PANTIP.COM : V4564013 ขอคอมเม้นท์ หรือ คอมเพลนเกี่ยวกับรถโฟล์ค เวนโต้ ปี95-97 หน่อยคะ กำลังตัดสินใจซื้อ [รถ-ประดับยนต์]

ความคิดเห็นที่ 9

ที่บ้านผมเคยเป็นที่สำหรับจอดVento ปี96คันนึง และก็ปี97อีกคันนึง เป็นของแม่กับของพี่สาวครับ

แต่ละความเห็นข้างบนที่พิมพ์ทุกท่านมีที่มาครับ ถ้ามองจากแง่ของคนหลายๆแบบคุณอาจจะพบว่าVentoคันนึงเป็นได้ตั้งแต่เทพยันมาร

คุณดูรถใหม่บางรุ่นเป็นตัวอย่างCr-V,Civic, Altis,Optra มันก็จะมีคนให้ความเห็นได้ตั้งแต่รถมันเป็นเทพยันมารได้เช่นกัน

ถ้าถามคนแต่ละคนในครอบครัวผมก็จะได้คำตอบต่างๆกัน สำหรับความเห็นของผมซึ่งเป็นผู้ขับนานๆที และเป็นคนพาไปซ่อมประจำ ผมคิดว่าเวนโต้มีข้อดีคือ

- โครงสร้างตัวถัง แข็งแรง แข็งแกร่งมาก ถามว่าผมรู้ได้ไง ก็เพราะผมไปถามพี่สาวผม ซึ่งเอาไปคว่ำมาตอนวิ่งกลับจากอยุธยาแล้วโดนมอเตอร์ไซค์ตัดหน้า ทำให้รู้ว่านอกจากการซับแรงกระแทกด้านหน้าแล้ว ความแข็งแรงของเสาหลังคาก็เป็นเรื่องที่ควรใส่ใจเช่นเดียวกัน

- การใช้งานในเมือง ผมล่ะชอบมากเวลารถติดๆแล้วต้องเปลี่ยนเลนออกแล้วกดคันเร่งเวลามีรถหลังไล่มา ถึงแม้Ventoจะเป็นรถที่อืดเวลากดเต็มๆ แต่ในยามที่กดคันเร่งแบบแตะๆ รถมันพุ่งนะครับ เสียแต่เวลากดกันเต็มๆแบบวัยรุ่น มันไม่ค่อยไปเลย

- สวิทช์และการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆภายในรถ ติดตั้งไว้ดีและใช้งานง่าย ยกเว้นสวิทช์ไฟฉุกเฉินที่ผมอยากให้ย้ายไปตรงคอนโซลมากกว่า คุณคิดดูละกัน..แม่ผมใช้รีโมทUBCยังไม่เป็น แต่ใช้เวลา10นาทีในการทำความเข้าใจว่าปุ่มไหนคือปุ่มไหนในVento

-ช่วงล่างเหมาะกับผู้ใหญ่ขับเร็ว ลองนึกภาพคำว่า"ผู้ใหญ่"กับขับเร็วให้ดีๆ ผมหมายถึงคนวัย40-50ที่พอออกต่างจังหวัดทีก็แช่กัน140-150 ไม่ใช่ว่าเอาไปทิ้งโค้งเล่นหรือเอาไว้ดริฟท์ส่งเต้าหู้ตามภูเขา แต่อยู่ในเมือง วิ่งผ่านถนนขรุขระก็ปราถณาความนุ่มนวล Vento เป็นรถที่ช่วงล่างนุ่มจนบางทีก็ยวบยาบ แต่ขับทางไกลสบายและถึงแม้ช่วงล่างหลังจะเป็นคานแข็ง แต่วิ่งกันในแบบเดิมต่อรถเดิม ผมคิดว่าCivicปี2004ที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็ยังดีสู้ไม่ได้ แถมกระเด้งกระดอนกว่าด้วย

ส่วนข้อเสียก็มีครับ

- พวงมาลัยในรุ่นVentoปรับระดับไม่ได้ ตำแหน่งก็ออกแปลกๆ เวลาผมขับต้องเกร็งไหล่และยกขาขวาไว้ เพราะคันเร่งoffsetไปทางซ้าย ไม่สามารถเอาเข่าขวาไปพาดประตูไว้เหมือนรถคันอื่น เวลาผมขับขึ้นเหนือ จะปวดแขนกับขาพิลึก แต่แม่ผมบอกสบาย

-อัตราเร่ง..โดนกระบะดีเซลเทอร์โบกินแน่ๆเพราะกว่ารอบจะไต่ไปแตะขีดแดงที่6000มันช่างยากเย็นเหลือเกิน ช่วงเร่งแซงจาก60-100ช้าและมีลุ้น ต่างจากการออกตัวในเมืองที่คล่องและไวมาก แต่ความเร็วสูงสุดผมทำได้180 ในที่เดียวกันนี้ผมขับCivic1.7ผมทำได้185 ..ม้าต่างกัน40ตัวนะ ใครจะว่าม้าเยอรมันตัวใหญ่ ก็ลองconvertเป็นม้าญี่ปุ่นดูก็ได้ มันก็ยังต่างกันมากอยู่ดี

-การซ่อมบำรุงรถคันนี้บอกได้เลยว่าการพึ่งศูนย์เป็นหนทางไปสู่ความชิบหาย คันปี96ของแม่ผมโดนเลี้ยงไข้เรื่องสวิทช์ABSอยู่นานมาก พอเอาเข้าศูนย์ทีก็ดับให้ที แล้วใช้ไปสักพักมันก็ขึ้น พอเอาเข้าศูนย์อีกก็ดับให้อีก คิดค่าดับด้วยนะ เค้าบอกว่าไม่เป็นไร เป็นเรื่องปรกติ แต่พอพ้นประกันปั๊บ บอกเลย กล่องABSเสียครับพี่ 20,000บาท

ผมเลยเอาไปซ่อมข้างนอก 4,000บาท ABSใช้งานได้ปรกติและไม่เคยมีไฟขึ้นอีก ยกเว้นตอนเช็คสถานะมันจะวาบขึ้นมาให้ดูว่าหลอดไฟน่ะยังอยู่นะเว้ย

เรื่องช่วงล่างพวกลูกหมากนี่พอหาซ่อมได้ ราคามันไม่แพงถ้าเข้าซ่อมที่อู่นอกครับ คันแดง(อีกแล้ว)ผมเอาไปปีนฟุตบาทมา คานหลังเบี้ยว ศูนย์บอก ต้องเปลี่ยนคานใหม่ครับ 22,000บาท ผมเอาเข้าร้านสนามเป้า ให้เค้าดัดให้กับเปลี่ยนเบ้าโช้คไปพร้อมกันเลย 3500บาท ใช้เป็นปรกติเหมือนกัน

ที่จะพูดตรงนี้ก็คือถ้าคุณเป็นtypeที่พอรถเป็นอะไรหน่อยก็เข้าศูนย์ หวังว่าจะได้บริการที่ดีที่สุด คุณก็ไม่เหมาะกับVentoแล้วล่ะครับ

-ฟองน้ำช่องแอร์ โดนเหมือนกันครับ ปลิวว่อนเลยทั้ง2คันของผมเป็นหมด
-คอมแอร์ พังทุก2ปี เบิกศูนย์ราคา24,000บาท พอตอนหลังได้คนที่vwthaiช่วยแนะให้ ได้อู่เพื่อนช่วยด้วยอีกแรง เปลี่ยนคอมเอาsundenลงแทนและใส่เทอร์โมสตัทด้วย ใช้3ปียังไม่พัง และคอมแอร์ราคาลงมาอีกเท่าตัว แต่ไม่เย็นเท่าของเก่า

-มอเตอร์กระจกไฟฟ้าพังที่35,000kmในคันสีแดง ต่อมาอีกปีเดียวข้างคนนั่งก็พัง

-มีเสียงโคร่งแคร่งดังอยู่ใต้ท้องเหมือนช่วงล่างไม่แน่นในคันสีแดง เวียนวนไปประมาณ3อู่ อู่เครื่อง อู่สี อู่ช่วงล่าง ไม่มีใครแก้ได้ ส่วนศูนย์ไม่ต้องพูดถึง เค้าสารภาพกับผมตรงๆแล้วว่าเค้าหมดปัญญาแก้

-รูกุญแจที่ประตู เวลาบิดล็อคหรือปลดล็อคให้บิดเบาๆก็พอเพราะถ้าบิดแรง สลักล็อคข้างในหัก (มันเป็นเงี่ยงพลาสติกเล็กๆ) รูกุญแจจะหมุนได้รอบ..จะเซ็งเอา

ปี2003 บ้านผมปล่อยคันสีแดงให้คนขายอาหารที่มหาลัยที่แม่ผมทำงานอยู่ในราคา248,000บาท รถเองยังใช้งานได้ แต่เนื่องจากต้องเตรียมที่ไว้รับรถคันใหม่เลยขายคันนี้ออกไปก่อน เพราะเป็นคันที่สภาพดี ส่วนคันเขียวนั้นคว่ำมา เลยไม่อยากขาย กลัวมีปัญหา

บ้านผมใช้คันสีเขียวต่อมาเรื่อยๆโดยเริ่มมีปัญหากับอาการรอบเดินเบาสะดุด เปลี่ยนมอเตอร์เดินเบาก็ยังไม่หาย เลยพยายามแก้อยู่โดยการเวียนตามอู่ไปสองอู่ และไปจบที่เด่นชัยตรงสุทธิสาร

สักพักต่อมาพัดลมไฟฟ้าเสีย สักพักไดชาร์จเสียอีก กระจกไฟฟ้าเสียอีกเป็นรอบที่สอง ถึงตอนนี้รถคันนี้เพิ่งวิ่งมา89,000โลเท่านั้นเองนะครับ

จนสุดท้ายเดือนเมษายนปี2005แม่ผมก็สั่งให้ขายซะ โดยมีคนใจบุญมารับไปอุปการะต่อในราคา200,000ทั้งๆที่รู้ว่ารถคว่ำมาแล้วนะน่ะ ก็โอเค

เพราะมามองในมุมมองของแม่ผม ซึ่งเป็นหญิงวัยใกล้เกษียณที่ต้องทำงานกลับบ้านดึกๆอยู่ประจำ แม่บอกว่ารถน่ะขับดี..ใช่ แต่พักหลังนี้เงินแม่ตึงมากเพราะทุกอย่างในรถมันทยอยเสียกันระนาว แถมบางทีก็ไปดับกลางทางด้วย ตอนสี่ทุ่ม ถนนสองข้างทางไม่เปลี่ยวแต่ก็ไม่น่าไว้ใจ ลองนึกถึงหัวอกผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไม่รู้ประสีประสาเรื่องรถดูว่ามันก็น่าอึดอัดใจเหมือนกัน

ในใจไม่ต้องการอะไรมาก แม่แค่อยากได้รถที่มันจะใช้ได้สบายๆขอแบบไม่ต้องเข้าศูนย์บ่อยและไม่ตายกลางทางน่ะ

ก็เลยขายซะ แล้วก็ดั๊นนนนออกซีวิคตามพี่สาวผมมาอีกคัน

ทุกวันนี้แม้แม่ผมจะใช้ชีวิตอยู่กับคันใหม่ได้โอเค แต่แม่ก็ยังบอกอยู่ว่าเวลาทิ้งโค้งไม่มั่นใจเท่าคันเก่า

ตรงถนนจากวงศ์สว่างวิ่งไปทางพระราม7 ก่อนขึ้นพระราม7
จะมีทางเลี้ยวแยกไปทางซ้ายซึ่งเป็นโค้งS แม่ผมชอบยิงโค้งตรงนั้นเล่นตอนตีห้าครึ่งทุกวัน วันแรกที่เอาซีวิคไปยิงเล่น แม่เกือบกินฟุตบาทเป็นมื้อเช้า นี่คือแม่เล่าให้ฟัง

ผมเล่าในลักษณะบันทึกการใช้ชีวิต มันจะเยิ่นเย้อหน่อย แต่คงบอกอะไรกันได้บ้าง

ถ้าVentoยังอยู่เหรอ..หึหึ ผมเอาไว้แน่แต่มีเปลี่ยนเครื่องแน่นอน
แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 49 10:05:30

จากคุณ : หมีไฟฟ้า (V.Putin) - [ 25 ก.ค. 49 09:49:37 ]

ความคิดเห็นที่ 10

ใช้เวนโต ตั้งแต่ป้ายแดง ปี 94 ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ ขับไปกลับที่งาน บางนา พระราม 4 ใช้ไป 2 แสนกว่าโล ข้อดีมีมากกว่าข้อเสีย ปี 94 จะเป็นรถที่เข้ามาขายต้นๆ จะไม่มีแอร์แบ็ค กระจกเป็นมือหมุนไม่ใช่ไฟฟ้า มีเอบีเอส ระบบเกียร์ออโต เป็นคนละแบบกับปี 96-97 เพราะมีที่วัดน้ำมันเกียร์ ใช้น้ำมันเกียร์ Dextron III ที่ขายอยู่ตามท้องตลาดมาตั้งแต่ป้ายแดง ส่วนแบบไม่มีก้านวัดน้ำมันเกียร์ เค้าบอกต้องของ vw เท่านั้น ซึ่งถ้าซื้อนอกศูนย์ก็ตกลิตรละ 450 บาท

โดยทั่วไปแล้ว ชอบในความรู้สึกในการขับของรถ แม้การออกตัวจะอืดไปบ้าง ที่สำคัญกินน้ำมันเยอะด้วย ถ้ารถติดๆ 6-6.5 กิโลเมตรต่อลิตร ถ้าวิ่งทางไกล 90-120กม ต่อ ชม. อยู่ 10-13 กม ต่อ ลิตร

ไม่ได้เข้าศูนย์หลังจากใช้ไป 3 ปี พยายามหาอะไหล่ข้างนอกเอง ก็ไม่ได้แพงกว่า เอารถญี่ปุ่นในระดับเดียวกันเข้าศูนย์บริการ ราคาอะไหล่ถ้าพื้นๆทั่วไป ถือว่าถูกนะ เช่น

สายพานไทร์มิ่ง เส้นละ 400 บาท ลูกรอก ใช้ตัวเดียว 700บาท บู้ชช่วงล่างมีข้างละ 2-3 ตัว ราคาหลักร้อยต้นๆ คันชักคันส่ง ลูกหมาก ทั้งแท่งข้างละ 1500 บาท เพลาขับตัวนอกตัวละ 2300 นาท ลูกปืนล้อหน้า ข้างละ 600 บาท ล้อหลังทั้งตลับนอกใน 500 บาท ยางรองแท่นเครื่องทั้งชุด สามตัว 3300 บาท พัดลมไฟฟ้าตัวละ 4000 บาท จานเบรคคู่ละ 1300 บาท เป็นต้น นอกนั้นก็พื้นๆ ไม่ต่างกับรถญี่ปุ่น

อะไหล่มือสองยังไงๆก็ไม่แพร่หลายเท่ารถญี่ปุ่น ดังนั้นก็ต้องแพงเป็นของธรรมดา ที่ทำให้เราต้องเสียเงินเป็นก้อนใหญ่ๆมากๆ ก็ตรงที่เกียร์ออโตนี่แหละ ซ่อมที สามหมื่นขึ้น ถ้าหาเกียร์ธรรมดาได้บอกเลยว่าใช้ลืม สำหรับคนที่ชอบฟิลลิ่งในการขับนะ

เวนโต เดิมๆให้โช้คมาแบบอ่อนยวบให้คุ้นกับความรู้สึกของคนไทยมั้ง ยิ่งช่วงล่างหลังเป็นแบบคานแข็ง การซับแรงจะสู้พวก มัลติลิ้ง ไม่ได้ เลยต้องเซ็ทช่วงล่างให้นุ่มหน่อย ยิ่งล้อของเดิม 185/60/14 ด้วยซี่รีค่อนข้างต่ำ การกระเทือนทางขรุขระจึงมีมาก โดยส่วนตัวหลังจากขับมาได้สองหมื่นโล เลยต้องเปลี่ยนโช้คให้มันแข็งขึ้นหน่อย สะเทือนมากขึ้นแต่วิ่งเกาะทางไกลดีขึ้นมาก บางคนอาจโชคไม่ดีเจอค่าซ่อมบำรุงที่เกินความตั้งใจแต่แรก ไม่เข้าใจว่า รถราคา แค่ 7แสนต้นๆ ตอนปี 94 ทำไมเสียค่าบำรุงรักษาในศูนย์ เหมือนรถราคา หลักล้านกลางๆ อันนี้ คงได้รับความเห็นจนไม่ต้องนำมากล่าวถึงในที่นี้

แต่หลังจากได้ขวนขวายหาอะไหล่เอง ตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา เฉลี่ยแล้ว ค่าบำรุงรักษา ตกปีละ แปดพันบาท ไม่รวมค่าค่าของเหลว เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ เบรค เป็นต้น พวกอะไหล่ชิ้นใหญ่นอกจากเกียร์ อย่างเช่น คอมฯแอร์ ตอนนี้ก็มีคอมฯบิ้ว ราคา สามพันกว่าบาทเยอะแยะไม่ต้องแปลงด้วย หรือ อย่างไดชาร์ต ก็มีร้านซ่อมได สามารถบิ้วได้สบายๆ ราคา แค่พันกว่าบาท

เคยไปลองรถใหม่ๆ ที่ขายอยู่ในท้องตลาดในระดับราคา 7 แสน ลงมา เป็นเพราะเราติดนิสัยของรถเวนโตหรือไม่ก็ไม่รู้ รู้สึกว่า ไม่ค่อยมีฟิลลิ่งที่ใกล้เคียงกันเลย มันโหลงเหลงๆๆ ยังไงๆไม่รู้ ที่ดีก็คืออัตราเร่งที่ปู๊ดป๊าดขึ้นเท่านั้น เลยต้องมาซ่อมแซมบำรุง เจ้าโฟล์ค ตัวนี้ให้มีสภาพดีต่อไป 12 ปี กับอายุรถ ก็มีรอยผุตรงชายซุ้มล้อหน้าให้เห็นแล้วล่ะ

หากศึกษาแล้วตอบตัวเองว่าต้องตาต้องใจแล้วทนกับเสียงที่บางคนไม่เคยสัมผัส หรือไม่เคยซื้ออะไหล่เอง ว่าเข้าหูแล้วทนได้ ก็พิจารณาเอารถเดิมๆแท้ๆ ที่เจ้าของไม่เคยดัดแปลงตามความรู้มากของช่างบ้านเรา จนหาสภาพเดิมไม่เจอ เคยเห็นบางคัน เอาไดชาร์ตของนิสสัน มาใส่เลย หรือดัดแปลง พัดลมเป็นพัดลมสองตัวแบบญี่ปุ่น ซึ่งของเดิมเป็นพัดลมตัวเดียว แต่มีสายพานพ่วงให้พัดลมอีกตัววิ่งตาม ไม่เคยมีปัญหาเรื่องความร้อน ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ใช้รถ

อีกอย่างเครื่องโฟล์คตัวนี้ ทนทานสุดยอด เครื่อง 8 วาล์ว หัวฉีดเดี่ยว ใช้มาตั้งแต่ทศวรรษ 80 ด้วยซ้ำ โบราณแต่ทนทาน ไม่ต้องเปลี่ยนเลย ค่าซ่อมเครื่องถูก เปลี่ยนชุดออเวอร์ออล เครื่องถ้าเครื่องหลวม ค่าของแค่ 2000 กว่าบาทเป็นอย่างสูง แล้วใช้ได้อีก สองแสนโล สบายๆ ที่มีปัญหามากหน่อย ก็ตรงเกียร์ออโต อย่างที่บอก

อ่านข้อมูลเยอะๆๆ เปรียบเทียบรถเดิมๆว่าสภาพเป็นไง ส่วนใหญ่ที่รวนๆ น่ะ ไปดัดแปลงจนปวดหัว ขอให้โชคดีเจอรถที่ไม่มีปัญหาและถูกใจในอนาคต

จากคุณ : NB...[online] - [ 25 ก.ค. 49 11:21:47 ]