ความคิดเห็นที่ 1 ตัว 5w-30 ราคาถูกกว่า หาซื้อได้ง่าย จะให้ดี ตัว 0w-60 ดีกว่า แต่ราคาลิตรละเป็นหมื่น จากคุณ : ตี๋แก้มป่อง (ตี๋แก้มป่อง) - [ 12 ก.ย. 49 13:28:34 ]

ความคิดเห็นที่ 2 งง งง งง จากคุณ : drof - [ 12 ก.ย. 49 17:29:29 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าผมเคยอ่านมาจำไม่ผิด W นี่หมายถึง Winter ครับ ซึ่งตัวเลข ด้านหน้ามันหมายถึงใช้สำหรับเมืองหนาว แต่ผมจำไม่ได้ว่ามันเป็น ตัวเลขอุณหภูมิ หรือความหนืด ตรงนี้รอผู้รู้ แต่ที่แน่ๆ จากนักเคมีของ ปตท. ที่ผมเคยไปถาม มันแพงโดยใช่เหตุครับ ใช้ 5W-X ก็พอ จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 12 ก.ย. 49 20:41:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เพิ่มเติมครับ 5w-x หรือ 10w-x ครับ ตัวหน้าไม่จำเป็นต้อง 0 มันแพงเกินโดยใช่เหตุ เดี๋ยวกลับบ้านไปเปิดตำรามาดูครับ จะได้ชัวร์ว่าตัวหน้า หลัง หมายถึงอะไร มีกระทู้ถามอยู่ด้านบน แต่ที่จำไม่ผิด W = Winter ครับ กระทู้นี้ติดไว้ มา Update แน่ๆครับ แต่ตอนนี้ติดฝนอยู่ร้านเน็ต 2 ชั่วโมงแล้วครับ  คิดดู คห.3 20:41 ตอนนี้ 22:36 ฝนยังตกไม่หยุดเลย ขอโทษที่นอกเรื่องครับ แค่เซ็งๆๆๆๆ ฝนตก จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 12 ก.ย. 49 22:36:33 ]

ความคิดเห็นที่ 5 น้ำมัน ช่วงยาว อย่าง 0w40 0w50 หรือ 0w60 บ่งบอก ถึง คุณภาพของ base oil รอคุณช่างกล มาขยายความต่อ จริงๆแล้ว แก ฉายหนังซ้ำไปหลายรอบ แต่คนดู ยังมาเรื่อยๆ คงต้องรบกวนอีกรอบนึงล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 49 00:23:02 จากคุณ : ถัง - [ 13 ก.ย. 49 00:21:52 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จากกระทู้เก่า ๆ ของคุณช่างกลที่ผมเซพไว้ เอาเวอร์ชั่นย่อไปก่อน เต็ม ๆ ตอนเย็นจะมาพิมให้ พอดีรีบไปเรียนครับ --------------------------- ความคิดเห็นที่ 5   พูดง่ายๆ ถ้าดูที่อุณหภูมิตอนเช้าเมืองไทย เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้ multi-grade ใช้น้ำมันเกรดเดียว เบอร์ 40 ก็ได้ ในเมื่อเราจำเป็นต้องใช้ multi-grade เราก็มีทางเลือกที่จะเลือกใช้multi-grade ตัวไหนที่ดีกว่า multi-grade ที่มี *ช่วงกว้าง* คือ เลขตัวหน้าต่ำๆ จำเป็นต้องใช้ base oil ที่มีคุณภาพสุงขึ้น คือ เลขตัวหน้ายิ่งต่ำ ==> คุณภาพของน้ำมันยิ่งดีขึ้น เพราะจำเป็นต้องมี VI ในเนื้อน้ำมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ===> น้ำมันที่มี VI สูงที่สุดคือ synthetic ดังนั้น เราสามารถดูเลขตัวหน้า แล้วบอกได้ทันที โดยไม่ต้องดูยี่ห้อ หรือเงื่อนไขอื่นว่าน้ำมัน 0w-50 มีคุณภาพดีกว่า 20w-50 ครับ จากคุณ : ช่างกล (ช่างกล-หนุ่ม)  - [ 21 ม.ค. 49 07:30:24 ] จากคุณ : Aop - [ 13 ก.ย. 49 11:00:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ้าว เขียวขี้มามันสีนี้เหรอเนี่ย ซ้ำกับตาถังเลย หุหุ จากคุณ : Aop - [ 13 ก.ย. 49 11:03:14 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ^ ^ ^ ยกมาจากที่คุณช่างกลบอกเอาไว้ พูดง่ายๆ ถ้าดูที่อุณหภูมิตอนเช้าเมืองไทย เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้ multi-grade ใช้น้ำมันเกรดเดียว เบอร์ 40 ก็ได้ สรุปสำหรับข้อความนี้คือ เมืองไทยไม่จำเป็นต้องใช้ multi grade ครับ แล้วอีกอัน ในเมื่อเราจำเป็นต้องใช้ multi-grade เราก็มีทางเลือกที่จะเลือกใช้multi-grade ตัวไหนที่ดีกว่า ที่เราจำเป็นต้องใช้ multi grade ในเมืองไทย ก็เพราะว่าไม่มีใครเอาเกรดรวมมาขายกันแล้ว และ การโฆษณาที่ผู้นำเข้า นมค.ทั้งหลายโฆษณากรอกหูเรามาหลายๆปี ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศเชื่อว่า น้ำมันเครื่อง multi grade ดีกว่าน้ำมันเกรดเดียว (ในเมืองหนาวละก็ใช่ แต่เมืองไทยจะว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ เพราะมันไม่จำเป็น) สรุปสำหรับน้ำมันเครื่อง เรากำลังใช้น้ำมันเครื่องเกินความจำเป็นกันหรือป่าว? (ผมก็คนนึงที่ใช้ multi ราคาแพงเหมือนกัน) ลืมตอบ จขกท. ถุกต้องครับ น้ำมันเครื่องที่มีช่วงกว้างกว่า ย่อมคุณภาพดีกว่าอยู่แล้ว จากคุณ : เด็กรับรถ - [ 13 ก.ย. 49 12:20:59 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อคืนผมไปดูตำรามานะครับ ผิดถูกรอผู้ชี้แจงอีก 0w-40 W = winter สำหรับเกรดน้ำมันเครื่องในเขตหนาว เนื่องจากในเมืองหนาว อุณหภูมิต่ำมาก น้ำมันเครื่องมีความหนืดสูงเวลาสตาร์ทจะสึกหรอมาก ทำให้ต้องการน้ำมันเครืองที่ความหนืดต่ำที่อุณหภูมิต่ำ แต่ถ้าเป็นงั้นพอเครื่องร้อนอุณหภูมิสูงขึ้น ถ้าหากใช้น้ำมันเครืองความหนืดต่ำมากไปมาใช้ก็จะไม่เกิดฟิมส์หล่อลื่นที่ดีทีอุณหภูมิสูงอีก ดังนั้นน้ำมันเครื่อง Multigrade พวก XW-XX จึงนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ไม่หนืดเกินไปที่อุณหภูมิต่ำ และไม่ใสเกินไปที่อุณหภูมิสูง เลขตัวหน้า w บอกถึงค่าความหนืดที่ใช้กับประเทศเมืองหนาวหรืออุณหภูมิต่ำ เพราะว่าอากาศที่เย็นน้ำมันเครื่องจะมีความหนืดมาก เวลาสตาร์ทรถถ้าน้ำมันเครื่องมีความหนืดมากก็จะทำให้เกิดการสึกหรอได้ ในตำราที่ไปค้นมา เลขหน้า W 0 จะมีความหนืดต่ำสุดเมื่อเทียบกับอุณหภูมิเดียวกันกับพวก 5W หรือ 10W โดยเค้าจะใช้อุณหภูมิที่ทำให้มีความหนืดสูงสุดเป็นตัวแบ่งเกรด 0W = 3250 cP/ -30 องศา C โดย 3250 คือความหนืด หน่วยเป็น cP = centipoise.( A unit of viscosity) 5W = 3500 cP/ -25 องศา C จะพบว่าถ้าตัวเลขหน้า W ต่ำมากเท่าไหร่ น้ำมันหล่อลื่นชนิดนั้นก็จะหนืดน้อยกว่าพวกที่มีตัวเลขหน้า W มาก จะมีผลในการเลือกใช้งานสำหรับพวกเมืองหนาว อันนี้ผมจำมาจากตำราน่ะ ส่วนเลขตัวหลังเป็นเกรดบ่งถึงความหนืด ณ 210 องศา F ครับ = 98.89 องศา C ไม่ใช่ค่าความหนืดนะ เช่น 0W - 40 เลข 40 ไม่ใช่ค่าความหนืด แต่ในตารางบอกว่า ที่ Number 40 จะมีค่าความหนืดเป็นช่วงครับ ที่อุณหภูมิ 210 องศา F ผมจำตัวเลขช่วงนั้นไม่ได้ แต่ตำราก็บอกไว้ว่าค่า Number ที่เหมาะกับประเทศไทยคือ 30, 40, 50, 60   โดยน้ำมันเครื่องที่อุณภูมิสูงจะใสและเหลวมาก ซึ่งถ้ายิ่งใสเหลวมากก็จะไม่ทำให้เกิดฟิมส์บนผิวหล่อลื่นที่ดี และหนาไปก็ไม่ดี ดังนั้น Number ความหนืดตัวหลังควรเลือกให้เหมาะกับเครื่องยนต์ครับ คราวนี้เลขตัวหน้าที่ความหนืด xW นั่นน่ะ พอมาใช้งานในประเทศไทย เราไม่ได้หนาวขนาดติดลบ หรืออุณหภูมิเลขตัวเดียว อุณหภูมิ Stanby ก่อนสตาร์ทเราอยู่ที่ 25-30 องศา เกรด 0 หรือ 5 หรือ 10W จะมีความหนืดที่อุณหภูมิขณะนั้นแตกต่างกันก็จริง แต่ไม่มากขนาดทำให้เห็นความแตกต่างขณะสตาร์ท ความสึกหรอที่เกิดขึ้นอาจจะไม่แตกต่างกันมากขณะเครื่องเย็นหรือสตาร์ท จะไปต่างกันมากที่อุณหภูมิต่ำๆมากกว่า ดังนั้นจึงเหมาะกับพวกเมืองหนาวเค้าจะเลือกใช้กันพวก XW น่ะ   พอเครื่องร้อนแล้ว ตัวหลังจะมีบทบาทมากควรใช้ตัวหลังให้เหมาะกับ Spec รถดีกว่าน่ะครับ ส่วนตัวแรกใช้พวก 0W ผมคิดว่าแพงโดยใช่เหตุ นอกซะจากจะมีพวกสารป้องกันการสึกหรอหรือสารเพิ่มประสิทธิภาพอื่นๆใส่ลงไปเพิ่มที่ทำให้ราคามันต่างกันอันนั้นค่อยเอามาพิจารณาเลือกใช้ ผิดถูกรอผู้แก้ไขครับ ผมเพิ่งอ่านมาเมื่อคืน จากตำรา น้ำมันเชื้อเพลิงและสารหล่อลื่น ครับผม แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 49 13:59:11 จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 13 ก.ย. 49 13:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ความคิดเห็นส่วนตัว ถ้า 0W-40 ผมคิดว่าเราใช้น้ำมันเครื่องดีเกินความจำเป็นครับ จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 13 ก.ย. 49 13:56:47 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตามที่ท่านข้างบนว่า ถูกแล้วครับ W คือ winter ตัว W สำหรับน้ำมัน single grade และ multigrade W มีความหมายไม่เหมือนกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะค้นนิยาม Multigrade ของ API มาให้ดูครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 13 ก.ย. 49 20:16:41 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เบอร์ของน้ำมันเครื่อง Multigrade ประกอบด้วยตัวเลข 2 ตัว เช่น 0W-50 -เลขตัวหน้า = 0W -เลขตัวหลัง = 50 เลขตัวหน้า และเลขตัวหลัง มีความหมายดังนี้ Multigrade Oils are defined by both of the following criteria: 1) Maximum low-temperature cranking and pumping viscosities corresponding to one of the W-grade , --ในที่นี้ คือ เลขตัวหน้า = 0W 2) Maximum and minimum kinematic viscosities at 100 C and a minimum High-Shear-viscosity @ 150C corresponding to one of the non-W grade --ในที่นี่ non-W grade คือเลขตัวหลัง = 50 ข้อ 1) เป็นเรื่องของคุณสมบัติน้ำมันที่ Low-temperature ทดสอบหาว่า อุณหภูมิต่ำที่สุดเท่าไร ?? ที่น้ำมันเครื่องยังมีความข้นใสพอที่จะไหลไปเลี้ยงเครื่องยนต์ โดย pump ให้ไปหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ได้ เรียกว่า *Low-temperature cranking and pumping viscosity* -Low-Temperature-Test Method ตาม ASTM D 5293 วัดออกมามีหน่วยเป็น centipoise = cP viscosity measured by this method has been found to correlate with engine speeds developed during *Low-Temp cranking* -The pumping viscosity is the measure of an *oil's ability to flow to the oil pump and provide adequate oil pressure during the initial stages of operation* ข้อ 2 ) จุดประสงค์หลักของข้อ 2 เกี่ยวข้องกับเลขตัวหน้าที่ลงท้ายด้วย W ต้องการจะสื่อ คือ the intent of the kinematic viscosity limits for each W grade is to ensure that the viscosity of this oil is high enough at engine operating temperature to provide adequate protection. ข้อนี้เป็นการทดสอบ High Temperature ทดสอบค่า kinematic viscosity ของน้ำมันที่อุณหภูมิทำงานของเครื่องยนต์ @ 100C - High Temp-Test has been  * traditionally used* as a guide in selecting oil viscosity for use under normal engine operating temperature - ค่า HS = high shear ทดสอบการทำงานที่อุณหภูมิสูง 150C ซึ่งมีผลกับการสึกหรอของ bearing , ring and liner,  เป็นการทดสอบคุณสมบัติน้ำมันเมื่อเครื่องยนต์ทำงานหนัก เช่น HS min = 2.9 cP ใช้กับ light duty HS min = 3.7 cP ใช้กับ heavy duty Historically --SAE 0W-40 , 5W-40 , and 10W-40 have been used primarily in *Light-Duty engines* these Oils must meet a min-HT/HS high temp high shear viscosity limit of 2.9 cP ในขณะเดียวกัน --SAE 15W-40, 20W-40, 25W-40 have typically been used in *Heavy-Duty engines* (ประมาณต้น 1980 Delo ออกน้ำมันเครื่องดีเซลแบบ multigrade เบอร์ 15W-40 เป็นน้ำมันที่ ได้รับความนิยมในหมู่รถใหญ่ เครื่องดีเซลขนาดใหญ่ในอมก. นิยมน้ำมันเบอร์นี้มาก ) ต่อ... เลขตัวหน้า ไม่จำเป็นเมื่อใช้กับอุณหภูมิเมืองไทย  จริงหรือ ?? แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 49 06:07:55 จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 06:06:36 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตัวอย่าง "เลขตัวหน้า" แสดงคุณสมบัติน้ำมัน อย่างนี้ครับ Low-temp cranking / Low-temp pumping / min Kinematic Viscosity @100C 0w    -30C  /  -40C   / 3.8 cSt 5w    -25C  /  -35C    / 3.8 cSt 10w  -20C  / -30C    / 4.1 cSt 15w  -15C  / -25C   / 5.6 cSt 20w  -10C / -20C   / 5.6 cSt 25w  -5C / -15C    / 9.3 cSt เมื่อเห็นอย่างนี้ จะรีบด่วนเป็นวัยรุ่น สรุปว่า *เลขตัวหน้า* ไม่มีความจำเป็นสำหรับใช้ @ อุณหภูมิเมืองไทย พูดอย่างนี้ ก็ไม่ถูก บางคนไปดูที่  viscosity @ 30C แล้วบอกว่า 0W หรือ 10W  หรือ 20W มันมีความใส"เท่ากัน" หรือ พอๆกันที่ อุณหภูมิ 30C พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก !! เพราะ 30องศา มันเป็น ambient Temp เมืองไทย.....ก็จริงอยู่ แต่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานที่อุณหภูมินี้นี่ครับ อุณหภูมิทำงานของเครื่องยนต์ เขาตั้ง Themostat ไว้ที่ 80-90C อุณหภูมิน้ำมันเครื่องก็จะอยู่ที่ใกล้ๆ 100C ดังนั้น ถ้าดูที่อุณหภูมิทำงาน 100C  Viscosity จะต่างกัน น้ำมันที่เลขตัวหน้าต่ำ จะมีความใสมากกว่า คราวนี้ถามว่า น้ำมันเครื่องใสๆ มันจะทนคนขับตีนโหด ได้ดีแค่ไหน ? ก็ต้องดูเลขตัวหลัง ที่เขาทดสอบ HT/ HS ทดสอบที่ 150C ตัวอย่าง HT/HS  หน่วย cP เลขตัวหลัง  ..... HS 20  2.6   30  2.9 40  2.9     (ขึ้นอยู่กับเลขตัวหน้า เช่น 0w-40, 5w-40, 10w-40 ) 40  3.7     (ขึ้นกับเลขตัวหน้า เช่น 15w40 ฯลฯ) 50  3.7 60  3.7 ตัวเลขตัวหน้า มีความสัมพันธ์กับเลขตัวหลัง นอกจากจะบ่งค่า HS ที่แตกต่างกันแล้ว มันยังบ่งคุณสมบัติของ bas-oil ที่เอามาทำน้ำมันชนิดนั้น ครับ !!!!! ดังที่เห็นข้างบน เบอร์ 40 มีค่า HS ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับเลขตัวหน้า แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 49 06:35:43 จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 06:32:56 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เบอร์ 40 มีค่า HS ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับเลขตัวหน้า >>>>>>>>>>> ค่า HT / HS high temp / high shear บอกการใช้งานว่าเป็น -light duty -heavy duty เช่น HS min = 2.9 cP ใช้กับ light duty HS min = 3.7 cP ใช้กับ heavy duty Historically คนแก่ชอบอ้างประวัติศาสตร์ครับ --SAE 0W-40 , 5W-40 , and 10W-40 have been used primarily in *Light-Duty engines* these Oils must meet a min-HT/HS high temp high shear viscosity limit of 2.9 cP ในขณะเดียวกัน --SAE 15W-40, 20W-40, 25W-40 have typically been used in *Heavy-Duty engines* (ประมาณต้น 1980 Delo ออกน้ำมันเครื่องดีเซลแบบ multigrade เบอร์ 15W-40 เป็นน้ำมันที่ ได้รับความนิยมในหมู่รถใหญ่ เครื่องดีเซลขนาดใหญ่ในอมก. นิยมน้ำมันเบอร์นี้มาก ) เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายที่ชอบเลือกเลขตัวหลัง "ต่ำกว่า" 40 คุณควรจะแน่ใจว่า พฤติกรรมการขับขี่ของคุณเป็นแบบย่องๆ ค่อยไป ในชีวิตรถคุณไม่เคยถูกเล่นบทตีนโหดแบบคุณต้น นะครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 06:43:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คงจะมีคำถามค้างคาใจว่า ทำไมเลขตัวหน้าต่ำๆ คุณภาพ base-oil จึงดีกว่า ??? พูดง่ายๆ ยิ่ง multigrade ช่วงกว้าง ราคาก็ยิ่งแพง   เช่น 0w-50 หรือ 0w-60 (ทำไมตัวนี้ถึงแพงเว่อร์อย่างนั้น ครับ ??) มันแพง เพราะ... คุณภาพของ base oil ที่เอามาผลิตครับ อธิบายอย่างนี้ ตามประวัติฯ หลักการผลิตน้ำมัน multi-grade สมัยแรกเป็นอย่างนี้ เช่น 20w-50 ก็เอาน้ำมันเกรด 20w ใสๆ มาใส่ VII (viscosity index improver) เติมเข้าไป ทำให้ ค่า VI- index ของน้ำมันสูงขึ้นกว่าเดิม สูงจนทนได้เทียบเท่าเบอร์ 50 ดังนั้นจะเห็นได้ว่า 1) --multi-grade ช่วงกว้างหรือแคบ มันขึ้นอยู่กับ VI ของ base-oil ถ้า base-Oil ที่เอามาผลิดมีค่า VI สูง ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ VII เข้าไปมาก 2) อยากได้ multigrade ช่วงแคบก็ใส่ VI น้อย แต่ทีนี้ การใส่ VI มันไม่ง่ายอย่างนี้ นึกจะเอาน้ำมันใสมากๆมาใส่ VI เข้าไปมากๆ มันจะเกิดปัญหากับเครื่องยนต์ อ้างอิงตามประวัติศาสตร์ (อีกแล้วอิอิ) ประมาณปลายยุค 70 ที่น้ำมันยี่ห้อหนึ่ง(เคยบอกแล้ว ตอนนี้นึกชื่อไม่ออก) ได้ทำ 10w-50 ออกมาเป็นยี่ห้อแรก แต่บริษัทรถในเยอรมันทุกยี่ห้อ(หรือเกือบทุกยี่ห้อ) ออกหนังสือเตือนห้ามใช้ multi-grade ช่วงกว้างนี้ เพราะผลการทดลองมีปัญหากับเครื่องยนต์ รายละเอียดลองค้นหนังสือรถ Auto Motor Sport ของเยอรมันได้ คราวนี้ก็จะมีคำถามต่อเนื่องว่า แล้วทำไมปัจจุบันนี้ multigrade ช่วงกว้าง กว้างกว่า 10w-50 ถึงมีคุณภาพดีกว่าเล่าครับ ?? เดี่ยวจะกลับมาเล่าให้ฟังครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 07:04:53 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ^ ^ ก่อนจะเล่าข้างบน ขออนุญาติเล่าเรื่อง VII viscosity index-improver ก่อน VII มันช่วยให้ viscosity index ดีขึ้นได้อย่างไร ? กลไกการทำงานมันเป็นอย่างนี้ VII เป็นสารโพลีเมอร์ เป็นเส้นยาว คล้ายเส้นด้ายเล็ก ในอุณหภูมิปกติ คือ ตอนเครื่องเย็น VII จะขดตัวเป็น"ก้อนเล็กๆ" เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เส้นด้ายจากก้อนเล็กๆก็จะ "คลี่กระจายตัวเอง" ออกเป็น "เส้นด้ายยาวๆ" เส้นด้ายยาวๆ นี่เปรียบเหมือน "เส้นเหล็ก" ที่เราเสริมความแข็งแรงของคอนกรีต VII เมื่อร้อนขึ้นก็ทำหน้าที่เสริมความแข็งแรงของฟิล์มน้ำมันเครื่อง คอยยึดเหนี่ยวไว้ให้ฟิล์มน้ำมันเครื่องมีความแข็งแรง .... ก็ค่า shear นั่นแหละ ทำให้น้ำมันเครื่องที่ใสๆ ทนแรงได้ดีกว่าเดิม ปัจจุบัน VII มีหลายชนิด ที่ผมจำได้ก็ Polymethacrylate พอรู้หลักการนี้ บริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง ก็ทลึ่ง ทำ multigrade ช่วงกว้างมาก(ในสมัยนั้น) ออกขาย แต่เกิดปัญหาในการใช้งาน ปัญหาที่เกิดสมัยนั้น เป็นปัญหาของตัว VII เอง เดิม น้ำมัน API จะลงท้ายด้วยเลข 0 เช่น 20 30 40 50 เบอร์ที่ลงท้ายด้วยเลข 5 เกิดขึ้นภายหลังเมื่อตลาด อมก.เกิดตื่นเต้นกับน้ำมันเครื่อง fuel -saving จึงเกิดน้ำมันเครื่องเกรดที่ลงท้ายด้วยเลข 5 ขึ้น เป็นที่ฮือฮา เช่น 15w-40 ของ Delo ที่รถหัวลากขนาดใหญ่นิยมใช้ หลังจากผ่านการทดลองใช้งานได้ผลดี บริษัทเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ เช่น Cummins ก็เริ่มแนะนำน้ำมันตัวนี้ ผมเห็นแผ่นพับของ Cummins แนะนำเมื่อปี 2520 ประมาณนี้ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 07:28:40 ]

ความคิดเห็นที่ 17 Base-Oil จะดีหรือไม่ดี ดูจากอะไร ดูที่ VI และค่า impurity ว่ามี un-saturated CH-group มากหรือไม่ 1) VI คือ คุณสมบัติการเปลี่ยนแปลงความข้นใส เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น VI ยิ่งมาก ยิ่งมีคุณภาพดี 2) ความไม่บริสุทธิ impurity ถ้ามีกลุ่ม un-saturated CH มาก น้ำมันก็จะ unstable คือพร้อมจะจับตัวเสื่อมคุณภาพ ได้ง่าย คือ อายุใช้งานก็สั้นลง ===> น้ำมันเครื่องโบราณยุคแรกๆ เช่น API SA SB มีอายุการเปลี่ยนถ่ายสั้นมาก จะเห็นได้ว่า อายุการใช้งานน้ำมันเครื่อง ==> ขึ้นกับความบริสุทธิ์ของ base-oil บริษัทน้ำมันจึงพยายามกำจัด un-saturated ตัวสำคัญคือกลุ่ม Aromatic ออกทิ้ง ค่อยๆปรับปรุงจน impurity ลดลงเรื่อยๆ น้ำมันเครื่องในปัจจุบัน จึงมีอายุเปลี่ยนถ่ายที่ยาวนานกว่าเดิมมาก 1หมื่นกืโล ถือว่า เด็กๆ เพราะ ตั้งแต่ยุค API SF (ถ้าจำไม่ผิด) API ก็แนะนำใช้ได้เป็นหมื่นโล แล้วครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 07:39:21 ]

ความคิดเห็นที่ 18 Base-Oil ผลิตจากน้ำมันดิบ ซึ่งมีกลุ่ม CH ต่างๆ หลายกลุ่ม ซึ่งโรงงานจะต้องแยกกลุ่ม CH ที่ไม่ดีออกทิ้งให้เหลือ impurity ต่ำสุด จึงจะได้ base-oil ที่มีคุณภาพ ผมจะยกตัวอย่าง ดีสุด กับ เลวสุด เพียง 2 ตัว 1) CH-group ที่ดีที่สุด คือกลุ่ม Paraffin กลุ่มนี้เป็นกลุ่ม Saturated คือ โครงสร้างเคมีครบสมบูรณ์ สูตรโครงสร้างคือ Cn H2n+2 ที่กลุ่ม paraffin มันดีเลิศ เพราะกลุ่นนี้มีค่า VI สูงที่สุดในกลุ่ม CH ทั้งหมด 2) กลุ่มที่เลวสุด คือ Aromatic เป็นกลุ่มที่ un-saturated คือแขนของ C ยังจับตัวไม่ครบ มันจึง unstable พร้อมที่จะจับตัวให้คุณสมบัติเปลี่ยนแปลง ===> น้ำมันเครื่องก็เสื่อมคุณภาพได้ง่าย อายุการใช้งานก็ลด โดยหลักการ น้ำมันเครื่อง Synthetic คือ pure-paraffin น้ำมัน Synthetic จึงมีค่า VI สูง *โดยกำเนิด* จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 07:48:50 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณช่างกลครับ ถ้าในเมืองไทย น้ำมันเครื่อง 0W-40 กับ 10W-40 หรือ 15W-40 หรือเกรดเดี่ยว 40 50 60 อย่างไหนเหมาะสมกับการใช้งานในเมืองไทยมากกว่ากันครับ อยากรบกวนให้วิเคราะห์ฟันธงตรงจุดนี้ เพราะ คห. ส่วนตัวผม เชื่อว่า 0W-40 มันดีเกินความจำเป็นเพราะบ้านเราอุณหภูมิสตาร์ท ไม่ได้หนาวเย็นขนาดนั้น สตาร์ทที่ไม่เกิน 30 degC เชื่อว่ามันไม่ทำให้สึกหรอแตกต่างกันมาก แล้วพอไปถึง 100 degC ความหนืดตัวหลังก็ใกล้เคียงกัน แต่พอไปที่ 150 degC การใช้งานตัวหน้W ที่มีค่ามากก็น่าจะดีกว่า ดูจากค่า HS ที่ใช้กับ heavy duty ดังนั้น 10 ถึง 15W-40 ก็น่าจะเหมาะมากกว่า แล้วตอนนี้ คนก็แห่ไปซื้อตามโฆษณา Super Synthetic ของ ปตท. เพราะเห็นว่าตัวหน้าเป็น 0 ที่เชื่อกันว่าดีกว่า ว่าลืนกว่า ใสกว่า อยากให้ช่วยออกความเห็นเชิงฟันธงน่ะครับ ผมคิดว่าน่าจะมีคนสนใจไม่น้อย จะได้ช่วย Save เงินในกระเป๋าได้เยอะ เพราะ 0W-40 ราคาต่างจาก 5W-40 พอสมควร เว้นเสียแต่จะไปเอาของแถม ปตท. ที่ต้นทุนเพียงไม่กี่บาท ขอบคุณครับ จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 14 ก.ย. 49 07:58:09 ]

ความคิดเห็นที่ 20 Synthetic หรือ การสังเคราะห์ สังเคราะห์ยังไง ?? กลุ่ม CH ที่ไม่สมบูรณ์คือ unsaturated ตัวหนึ่งคือ Olefin สูตรโครงสร้างคือ Cn H2n ...... (สังเกตเทียบกับ paraffin ยังขาด H อยู่ 2 ตัว) เมื่อเอา Olefin มาเติม H เข้าไป 2 ตัว จะได้ Cn H2n + 2 ====> ก็จะกลายเป็น pure Paraffin โดยไม่มี impurity หรือสิ่งแปลกปลอมเลย ดังนั้นน้ำมัน Synthetic มันถึงดีโดยกำเนิด คือ ดีตั้งแต่เกิด เพราะ 1) เป็น pure paraffin (นักบัญชีอย่าเถียงว่า additive และตัวช่วยมันทำให้ไม่ pure เถียงอย่างนี้ จะไม่จบ อิอิ) 2) impurity พวก CH-เลวๆ ที่มันทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพ อายุสั้น ==> ไม่มีเลย ดังนั้น Synthetic จึงยืดอายุการเปลี่ยนถ่ายได้มากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเทียบกับน้ำมันเครื่องธรรมดา ตอนหลังกระบวนการผลิตน้ำมัน Base Oil พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนทำ impurity ได้ดี ใกล้เคียงกับ Synthetic และได้รับการยินยอมให้ใช้ label เป็น "Synthetic" ได้ ทำให้ราคาน้ำมัน Synthetic "ชนิดนี้" ถูกกว่า Synthetic แท้ ถ้าใครจะบอกว่า Synthetic มันดี แต่มันดีเกินไปสำหรับรถของท่าน ท่านคงจะลืมไปแล้วว่า ทุกวินาทีที่เครื่องยนต์รถท่านทำงาน น้ำมันเครื่องมีบทบาทป้องกันความสึกหรอของรถท่าน มันไม่ได้เลือกที่รัก มักที่ชังว่า รถของท่านไม่ได้เป็นรถแข่ง หรือรถแพง น้ำมันเครื่องมันจะ"แทรกกลาง" ระหว่างชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว ไม่ให้ชิ้นส่วนเสียดสีกัน จำได้ไหมครับ ผมเคยโม้เรื่องการ run-in คือการ "บดแหวน" เขาต้องการให้แหวนเสียดสี จนผิวสัมผัส "สึกหรอ" จนเรียบเข้าที่กับกระบอกสูบ เหมือนการ "บดวาว" เพื่อให้หน้าสัมผัสของแหวนทำหน้าที่ seal แรงอัดได้ดี ... หลักการ run-in ที่สำคัญมีแค่นี้ โรงงานเครื่องยนต์ทุกแห่งตระหนักดีถึงคุณภาพ Synthetic ว่ามันป้องกันการสึกหรอได้ดีเยี่ยมยอด โรงงานทุกแห่งจึง *ห้าม* ใช้น้ำมันเครื่อง Synthetic ระหว่าง Run-In ครับ ท่านทั้งหลายมีเงินซื้อรถเป็นล้านนี่ครับ ทีน้ำมันเครื่องดีๆ ทำไมถึงขี้เหนียวกันเหลือเกิน   แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 49 08:10:52 จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 08:05:16 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ตามประวัติฯ หลักการผลิตน้ำมัน multi-grade สมัยแรกเป็นอย่างนี้ เช่น 20w-50 ก็เอาน้ำมันเกรด 20w ใสๆ มาใส่ VII (viscosity index improver) เติมเข้าไป ทำให้ ค่า VI- index ของน้ำมันสูงขึ้นกว่าเดิม สูงจนทนได้เทียบเท่าเบอร์ 50 >>>>>>>>>>>>>>> ก่อนที่คุณ BABOO (BABOO_JZ) จะให้ฟันธง ผมขออนุญาติเพิ่มเติม วิธีทำน้ำมัน multi-grade สักเล็กน้อย ข้างบนที่ผม Quote มานั้น เป็น "หลักการเดิม" ที่เขาใช้น้ำมันใส (ใสขนาดเลขตัวหน้า) มาผลิต multigrade โดยการเติม VII คราวนี้ลองดูที่ SAE เขา defined multi-grade ข้างบน ยกมาจาก คห. 12 ดังนี้ //.. Multigrade Oils are defined by both of the following criteria: 1) Maximum low-temperature cranking and pumping viscosities corresponding to one of the W-grade , --ในที่นี้ คือ เลขตัวหน้า = 0W 2) Maximum and minimum kinematic viscosities at 100 C and a minimum High-Shear-viscosity @ 150C corresponding to one of the non-W grade --ในที่นี่ non-W grade คือเลขตัวหลัง = 50 ...// ค่อยๆ ดูให้ดี เลขตัวหน้า การไหลที่อุณหภูมิต่ำๆ มันเกี่ยวข้องกับค่า pour point .... ใช่ไหมครับ ??? ดังนั้นการผลิต multigrade ช่วงยาวๆ มันไม่ใช่แค่ เอาน้ำมันใสๆ มาเติม VII แค่นั้น มีการเล่นที่การ improve pour point อาทิ เช่น ใช้ additive ไปเล่นกับ pour point Pour Point Depressant  Enable lubricant to flow at low temperatures =====> cranking temp / pumping temp ก็จะได้ตามต้องการ ดังนั้น จึงสรุปคำตอบดังนี้ -การจะฟันธงว่า 0w-40 หรือ 15w-40 ดีกว่า ยังบอกไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่า base stock เขาใช้ตัวไหน ? -ส่วนที่ถามว่าเหมาะสำหรับเมืองไทย มันเหมาะทั้งสองเบอร์ เพราะ เราดูที่ operating temp และ HT/ HS -ถ้าจะถามว่า ตัวไหนลื่นกว่า ? ต้องดูที่ 100C ตัวไหนมี kinematic viscosity ต่ำกว่า เลขตัวหน้า ไม่ได้ใช้งานแค่ starting ตอนเช้า ครับ เมืองไทยจะหนาวหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะ เลขตัวหน้า มันโยงไปถึงค่า kinematic viscosity @ operating temperature ของรถ คือ 100C  ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 08:37:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ยกมาจากข้างบน ผมเคยพูดอย่างนี้ //.. ดังนั้น เราสามารถดูเลขตัวหน้า แล้วบอกได้ทันที โดยไม่ต้องดูยี่ห้อ หรือเงื่อนไขอื่นว่าน้ำมัน 0w-50 มีคุณภาพดีกว่า 20w-50 ครับ จากคุณ : ช่างกล (ช่างกล-หนุ่ม)  - [ 21 ม.ค. 49 07:30:24 ] ..// >>>>>>>>>>>>>> ถ้าดูระหว่าง 0w-50 และ 20w-50 สองตัวนี้ base oil ต่างกันเห็นได้ชัด อย่างนี้ฟันธงได้ว่า 0w-50 ดีกว่า ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 08:42:33 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แต่พอไปที่ 150 degC การใช้งานตัวหน้W ที่มีค่ามากก็น่าจะดีกว่า ดูจากค่า HS ที่ใช้กับ heavy duty ดังนั้น 10 ถึง 15W-40 ก็น่าจะเหมาะมากกว่า >>>>>>>>>> ถูกแล้วครับ ดูจาก HT/HS จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 08:52:48 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เพราะ 0W-40 ราคาต่างจาก 5W-40 พอสมควร >>>>>>>>>>> ราคาต่างกันมาก น่าจะมีนัยอะไรสักอย่าง เดาไม่ถูก อาจจะใช้ base oil ดีกว่า ก็ได้ หรือไม่ก็ตั้งราคาให้เว่อร์เพื่อจูงใจให้คนเชื่อว่าของดีกว่า ก็เป็นได้ทั้งนั้น เรื่องการตลาดนี่ครับ อยากรู้ว่าตัวไหนลื่นกว่า ลองใช้วัดความหนืดที่ operation temperature ง่ายๆได้อย่างนี้ ใช้กรวย (นี่ผมได้จากบริษัทน้ำมัน เขาใช้ประมาณค่าความหนืด) หลักการคือ ทำรูออกให้เล็กๆ พอที่เราสามารถจับเวลาการไหลของมันได้ ทำน้ำมันที่จะทดสอบให้ร้อน 100-110 C เอามาเทลงไป คอยกดนาฬิกาจับเวลา ดูว่าน้ำมันตัวไหนใช้เวลาน้อยกว่า ก็จะใสกว่า ขับลื่นกว่า ครับ เคยทดลอง 0w-50 เทียบกับน้ำมันธรรมดา เห็นความแตกต่างชัดเจน จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 08:58:44 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ตามที่คุณ BABOO (BABOO_JZ) แนะนำน้ำมันเครื่องเกรดเดียว single grade oil เช่นเบอร์ 40 ก็เป็นน้ำมันที่ใช้ได้ดีมากตัวหนึ่ง ผมเคยเชียร์น้ำมัน Delo API 40 อยู่หลายปีเหมือนกันครับ ตามประวัติศาสตร์ (อีกแล้ว) สมัยที่มีการแข่ง 1/4 ไมล์ที่วัชรภูมิ คนเก่าๆ ที่นี่คงจะรู้จัก คุณหนู หรือ ไกรสร แกแต่งรถ Nissan (ถ้าจำไม่ผิด) แข่ง ใช้น้ำมันยี่ห้อแพงๆ ดีที่สุดในสมัยนั้น ระยะทางแค่ 400 เมตรนั่นนะ น้ำมันเครื่องชั้นดียอดเยี่ยม ราคาแพงๆ เอาไม่อยู่ คือ ชาร์ปละลาย ระหว่างนั่งอ่อนใจ จะทำอย่างไรดี พอดีมีรถสิบล้อจอดเติมน้ำมันเครื่อง แกได้กลิ่นน้ำมัน Delo ที่สิบล้อกำลังเติม มันมีกลิ่นคล้าย Egip ซึ่งเป็นน้ำมันชั้นดี เกิดปิ้งไอเดีย เอา Delo 400 เบอร์ 40 ลองเติมบ้าง ผลปรากฏว่า ชาร์ปทนได้ ไม่ละลาย และแกก็ติดใจใช้ Delo กับรถของแกเรื่อยมา ผมก็ใช้กับรถของผม หลังจากยกเครื่องถอดฝาครอบวาว ออกมาดู เห็นคุณภาพคับแก้วจริงๆ ภายในเครื่องสะอาด แวววาว เหมือนใหม่ แต่โลกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุดนี่ครับ ปัจจุบันนี้ เราไม่เห็นน้ำมัน single grade ที่มี API สูงอีกแล้ว ประกอบกับคุณภาพน้ำมัน multi-grade ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เราถูกบังคับให้ใช้ multi-grade ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 ก.ย. 49 09:19:15 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คุณช่างกลครับ ผลการทดสอบ การไหลที่ 100 degC ถ้าตัวไหนใสกว่าก็จะลื่นกว่า แต่ถ้าอุณหภูมิสูงมาก ใช้งานรอบสูงก็อาจจะไม่เหมาะใช่มั้ยครับสำหรับเบอร์ 0W การทดสอบ เทียบกับเกรดธรรมดากับ 0W ที่คุณช่างกลเคยทดสอบ อันนั้นผลแตกต่างชัดเจน 0W ย่อมดีกว่า ในการใช้งานธรรมดา ไม่หนักมาก ถ้าให้ผมคาดคะแนผลการทดสอบเทียบกันระหว่าง 0W-40 กับ 5W-40 Synthetic เหมือนกัน ผลไม่น่าจะต่างกันมาก ในขณะที่ราคาต่างกันพอควร  (3-4 ร้อยบาท) และหากผู้ใช้ต้องการรอบสูง ใช้แบบ Heavy duty บ้าง 5W ก็คงเหมาะกว่า หากผู้ใช้รถต้องการใช้ Synthetic แล้วมี 2 ตัวเลือก ถ้าอย่างนั้นในราคาที่ต่างกันพอสมควร (3-4 ร้อยบาท)แต่เป็น Synthetic เหมือนกัน ผมอ้างจาก 5W-40 และ Supersynthetic 0W-40 ปตท. คิดว่าผู้ใช้ควรจะเลือก 5W-40 มากกว่า ผมไม่อยากให้เพื่อนๆใช้ของที่แพงเกินจำเป็นน่ะครับ(รถวิ่ง 10000 โลเท่ากัน) ผิดพลาดผมรบกวนชี้แนะครับ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 49 12:17:08 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 49 12:14:15 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 49 11:39:54 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 49 11:14:29 จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 14 ก.ย. 49 11:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 27 Mobil1 0w-40 Viscosity @40C cSt  80 @100C cSt  14.3 Viscosity Index  187 Performa Super Synthetic 0w-40 Viscosity @40C cSt @100C cSt  12.7 Viscosity Index  183 Cold-cranking Simulator, @ -35C, cP 5,890 PTT Performa Fully 5w-40 Viscosity @40C cSt @100C cSt  14.26 Viscosity Index  176 Cold-cranking Simulator, @ -25C, cP 5,410 GE Gold Fully Synthetic 5W-40 Viscosity @40C cSt  90.98 @100C cSt  14.76 Viscosity Index  170 Cold-cranking Simulator, @ -25C, cP  3,070 Total Quartz 9000 5w-40 Viscosity @40C cSt  85 @100C cSt  14 Viscosity Index  170 Castrol EDGE 0w-40 Viscosity @40C cSt  79.3 @100C cSt  13.5 Viscosity Index  169 Cold-cranking Simulator, @ -35C, mPa.s 6,200 Castrol EDGE 0w-30 Viscosity @40C cSt  72 @100C cSt  12.2 Viscosity Index  167 Cold-cranking Simulator, @ -35C, cP 5,800 Caltex Havoline Energy 5w-30 Viscosity @40C cSt  55.8 @100C cSt  9.85 Viscosity Index  165 Castrol  5w-30 Viscosity @40C cSt  71.4 @100C cSt  12 Viscosity Index  165 Cold-cranking Simulator, @ -25 oC, cP 6,300 GE Silver Semi Synthetic 10W-40 Viscosity @40C cSt  95.83 @100C cSt  14.58 Viscosity Index  158 Cold-cranking Simulator, @ -25C, cP 5,820 Valvoline 5w-30 Viscosity @40C cSt  61.72 @100C cSt  10.90 Viscosity Index  157 Cold-cranking Simulator, @ -30C, cP 4,323 Mobil1 5w-50 Viscosity @40C cSt  105 @100C cSt  17.3 Viscosity Index  153 Valvoline 10w-30 Viscosity @40C cSt  65.05 @100C cSt  10.60 Viscosity Index  153 Cold-cranking Simulator, @ -25C, cP 3,924 PTT Semi 10w-40 Viscosity @40C cSt   @100C cSt  14.5 Viscosity Index  150 Cold-cranking Simulator, @ -25C, cP 6,770 Castrol  Magnatec 10w-40 Viscosity @40C cSt  101 @100C cSt  14.6 Viscosity Index  149 Cold-cranking Simulator, @ -25 oC, cP 6,600 จากคุณ : ton99 - [ 15 ก.ย. 49 01:31:15 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ข้างบนนี้ผมเรียงตามค่า Viscosity Index จากมากลงมาต่ำ ส่วนความหนืดนั้นดูที่ spec เอาเลยครับ จากคุณ : ton99 - [ 15 ก.ย. 49 01:32:13 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้าให้ผมคาดคะแนผลการทดสอบเทียบกันระหว่าง 0W-40 กับ 5W-40 Synthetic เหมือนกัน ผลไม่น่าจะต่างกันมาก ในขณะที่ราคาต่างกันพอควร  (3-4 ร้อยบาท) และหากผู้ใช้ต้องการรอบสูง ใช้แบบ Heavy duty บ้าง 5W ก็คงเหมาะกว่า >>>>>>>>>>>> เห็นด้วยครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 15 ก.ย. 49 05:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ผลการทดสอบ การไหลที่ 100 degC ถ้าตัวไหนใสกว่าก็จะลื่นกว่า แต่ถ้าอุณหภูมิสูงมาก ใช้งานรอบสูงก็อาจจะไม่เหมาะใช่มั้ยครับสำหรับเบอร์ 0W >>>>>>>>>> จะดูว่าน้ำมัน Multi-grade ตัวไหนดีกว่า ดูง่ายๆ จากตัวเลข 2 ตัว ดังนี้ 1) ดูความลื่น ความลื่นเป็นจุดขายที่ชอบเน้นครับ ลื่นเหลือล้น ทนจริงๆ... ลื่นเหลือเกิน ... ประมาณนี้ ความลื่น เราดูจาก *เลขตัวหน้า* เลขตัวหน้า ยิ่งต่ำ==> ยิ่ง ลื่น โดยดูการไหล @ อุณหภูมิทำงาน คือ 100C = ?? cSt   (ตัวอย่าง ตัวเลขของคุณต้นข้างบน ) 2) ดูลักษณะการใช้งานว่า น้ำมันนี้ทนทานงานหนัก heavy duty หรือไม่ ดูจาก *เลขตัวหลัง* โดยดูค่า HS high shear ที่เขาทดสอบ@อุณหภูมิ 150C จะเห็นได้ว่า เบอร์ของน้ำมัน multi-grade ประกอบด้วยตัวเลข 2 ตัว เลขตัวหน้า และ เลขตัวหลังมีความสำคัญทั้ง 2 ตัว จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 15 ก.ย. 49 06:15:51 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ทำไมกระทู้ดีๆ เค้าไม่ค่อยชอบโหวตกันก็ไม่รู้ ปัญหานี้ถามกันบ่อยมากๆ โหวตให้ก่อนละ ขึ้นมั้ยไม่รู้ จากคุณ : เด็กรับรถ - [ 15 ก.ย. 49 10:09:17 ]

ความคิดเห็นที่ 32 นั่นซิครับ ผมอยากให้กระทู้แบบนี้ ขึ้นโหวตบ้างจัง เป็นมีอะไร เป็นวิชาการ  เป็นวิทยาศาสตร์บ้าง ไม่งั้น  มันเหมือนห้องรัชดา เราเป็นห้องส้วม อัดอั้น อะไรมากับบริษัทรถ ... ก็มาปล่อย คนก็เฮโลกันด่า ตามไปด้วย สงสัยเราจะเป็นชนกลุ่มน้อย ... จากคุณ : ถัง - [ 15 ก.ย. 49 15:18:46 ]

ความคิดเห็นที่ 33 Castrol EDGE 0w-30 Viscosity @40C cSt  72 @100C cSt  12.2 Viscosity Index  167 Cold-cranking Simulator, @ -35C, cP 5,800 Caltex Havoline Energy 5w-30 Viscosity @40C cSt  55.8 @100C cSt  9.85 Viscosity Index  165 ขอบคุณครับตุณ Ton99 สำหรับข้อมูล คราวนี้เพื่อนๆก็คงได้เลือกใช้กันได้ว่าแบบไหนที่เราชอบ ผมสังเกตุนิดนึงจากข้อมูลที่คุณต้น ผมก็อปลงมาแล้ว ดูเหมือนว่า Caltex 5W-30 จะใสกว่า Castrol 0W-30 อีกนะเนี่ย แต่ราคา 5W-30 น่าจะถูกกว่า ขอบคุณทุกความเห็นครับ จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 16 ก.ย. 49 16:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มึนเลยงานนี้  อ่านกี่รอบเนี่ยถึงจะเข้าใจเนี่ย  แต่ก็ต้องอ่านให้เข้าใจเป็นคำตอบสุดท้าย  ไม่ตัวเลือก   ต้องชื่นชมสำหรับคุณช่างกลครับ เป็นกระทู้ที่นานๆจะมีที  คิดถึงบรรยากาศกาศพันทิปเก่าๆครับ จากคุณ : ความเห็นเล็กๆ - [ 16 ก.ย. 49 21:56:44 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณข้อมูลคุณต้นด้วยครับ จากคุณ : ความเห็นเล็กๆ - [ 16 ก.ย. 49 22:03:36 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คุณต้นมีข้อมูลของน้ำมันเครื่องดีเซลบ้างไหมครับ จากคุณ : ความเห็นเล็กๆ - [ 17 ก.ย. 49 06:36:16 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอขอบคุณ สำหรับความรู้ และโหวตให้ ครับ จากคุณ : โตโต้น้อย - [ 18 ก.ย. 49 08:00:31 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อยากให้เปรียบเทียบของดีเซลบ้างครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : VaMPirE258 - [ 19 ก.ย. 49 18:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 39 Spec ของดีเซลคงต้องรอคุณต้นล่ะครับ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 20 ก.ย. 49 16:57:04 ]