ความคิดเห็นที่ 18
***Toyota Corolla AE111***(250,000-380,000)
โตโยต้า โคโรลล่า โฉมก่อนปัจจุบัน รหัสตัวถัง เออี110, 111 และ 112 เปิดตัวครั้งแรกที่ญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน 1995 จากนั้นจึงเปิดตัวทำตลาดในเมืองไทยเดือนกุมภาพันธ์ 1996 เป็นครั้งแรก ๆ ของรถยนต์ขนาดเล็กในเมืองไทย ที่มีการติดตั้งแอร์แบ็กเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ช่วงแรกทำตลาดด้วย 2 เครื่องยนต์ เป็นบล็อกเอ ล้วน ๆ คือ 1,500 ซีซี เป็นรุ่นเล็กขยับจากบล็อก 4อี-เอฟอี 1,300 ซีซี 88 แรงม้า ในโคโรลล่ารุ่นที่แล้ว มาเป็นบล็อกเอ 5เอ-เอฟอี 1,500 ซีซี 100 แรงม้า
1,600 ซีซี ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับโคโรลล่ารุ่นก่อนหน้า เออี101 เป็นรหัส 4เอ-เอฟอี ที่ปรับปรุงให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น มีกำลังสูงสุดลดลงเหลือ 110 แรงม้า จากเดิม 116 แรงม้า
โฉมแรกนี้แบ่งเป็น 5 รุ่นย่อย คือ 1.5DXI เกียร์ธรรมดา 1.5GXI เกียร์ธรรมดา หรืออัตโนมัติ 1.6GXI เกียร์ธรรมดา และ 1.6SEG เกียร์อัตโนมัติ
รูปลักษณ์ภายนอกของโคโรลล่าโฉมนี้ ในช่วงที่เปิดตัวใหม่ ๆ ได้รับคำวิจารณ์ว่าดูเชย ๆ และดูคันเล็กกว่ารุ่นเดิมที่ตัวถังเป็นทรงอ้วนป่อง ทำให้หลายคนมองว่า เนื้อที่ภายในห้องโดยสารต้องแคบกว่ารุ่นเดิมด้วย (ซึ่งในรุ่นนี้แคบกว่าจริง) ทั้งที่ความกว้างของห้องโดยสาร ไม่สามารถตัดสินจากการมองด้วยตาเปล่าหรือตัวเลขมิติภายนอก เพราะรถยนต์บางรุ่นอาจมีตัวถังขนาดใหญ่ แต่ภายในแคบก็เป็นได้ ถ้าจะให้รู้แน่ว่าภายในของรุ่นไหนกว้างกว่ากัน ต้องใช้ตลับเมตรวัดเปรียบเทียบ
สำหรับโคโรลล่าโฉมนี้ เมื่อมองภายนอกแบบผ่าน ๆ ส่วนใหญ่จะมีความเห็นตรงกันว่าเล็กกว่ารุ่นเดิม และไม่สวย ทั้งที่ความจริงแล้วมีขนาดใหญ่ขึ้นในทุกมิติ ซึ่งก็เป็นไปตามแนวทางปกติของรถยนต์โฉมใหม่ ที่มักมีขนาดทางมิติของตัวเลขใหญ่กว่าโฉมเก่า
มิติตัวถังของโคโรลล่าโฉมนี้มีความยาว 4,285 มม. (รุ่นเดิม 4,270 มม.) กว้าง 1,690 มม. (รุ่นเดิม 1,685 มม.) สูง 1,385 มม. (รุ่นเดิม 1,380 มม.) ระยะฐานล้อจากหน้าถึงหลัง 2,465 มม. (รุ่นเดิม 2,460 มม.) ส่วนความกว้างฐานล้อจากซ้ายไปขวาเท่าเดิม ด้านหน้า 1,470 มม. ด้านหลัง 1,460 มม.)
ทั้ง 2 รุ่นใช้เครื่องยนต์บล็อกเอ เป็นแบบเบนซิน 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ รุ่น 1,500 ซีซี รหัส 5เอ-เอฟอี ความกว้างกระบอกสูบ 78.7 มม. ช่วงชัก 77 มม. ความจุ 1,498 ซีซี กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.96 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที
รุ่น 1,600 ซีซี รหัส 4เอ-เอฟอี ขยายความกว้างกระบอกสูบขึ้นเป็น 81 มม. ช่วงชักเท่าเดิม 77 มม. ความจุเพิ่มขึ้นเป็น 1,587 ซีซี มีกำลังสูงสุด 110 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.77 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลังของทั้ง 2 รุ่น มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า ระบบบังคับเลี้ยวแร็กแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์ ยกเว้นรุ่นพื้นฐาน 1.5 DXI ระบบช่วงล่างแบบอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัต 4 ล้อ ด้านหน้าปีกนกล่างรูปตัวแอล ด้านหลังดูอัลลิงก์ ระบบเบรกทุกรุ่นเป็นแบบหน้าดิสก์หลังดรัม รุ่น 1.5 ให้กระทะล้อ 13 นิ้ว ยางขนาด 175/70R13 รุ่น 1.6 ให้ล้อแมกซ์ 14 นิ้ว ยางขนาด 185/65R14
หลังทำตลาดได้ประมาณ 2 ปี คือช่วงต้นปี 1998 ก็มีการปรับโฉม-ไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ ยังไม่เรียกว่าไฮ-ทอร์ก แต่บางคนเหมาเรียกว่าไฮ-ทอร์ก พลิกโฉมสู่ความทันสมัยและลงตัว และช่วยให้มียอดการจำหน่ายที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ดูแล้วแทบจะเหมือนคนละคันจากรุ่นก่อนปรับโฉม
ภายนอกเปลี่ยนไฟหน้าเป็นแบบตาเพชรแวววาวทรงเพรียว เปลี่ยนไฟท้ายจากทรงเหลี่ยมเป็นทรงมนพร้อมไฟเลี้ยวขาว รับกับฝากระโปรงหลังที่เปลี่ยนใหม่ กันชนหน้า-หลังเปลี่ยนใหม่ขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้มีความยาวเพิ่มขึ้นเป็น 4,395 มม.
ตัดรุ่น 1,500 ซีซีออกไป เนื่องจากซ้ำซ้อนกับโซลูน่า และต้องการยกระดับเป็นครั้งแรกที่โคโรลล่าใช้เครื่องยนต์เกิน 1,600 ซีซี
เพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี รหัส 7เอ-เอฟอี ความกว้างกระบอกสูบ 81 มม. เท่ากับรุ่น 1,600 ซีซี ยืดช่วงชักยาวขึ้นเป็น 85.5 มม. ทำให้ความจุเพิ่มขึ้นเป็น 1,762 ซีซี มีกำลังสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.69 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบ/นาที มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ
ภายในเปลี่ยนแผงหน้าปัดทรงใหม่ ย้ายวิทยุ-เทปไปติดตั้งไว้ด้านบนสุดกลางแผงหน้าปัดเหนือช่องแอร์ ทุกรุ่นย่อยเพิ่มความปลอดภัยด้วยแอร์แบ็กฝั่งผู้ขับ และเอบีเอส 4 เซนเซอร์ รุ่น 1.8 มั่นใจมากขึ้นด้วยแอร์แบ็กคู่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ช่วงกลางปีเดียวกันก็มีการปรับโฉมอีกเป็นครั้งที่ 2 หลังจากรุ่นไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกทำตลาดในช่วงเวลาสั้นมาก โดยมีชื่อเรียกรุ่นปรับโฉมนี้ว่า โคโรลล่า ไฮ-ทอร์ก จีโอเอ เป็นที่มาของชื่อเรียกโคโรลล่าตัวถังที่ปรับโฉมเป็นไฟตาเพชรนี้ว่า ไฮ-ทอร์ก ทั้งที่ในรุ่นปรับโฉมครั้งแรกในช่วงต้นปีก็มีรูปลักษณ์เหมือนกัน แต่ไม่ได้เรียกไฮ-ทอร์ก ดังนั้น โคโรลล่าตัวถังนี้ ที่มีไฟหน้าตาเพชรและไฟท้ายทรงมน จึงไม่ใช่ไฮ-ทอร์กทุกคัน
แบ่งเป็น 3 รุ่นหลัก คือ 1.6GXI 1.6GXIS และ1.8SEG ALTIS มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ
ภายนอกของรุ่นไฮ-ทอร์ก ดูผ่าน ๆ แทบมองไม่ออกว่าเปลี่ยนตรงไหนบ้าง เพราะเปลี่ยนแค่ฝากระโปรงหลังใหม่ เป็นช่องใส่ทะเบียนกว้างขึ้นแต่เตี้ยลง และด้านหน้าของรุ่น 1.8 เปลี่ยนกระจังหน้าเป็นทรงคล้ายโคโรน่า เอ็กซ์ซิเออร์ พร้อมเพิ่มสัญลักษณ์ 3 ห่วงบนฝากระโปรง และเปลี่ยนล้อแมกซ์ลายใหม่ 5 ก้านคู่ ขนาด 14 นิ้วเท่าเดิม
ภายในรุ่น 1.8 เพิ่มชุดลายไม้ และมีเบาะหนังแท้เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
เป็นครั้งแรกของโคโรลล่าโฉมนี้ ที่มีชื่อต่อท้ายจากชื่อรุ่น คือ อัลติส ในรุ่นสูงสุด 1.8 SEG ALTIS นัยว่าเป็นการปูทางให้โคโรลล่า อัลติส โฉมปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะมาทำตลาดต่อจากโฉมนี้ ที่อยู่ในช่วงปลายอายุตลาดแล้ว
จากนั้นในช่วงต้นปี 2000 ก็มีกาปรับปรับเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของตัวถังนี้ โดยใช้ชื่ออัลติส ต่อท้ายทั้งรุ่น 1.6 และ 1.8 โดยแบ่งเป็น 3 รุ่นหลัก คือ 1.6GLXI 1.6SEG ALTIS และ 1.8SEG ALTIS
การปรับโฉมครั้งนี้ จุดหลักอยู่ที่สุดไฟท้าย ซึ่งเป็นเป็นสไตล์ยุโรป ขนาดและทรงของกรอบเหมือนไฮ-ทอร์ก แต่ต่างลวดลาย แบ่งเป็น 2 ส่วน ด้านในติดกับฝากระโปรง เป็นไฟเบรกและไฟถอยหลังแบบตาเพชรทรงรีตั้ง ด้านนอกติดกับตัวถังเป็นไฟเลี้ยวทรงมน ดูแล้วในไฟวงรีเป็นลวดลาย และเปลี่ยนแปลงอีกเล็กน้อยในรุ่น 1.8 เป็นที่เปิดประตูแบบชุบโครเมียม นอกนั้นภายนอกคงเดิม
รุ่น 1.8 เพิ่มรีโมตคอนโทรล เปลี่ยนพวงมาลัยเป็นแบบ 5 ก้านหุ้มหนังแท้ เพิ่มชุดแต่งลายไม้ ส่วนเบาะหนังแท้เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษ
โคโรลล่า อัลติส โฉมสุดท้ายนี้ ทำตลาดได้แบบเรื่อย ๆ ต่อไปประมาณ 1 ปี โดยมียอดการจำหน่ายไม่มากนัก จากนั้นในช่วงกลางปี 2001 ก็เปิดตัวโฉมใหม่-โมเดลเชนจ์ ในชื่อ โคโรลล่า อัลติส รหัสตัวถัง ZZE-120
เนื่องจากโตโยต้า โคโรลล่า เป็นรถยนต์ที่ทำตลาดในเมืองไทยต่อเนื่องมานานหลายสิบปี เมื่อจะพูดถึงโคโรลล่ารุ่นใดรุ่นหนึ่ง เพื่อให้เข้าใจตรงกันไม่คลาดเคลื่อน จึงมักระบุด้วยรหัสตัวถัง สำหรับโคโรลล่ารุ่นนี้มักเรียกรวมว่าเป็นรหัส เออี 111 แต่พอจะบอกให้คร่าว ๆ ว่าโฉมแรกไฟเหลี่ยม รุ่น 1,500 ซีซี มีรหัส เออี110 รุ่น 1,600 ซีซี มีรหัส เอี111 และรุ่นปรับโฉมเฉพาะ 1,800 ซีซี มีรหัส เออี112 สำหรับคันในภาพนี้เป็นรุ่น 1.6GXI เกียร์อัตโนมัติ รุ่นปรับโฉมครั้งที่ 2 (ตัวถังที่ 3) ช่องใส่ป้ายทะเบียนหลังทรงแบนและกว้าง
รถยนต์รุ่นนี้มีจุดเด่นที่อะไหล่ ซึ่งมีทางเลือกหลากหลายในราคาไม่แพง ทั้งของใหม่ของเทียบนอกศูนย์บริการ หรือของมือสองในเชียงกง ซึ่งไม่ต้องแย่งกับอู่แท็กซี่เหมือนก่อน เพราะส่วนใหญ่เริ่มทยอยเปลี่ยนไปใช้อัลติส ลีโม กันแล้ว ส่วนอะไหล่ใหม่ในศูนย์บริการก็มีครบทกชิ้น มั่นใจได้ในคุณภาพและมีการปรับประกัน แต่ก็มีราคาแพงกว่า
ระบบต่าง ๆ เป็นแบบพื้นฐานจึงไม่จุกจิกและมีความทนทาน สังเกตได้จากแท็กซี่ที่วิ่งทั้งวันทั้งคืน การดูแลรักษาก็ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็มีหลายคันที่วิ่งได้เกิน 300,000 กม. โดยไม่ต้องเปิดฝาสูบ
เครื่องยนต์ทั้งรุ่น 1,600 ซีซี และ 1,800 ซีซี ออกแบบมาเพื่อเน้นความประหยัด และการทำงานที่ราบเรียบ ตามสไตล์รถยนต์ขนาดเล็กที่เน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก กำลังสูงสุดที่มีอยู่ 110 และ 116 แรงม้า จึงใช้งานได้แบบไปเรื่อย ๆ ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่ถึงกับอืด
ระบบช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ ให้ความนิ่มนวลในการใช้งานช่วงความเร็วต่ำถึงปานกลาง ถ้าขับเร็วก็มีอาการโคลงบ้าง และเมื่อเริ่มเสื่อสภาพก็ต้องเปลี่ยนอะไหล่หลายชุด แต่ถ้าไม่เข้าศูนย์บริการ ก็ไม่แพง ระบบเบรกหน้าดิสก์หลังดรัมไว้ใจได้ มีเอบีเอสช่วยให้มั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องเบรกฉุกเฉิน
ถ้าสนใจรถยนต์ตัวถังนี้ ควรทดลองขับเปรียบเทียบสมรรถนะระหว่างรุ่นเครื่องยนต์ต่างซีซี และกำลังกัน พร้อมดูว่าอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นที่สนใจอยู่นั้น เพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ เพราะบางรุ่น โดยเฉพาะรุ่นพื้นฐาน ก็มีอุปกรณ์มาให้น้อยมาก ถ้าพอใจในสมรรถนะและอุปกรณ์ของรุ่น 1.6 ก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเงินไปซื้อรุ่น 1.8 ซึ่งแม้จะมีค่าใช้จ่ายต่างกันไม่มากทั้งตอนซื้อและการใช้งาน แต่ถ้าซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ก็เปล่าประโยชน์
จุดด้อยของรถยนต์รุ่นนี้ คือ วัสดุของอุปกรณ์ภายในห้องโดยสารที่ดูแล้วไม่สะดุดตา ไม่หรูหรา ดูแล้วราคาถูก โดยเฉพาะในรุ่นล่าง ๆ และเฉพาะในรุ่นไฮ-ทอร์กขึ้นมา อะไหล่ตัวถังและไฟในเชียงกงมีน้อย และราคาแพงกว่าโคโรลล่ารุ่นอื่นที่คุ้นเคย
โตโยต้า โคโรลล่า เออี111 ซื้อง่ายขายคล่อง ซ่อมไม่เหนื่อย อุปกรณ์ภายในพอรับได้ ผ่านการพิสูจน์ความทนทานมาแล้วจากความนิยมของแท็กซี่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์เพื่อใช้งานทั่วไป ที่เบื่อกับการซ่อม และหาอะไหล่
จากคุณ :
บั้งไฟลาว
- [
31 ส.ค. 49 13:21:45
]
|
|
|