ความคิดเห็นที่ 7
ผมรับรู้พฤติกรรมของแพทยสภาผ่านเรื่องของคุณดลพร แม่น้องเซ้นต์ที่ออก"ถึงลูกถึงคน" ดังนี้
1.ข้าพเจ้าร้องเรียนจริยธรรมของแพทย์ 3 คน แพทยสภาสอบแค่ 2 คน ละเว้นไม่สอบผอ.รพ.ที่เป็นเพื่อนกับกรรมการแพทยสภา
2.ข้าพเจ้าร้องเรียนปี 2537 สมัยเจ้าของโรงพยาบาลเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเป็นสภานายกพิเศษ แพทยสภาดองเรื่องข้าพเจ้านานเกือบ 3 ปี ตามแล้วตามอีกก็เงียบเป็นเป่าสาก พอข้าพเจ้าฟ้องรพ.ตามคำท้า คณะกรรมการปี 2538-39 ได้นำเรื่องร้องเรียนของข้าพเจ้าเข้าสู่กระบวนในทันที โดยไม่ได้หยิบยกเรื่องอายุความขึ้นมาเป็นประเด็น (ดังนั้นภายหลังจะนำเรื่องอายุความมาอ้างอีกไม่ได้ เรื่องนี้น่าอับอายเพื่อผลประโยชน์ของเพื่อน มองข้ามเรื่องอายุความ รีบนำเรื่องเข้าที่ประชุม รีบสรุปมีมติช่วยกัน - แต่พอข้าพเจ้าขอให้รื้อคดีใหม่กลับยกอายุความมาเป็นข้ออ้าง)
3.แพทยสภารีบมีมติออกมาว่า คดีไม่มีมูล ดำเนินการโดยข้าพเจ้าไม่รู้เรื่อง ไม่เคยเรียกข้าพเจ้าไปชี้แจงข้อเท็จจริง เมื่อข้าพเจ้าโต้แย้งว่าฟังความข้างเดียว ก็อ้างข้อกฎหมายว่าไม่เรียกก็ได้หากมีข้อมูลเพียงพอ คนเซ็นต์จดหมายคือ พญ.xxx ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและนั่งเป็นพิธีกรในรายการทีวีคู่กับผู้อำนวยการโรงพยาบาล คู่กรณีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบมาว่าว่าปกติพญ.คนนี้ไม่มีหน้าที่เซ็นต์จดหมาย พญ.คนนี้อ้างว่าเลขาธิการแพทยสภาไปต่างประเทศ ไม่สามารถรอเลขาธิการได้ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ (ทำราวกับว่าเลขาธิการแพทยสภาไปนานเป็นปี) ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าเองก็อดทนรอมาได้เกือบ 3 ปี จากนั้นทางโรงพยาบาลรีบนำมติแพทยสภาไปแสดงที่ศาลว่าโรงพยาบาลไม่ผิด แพทยสภามีมติออกมาแล้วว่า คดีไม่มีมูล ข้าพเจ้างงเพราะยังไม่เคยได้รับจดหมายแจ้งมตินั้นเลย แพทยสภาส่งให้ข้าพเจ้าภายหลังแม้จะลงวันที่เดียวกัน และข้อความก็ต่างจากที่ส่งให้โรงพยาบาล
4.นพ.xxxและพญ.xxx ทำสรุปรายงานเท็จ โกหก เบี่ยงเบนข้อเท็จจริง ไม่รายงานเรื่องความผิดปกติของเด็ก เช่นมีไข้สูงต้องเช็ดตัวทุกวัน เม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติ แขนขาอ่อนแรง น้ำหนักลด สะดือแฉะ ร้องกวน ทั้งที่ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนในเวชระเบียน แพทยสภาทีประกอบไปด้วยอาจารย์แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญต่างก็แกล้งทำเป็นตาบอดมองไม่เห็นข้อเท็จริง และเชื่อตามสรุปรายงานที่เป็นเท็จนั้น
5.สำเนาเวชระเบียนที่ทางโรงพยาบาลส่งไปให้แพทยสภานั้น ไม่มีการรับรองสำเนาแม้แต่หน้าเดียว จะด้วยรีบส่งไปภายหลังหรือไม่ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ ทั้งที่ในพรบ.วิชาชีพเวชกรรมเขาบอกว่าต้องเป็นเอกสารรับรองสำเนาเท่านั้น จึงจะเป็นเอกสารที่น่าเชื่อถือ เอกสารแบบนี้หากส่งไปที่ศาลศาลจะไม่รับโดยเด็ดขาดเพราะเชื่อถือไม่ได้
6.แพทยสภามีจดหมายไปขอความเห็นไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนชมรมและสมาคมผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน รวมถึงสมาคมออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ที่ประกอบไปด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกระดูก ในรายงานการประชุมของแพทยสภามีจดหมายตอบกลับครบถ้วน ยกเว้นคำชี้แจงของสมาคมออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ซึ่งหากจัดลำดับความสำคัญแล้วน่าจะเป็นความเห็นที่สำคัญที่สุด ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่าความเห็นดังกล่าวหายไปไหน
7.ชมรมเวชปฏิบัติทารกแรกเกิด ชี้แจงต่อแพทยสภา เป็นหนังสือว่าจากประวัติการคลอดและการรักษาที่ให้มา แสดงว่าอาการผิดปกติของเด็ก มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ข้อสะโพกข้างซ้าย ซึ่งผ่านมาทางกระแสเลือด แล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมในระยะแรก อาการผิดปกติจึงมีมากขึ้น แพทยสภารู้ดีว่าระเวลาที่เหมาะสมนั้นคือเวลาไหน แต่กลับไม่หยิบยกเรื่องสำคัญนี้มาเป็นประเด็นในการพิจารณา แล้วจะขอความเห็นไปทำไม ที่ตลกคือภายหลังข้าพเจ้าเอาหมายศาลขอให้ทางชมรมฯ ไปเบิกความตามที่ชี้แจงต่อแพทยสภา ไม่ได้ขอว่าให้เบิกความเข้าข้างข้าพเจ้า ก็พร้อมใจหลบหน้ากันหมดไม่ยอมรับหมายศาล ให้ข้าพเจ้านั่งรอหลายชั่วโมง แล้วจะให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีและรู้สึกเห็นอกเห็นใจแพทย์อย่างไรไม่ทราบ
8.ปี 2545 ข้าพเจ้าร้องเรียนต่อรัฐมนตรีสุดารัตน์ฯ และขอให้แพทยสภารื้อคดีของข้าพเจ้าสอบสวนใหม่เนื่องจากมีข้อมูลใหม่ แต่คณะกรรมการที่มาสอบสวนข้าพเจ้าเพื่อหาข้อมูลใหม่ คือนายกแพทยสภา - จำเลยของข้าพเจ้า และนพ.xxx สามีของพญ.xxx จำเลยของข้าพเจ้า แล้วมันจะได้ข้อมูลใหม่ได้อย่างไร และการสอบสวนในวันนั้นก็ทำแบบขอไปที คุณหมอเข้าใจคำว่าทำเป็นพิธีหรือไม่ ใครไม่รู้สึกแต่ข้าพเจ้าและเพื่อนทีไปด้วยกันรู้สึก มีเพื่อนของดิฉันที่ท่าทางฉลาดมากคนหนึ่งถูกกันไม่ให้เข้าไปฟังในห้องด้วยโดยไม่มีเหตุผล
9.ในการประชุมปี 2545 มีกรรมการแพทยสภา 2 ท่าน (นพ.xxx, นพ.xxx-ประธานชมรมโรคประดูกเด็กแห่งประเทศไทย) บอกว่าแพทยสภาตัดสินพลาด มีความผิดพลาดเรื่องการวินิจฉัยล่าช้า และขอให้รื้อคดีสอบสวนใหม่ แต่แพทยสภาก็ไม่ยอมสอบสวนใหม่ แถมยังมีกรรมการแพทยสภาบางคน ได้เสนอให้ลบรายงานการประชุม ในส่วนที่เป็นความเห็นของคุณหมอxxxกับคุณหมอxxxทิ้งเสีย (คนนั้นคือ นพ.xxx - นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน หมอคนนี้ทำงานร่วมกับภรรยา นพ.xxx จำเลยของข้าพเจ้า)
10.ข้าพเจ้าร้องขอเอกสารรายงานการประชุมแพทยสภา ในส่วนที่เกี่ยวกับคดีของข้าพเจ้าหลายครั้ง แพทยสภาไม่ให้ ข้าพเจ้าร้องเรียนต่อรัฐมนตรีฯ และใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารเขายอมให้ แต่ไม่ครบ แถมยังลบส่วนที่เป็นความเห็นของ นพ.xxและนพ.xxทิ้งเสีย นพ.xx เลขาธิการแพทยสภาไม่ยอมเซ็นต์รับรองสำเนาให้ ข้าพเจ้าต้องไปตามหลายครั้ง สุดท้ายต้องร้องไห้ก้มลงไปกราบเท้าหมอxxถึงยอมเซ็นต์ให้อย่างเสียไม่ได้ แพทยสภาประกอบไปด้วยอาจารย์แพทย์ผู้อาวุโส แต่การกระทำเหมือนเล่นไล่จับแบบเด็ก พฤติกรรมไม่ตรงไปตรงมา
ดูเป็นตัวอย่าง
จากคุณ :
ไม้ซีก (ไม้ซีก)
- [
30 ธ.ค. 48 09:37:55
]
|
|
|