประชาธิปไตย""" ที่ถูกคนรู้เคยใด้ยิน แต่มองข้ามเครื่องมือ บริหารจัดการกับความต่าง ชิ้นดีที่ถูกคิดขึ้นโดยมนุษย์ แต่เราไปวิ่งหาอะไร? (พวกอย่างแบ่งแยกดินแดน)
แล้วฝ่ายรัฐฯ กับกลับไปมองหาเครื่องมือ อะไรให้วุ่นวาย ทั้งยีเอ็มซี หุ้มเกราะแบบขี่ช้างไล่จับตั๊กแตน ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง หรือการมีส่วนร่วมปกครองตัวเองนี่แหล่ะ ปรัชญาหลักของประชาธิปไตยที่ถูกต้องเท่านั้นจะบริหารจัดการ ความต่างแบบนี้ได้ดี ที่สุดที่ไม่ใช่ ประชาธิปไตยใครประชาธิปไตยมัน ประชาธิปไตยฉันสำคัญกว่าเลยต้องยกพวกตีกัน???
จากคุณ :
ตอม
- [
25 ส.ค. 48 19:09:23
A:58.11.100.60 X: TicketID:001922
]
|
|
|