CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ได้อ่านกันรึยัง >>น้ำมันแพง? สุดยอดแผนการตลาด บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่

    http://www.bangkokbiznews.com/2006/06/01/news_20762017.php?news_id=20762017


    เกาะเศรษฐกิจการเงิน : น้ำมันแพงเกี่ยวข้องกับค่าการกลั่นหรือไม่???

    ประเทศไทยนับเป็นประเทศโชคดีไม่กี่ประเทศในโลก ที่ปัจจุบันสามารถซื้อน้ำมันดิบได้ถูกกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบสูงสุดปี 2548 ในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ประมาณ 2,885 บาทต่อบาร์เรล โดยมีราคาขายปลีกเบนซิน 95 สูงสุดในเดือนกันยายน ที่ลิตรละ 27.74 บาท ส่วนในปีนี้น้ำมันดิบสูงสุดเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ประมาณ 2,800 บาทต่อบาร์เรล แต่ราคาขายปลีกสูงสุดกลับสูงกว่าปีก่อนโดยอยู่ที่ลิตรละ 29.39 บาท และอาจจะขึ้นไปได้อีก ดังนั้นปัญหาน้ำมันแพงที่เกิดขึ้นกับคนไทยปัญหาหลักจึงเกิดจากโครงสร้างภายในเอง โดยปัจจัยภายนอกมีผลกระทบไม่มากนักตามที่กล่าวอ้างกัน ปัญหาภายในได้แก่ ปัญหากองทุนน้ำมัน โครงสร้างภาษี การแข่งขันของธุรกิจโรงกลั่น และวันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงค่าการกลั่นว่าเกี่ยวข้องกับปัญหาน้ำมันแพงหรือไม่???

    ก่อนปี 2540 กำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศทำให้ไทยต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมผู้ค้าน้ำมันไทยจึงต้องอิงราคาน้ำมันกับตลาดสิงคโปร์ เนื่องจากตลาดสิงคโปร์ เป็นศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันในภูมิภาคเอเชีย แม้ว่าในปัจจุบันนี้กำลังการกลั่นน้ำมันของไทยจะเกินความต้องการใช้ในประเทศแล้วก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันในประเทศก็ยังใช้ราคานำเข้าจากสิงคโปร์เป็นราคาอ้างอิงในการค้าน้ำมันในประเทศมาโดยตลอดด้วยเหตุผลที่ว่าน้ำมันเป็นสินค้าที่ซื้อขายกันอย่างเสรี ดังนั้นโครงสร้างราคาจึงต้องอ้างอิงกับราคาตลาดโลก มิฉะนั้นจะส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลในการจัดหา และการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัตินั้น ราคานำเข้า และส่งออกจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดดังนี้

    1.กรณีนำเข้า ในอดีตที่ไทยนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ต้นทุนการจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศคำนวณจากราคา IMPORT PARITY คือ เอาราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการขนส่งสิงคโปร์-กรุงเทพฯ อันได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าประกันความเสียหาย ค่าปรับปรุงคุณภาพให้ตรงกับมาตรฐานของไทย และค่าโสหุ้ยอื่นๆ รวมแล้วจะตกอยู่ในราว 2-3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะแตกต่างกันตามชนิดของน้ำมัน

    2.กรณีส่งออก หลังปี 2540 ไทยมีกำลังการกลั่นมากกว่าความต้องการใช้ในประเทศ ทำให้โรงกลั่นต้องทำการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปส่วนเกินไปขายยังตลาดต่างประเทศ โดยราคาขายจะคำนวณจากราคา EXPORT PARITY คือ เอาราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์หักด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งนี้เพื่อให้น้ำมันที่ขายเมื่อมีการขนส่งจริงจะมีราคารวมไม่สูงกว่าราคาที่สิงคโปร์ทำให้ราคาจากโรงกลั่นไทยสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้

    ในทางทฤษฎีธุรกรรมทั้งสองจึงมีความแตกต่างกันที่การบวกเข้าหรือหักออกของค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการขนส่งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการกลั่นที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันอยู่ที่ 630,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้ไทยต้องส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเมื่อไทยไม่ได้นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปแล้วเราควรใช้ราคาใดในการคิดต้นทุนของโรงกลั่นในการขายในประเทศ??? (หมายเหตุ มีการนำเข้าเป็นครั้งคราวหากโรงกลั่นมีการปิดซ่อม)

    จากหนังสือชี้ชวนของโรงกลั่นที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า โรงกลั่นจะกำหนดราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศด้วยราคาเทียบเท่าราคานำเข้า(IMPORT PARITY) และส่งออกด้วยราคาเทียบเท่าราคาส่งออก (EXPORT PARITY) โดยสูตรราคาน้ำมันขายในประเทศ (IMPORT PARITY) และขายต่างประเทศ (EXPORT PARITY) เป็นดังนี้

    ราคาขายในประเทศ = ราคาสิงคโปร์ + ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการขนส่งระหว่างประเทศ

    ราคาขายต่างประเทศ = ราคาสิงคโปร์ - ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการขนส่งระหว่างประเทศ

    ตัวอย่างการกำหนดราคา (ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) ขายในประเทศไทย ส่งออก

    ราคาอ้างอิง : เบนซิน 95 หน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ 80 80

    ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขนส่งระหว่างประเทศ +2 -2

    จำนวนเงินที่โรงกลั่นไทยได้รับ 82 78

    จากตัวอย่างจะพบประเด็นที่สำคัญดังนี้

    1.ราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นของไทยให้คนในประเทศได้รวมเอาต้นทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงคือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการขนส่งระหว่างประเทศ(ค่าขนส่ง+ค่าประกันความเสียหาย+ค่าปรับปรุงคุณภาพ+ค่าโสหุ้ยอื่นๆ)เข้าไปด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยหากเห็นโรงกลั่นเหล่านี้มีกำไรกันถ้วนหน้า การกำหนดราคาน้ำมันที่ขายภายในประเทศตามราคา IMPORT PARITY จึงเป็นประเด็นที่น่าคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือไม่

    2.จำนวนเงินที่โรงกลั่นไทยได้รับจากคนไทยต่อ 1 บาร์เรล นั้นสูงกว่าที่โรงกลั่นไทยได้รับจากคนต่างชาติ ดังนั้นจึงเป็นแรงจูงใจให้โรงกลั่นต้องการขายในประเทศให้มากที่สุดซึ่งก็น่าจะทำให้เกิดการแข่งขันของโรงกลั่น และทำให้ราคาขายในประเทศลดลงไปใกล้ราคาส่งออก EXPORT PARITY ได้ ซึ่งจะลดลงแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับการแข่งขันของโรงกลั่นนั่นเอง แต่ปัจจุบันธุรกิจโรงกลั่นส่วนใหญ่ได้ตกอยู่ในมือผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่รายเดียวโดยมีอำนาจเหนือกำลังการกลั่นกว่า 80% ของประเทศ มีผลให้กลไกตลาดของธุรกิจการกลั่นภายในประเทศไม่สามารถทำงานได้เต็มที่อย่างที่ควรเป็น จึงทำให้ผู้บริโภคจึงต้องจำยอมจ่ายค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงดังกล่าว

    ประเด็นดังกล่าว คงเป็นเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมที่ผู้ค้าน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่มีธุรกิจน้ำมันครบวงจร สามารถเล่นบทพ่อพระที่ยอมแบกภาระต้นทุนค่าการตลาดในธุรกิจปั๊มค้าปลีกที่ต่ำเตี้ยได้ โดยตุนเสบียงไว้แล้วในค่าการกลั่น และปล่อยให้ปั๊มค้าปลีกที่ไม่มีโรงกลั่นหนุนหลังต้องถูกบีบค่าการตลาดซ้ำยังต้องตกเป็นจำเลยของสังคม นับเป็นกลยุทธ์อันแหลมคมที่นอกจากจะได้หน้าแล้วยังเชือดส่วนแบ่งตลาดของคู่แข่งได้แบบนิ่มๆ อีกด้วย

    จากคุณ : REX-REX - [ 2 มิ.ย. 49 06:50:41 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป