แม้ผมจะไม่เห็นผังที่ดินของหมู่บ้านที่คุณรัตนาซื้อมา ( แต่เคยดูผ่าน ๆ ในรายการคุณสรยุทธ์ )
แต่ด้วยประสบการณ์ที่เคยคลุกคลีเรื่องแบ่งแยกโฉนดที่ดิน อยากบอกว่า ในกรณีเช่นนี้ เจ้าหน้าที่กรมที่ดินผิดเต็มประตู ( ไม่ทราบว่าขึ้นตรงกับสำนักงานที่ดินเขตใหน )
การแบ่งแยกที่ดินสำหรับการจัดสรรนั้น มักจะแบ่งเป็นแปลง ๆ บางครั้ง ถนนภายในหมู่บ้านจะทำเฉพาะ ถนนเมน ( แบ่งหักเป็นทางสาธารณะประโยชน์ )
การแบ่งแยกโฉนดนั้นจะใช้คำว่า "แบ่งแยกในนามเดิม"
การแบ่งแยกในนามเดิม เมื่อแบ่งแยกแล้ว โฉนดแต่ละแปลงนั้นก็จะมีชื่อเจ้าของเดิมเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของ
โดยเฉพาะแปลงที่เรียงชิดติดกันนั้น ในผังเดิมอาจจะไม่ได้กำหนดให้เป็นที่กลับรถ หรือ ให้เป็นที่สาธารณะ
หากจำเป็นต้องยกให้เป็นทางสาธารณะหรือที่สาธารณะ เจ้าของก็จะไปจดทะเบียน..."ยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะประโยชน์" ในภายหลัง
นั่นเป็นกรณีจัดสรรที่ดินโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยถูกต้อง โดยการหลบเลี่ยง พรบ.จัดสรรที่ดิน ( ซึ่งมีอยู่เป็นประจำในแวดวง ผู้จัดสรรที่ดิน ) โดยการสมคบรู้กันระหว่างเจ้าหน้าที่ที่ดินกับผู้จัดสรรที่ดิน
โดยระเบียบนั้นบอกว่า หากแบ่งแยกที่ดินเกิน 9 แปลง ( หรือ 10 แปลง ) จึงจะเข้าข่ายจัดสรรที่ดิน ตามพรบ.จัดสรรที่ดินหากไม่เกินนั้นไม่เข้าข่าย
เจ้าหน้าที่และเจ้าของที่ดินก็จะแบ่งแยกในแต่ละครั้ง ไม่เกิน 9 แปลง ก็ถือว่าไม่เข้าข่าย "จัดสรรที่ดิน"
วิธีการเช่นนี้เป็นที่นิยมทำกันมาก และทำกันมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งต่างจังหวัดก็ทำกันอยู่เป็นประจำครับ
เพิ่งจะมีคำสั่งใหม่จากกรมที่ดินเมื่อเร็ว ๆ นี้นี่เอง ซึ่งกำชับลงไปที่เจ้าพนักงานที่ดิน ให้ดูแลอย่างใกล้ชิด หากการแบ่งแยกที่ดินมีลักษณะเป็นแปลงจัดสรร ( เจ้าหน้าที่มองผ่าน ๆ ก็ทราบอยู่แก่ใจ) หากเป็นเช่นว่านั้น กรมที่ดินกำชับให้ผู้ต้องการแบ่งที่ดินขายหรือทำหมู่บ้านจัดสรรไปจดทะเบียนธุรกิจเฉพาะ และขอนุญาตจัดสรรที่ดินให้ถูกต้องตามกฎหมาย
นั่นมองในแง่เจ้าของบริษัทที่คุณรัตนาไปซื้อบ้านและที่ดินกระทำผิด พรบ.จัดสรรที่ดิน ( หลบเลี่ยง )
หากเป็นการจัดสรรที่ดินโดยถูกต้อง( ขออนุญาต ) เจ้าของที่ดินต้องเสนอแผนผังที่ดิน แสดงการจัดสาธารณูปโภคให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เสนอต่อกรมที่ดินเพื่อพิจารณาก่อนที่จะนำที่ดินและบ้านออกขาย
หากใครเข้าไปในกรมที่ดิน จะเห็นป้ายประกาศใหญ่โตมากในบริเวณล้อบบี้กรมที่ดิน บอกถึงวิธีและขั้นตอนของการขออนุญาตจัดสรรที่ดิน รวมทั้งกำหนดเวลาขั้นตอนการอนุมัติ แต่ละช่วงจนเสร็จสิ้นกระบวนการ
กรณีเช่นนี้ แผนผังโฉนดที่ดินของบ้านคุณรัตนา จะต้องเป็น "ทางสาธารณะประโยชน์" อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เจ้าหน้าที่ที่ดินกลับแบ่งแยกโฉนดออกมาเป็นชื่อของเจ้าของเดิม จึงสามารถโอนให้เป็นชื่อของคุณรัตนา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าที่ตรงนั้น แม้เป็นโฉนดแล้วก็ต้องยกให้เป็นทางสาธารณะประโยชน์
ฝ่ายรังวัดที่ดินอาจไม่ผิด ( ถือว่ายังมีฝ่ายทะเบียนตรวจสอบภายหลัง )
แต่คนผิดคงไม่พ้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนและเจ้าพนักงานที่ดินผู้กระทำการจดทะเบียนในครานั้น
ดังนั้นหากเป็นกรณีแรก...หลบเลี่ยงพรบ...จัดสรรที่ดิน...ผิดทั้งเจ้าของและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ( รังวัด-ทะเบียน-เจ้าพนักงาน )
หากเป็นกรณีหลังขออนุญาตถูกต้อง...ฝ่ายรังวัดอาจกล้อมแกล้มพ้นผิดได้ แต่ฝ่ายทะเบียนและเจ้าพนักงานคงเอาตัวรอดยากครับ
กล่าวโดยสรุปงานนี้เจ้าหน้าที่กรมที่ดินคงเอาตัวรอดยากครับ
เพียงแต่คณะกรรมการที่ลงไปดูแลเรื่องนี้ จี้ลงไปที่กรมที่ดิน...งานนี้ต้องมีคนผิดแน่นอน
แต่ความผิดนั้นจะมากน้อย ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยครับ ( ใครที่ทราบแล้วถือว่าทานมะพราวห้าวจากผมละกัน อิ อิ )
จากคุณ :
ไทเมือง
- [
27 ส.ค. 48 06:14:59
]