เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วปรากฏว่า เครื่องเงียบสนิท ไม่มีเสียงขยับจากส่วนใด อย่าตกใจ ตั้งสติครู่หนึ่ง ลองขยับสวิทย์กุญแจดู (บางครั้งสายไฟอาจจะสกปรก,ไม่แน่น ฯ) หากยังคงนิ่งอยู่ บีบแตรก็ไม่ดัง,ไฟเก๋งก็ไม่ติด ตัวการน่าจะเป็นแบตเตอรี่หมดแน่ ๆ หาผู้ช่วยเหลือเพื่อพ่วงแบตฯ ดีกว่า (กรณีรถเกียร์ธรรมดา อาจหาคนช่วยเข็นหลาย ๆ คนก็ได้ โดยใส่เกียร์ 2 ค้างไว้ เปิดสวิทย์กุญแจไปที่ตำแหน่ง ON เหยียบครัชไว้ แล้วเข็นรถให้มีความเร็วขึ้นหน่อย จึงค่อย ๆ ปล่อยครัชเครื่องยนต์ก็น่าจะติด แต่บางครั้งต้องหลายทีหน่อย ส่วนเกียร์ออโต้ฯ น่าจะยาก เพราะความเร็วที่ใช้เข็นต้องประมาณ 30-40 กม.จึงจะทำให้ตัวทอร์คอนเวทเตอร์หมุนเพื่อสตาร์เครื่องยนต์ได้ คนเรา ๆ จะเข็นให้รถวิ่งขนาดนั้นไว้หรอก สู้มาพ่วงแบตฯ ดีกว่า)
ข้อปฏิบัติ (หาสายพ่วงแบตฯ ไว้สักเส้น เลือกเส้นโต ๆ หน่อยจะได้ทนกระแสได้มาก ๆ )
1.หารถยนต์คันที่มีไฟในแบตฯ ขนาดแรงเคลื่อน 12 โวลต์เท่ากัน มาจอดในระยะที่สามารถจะพ่วงสายแบตฯได้ ส่วนมากจะหันหน้าชนกัน กับรถคันที่แบตฯ หมด
2.ต่อสายพ่วงแบตฯ ดังนี้
คีบขั้ว + (สายสีแดง) ตรงแบตฯ ของรถที่สตาร์ทไม่ติด ส่วนอีกข้างคีบเข้ากับแบตฯด้านขั้ว + ของรถที่มีไฟแบต
คีบขั้ว - (สายสีดำ) ตรงแบต ฯ รถคันที่มีไฟแบต ส่วนอีกข้างอาจจะคีบเข้ากับตัวเครื่องยนต์หรือขั้ว - ของแบตฯ ของรถที่สตาร์ทไม่ติด
ที่สำคัญ อย่าคีบสลับขั้วเด็ดขาดนะ
หลังจากพ่วงแบตฯ เรียบร้อย ให้สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่มีไฟแบตฯ ครู่หนึ่ง แล้วเร่งเครื่องให้รอบอยู่ประมาณ 2,000 รอบ แล้วเร่งค้างไว้ ให้อีกคนไปสตาร์ทรถคันที่ไฟแบตฯ หมด
หลังจากเครื่องยนต์คันที่ไฟแบตฯ หมดติดได้แล้ว ให้ทำการถอดสายพ่วงแบตฯ ออก โดยใช้การถอดย้อน คือ ปลดสายแบต ขั้ว - (สายสีดำ) จากรถยนต์คันที่แบตฯหมดก่อน แล้วจึงไปปลดขั้ว - คันที่มีไฟ ส่วนขั้ว + ก็ปลดคันที่มีไฟก่อน แล้วจึงไปปลดขั้ว + จากคันที่ไม่มีไฟ อ่านช้า ๆ ก็จะเข้าใจนะครับ สำหรับมือใหม่ที่ต้องการทราบ และที่สำคัญเมื่อไฟแบตฯ ท่านหมดท่านจะต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าเป็นเพราะอะไร เช่น น้ำกลั่นแห้ง,แบตฯ หมดอายุ,ได่ชาร์ทไม่ทำงานฯ เพราะหากปล่อยไว้ เกิดไปเสียกลางทางจะไม่คุ้มนะครับ สำหรับท่านผู้หญิง ....
จากคุณ :
niyomtri 
- [
12 ม.ค. 49 19:17:43
]
DIY.การพ่วงแบตฯ เมื่อรถสตาร์ไม่ติด
