ความคิดเห็นที่ 1 ฮ่วย..ผิด แก้ไขครับ ...ขณะขับรถ... ...อะ..เอาซะหน่อย จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:06:35 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ปาดดดดดด.....เข้ามาคนแรก เข้าเวรบ่ายเหมือนกันคับ ว่างมากกกกก ตั้งแต่พรุ่งนี้หยุด 3 วัน เหงาแฮะ แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 49 19:07:30 จากคุณ : ชงโค ฟ้าใส - [ วันแม่แห่งชาติ 19:07:08 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ****1. ยางระเบิด ปัญหาร้ายแรงที่สุดขณะขับรถ *****   ปัญหาร้ายแรงอีกปัญหาหนึ่งในขณะขับรถก็คือ ยางระเบิด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณได้ตลอดเวลา และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วผู้ขับขี่บางคนไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงและบางรายเสียชีวิต  ข่าวคราวเรื่องยางระเบิดจึงมีบ่อย ๆ แม้แต่ในต่างประเทศก็เกิดขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท ให้คุณถือคติที่ว่า “ป้องกันกันดีกว่าการแก้ไข” ก่อนนำรถออกใช้งานจึงควรตรวจสภาพของยางทุกเส้นว่าพร้อมที่จะใช้งานหรือไม่ ถ้าพบว่าผิดปกติก็ขอให้แก้ไขเสียก่อน การตรวจสภาพยางนั้นใช้เวลาไม่นานนักคุณก็ทราบได้ อาการเบื้องต้นของยางที่เสื่อมสภาพมีดังนี้ 1. ลมอ่อนบ่อย ๆ โดยไม่พบรอยรั่ว 2. มีอาการบวมที่แก้มยางหรือหน้ายาง 3. เบรกรถที่ความเร็วต่ำ  ยางมีเสียงดังคล้ายการเบรกอย่างรุนแรง 4. ขณะเลี้ยวโค้งที่มีความเร็วต่ำ ยางมีเสียงดัง 5. พวกมาลัยหรือตัวรถมีอาการสั่น  ทั้ง ๆ ที่ได้ทำการถ่วงล้อมาแล้ว และโช็คอัพไม่เสีย ถ้าพบอาการดังกล่าวมาแล้ว ผู้เขียนขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนยางใหม่จะปลอดภัยกว่า สาเหตุที่ทำให้ยางระเบิดขณะขับรถมีดังนี้ 1. ยางหมดอายุการใช้งาน เช่น แก้มยางมีร้อยแตกลายงา  บวม ฉีกขาด ดอกยางหมดสภาพ  เป็นต้น 2. ยางเก่าเก็บ 3. ขับรถโดยใช้ความเร็วเกินพิกัดยางที่กำหนดไว้ 4. บรรทุกน้ำหนักเกินค่ากำหนด 5. สูบลมยางไม่ถูกต้อง 6. เปลี่ยนยางใหม่แต่ใช้จุ๊บเติมลมอันเก่า ยางร้อนจัดเนื่องมาจากเบรกติดที่ล้อใดล้อหนึ่ง กรณีนี้อาจทำให้เกิดไฟไหม้รถได้ 1. ผู้ขับขี่ไปซื้อยากเปอร์เซ็นต์มาใส่ 2. เลือกใช้ยางไม่ถูกขนาด เช่น  เอายางรถเก๋งมาใส่รถปิกอัพ  เป็นต้น 3. แก้มยางเสียดสีกับขอบถนน อาการเตือนก่อนที่ยางจะระเบิด ขณะที่คุณขับรถอยู่ ถ้าปรากฏว่าพวงมาลัยเริ่มสั่นสะเทือนผิดปกติและบังคับรถได้ยากโดยเฉพาะในขณะเลี้ยว ทั้ง ๆที่ไม่มีปัญหาเรื่องถ่วงล้อและศูนย์ล้อหน้าก็เป็นปกติ  ลูกหมากไม่หลวม  ขณะขับมาตอนแรก ๆ  พวงมาลัยไม่สั่น  อาการนี้เป็นสิ่งบอกเหตุว่ายางรถยนต์เริ่มบวมพร้อมที่จะระเบิดแล้ว ควรไม่สั่น อาการนี้เป็นสิ่งบอกเหตุว่ายางรถยนต์เริ่มบวมพร้อมที่จะระเบิดแล้ว ควรชะลอความเร็วและจอดรถในบริเวณที่ปลอดภัย ลงจากรถ แล้วรีบตรวจสภาพยางทันที  ซึ่งโดยส่วนมากจะพบว่ายางร้อนจัดและบวมเนื่องจากเสื่อมสภาพ จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:08:00 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ****2.ไฟไหม้รถ****   เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร  ก่อนนำรถออกใช้งานคุณควรจะตรวจสภาพรถทุกครั้ง  ถ้าคุณไม่มีเวลาจริง ๆ  ก็ควรตรวจอย่างน้อยสัปดาห์ละ  1  ครั้ง ก็ยังดี  หรือไม่ในขณะขับก็ขอให้ตรวจมาตรวัดและไฟเตือนต่าง ๆ ที่แผงหน้าปัดตลอดเวลาก็พอจะช่วยได้  โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน  5  ปีขึ้นไป ในขณะขับรถ  ถ้าสภาพร่างกายของคุณไม่พร้อม  เช่น  เป็นไข้หวัด  จมูกของคุณจะไม่ได้กลิ่นใด ๆ ทั้งสิ้น  ถ้าเกิดสายไฟลัดวงจร  น้ำมันเชื้อเพลิงรั่ว  หรือ  เบรกติด  คุณก็จะไม่ทราบ  ซึ่งสาเหตุเหล่าน้าอาจทำให้เกิดไฟไหม้รถคุณได้  ต้องระวังให้ดี ถ้าในขณะขับรถเกิดไฟไหม้ขึ้นมา  ผู้ขับขี่บางท่านอาจตกใจจนออกจากประตูรถไม่ได้  ทำให้ต้องเสียชีวิตภายในรถก็เคยมีมาแล้ว สาเหตุที่ทำให้ไฟไหม้รถมีดังนี้ •        สายไฟลัดวงจร  ขณะขับรถจะได้กลิ่นเหมือนยางไหม้  เมื่อคุณได้กลิ่นดังกล่าว  ควรจอดรถในที่ที่ปลอดภัย  และทำการตรวจทันทีว่าเกิดจากจุดไหน  อย่าขับรถต่อไปโดยเด็ดขาด  สายไฟลัดวงจรอาจเกิดจากฉนวนเสื่อมคุณภาพทำให้สายไฟสัมผัสกันโดยตรง  โดยเฉพาะสายไฟที่อยู่ภายในห้องเครื่องยนต์ได้รับความร้อนมากกว่าที่อื่น  ต้องระวังให้ดี •        ช่างเคาะพ่นสีบางคนไม่รอบคอบ  เมื่อนำรถมาซ่อมตัวถังเวลาเชื่อมแก๊สหรือเชื่อมไฟฟ้าไม่ยอมถอดขั้วต่อสายไฟออกก่อน  และจุดที่เชื่อมอยู่ใกล้สายไฟ  ทำให้สายไฟได้รับความร้อนจนละลายติดกัน  จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้รถขณะขับ  เมื่อเกิดเหตุขึ้นมา  ช่างจะปัดความรับผิดชอบ  ควรเลือกอู่เคาะพ่นสีที่มีคุณภาพ •        ใช้ฟิวส์ที่มีจำนวนแอมแปร์สูงกว่าค่าที่กำหนด  หรือช่างบางคนใช้ลวดใส่แทนฟิวส์  สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดสายไฟลัดวงจรได้  ควรหลีกเลี่ยง  ถ้าใส่ฟิวส์ปรากฏว่าฟิวส์ขาดทันทีแสดงว่าเกิดลัดวงจรขึ้นแล้ว  ส่วนมากสาเหตุเกิดจากสวิตช์ของวงจรนั้น ๆ  ชำรุด  ควรรีบนำรถไปซ่อมทันที •        ขั้วบวกของแบตเตอรี่ไม่มีฉนวนหุ้ม  เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกันบางทีฝากระโปรงมาสัมผัสกับขั้วบวก  ทำให้เกิดไฟลัดวงจรได้  ต้องระวังให้ดี •        ผู้ขับขี่ลืมปลดเบรกมือในขณะขับรถเป็นระยะเวลานาน  อาจทำให้แผ่นผ้าเบรกไหม้เป็นควันออกมา  และอาจทำให้เกิดไฟไหม้รถหรือยางระเบิด  ดังนั้นผู้ขับขี่ควรฝึกให้ติดเป็นนิสัย  ปลดเบรกมือก่อนออกรถทุกครั้ง  หรืออาจสังเกตหลอดไฟเตือนระบบเบรอกที่แผงหน้าปัดก็ได้  ถ้าติดอยู่แสดงว่าเบรกมือยังไม่ได้ปลด •        เกิดอุบัติเหตุ  เช่น  รถยนต์ชนกันถังน้ำมันเชื้อเพลิงแตก  ทำให้น้ำมันไหลไปโดนท่อไอเสีย •        มีน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วที่บริเวณหม้อกรองน้ำมันเชื้อเพลิง  เนื่องจากขันข้อต่อไม่แน่นหรือปีนเกลียว ก่อนถอดเปลี่ยนหม้อกรอกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกครั้ง  เพื่อความปลอดภัยให้ถอดขั้วของแบตเตอรี่ออกก่อน  ใช้ผ้าคลุมส่วนบนของหม้อกรองและใช้ประแจค่อย ๆ ถอดโบลต์ยึดท่อทางเดินน้ำมันเพื่อลดความดันน้ำมันเชื้อเพลิงก่อน   ถ้าไม่ใช่ผ้าคลุม  โดยคลายโลต์ออกทันที  น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีความดันสูงจะพุ่งทันที  คุณอาจได้รับอันตรายและทำให้ไฟไหม้รถได้  ถ้าเครื่องยนต์ยังร้อนอยู่ ถ้ายางโอริงที่หัวฉีดรั่ว  ให้เปลี่ยนใหม่ทันที  วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่ายางโอริงหมดอายุหรือยังทำได้โดยหมุนหัวฉีด  ถ้าหมุนไปมาได้แสดงว่ายางโอริงยังมีสภาพดี  ถ้าหมุนไปมาไมได้ควรเปลี่ยนยางโอริงใหม่  ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งตัวทั้งฉีด •        มีน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วที่บริเวณหัวฉีด  เนื่องจากยางโอริงเสื่อมสภาพ •        ท่อน้ำมันเชื้อเพลิงเสื่อมสภาพ  ทำให้น้ำมันรั่วซึมได้  ถ้าหยดโดนท่อไอเสียก็จะทำให้เกิดไฟไหม้ได้ •        เครื่องยนต์ร้อนจัดก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดไฟไหม้รถได้ •        ผู้ขับขี่ที่นำรถที่ติดตั้งแคตาไลติดคอนเวอร์เตอร์ไปจอดได้บนกองกระดาษหรือกองหญ้าแห้ง  จะทำให้เกิดไฟไหม้รถได้  เพราะแคตาไลติกคอนเวอร์เตอร์มีอุณหภูมิสูงประมาณ  400 – 800 องศาเซลเซียส  ผู้ขับขี่ต้องระมัดระวังให้ดี •        ที่จุดบุหรี่ชำรุด  ไม่ยอมดีดออกมา คำแนะนำ ควรหาเครื่องดับเพลิงขนาดเล็กติดไว้ในรถยนต์ด้วย  เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน  จะได้หยิบมาใช้ได้ทันท่วงที ข้อสังเกต • เครื่องยนต์เบนซิลควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์  โดยทั่วไปความดันน้ำมันเชื้อเพลิงภายในระบบมีค่าประมาณ  30-40  ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เครื่องยนต์ดีเซลควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่  ความดันน้ำมันเชื้อเพลิงภายในระบบมีค่าประมาณ  20,000  ปอนด์ต่อตารางนิ้ว   สูงกว่าเครื่องยนต์ดีเซลทั่ว ๆ ไปประมาณ  8  เท่า  เพื่อให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ฉีดออกมาเป็นฝอยละอองเละเอียดมากที่สุด  เพื่อลดมลพิษของไอเสียให้เหลือน้อยที่สุดและช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย  ถ้าเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันอาจทำให้ไฟลุกไหม้ได้ง่าย จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:10:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ****3. เบรกแตก***   ปัญหาที่ร้ายแรงอีกปัญหาหนึ่งของผู้ขับขี่รถก็คือ  เบรกแตก  เบรกแตกก็คือ  การที่น้ำมันเบรกรั่วออกจากระบบอย่างรวดเร็ว  ในขณะที่ผู้ขับขี่เหยียบเบรกอย่างรุนแรงหรือเบรกกะทันหัน  แป้นเบรกจะจมติดพื้นรถ  ทำให้เบรกไม่อยู่ เบรกแตกจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าผู้ขับขี่นำรถไปตรวจสภาพระบบเบรกตามระยะเวลาที่กำหนด  หรือตรวจระดับน้ำมันเบรกทุกครั้งก่อนที่จะนำรถออกไปใช้งาน  อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยคุณได้ในระดับหนึ่ง  หรือถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติก็นำรถเข้าตรวจทันที  ให้ยึดถือหลักที่ว่า  “การป้องกันดีกว่าการแก้ไข”  และอีกสิ่งหนึ่งก็คือ  นิสัยหรือพฤติกรรมการขับรถของผู้ขับขี่แต่ละท่าน  เช่น  ไม่ควรขับจี้รถคันหน้าหรือใช้ความเร็วสูงขณะวิ่งเข้าทางร่วมทางแยก  เพราะถ้ามีรถคันอื่นตัดหน้าหรือกระทำผิดมาก็จะเบรกไม่อยู่  ก็จะอ้างว่าเบรกแตก ถ้าวันใดวันหนึ่งคุณตรวจพบว่าระดับน้ำมันเบรกพร่องผิดปกติ  แสดงว่าเกิดการรั่วขึ้นแล้วในระบบเบรก  คุณไม่ควรนำรถออกไปใช้งานโดยเด็ดขาด  เพราะสิ่งนี้คือลางบอกเหตุแห่งความไม่ปลอดภัย  การตรวจระดับน้ำมันเบรกใช้เวลาไม่ถึงนาที  พอเปิดฝากระโปรงรถก็มองเห็นทันที  แต่ส่วนมากแล้วผู้ขับขี่หลายท่านไม่ตรวจ  บางทีขับรถทั้ง ๆ ที่ระดับน้ำมันเบรกต่ำกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม  ถ้าผู้ขับขี่ไม่มีเวลาตรวจจริง ๆ ขณะขับรถต้องหมั่นสังเกตไฟเตือนระบบเบรกที่แผงหน้าปัดให้ดี  ถ้าไฟเตือนติดขึ้นมาแสดงว่าระบบเบรกผิดปกติ ก่อนเปิดฝาถ้วยเก็บน้ำมันเบรกทุกครั้ง  ควรทำความสะอาดสิ่งสกปรก  หรือวัตถุแปลกปลอมอื่น ๆ ที่ติดอยู่บนฝาออกก่อน  เพราะสิ่งสกปรกหรือวัตถุแปลกปลอมเหล่านี้อาจตกลงไปในถ้วยเก็บน้ำมันเบรก  และทำให้ลูกยางเบรกหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในระบบเสียหาย รถยนต์ในปัจจุบันนี้ที่ฝาปิดถ้วยน้ำมันเบรกจะมีเซนเซอร์หรือสวิตช์เตือนระบบน้ำมันเบรกติดอยู่  ถ้าน้ำมันเบรกมีระดับต่ำกว่า  MIN ลูกลอยจะเลื่อนลงทำให้หลอดไฟติด  เพื่อเตือนผู้ขับขี่ให้ทราบว่า  ขณะนี้ระดับน้ำมันเบรกต่ำกว่าปกติ  ผู้ขับขี่ควรนำรถไปตรวจซ่อมระบบเบรกทันที ระบบเบรกแบบ  2  วงจร  ถ้ามีวงจรใดวงจรหนึ่งรั่ว   จะทำให้ระดับน้ำมันเบรกลดลงถึงระดับ  MIN  ขณะเหยียบเบรกแป้นเบรกจะต่ำกว่าปกติ วงจรไฟฟ้าของระบบเบรก  ถ้าเป็นรถปิดอัปบางรุ่น  หลอดไฟเตือนระบบเบรกจะเกี่ยวข้องกับสวิตช์เตือนระดับน้ำมันเบรก  เบรกมือ  และสวิตช์สูญญากาศ  ซึ่งติดตั้งอยู่ที่หม้อลมเบรก สาเหตุที่ทำให้เบรกแตก สาเหตุที่ทำให้เบรกแตกส่วนมากเกิดจากน้ำมันเบรกรั่วตามจุดต่าง ๆ เช่น •        รั่วที่บริเวณสายยางเบรกหรือสายอ่อนเบรก  ถ้าตรวจพบว่าสายยางเบรกบวมหรือแตกลายงา  ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ถ้าคุณตรวจพบว่าสายอ่อนเบรกบวมหรือแตกลายงา  ควรเปลี่ยนใหม่ทันที   เพราะถ้าเบรกอย่างรุนแรงอาจทำให้อาจสายอ่อนเบรกแตกได้ •        รั่วที่ท่อทางเดินน้ำมันเบรก  ถ้าตรวจพบว่ามีรอยรั่วซึม  ควรเปลี่ยนใหม่ •        รั่วที่ข้อต่อของท่อน้ำมันเบรกกับสายยางเบรก •        รั่วที่ลูกยางในลูกปั๊มเบรกหรือกระบอกเบรกตัวล่าง •        รั่วที่ลูกยางในแม่ปั๊มเบรกตัวบน •        ขณะขับรถลงเขา  ถ้าผู้ขับขี่เหยียบเบรกบ่อย ๆ อาจทำให้เบรกร้อนจัดจนเดือดกลายเป็นฟองอากาศอยู่ในท่อทาง  ทำให้เบรกไม่อยู่  ควรใช้เกียร์ต่ำขณะขับรถลงเขา จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:12:43 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้ารถของคุณเบรกแตก  จะแก้ไขอย่างไร ในขณะขับรถ  ถ้าเกิดเบรกแตกขึ้นมา ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติดังนี้ •        ควบคุมสติให้ดี  อย่าตกใจ •        มือทั้งสองข้างจะต้องจับพวกมาลัยอย่างมั่นคง •        ให้ย้ำเบรกแรง ๆ และ บ่อย ๆ เพราะอาจทำให้เบรกมีกำลังดีขึ้น  ถ้าเบรกเสียและข้างหน้าไม่มีรถกีดขวาง  ให้ลดความเร็วโดยใช้เกียร์ช่วย  เช่น  ลดจากเกียร์ 4  มาเกียร์ 3  เกียร์ 2  และเกียร์ 1  ตามลำดับ •        ค่อย ๆ  ดึงเบรกมือเพื่อหยุดรถ  อย่าดึงแรงเกินไปเพราะจะทำให้รถหมุน •        ควรใช้แตรหรือสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนรถคันอื่น  เพื่อให้เขาทราบว่ารถของคุณกำลังผิดปกติ •        ถ้าหากเบรกแตกเกิดขึ้นในขณะขึ้นเขาหรือลงเขา  ให้ใช้สิ่งกีดขวางข้างทางเพื่อหยุดรถ คำแนะนำ ทางที่ดีที่สุด  คุณไม่ควรขับรถโดยใช้ความเร็วสูงและขับจี้รถคันหน้าตลอดเวลา  เพราะถ้าคันหน้าเกิดเบรกกะทันหัน   คุณอาจเบรกไม่อยู่ก็ได้  ซึ่งจะมาอ้างว่าเบรกแตกไม่ได้  บางคนขับรถโดยใช้ความเร็ว  140 กม./ชม.  ยังไม่รู้เลยว่าระยะทางที่รถหยุดเท่าใด  ควรหลีกเลี่ยงการขับรถโดยใช้ความเร็วสูง  เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง  เครื่องยนต์สึกหรออย่างรวดเร็ว  ไอเสียมีมลพิษมมาก  และยังไม่ปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:14:09 ]

ความคิดเห็นที่ 7 พักซักหน่อยคงไม่ว่ากัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่ใช่ผม อิๆ จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:17:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ***4.กระจกบังลมหน้าแตก***   ปัญหารถยนต์ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในขณะขับขี่อีกปัญหาหนึ่งก็คือ  กระจกบังลมหน้าแตก  ทำให้การมองเห็นทางด้านหน้าไม่ชัดเจน  ซึ่งเป็นอันตรายมากในขณะขับขี่  ผู้ขับขี่ควรศึกษาว่ากระจกบังลมหน้าเป็นกระจกชนิดใด เมื่อแตกจะมีผลเช่นไร คำแนะนำ •        ถ้าอยากรู้ว่ากระจกบังลมหน้าในรถของคุณเป็นแบบใด  ให้ดูได้ที่มุมล่างด้านซ้ายของกระจก  ซึ่งจะพิมพ์ชนิดของกระจกติดไว้  เช่น  TEMPERED  หรือ  ZONE  TEMPERED  หรือ  LAMINATED •        กระจกประตูและกระจกหลังจะเป็นแบบ  TEMPERED  ทั้งหมด •        ก่อนที่คุณจะนำรถยนต์ออกไปใช้งานทุกครั้ง  จะต้องเช็ดกระจกให้ใสสะอาดก่อนเป็นอันดับแรก  กระจกที่ใสสะอาดจะช่วยทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ชัดเจน จุดบอดของรถยนต์นั่งโดยทั่วไปมี  6  จุด  ซึ่งนับว่ามากพออยู่แล้ว  อย่าเพิ่มจุดบอกให้มากกว่านี้  เพราะจะทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นไม่ชัดเจน  ทำให้เสียสมาธิ  และนำมาสู่อุบัติเหตุได้ง่าย ไม่ควรวางสิ่งของต่าง ๆ บนแผงหน้าปัดหรือติดสติกเกอร์ที่ไม่จำเป็นในระดับสายตา  เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นลดลง กระจกทางด้านหลังก็เช่นกันไม่ควรวางสิ่งของต่าง ๆ เพราะจะทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นไม่ชัดเจนและอาจทำให้คุณขับรถไม่ปลอดภัย ชนิดของกระจกบังลมหน้า กระจกบังลมหน้าแบ่งออกเป็น  2  ชนิดคือ 1.     กระจกแบบแทมเปอร์ (Tempered glass)  สามารถแบ่งออกเป็น  2  แบบ  ได้แก่ •        กระจกแบบเทมเปอร์ธรรมดา  เป็นกระจกแบบชั้นเดียวที่อบด้วยควมร้อน  สามารถทนต่อแรงกระแทกได้ดีสูงกว่ากระจกทั่วไปประมาณ  4  เท่า  ทนต่อความร้อนได้ดี  ประมาณ  170  องศาเซลเซียส (338  องศาฟาเรนไฮต์)  เมื่อได้รับแรงกระแทกอย่างแรกงจะแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็ก ๆ คล้ายกับเมล็ดข้าวโพดทั่วทั้งแผ่น  ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ดีนัก  ส่วนมากใช้กับกระจกประตูและกระจกหลัง •        กระจกแบบโซนแทมเปอร์ (Zone  tempered glass)  กระจกแบบนี้พัฒนามาจากกระจกแบบแทมเปอร์ธรรมดา  เป็นกระจกที่อบด้วยความร้อนเหมือนกัน  แต่มีข้อดีกว่าตรงที่เมื่อได้รับแรงกระแทกจะแตกเฉพาะจุดหรือเฉพาะบริเวณ  มีลักษณะเป็นเมล็ดข้าวโพดเหมือนกันแต่ทัศนวิสัยดีกว่ากระจกแบบเทมเปอร์ธรรมดา หมายเหตุ ปัจจุบันกระจกบังลมหน้าแบบเทมเปอร์ธรรมดาและแบบโซนเทมเปอร์ไม่นิยมใช้เป็นกระจกบังลมหน้า  เนื่องจากความแข็งแรงและความปลอดภัยสู้กระจกแบบลามิเนตไม่ได้ กระจกแบบลามิเนตนั้น  เมื่อแตกจะมีลักษณะเป็นเส้น  กระจกไม่หลุดกระจายออก  ทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นในขณะขับขี่ดีกว่ากระจกแบบแทมเปอร์ 2.     กระจกแบบลามิเนต (Laminated  glass)  เป็นกระจกนิรภัยชนิด  2  ชั้น  นำมาอบติดกันด้วยกาว  มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มใสบาง ๆ กระจกชนิดนี้จะหนากว่ากระจกแบบเทมเปอร์  เมื่อได้รับแรงกระแทกอย่างแรงแผ่นกระจกด้านนอกจะแตก  แต่ฟิล์มที่คั่นอยู่ตรงกลางจะกั้นไม่ให้เศษหินหรือวัตถุที่กระเด็นมาโดนทะลุเข้าไปถูกกระจกด้านใน  นอกจากนี้แผ่นฟิล์มที่คั่นตรงกลางจะทำหน้าที่ป้องกันกระจกที่แตกไม่ให้หลุดออก  ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นในขณะขับขี่ยังดีอยู่  ในต่างประเทศจะมีกฎหมายบังคับให้รถยนต์ทุกชนิดใช้กระจกแบบลามิเนตเป็นกระจกบังลมหน้า  เพื่อความปลอดภัยในขณะขับขี่ จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:19:12 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เปรียบเทียบการแตกระหว่างกระจกแบบเทมเปอร์กับลามิเนต กระจกแบบเทมเปอร์นั้น  เมื่อกระจกแตกแล้วถ้าศีรษะของผู้ขับขี่ไปชนกระจกอย่างแรง  ใบหน้าก้มลงในลักษณะโค้งงอ  ศีรษะอาจจะได้รับบาดเจ็บจากเศษกระจกที่หลุดออก ส่วนกระจกแบบลามิเนตนั้น  เมื่อเกิดการชนกระจกจะแตกเป็นเส้น  เนื่องจากติดแผ่นฟิล์มที่เป็นกาวใส  ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับอันตรายน้อยกว่า สาเหตุที่ทำให้กระจกบังลมหน้าแตก 1.     เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนกัน 2.     ในขณะที่รถยนต์วิ่งสวนกัน  อาจมีเศษหินกระเด็นมาโดน 3.     วิ่งตามหลังรถบรรทุกในระยะใกล้  หรือขับจี้ท้ายรถคันหน้าฃ 4.     โครงที่รองรับกระจกบิดเบี้ยว  เนื่องจากรถเคยชนมาแล้ว 5.     ฝีมือช่างที่ประกอบกระจกไม่ดี 6.     กระจกมีคุณภาพต่ำหรือใช้กระจกที่ไม่ได้มาตรฐาน กระจกบังลมหน้าแตกขณะขับขี่  จะแก้ไขอย่างไร ถ้ากระจกบังลมหน้ารถของคุณเป็นแบบเทมเปอร์  หรือโซนเทมเปอร์แตกในขณะขับขี่  คุณควรปฎิบัติดังนี้ •        ตั้งสติให้ดี  อย่าตกใจ •        มองกระจกส่องหลัง  เพื่อดูรถที่วิ่งตามหลังมา •        ให้สัญญาณไฟเลี้ยว •        ชะลอความเร็วเข้าจอดข้างทาง  แล้วเปิดไฟฉุกเฉิน  ทางที่ดีที่สุดควรจอดในบริเวณที่ปลอดภัยไม่กีดขวางการจราจร •        หาเศษผ้าหรือกระดาษหนังสือพิมพ์เก่า ๆ มาปูบนฝากระโปรงหน้าและบริเวณคอนโซล  เบาะนั่ง  และบริเวณพื้นรถให้ทั่ว •        จากนั้นใช้ของแข็งทุบกระจกจากข้างในรถออกไป  ระวังอย่าให้เศษกระจกบาดมือ  เก็บเศษกระจกให้หมด  และห่อรวมกันไว้  แล้วนำไปทิ้งในที่ที่เหมาะสม •        ผู้ขับขี่ต้องปิดกระจกด้านข้างทุกบาน  เพื่อลดกระแสลมที่ตีเข้ามา  ถ้ามีแว่นตาควรใส่ไว้  เพื่อป้องกันเศษกระจกที่เหลือซึ่งอาจกระเด็นเข้าตาได้ •        จากนั้นให้ขับรถชิดซ้านโดยใช้ความเร็วต่ำ จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:21:04 ]

ความคิดเห็นที่ 10 **** 5.   Over Heat " เครื่องร้อนจัด" **** บ่อยครั้งที่หม้อน้ำพร่อง เนื่องจากระบบระบายอากาศรถบางรุ่นไม่เหมาะสมกับเมืองไทย หรือมีบ่อยครั้งที่คุณลืมเช็คหม้อน้ำ เมื่อเข็มอุณหภูมิบนหน้าปัดสูงผิดปกติ จนใกล้หรือเข้าขีดแดง เครื่องยนต์รถของคุณกำลังร้อนจัด อาการเครื่องยนต์อาจกำลังตก คุณควรตั้งสติให้ดี และปฏิบัติดังนี้ 1. รีบปิดแอร์-วิทยุ เปิดกระจก 2. ดูอาการสักพักว่าเป็นอย่างไร ความร้อนลดลงหรือไม่ (ถ้าร้อนจัดจนไอน้ำพุ่งออกมาจากหม้อน้ำ ต้องชะลอรถจอดอย่างเดียว) 3.ปลดเกียร์ว่าง ปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาสักครู่จึงดับเครื่อง 4.อย่าเพิ่งรีบร้อนเปิดฝากระโปรงหน้า (เพราะไอน้ำร้อนมาก) ทิ้งเครื่องไว้สักพักให้เย็นก่อน 5. เปิดฝากระโปรงแล้วอย่าเพิ่งเปิดฝาหม้อน้ำ (หากรีบเปิดน้ำในหม้อน้ำพุ่งทะลักออกมาลวกได้) รอให้หม้อน้ำเย็นลงก่อน 6. เมื่อเครื่องเย็นแOver Heat " เครื่องร้อนจัด" ***ควรให้ช่างตรวจเครื่องของคุณว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ บางรายอาจเกิดอาการหม้อน้ำรั่วต้องนำเครื่องเข้าอู่ซ่อม จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:22:11 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ******รถชน รถเสีย ทำอย่างไร?***** ทันทีที่รถเกิดอุบัติเหตุชนกันหรือรถเสีย บนถนน การปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับความเป็นจริงควรทำอย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด ?             แม้ในหลักการจะทราบกันดีว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน ต้องไม่เคลื่อนย้ายรถจนกว่าตำรวจจะพ่นสีลงบนพื้นเพื่อบอกตำแหน่งของรถ หรือบันทึกรายละเอียดแล้ว หรือพนักงานของบริษัทประกันภัยมาจัดการให้ และเมื่อรถเสียก็ต้อง รีบเรียกช่างหรือคนสนิทมาช่วยแก้ไข แต่ในทางปฏิบัติจริง อาจไม่ต้องยึดติดตาม หลักการทั้งหมด เพราะการจอดรถค้างอยู่กลางถนนอาจทำให้การจราจรติดขัดสุดๆ หรือมีรถคันอื่นมาชนซ้ำเพิ่มความเสียหายขึ้นไปอีก จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:24:19 ]

ความคิดเห็นที่ 12 รถชน             การปฏิบัติที่นิยมกัน (ไม่ใช่ดีที่สุด)             คนส่วนใหญ่เมื่อรถชนกันหรือเกิดบัติเหตุบนถนนแบบมีคู่กรณี เสี้ยววินาทีแรกจะเกิดความ เซ็งว่า ต้องเสียเวลาแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือ ถูก ถ้าเป็นฝ่ายผิดและไม่มีประกันภัยใดๆ ก็จะฉุกคิดขึ้นถึงเงินที่จะเสีย ถ้าชนหนักก็คิดเลยเถิดไปว่าจะต้องไม่มีรถใช้ระหว่างซ่อมไปหลายวัน เมื่อตั้งสติได้ในไม่กี่วินาที ก็จะลงไปดูสภาพ ความเสียหาย คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับนิสัยส่วนตัวว่าจะโวยวายตีโพยตีพายหรือไม่ บางคนเริ่มต้นด้วย การพูดจาไม่ดีต่อคู่กรณีเริ่มด่าทอบ่นต่างๆ นานา ทั้งที่ยังไม่ได้สรุปว่าฝ่ายถูกฝ่ายผิดกันเลย โดยเฉพาะ ถ้าเห็นชัดเจนว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก ก็อาจจะด่าคู่กรณีในทันทีว่า ขับรถยังไงทำไมไม่ระวัง จนอาจจะเกิดการวางมวยกลางถนนขึ้นได้ กลายเป็นเจ็บ ทั้งคนทั้งรถเพิ่มเป็น 2 คดี หรือบางคนใจเย็น คิด ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอและเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ตกลงกันได้ ก็จะพูดคุยกันดีๆ             เมื่อพอจะพูดกันรู้เรื่องแล้ว ด้วยความที่กลัว ตนเองจะเสียผลประโยชน์หรือกลายเป็นฝ่ายผิด ทั้งที่บางกรณีเห็นชัดเจนสรุปได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ว่าใครผิด แล้วก็ยังไม่ยอมเคลื่อนย้ายรถ (หากรถยังพอเลื่อนไปได้) ปฏิบัติตามคำแนะนำของบริษัทประกันภัยหรือกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยไม่ดูว่ากีดขวางการจราจรหรือเสี่ยงต่อการถูก ชนซ้ำหรือไม่ คิดว่าเปิดไฟฉุกเฉินแล้วจะจอดกลาง ถนนได้ปลอดภัย ใครที่ตามมาต้องหลบต้องระวังกันเอง นอกจากจะจอดรถคาอยู่กลางถนนแล้ว ก็ยังพบว่าหลายคนไม่ระมัดระวังจุดที่ตนเองยืนอยู่ว่า ถ้ามีรถคันอื่นมาเสยข้างหลังซ้ำ รถที่จอดอยู่อาจกระเด็นมากระแทกตนเองจนเจ็บหรือตาย หรือไม่ห่วงแต่รถ ไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเองเลย ผมเคยเห็นรถชนท้ายกันหลังลงสะพานสูงมาได้ไม่ไกลและรถคันอื่นๆ ก็ลงสะพานตามมาด้วยความเร็วสูง รถที่ชนกัน 2 คันจอดอยู่เลนกลาง ห่างกันพอประมาณและเปิดไฟฉุกเฉินไว้ผู้ขับรถคันหน้าก็ลงมาลูบๆ คลำๆ ดูความเสียหาย กันชนหลังของรถตนเอง ลองคิดดูว่าถ้ามีรถมาชน คันหลังซ้ำ คนก็อาจถูกอัดก็อปปี้จนเจ็บหรือตาย             หากตกลงกันไม่ได้หรือก้ำกึ่งว่าใครผิดใครถูก ก็จำเป็นต้องจอดรถรอเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้า หน้าที่ของบริษัทประกันภัยในตำแหน่งที่เกิดเหตุ ถ้าไม่เคลื่อนย้ายรถก็ให้เปิดไฟฉุกเฉินไว้ หากมีป้ายเตือนที่เตรียมไว้ในฝากระโปรงหลังแบบรถยุโรปบางรุ่น ก็ยกออกมาเตือนผู้อื่นด้วย ทุกคนที่เกี่ยวข้องควรหาที่ยืนริมถนนอย่าง ปลอดภัย ไม่ใช่เดินป้วนเปี้ยนอยู่รอบรถกลางถนน เพราะจะเสี่ยงต่อการชนซ้ำแล้วโดนคนด้วย หากมีโอกาสจะยืนในตำแหน่งที่ปลอดภัย แล้วโบกเตือนผู้อื่นที่ขับรถตามมาด้วยก็ดี                         วิธีที่ดี หลังรถชนกัน             -เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อเตือนผู้ร่วมเส้นทาง ก่อน ลงจากรถควรดูถึงความปลอดภัยของคนเป็นสำคัญ ไม่ใช่รีบร้อนจนถูกรถคันอื่นชนซ้ำ       - เจรจาอย่างปกติ ถ้าคู่กรณีไม่ได้กวนอารมณ์มาก หรือขับมาด้วยความระห่ำจริงๆ ควร เริ่มต้นการเจรจาและต่อเนื่องไปด้วยความใจ เย็นไม่ดุด่าว่ากล่าวกัน เพราะไม่มีประโยชน์ใดๆ       - เคลื่อนย้ายรถหลบได้ก็ดี หากบังเอิญว่าเหตุการณ์มีความชัดเจนถึงฝ่ายถูกฝ่ายผิดและฝ่ายผิดยอมรับ หากรถจอดกีดขวางการจราจร หรือเสี่ยงต่อการถูกชนซ้ำ ก็ควรรีบเคลื่อนรถหลบ ไปยังริมถนนหรือที่ปลอดภัยใกล้ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการจอดคากลางถนนยังไงก็ต้องเกะกะหรือเสี่ยงบ้างไม่มากก็น้อย       - ไม่บ่นไร้สาระตลอดการเจรจาเข้าใจว่าย่อม มีความเซ็งเกิดขึ้นในใจ แต่การบ่นอาจจะทำให้อารมณ์ของทั้ง 2ฝ่ายเสียยิ่งขึ้นไปอีก จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:25:37 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ***รถเสีย การปฎิบัติที่ไม่ถูกต้อง             แน่นอนว่าต้องเกิดความเบื่อหน่ายขึ้น โดย เฉพาะถ้าเสียกลางถนนบนการจราจรที่ติดขัดทั้งจะถึงที่หมายช้าลง ทั้งยุ่งที่จะต้องหาช่างซ่อมและอายผู้อื่นที่ร่วมเส้นทางมา รถเสียก็ต้องซ่อมให้หาย ซึ่งก็จะมีทั้งซ่อมง่ายใช้เวลาสั้นสามารถซ่อมตรงนั้นได้เลย หรือต้อง นำรถไปซ่อมในอู่เปลี่ยนหลายชิ้นส่วนและใช้เวลานาน ไม่สามารถตัดสินได้ในเบื้องต้น ต้องให้ช่างตรวจสอบอย่างน้อยสักพักหนึ่ง             ปัญหาอยู่ที่ทันทีที่รถเสียหลายคนรีบเปิดไฟฉุกเฉินแล้วงงต่ออยู่พักใหญ่ โดยไม่สนใจว่าจะกีดขวางการจราจรแค่ไหน มีคนลำบากเพิ่มขึ้น เพราะมีรถจอดขวางอยู่อีกกี่ร้อยคนก็ไม่สนใจ เพราะรถของตนเองเสียก็ถือว่าซวยอยู่แล้ว คนอื่นช่างมัน หลายคนไมไ่ด้สนใจรอบข้างเลย ไม่ลงจาก รถเพราะยังไงก็ซ่อมไม่เป็น นั่งอยู่ในรถแล้วรีบคว้า โทรศัพท์มือถือขึ้นมา ติดต่อหาคนสนิทเล่าเหตุ การณ์ให้ฟังหรือขอความเห็นใจ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ขอรับการแนะนำวิธีซ่อมทางโทรศัพท์แน่ๆโดยเฉพาะผู้หญิงบางคนรีบโทรศัพท์ไปหาคนสนิท เพื่อขอกำลังใจให้รีบมาหา(ทั้งที่อยู่ห่างกันเป็นสิบกิโลเมตร) บางคนรีบโทรศัพท์ติดต่อไปยังอู่ประจำ หรือหน่วยซ่อมรถฉุกเฉินของบริษัทรถโดยจอดรถคาไว้ในจุดที่เสีย วิธีที่ถูกต้องหลังรถเสีย             แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ซ่อมไม่เป็น แต่อยากให้เข้าใจสถานะการณ์รอบข้างหน่อยว่า จะสามารถเข็นรถเลื่อนหลบไปข้างทางหรือซอยข้างทางได้หรือ ไม่ว่าจะมีใครมาแก้ไขเร็วหรือช้ารถเสียที่จอดกลาง ถนนย่อมเกะกะ เสี่ยงต่อการถูกชนและเมื่อต้องซ่อมก็ลำบากเพราะจอดอยู่บนการจราจร หากเส้นทางพอจะเปิดโอกาสให้เข็นรถหลบ ไปได้ ก็ควรรีบทำ ก่อนที่จะโทรศัพท์ติดต่อใคร ถ้าเข็นคนเดียวไม่ไหว คนที่อยู่ใกล้เคียง หากขอความช่วยเหลือก็คงไม่แล้งน้ำใจมาช่วยเข็นรถสัก 2-3 นาที การเข็นรถหลบสำคัญกว่าการเรียกคนมาซ่อมหรือให้กำลังใจ เพราะยังไงก็ต้องใช้เวลาหลาย สิบนาทีแน่ๆ แค่เข็นรถหลบไม่กี่นาทีก็ปลอดภัยและไม่เกะกะแล้วคราวนี้จะนั่งพัก นั่งรอ เดินไปซื้อน้ำดื่มก็ตามสะดวก ดีกว่าจอดกลางถนนลำบาก ผู้ร่วมทางและเสี่ยงต่อการถูกชน เสียหายทั้งผู้อื่น และตนเอง             เมื่อรถเสีย ควรรระวังมิจฉาชีพในคราบของ ช่าง จะกุลีกุจอมาเสนอตัวซ่อมให้ หวังฟันเงินมากกว่าที่ควรจะเป็น บางครั้งของเสียไม่กี่ร้อยบาท แต่บอกว่าต้องรื้อทั้งเครื่องหรือต้องซ่อมครั้งใหญ่ หากมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อนก็ต้องระวัง แต่ก็อาจจะมีช่างจริงๆ ใจดีเข้ามาช่วยก็ได้ ดังนั้นควรเจรจาให้ชัดเจนและไม่ยอมให้ซ่อมโดยไม่ตกลงล่วงหน้าทางที่ดีควรเรียกช่างประจำมาช่วยถ้าไม่ไกลจนเกินไป             ***รถชน รถเสีย เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด เมื่อเกิดแล้วถ้าต้องลุกลามเดือนร้อนผู้อื่นเพราะกีดขวางจราจร หรือถูกชนซ้ำ ก็จะแย่ขึ้นไปอีก ทางที่ดีผู้ใช้รถควรมีสติและรอบคอบจะดีที่สุด จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:29:09 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แถมท้าย [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:30:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณค่ะ เข้ามาเอาความรู้ มาให้กำลังใจ เพราะมีประโยชน์ มากๆ ^^ จากคุณ : จูจุ๊บ..จุ๊บจุ๊บ..จ๊วบจ๊วบ จ้า - [ วันแม่แห่งชาติ 19:33:57 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ลืมขอบคุณแหล่งที่มา **ผู้จัดการ**มือใหม่หัดขับ**รถบ้าน***นลรถ**ที่มาของข้อมูล ส่วนรูปปลากอบต่อไปคงมีไม่เยอะนะครับ จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ วันแม่แห่งชาติ 19:39:08 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เยี่ยมเลย คุณบั้งไฟลาว ผมก็อยู่เวรเหมือนกัน วันหยุดวันเฉลิม ชอบมาก เคสเยอะดี หมอดูเคยดูผมไว้ว่า จะได้ดีถ้าทำงานบนความฉิบหายของคนอื่น จากคุณ : หมอ ฮัวโต๋ - [ วันแม่แห่งชาติ 20:06:29 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณค่ะ ได้เซฟอีกแล้วแหละ แต่ก็ยังอ่านไม่จบอีกตามเคยค่า ... ไม่เป็นไรไว้วันว่างมากๆ จะปริ้นท์มาอ่านเลย จากคุณ : สงสารน้องออส - [ วันแม่แห่งชาติ 20:07:12 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อิอิ ขอบคุณมากครับสำหรับสาระดีดี... จะคอยติดตามตอนต่อไปนะครับ จากคุณ : P Mini - [ วันแม่แห่งชาติ 20:33:38 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อิอิ เข้ามา Save ข้อความ ... จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ วันแม่แห่งชาติ 20:37:18 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ........แต่ว่าอันนี้ภาพน้อยไปหน่อยนะครับ จากคุณ : bootsarin (bootsarin) - [ วันแม่แห่งชาติ 20:37:59 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขยันพิมพ์จัง เป็นกำลังใจให้ครับ สู้ สู้ ครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ จากคุณ : gavee - [ วันแม่แห่งชาติ 21:55:17 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ทำไม กระทู้นี้จืดจัง สงสัยเครื่องปรุงแพง จากคุณ : Tors (ongtor) - [ วันแม่แห่งชาติ 22:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 24 มีประโยชน์มากเลยครับ จากคุณ : mamacup - [ วันแม่แห่งชาติ 22:34:30 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ยอดเยี่ยมครับ พักสายตานิดนึงก็ยังดี จากคุณ : akeb - [ 13 ส.ค. 49 00:56:27 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ (สำหรับรูป... เอ้ย!!! สำหรับ สาระครับ) จากคุณ : balltoday - [ 13 ส.ค. 49 02:10:57 ]

ความคิดเห็นที่ 27 สู้ต่อไปครับคุณบั้งไฟ ..ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ..แต่รูปน้อยไปหน่อยครับ.. จากคุณ : หนุ่ม เมืองนนท์ - [ 13 ส.ค. 49 10:18:03 ]

ความคิดเห็นที่ 28 จากคุณ : *380 Z - [ 13 ส.ค. 49 12:44:37 ]

ความคิดเห็นที่ 29 -- เพิ่งกลับจาก บุรีรัมย์ มา มีประสบการณ์จริงๆบนถนน มาฝากกัน สัก 2 เคส ครับ เคสแรก ขาไป .. -- ถนน 2 เลน รถสวนกัน ไม่มีไหล่ทาง ขับมาด้วยความเร็วสูง มองเห็นไกลๆ เจอรถบัสคันใหญ่ เกิดอยากจะจอดส่งคน ก็จอดเลย โดยไม่เปิดไฟเลี้ยว หรือ ไฟฉุกเฉินใดๆทั้งสิ้น -- มองเห็นไกล ก็มองรถเลนที่สวนมา ทีแรก กะว่าน่าจะแซงพ้น ก็เลยเร่งส่งมาเต็ม พอเข้ามาใกล้ๆ อ้าว มีรถเลี้ยวออกมาเกะกะอีกคัน (เพิ่งเลี้ยวออกจากซอย ของเลนที่สวน) -- แน่นอนครับ หักพวงมาลัยกลับมาอยู่ในเลนตัวเอง .. แล้วก็กระทืบเบรคเต็มๆ รถไม่มี abs ครับ ... ระยะทางแค่นี้ หักหลบไม่ได้ ไม่ต้องย้ำเบรคครับ เพราะระยะจะยาวขึ้น -- เสียงยาง GIII ร้องลั่นถนน พร้อมกับกด od off ช่วยครับ ... ผลก็คือ รถหยุดห่างจากท้ายรถบัสคันนั้น นิดเดียว หุหุ จำไว้ว่า -- ถ้ารถไม่มี abs ถนนแห้ง หักหลบไม่ได้ .. กระทืบเบรคไปเลยครับ กดหนักๆ กดเต็มๆ ถ้ามีสติ มีเวลาพอ กด od off หรือ ตบเกียร์ลง 2 หรือ 1 ช่วยครับ เกียร์อาจจะสึกหรอเร็วขึ้นอีกหน่อย แต่รถไม่พัง คนไม่เจ็บครับ -- แต่ถ้าถนนลื่น หรือ มีระยะพอจะหักหลบได้ อันนี้ค่อยมาใช้วิชา ย้ำเบรค ช่วยน่ะครับ จากคุณ : เด็กบูรพา - [ 13 ส.ค. 49 18:33:46 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เคสที่สอง ... เคสโดนแกล้ง -- ขากลับวันนี้นี่แหละ ... ถนน 2 เลนสวนกัน เหมือนเดิม แต่มีไหล่ทางครับ ขับมาสัก 120 กม./ชม. ข้างหน้า มีรถช้า ขับตามๆกันอยู่ 4 - 5 คัน -- คันหน้าผมคือ D-Max Cab สีทอง ผมไล่มา ไม่เห็นเค้าเปิดไฟเลี้ยว ผมก็เปิดไฟเลี้ยวขวา บีบแตรเตือนไป 1 ที เพื่อไม่ให้หักออกมา -- พอผมกด kick down หักพวงมาลัยออกมาปุ๊บ พวกก็หักออกมาเบียดผมทันที (กะเอาผมลงข้างทางมั้ง) ... ตรงนี้สติสำคัญครับ หักหลบออกขวานิดนึง เกร็งข้อมือเพราะล้อข้างนึงลงไปวิ่งบนไหล่ทางแล้ว -- จากนั้น กระทืบ kick donw สุด ให้เกียร์เปลี่ยนลง 2 เสียงเครื่อง 4G63 โบราณๆ ดังลั่น .. แล้วรถก็เร่งพ้น D-Max ตัวแสบอย่างรวดเร็ว -- มือไวเท่าความคิดครับ หักตบเข้าซ้ายปาดหน้ารถคันนั้นทันที (ในขณะที่ยังอยู่เลนแซงนะ) แล้วกระทืบเบรค ทันที กะจะลงไปเอาเรื่อง เพราะเล่นแบบนี้ กะฆ่าผมทั้งบ้านเลย .. แต่เสียงแม่ที่นั่งเบาะหลังบอกว่า "ปล่อยมันไปเถอะ" ก็เลยยกเท้าจากเบรค มาเหยียบคันเร่งไป ... เคสนี้ ข้อเตือนใจก็คือ -- ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ อย่าตกใจครับ เคยเจอบางคนมือใหม่ เจอรถเบียดออกมา ตกใจหักหลบ จนรถเสียหลักลงข้างทางครับ ... หักหลบได้ แต่อยู่ในระยะที่ปลอดภัยครับ จากคุณ : เด็กบูรพา - [ 13 ส.ค. 49 18:41:03 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โหพี่เด็กบูรพา ..ดีใจด้วยนะที่ปลอดภัย ถนนต่างจังหวัดว่าไปมันก็ขับยากเหมือนกันนะ จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 13 ส.ค. 49 19:51:00 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ...อะโหหหหหหหห #29-30 ป๋าเอ๊ยยยคิคิ๊ก... ...เล่ามั่งจิ วันเดียวกันคนละเส้นทาง ขากลับจากพัทยา มอเตอร์เวย์ รถชนกันบนสะพานร่วม8คัน ห่างไปนิดเดียวทางลงสะพานอีก4คัน... ...ไหนอะไรเป็นอะไรไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆรถติดสุดสุด ตาปาดมองเห็นวีโก้ตั้ง2คันแน่ะ ระหว่างทางที่มาก้จะเห็นแต่กระบะ4ประตูพี่วีนี่แระ จี้ตบปาด แหะแหะ... ...เนื่องจากรถมันแยะก้ขับตามๆกัน คันไหนเร่งหน่อยอยากไวก้ต้องฟู๊ดฟ๊าด ไหล่ทางก้ไม่เว้น อุบัติเหตุที่เกิดไม่ทราบเพราะอะไรแต่ จากที่เห็นกับตาคือรถพัง คนไม่น่าจะมีใครบาดเจ็บ   :)   ... ...นะป๋านะ ขับเบาเบาหน่อย จะรีบไปไหนตั้ง120เชียวนะป๋า ถ้านู๋นั่งด้วยป๋าคงหูชา อุอุ...   ;)   ... จากคุณ : 2boo - [ 14 ส.ค. 49 22:42:58 ]