ห่วงเสรีภาพประชาชน
ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมือง ที่ค่อนข้างจะสับสนในขณะนี้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เกี่ยวกับการสั่งถอดรายการโทรทัศน์ ที่วิจารณ์การ เมือง การเตรียมสั่งปิดเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ การ ห้ามเคเบิลทีวีถ่ายทอดรายการ และการสั่งปิดสถานีวิทยุชุมชน เป็นต้น จนน่าเป็นห่วงว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนหรือไม่? และอาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่?
อาจจะเป็นเพราะห่วงใยในเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับคณะ จึงเดินทางไปพบนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ตามคำเชิญ และชี้แจงว่าไม่ได้พบเพื่อคุ้มครองบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เพื่อรักษาหลักการ เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนเพราะประชาชนและสื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นที่จะตรวจสอบรัฐบาล
เป็นหลักการที่ถูกต้อง เพราะในสังคมประชาธิปไตย ผู้คนมีความคิดเห็นที่หลาก หลายและอาจแตกต่างกัน เราอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็น ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เราต้องเคารพและปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของเขา ดังคำกล่าวของปราชญ์วอลแตร์ที่ว่า ข้าพเจ้าอาจไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่บางคนพูด แต่ข้าพเจ้าจะปกป้องสิทธิในการพูดของเขาจนถึงที่สุด
สำหรับประเทศไทย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์ การโฆษณาและสื่อความหมายด้วยวิธีการใดๆ เป็นเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ คนไทย ทุกคน มีเสรีภาพตามนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งคำว่าเสรีภาพในที่นี้ ไม่ใช่หมายความว่า จะเป็นการไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพผู้อื่น
เพราะถ้าใครคนใดคนหนึ่ง คิดจะทวงถามเสรีภาพ ก็จะต้องเป็นเสรีภาพที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เป็นเสรีภาพที่ชอบธรรม และให้ความเคารพกับเสรีภาพของผู้อื่นด้วย ทุกอย่างจะต้องอยู่ในกรอบกติกา จะต้องมีกฎเกณฑ์ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็ไม่มีขื่อมีแป นึกจะทำตามใจชอบ ก็จะเป็นเสรีภาพที่จอมปลอม
จริงอยู่เสรีภาพของประชาชน อาจแยกได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ได้แก่สิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้านของประชาชน ส่วนที่สอง ได้แก่สิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น ผลสำรวจของชาว กทม. และปริมณฑลเมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มตัวอย่าง 38.1% เห็นว่าไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากรัฐบาล อย่างตรงไปตรงมา 52.0% เชื่อข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจากรัฐบาล เป็นส่วนน้อย
จึงเป็นธรรมดา ที่ประชาชนบางส่วนจะต้องแสวงหาข้อมูลข่าวสารจากแหล่งอื่นๆ ที่คิดว่าน่าเชื่อถือกว่า รัฐบาลยิ่งปิดกั้น ก็ยิ่งจะดิ้นแสวงหามากขึ้น และนำไปสู่ความตึงเครียดในสังคม แต่ในยุคของข้อมูลข่าวสารเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย ที่ผู้มีอำนาจจะปกปิดข้อมูลข่าวสารได้อย่างมิดชิด เสมือนหนึ่งการปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ และขัดต่อหลักการปกครองประชาธิปไตยอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง พอๆ กับการสั่งห้ามต่างๆของรัฐบาล ก็คือการให้ข้อมูลที่ผิดๆ หรือเจตนาแอบแฝงบางอย่างที่เจือปนอยู่ในเสรีภาพที่ว่ากัน เพราะความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในสังคม สร้างความปวดร้าวให้กับคนในชาติมามากมาย การบริโภคสื่อก็ดี การรับรู้ข้อมูลข่าวสารก็ดี จะต้องเป็นข้อมูลข่าวสารที่อยู่บนความถูกต้องและบริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องไม่ละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้อื่น แน่นอนว่า การสั่งปิดสถานีวิทยุ หรือการห้ามสื่อมวลชน ประชาชน วิพากษ์วิจารณ์ รัฐบาล ไม่ควรจะเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตย และเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีทุกคนที่จะต้อง รักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระประมุขของประเทศ.
http://www.thairath.co.th/thairath1/2548/column/preface/nov/21_11_48.php
จากบทบรรณาธิการไทยรัฐ
เวลาจะด่านโยบายหนังสือพิมพ์ ให้อ่านตรงนี้
อย่าบ้าลำเลิกเบิกประจาน เหมือนเด็กไม่ได้ของเล่น
เข้าไจ๋...
จากคุณ :
ไทเมือง
- [
21 พ.ย. 48 17:31:43
]