ความคิดเห็นที่ 1 ยังไงก็รบกวนดูคลิปที่ตั้งใจมานำเสนอให้ครบก่อนนะครับ ไม่ใช่หลับหูหลับตาตอบ อยากแบ่งปันความรู้ครับ จากคุณ : ตีนตุ๊กแก - [ วันปิยมหาราช 05:11:32 A:58.147.125.185 X: TicketID:130345 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ วันปิยมหาราช 05:46:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ยังไม่ได้ดูนะครับ แต่ผมว่าไม่ค่อยยุติธรรม ถ้าจะฟันธงเลยว่า รถยุโรป ช่วงล่างดีกว่ารถญี่ปุ่น ลองเปรียบเทียบรถยุโรป กับญี่ปุ่น ที่ราคามือหนึ่ง พอๆ กันสิครับ  ผมว่ารถญี่ปุ่นดีกว่า W123 ตอนที่มือหนึ่งเกือบ 20 ปีที่แล้ว ราคามันก็ล้านนิดๆนะครับ ช่วงล่างถ้าสมบูรณ์อยู่ มันดีกว่ารถญิ่ปุ่น คันละ 7-8 แสน ตอนนี้แน่ๆ ละครับ จากคุณ : ปากหวาน - [ วันปิยมหาราช 07:07:22 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จากสภาพการใช้งานจริงดีกว่าครับ ผมเคยนั่งรถญี่ปุ่นแล้วรู้สึกว่าเวลาวิ่งเร็วๆบนทางด่วนไรประมาณนั้น รถมันส่ายไปส่ายมาเหมือนจะลอย (Camry(เก่า), Teana) ส่วนรถยุโรปถ้าได้นั่งต้อง Audi ครับ เกาะถนนจริงๆ ขับมอเตอร์เวย์เร็วๆได้สบาย จากคุณ : Pholathee - [ วันปิยมหาราช 07:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 5 "รถยุโรปขับหลังที่ใครๆชอบคิดว่าน่าจะเร็วกว่ารถขับหน้า แต่เอาเข้าจริงๆ ดูเวลาตอนท้าย" ผมไม่เคยคิดว่ารถขับหลังจาเร็วกว่าขับหน้าครับ โดยทั่วไปขับหน้าเร็วกว่าขับหลังอยู่แล้วครับ ถ้าทางยาวๆขับหลังอาจจะเร็วกว่าครับ จากคุณ : Nithi_ni - [ วันปิยมหาราช 08:45:54 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นงั้นจริงทำไมรถญี่ปุ่นถึงไม่แก้ไขครับเพราะเทคโนโลยี่เดี๋ยวนี้ก็ไม่แตกต่างกันเลย จากคุณ : p@ninlove - [ วันปิยมหาราช 09:11:29 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่า ถ้าให้ผมขับ  ไม่ว่าญี่ปุ่น  ยุโรป หรือขับหน้าขับหลัง  ก็คงแพ้รวด จากคุณ : es 2.0 (ES_BK) - [ วันปิยมหาราช 09:17:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จากที่ผมได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็กยังเล้กกกเล็ก มาตลอดว่า รถยุโรปนั้นให้ความมั่นคงในการขับขี่มากกว่ารถญี่ปุ่น... (ที่บ้านใช้เฟียต) ผมฝังใจกับความหมายนี้มาตลอด ตอนเด็กๆก็ไม่ได้คิดอะไร ก็คิดว่า รถยุโรปส่วนใหญ่มันแพงกว่า มันก็น่าจะดีกว่างั้นสิ... จนเติบโตขึ้นมาผมเริ่มได้สัมผัสรถทั้งสองค่ายอย่างจริงจังมากขึ้น กอปรกับได้เรียนกลศาตร์อ่อนๆ ผมพออธิบายได้เลาๆจากความเชื่อของตัวเองว่า "น้ำหนักรถ" เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รถยนต์นั้นมีเสถียรภาพ... รถยี่ปุ่นสมัยก่อน เน้นใช้งานธรรมดา อุปกรณ์ง่ายๆ ทำให้น้ำหนักเบามากเมื่อเทียบกับรถยุโรปสมัยก่อน   เอาง่ายๆ ลองปิดประตูวอลโว่ หรือเบนซ์ เมื่อ 15 ปีก่อน กับ ฮอนด้าแอคคอรด์ รุ่นเก่าๆ พอๆกันสิครับ คุณจะพบว่ารถยุโรปสมัยก่อนหนักมากถึงมากที่สุด...โดยเฉพาะเจ้าตลาดทั้งหลายๆ ที่มักเน้นความปลอดภัย สะดวกสบาย หรูหรา โอเคว่าการออกแบบ สปริง, โช้ค หรือช่วงล่างนั้นมีผลต่อการทรงตัว แต่หลักๆ มันก็มาจากส่วนนี้แหละ เพราะว่ารถหากวิ่งด้วยความเร็วสูงแล้ว การใหลลื่นของลมที่ประทะต่อรถมีผลเป็นอย่างมาก ยิ่งรถสมัยก่อนออกแบบเหมือนรถถังกลายๆด้วยแล้ว จึง Sensitive อย่างมากต่อลม.....และน้ำหนักรถนี่หละครับ ที่มีส่วนในการช่วยไม่ให้มันเป๋หรือปลิวไปมากกว่าปรกติที่ความเร็วสูงๆ นั่นคือทำไม ซีวิค รุ่นแรกๆ วิ่งเกิน 100 ถึงหวิว ... และทำไม BMW E60 ถึงหวิวและปลิวง่ายที่ความเร็วสูงมากกว่า BMW E39 ทั้งๆที่ตัวแรก เทคโนโลยีล้ำกว่า 7-8 ปี แต่ก็ยอมรับได้เลยว่ารถยี่ปุ่นสมัยนี้พัฒนาไปมากจริงๆ ทั้งการเซ็ตช่วงล่างให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวลด ซึ่งทำให้ช่องว่างระหว่างความแตกต่างของรถยุโรปกับญี่ปุ่นลดลง ผิดกับสมัยก่อนที่แทบจะพูดได้ว่า "Obvious Different" รถยุโรปพยายามลดน้ำหนัก.... ขณะที่รถยี่ปุ่นก็ทำตัวใหญ่ขึ้นๆ เรื่อยๆ จากคุณ : Prof.Erysipeliothrix - [ วันปิยมหาราช 10:16:41 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ได้ดูคลิปวีดีโอที่ว่าอะไรหรอกแต่ผมว่าถ้าจะเทียบรถควรเทียบเป็นรุ่นๆไปดีกว่าจะจัดกลุ่มแบบนี้ไม่ได้ และในทางวิทยาศาสตร์เล้วต้องมีการวัดค่าที่ชัดเจนจะใช้ความรู้สึกไม่ได้เช่นขับแล้วรู้สึกว่าคันหนึ่งเกาะถนนดีกว่าอีกคันหนึ่ง ควรวัดค่าออกมาเลยวาเลี้ยวที่อัตราความเร็วเท่าไหร่รัศมีโค้งเท่าไหร่คันไหนหลุดโค้ง คันไหนคว่ำเมื่อไหร่ค่าพวกนี้วัดได้ เรื่องเสียง เรื่องอัตราเร่ง ค่าต่างๆพวกนี้ได้หมด ถ้ามีข้อมูลพวกนี้แล้วก็ไม่ต้องมาเถียงกัน เราก็เอาข้อมูลมาประเมิณคุณค่าของรถแต่ละคันได้อย่างมีเหตุผลที่ถูกต้องมากขึ้น จากคุณ : อยากบอกให้รู้ - [ วันปิยมหาราช 10:48:04 A:221.128.100.76 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 ดูแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง อิอิ จากคุณ : NaM_pRiG - [ วันปิยมหาราช 11:11:47 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ช่วงล่าง ดีไม่ดี  ดูที่โค้งเหรอครับ จากคุณ : Datsun Hero - [ วันปิยมหาราช 12:09:15 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้ารู้จักพูดจาเพราะๆ ก็อาจชวนมาลองนั่ง BMW S7 อายุ 13 ปี  ที่บำรุงรักษาสม่ำเสมอ เทียบกับรถญี่ปุ่นรุ่นใหญ่ อายุ 1.5 ปีที่เข้าศูนย์สม่ำเสมอหรอก  ถ้าว่า คนละรุ่น เอา W124 อายุ 12 ปี เทียบดูก็ได้  หรือจะเอารถญี่ปุ่นรุ่นเล็ก มาเทียบกับ E30 อายุ 18 ปีดูก็ได้ครับ  จะได้รู้ว่า ของดี ... มันดีอย่างไร  -------------------------  ที่ว่า รถยุโรป"นี่งกว่า" ทั้งทางตรง และทางโค้ง ... เพราะมันให้การควบคุมที่ "นิ่ง" .. แก่คนขับ  ถึงรถจะเกาะถนน เข้าโค้งออกโค้งได้เร็ว แต่ถ้าพวงมาลัยมันสะเทือนสะบัด น้ำหนักที่ถ่ายลงช่วงล่าง และสะท้อนขึ้นกลับข้างบน มันมาก ... ขับแล้วเหนื่อย เพราะคนขับไม่สามารถ"นิ่ง"ได้  ทั้งผม และแฟน .. เวลาขับรถยุโรป (ทั่วไป) เราทั้งสองคน "วางมือ"ลงบนพวกมาลัย และใช้น้ำหนักลง"ปลายนิ้ว" เพื่อควบคุม ทั้งทางตรงและทางโค้ง (ไม่มาก)  แต่เวลาใช้รถญี่ปุ่น (ทั่วไป) .. เวลาเข้าโค้ง ต้องกำพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 10-02 เพื่อรับ-ส่ง และคอยแก้ไขแรงสะเทือน ที่จะทำให้ล้อเปลี่ยนทิศทางตลอดเวลา  ยิ่งกว่านั้น รถบางรุ่น มีความสามารถในการสลายแรงสะเทือน ทั้งที่ส่งขึ้นพวงมาลัย และลงพื้นถนน .. แต่ไม่ทำให้ feeling ที่เราจะ sense จากผิวถนนหายไป  ... รถญี่ปุ่นในท้องตลาดทั่วๆไป ทำไม่ได้ ... ถ้าสลายแรงสะเทือนมากๆ ... sensation ของผิวถนนก็จะหายไปเลย จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ วันปิยมหาราช 13:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คันที่ผมขับอยู่ เวลาเข้าโค้ง หรือทางตรง ก็มีความรู้สึกเหมือนความเห็นข้างบนเลยครับ เดี๋ยว รอแป๊บ ไปดูยี่ห้อซิ ว่าของยุโรปรึเปล่า........แป่ววววว...มันเขียนว่า MITSUBISHI ครับ จากคุณ : CELEBREX - [ วันปิยมหาราช 13:24:48 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สนามแข่งกับชีวิตการใช้งานจริงบางแง่ก็เทียบกันไม่ได้ อย่างSL55 ถ้าให้ไปเล่นในสนามที่มีแต่ทางsprintสั้นๆกับโค้ง มันจะไปสู้S2000ได้ยังไง ก็น้ำหนักตัวตั้งเกือบ2ตัน ช่วงล่างชุดที่มันใส่อยู่รับงานมากได้ขนาดนี้ก็ดีถมแล้ว การทำเวลาในสนามแข่งต้องไม่ลืมว่ารถพวกนั้นถูกขับโดยนักขับที่ชำนาญ ไม่ว่ารถบางรุ่นจะมีจุดอ่อนกว่ารถอีกคัน ถ้าไม่ได้อ่อนกว่ากันมาก นักขับที่เชี่ยวชาญก็สามารถทำเวลาเอาชนะรถอีกคันได้เช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าเอารถพวกนี้มาให้ชาวบ้านทั่วไปขับ ผลที่ได้ย่อมไม่เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ไม่ได้พยายามจะสรุปว่ารถญี่ปุ่นทำช่วงล่างมาไม่ดีเท่ายุโรป เพราะถ้าญี่ปุ่นตั้งใจจะมาเอาดีกับช่วงล่างจริงๆ ทำไมจะทำไม่ได้ แต่ถ้าทำมาแล้วลูกค้าไม่ได้ใช้ จะทำมาทำไม ในเมื่อลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อรถ ไม่ได้เอารถไปยิงโค้งเล่นประจำ ก็เอาต้นทุนไปวิจัยส่วนอื่นที่ลูกค้าได้ใช้ดีกว่า คุณลองนึกภาพการใช้งานในญี่ปุ่น ที่มีระบบรถไฟขนส่งรวดเร็ว สะอาด ทันใจ ปลอดภัย รถยนต์สำหรับคนส่วนมากมีหน้าที่แค่เอาไว้ขับไปทำงานใกล้ๆ หรือขับไปจอดสถานีรถไฟแล้วนั่งรถไฟต่อ ความเร็วบนทางด่วนที่ขับส่วนมาก ก็คือ100-120 แล้วจะทำช่วงล่างให้เกาะนิ่งที่200ไปทำไม ทำแล้วไม่ได้ใช้ เปลืองเงินเปล่าๆ ถ้าเป็นถนนในเยอรมัน มีเอาโต้บาห์นที่วิ่งยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นทางที่สร้างมาอย่างเหนือชั้น เป็นทางที่ชาวบ้านวิ่งกัน160-200เป็นเรื่องปรกติ รถที่จะวิ่งในทางเช่นนี้ได้ อาจจะไม่จำเป็นต้องออกตัวเร็ว แต่ต้องทำอัตราเร่งปลายได้ดี และต้องเอาล้อทั้งสี่ติดถนนให้คนขับรู้สึกมั่นใจผ่านพวงมาลัยไ้ด้ตลอด ถ้าเข้าใจแง่มุมในการใช้งานที่ต่างกันเช่นนี้แล้วก็จะรู้ว่าทำไม ในปี1988 เบนซ์ 300E แฮนเดิ้ลถนนต่างๆที่ความเร็วสูงได้ดีกว่า Crown หรือCedricในยุคนั้นคนละเรื่อง แต่มาในยุคนี้การตลาดและความต้องการของลูกค้าบวกกับความสามารถในการติด ต่อข้ามโลกในแบบonline ทำให้บริษัทรถญี่ปุ่นเริ่มใส่ใจกับช่วงล่างมากขึ้น และไม่ใช่แค่เพียงช่วงล่างสักแต่ว่าสปริงกับโช้คแค่นั้น แต่รวมไปถึงการบาลานซ์ตัวถัง บาลานซ์น้ำหนัก และน้ำหนักพวงมาลัย จะเห็นได้ว่ารถญี่ปุ่นยุคนี้ช่วงล่างหลายรุ่นเริ่มมีความหนึบแน่นยิ่งขึ้น พวงมาลัย เริ่มจะเลิกนิสัยเบาหวิวที่ความเร็วสูงกันแล้ว รถบางรุ่นช่วงล่างเดิมอาจจะไม่ดี แต่ได้แค่โช้คกับสปริงระดับsport/comfortสักชุด กลับขับดีขึ้นผิดหูผิดตา รถยุโรปช่วงล่างดีกว่ารถญี่ปุ่น? ให้70จาก100 คำตอบคือใช่ แต่30ที่เหลือนั้นเป็นที่ที่ยังเหลือไว้ให้สำหรับรถญี่ปุ่นบางจำนวนที่ช่วงล่าง และการบังคับควบคุมเจ๋งมาจากโรงงานจริงๆ และแนวโน้มที่ญี่ปุ่นจะเริ่มเซ็ต ช่วงล่างได้ดีขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ยุโรปบ้างดีขึ้น บ้างก็เลวลง จากคุณ : หมีไฟฟ้า (V.Putin) - [ วันปิยมหาราช 13:42:03 ]

ความคิดเห็นที่ 15 / /man เข้ามาดู จากคุณ : AmericanHacker - [ วันปิยมหาราช 13:51:08 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ใช่ โดยเฉลี่ยครับ จากคุณ : Compromiser - [ วันปิยมหาราช 14:09:32 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวอัตโนมัติ ASC+T (Auitomatic Stability Control + Traction) ระบบนี้จะป้องกันไม่ให้ล้อขับเคลื่อนหมุนฟรี เพื่อให้มีความมั่นคงในการยึดเกาะถนน ยามออกตัวบนพื้นผิวทาลื่น หรือเกิดมันส์ขึ้นมาแล้วเทโค้งกันแรง ๆ หากล้อขยับเคลื่อนจะมีท่าทีแสดงออกว่าจะหมุนฟรี แรงบิดของเครื่องยนต์จะถูกลดลงโดยการลดรอบเครื่องอย่างอัตโนมัติ ต่อจากนั้นก็จะปรับองศาไฟจุดระเบิดให้อ่อนลง เป็นการตัดกำลังของเครื่องยนต์ และถ้ายังไม่สามารถควบคุมได้อยู่มือคราวนี้เป็นหน้าที่ของเบรคลงมือจัดการจับล้อขับเคลื่อนที่หมุนฟรี รวมทั้งระบบรักษาเสถียรภาพแบบไดนามิคส์ DSC ( DYnamic Stability Control ) จากคุณ : . - [ วันปิยมหาราช 14:13:46 A:58.9.72.235 X: TicketID:127369 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ ระบบช่วงล่าง และ การควบคุม ในรุยุโรป ยีห้อหนึ่ง จากคุณ : . - [ วันปิยมหาราช 14:14:51 A:58.9.72.235 X: TicketID:127369 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เอ่อ เข้ามาคิดเหมือนกับ คุณ V.Putin ครับ จากคุณ : GreenTeaMan - [ วันปิยมหาราช 14:32:06 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ปัญหาโลกแตก.... จากคุณ : beam408.th - [ วันปิยมหาราช 14:35:08 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าเข้ามาแล้วหาความรู้อ่านไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้ามาครับ ถ้าคิดว่าที่ไหนให้ความรู้ได้มากกว่านี้ก็ไปที่นั่นครับ ไม่ต้องมาแสดงตัวเองว่าตัวเองเก่งขนาดไหน ก็รู้อยู่แล้วว่าที่นี่ทุกคนที่ตอบก็มีสาระบ้างไม่มีบ้าง แต่ไม่ควรจะแสดงมันออกมานะครับ ถ้าไม่พอใจที่จะอ่านก็ไปที่เว็บอื่นสิครับ ง่ายดีไหมครับ จบ จากคุณ : ปืนใหญ่หัวใจสายการบิน - [ วันปิยมหาราช 17:14:02 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ไม่ทราบว่าคุณตีนตุ๊กแก ขับรถญี่ปุ่ืืุนอยู่หรือเปล่าตอนนี้ ถ้าใช่ ก็จบ เท่านั้นเอง หรือไปโดนอะไรเจ็บใจมาหรือเปล่า ผมว่ารถญี่ปุ่น ต่างจากรถยุโรป ตรงที่เขาผลิตใช้กับประเทศนั้นๆ อย่างเรา มันก็คงใช้รถญี่ปุ่นดีกว่า ส่วนอเมริกา ก็เช่นกัน ที่ยุโรป รถยุโรปก็คงดีกว่า เพราะเล่นกันที่ 140-180 เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เอา handling ดีกว่า รถญี่ปุ่นปัจจุบันมันโอเคมากแล้วนะ แต่ถ้าเทียบความรู้สึกในการขับขี่ ผมว่า ยังไงยังตามเยอรมันอยู่ ถ้าให้คนขับรถอย่างผมเลือกขับ ถนนเมืองไทย ผมก็เอารถญี่ปุ่น เพราะสบาย ขับง่าย ไม่เครียด รถขับหลังบ้านเรา ไม่ไหว แต่มันทนดี ถ้าเป็นขับหน้า รถห้าปี ข้างหน้าดังกราวรูด แถวร่อนดีด้วย แต่ถ้าขับบนออโต้บาร์ห เซย์โน เลย โตโยต้าอเวซิส เคยขับแล้วมันก็ดีไม่เท่าบีเอ็ม แต่ถ้าเทียบกับโฟล์คกอล์ฟ ก็ด้อยกว่าหน่อย เปรียบเหมือน เราบังคับ มันเป็นไปตามสั่ง โอเปิ้ลห่วย โฟล์คพอใช้ เบ็นซ์ บีเอ็ม ออดี้ โอเคเลย รถมันย่อมมีดีมีเสีย ใครชอบอะไรก็ขับอันนั้น ไม่งั้นคงไม่มีใครซื้อรถเกาหลี ซันยองสตาวิค หรอก สักวันหนึ่่ง ผมจะลงกระทู้มั่ง ใครว่ารถเกาหลีกับจีน สู้รถญี่ปุ่นไม่ได้ เดี๋ยวดู ตูจะลงบ้าง จากคุณ : เจ - [ วันปิยมหาราช 17:14:33 A:221.128.114.120 X: TicketID:103152 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อีกอย่างนั้น ทำไมคุณตุ๊กแก ไม่เอา โตโยต้าแคมรี่ใหม่ ไปอัดกับ บีเอ็มละ อย่าไปเอาสปอร์ต มาแข่งกันซิ รถบ้านซิครับ ถ้าคุณเล่นไปเอา มิตซูอีโว เทียบกับ บีเอ็ม M3 บางทีมันกินกันไม่ลง หรือสู้ไม่ได้ ถ้ากรณีนี้ ต้องเอา อีโว กับ M3 มาอัดกัน 210km/h เป็นเวลา 20 นาที บนออโต้บาร์ทซิ แล้วไปดูช่วงล่างกัน แต่ถ้าให้ไปดริฟท์กัน M3 อาจแพ้ทาง ลองเอา เล็กซัส S430 มาอัด กับ s class ซิ จากคุณ : เจ - [ วันปิยมหาราช 17:23:41 A:221.128.114.120 X: TicketID:103152 ]

ความคิดเห็นที่ 27 รับฟังทุกคำเสนอแนะครับ แต่แฮนดลิ่งมันก็การควบคุมไงครับคุณ เจ และ S2000 ก็ได้ชื่อว่าเป็นแฮนดลิ่งแมชชีน และผมขอนะครับ อย่างยกพวกออโต้บาห์นอะไรมาเกี่ยวเลยครับ ขอให้ว่ากันด้วยทางโค้งเถอะครับ และจะให้ผมเทียบเฉพาะรถบ้านได้อย่างไรครับ ในเมื่อรถยุโรปคลาสเดียวกันที่ขายในไทยราคาแพงกว่ารถยุ่นประกอบในหลายเท่าตัวน่ะครับ ถ้าถามว่าผมใช้รถอะไรอยู่ ไม่ขอตอบป็นรุ่นนะครับ คือตอนนี้มีทั้งยุโรปคือ BM เคยใช้ AUDI BENZ และญี่ปุ่นที่มีตอนนี้คือฮอนด้าและซูบารุครับ ไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้ครับ ว่าผมมี โอเคไหม และไม่เกี่ยวเลยว่าจะเจ็บใจใครมารึอะไร แต่ผมอยากจะทราบถึงมุมมองของคนอื่นไงครับ กับคนที่ใช้จริงๆว่าเป็นเช่นไร ในเมื่อในชีวิตจริง หลายๆคนอาจจะไม่ได้ทดลองขับรถทุกชนิด จึงยกคลิปที่เค้าทดสอบกัน และมันก็ได้มาตรฐานในระดับนึงด้วยมาให้ดูไงครับ ที่ผมตั้งกระทู้เพราะคนส่วนใหญ่จะเหมารวมว่า ขับหลังดีกว่าขับหน้าบ้าง รถยุโรปดีกว่ายุ่นบ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมก็เลยนำเสนอคลิปที่เป็นการเทสสมรรถนะโดยรวมของรถครับ เล่นกันแบบเต็มหน่อย ไม่ใช่ไปเข้าโค้งกว้างๆ วิ่งแค่ทางตรงบนถนนแล้วบอกว่าช่วงล่างคันไหนดีกว่า จากมุมมองของผม ผมคิดว่าไม่มีช่วงล่างของชาติไหน หรือระบบขับเคลื่อนแบบไหนดีที่สุด มันขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถเซ็ทรถให้เหมาะสมกับการขับแบบใดมากกว่า ลองดูในคลิปอันนี้ได้นะครับ รถฮอนด้า DC5 กับ EP3 เป็นรถระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ที่มีพื้นฐานเดียวกับซีวิค ES บ้านเรานั่นเอง ถือว่าเป็นระบบช่วงล่างที่ห่วยกว่าซีวิคยุคเก่าๆอย่าง EK แต่จากการปรับปรุงใหม่ การเซ็ททั้งช่วงล่าง เกียร์ เครื่องยนต์ แชสซี หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ฮอนด้าจะทำ มันสามารถเร็วกว่ารถที่ได้ชื่อว่ามีระบบขับเคลื่อน4ล้อดีๆ อย่าง Subaru WRX ตัว 250 ม้าได้ในโค้งครับ และสามารถทำเวลาต่อรอบได้ดีกว่าซะอีก (คลิปนี้มีซับ ENG ลองอ่านและฟังเสียงพากษ์ดูนะครับ) แล้วจะสรุปได้อย่างไรว่าขับหน้าจะแพ้ขับ 4 เสมอไป แต่ในอีกกรณีนึงถ้าเอา DC5 และ EP3 ไปลองกับ WRX STI ที่ให้อุปกรณ์และเซ็ทมาดีกว่าตัว WRX ธรรมดา มันก็สามารถเอาชนะ DC5,EP3 ได้อยู่แล้วครับ http://www.youtube.com/watch?v=3Tf9XlSYEmk จากคุณ : ตีนตุ๊กแก - [ วันปิยมหาราช 18:05:41 A:124.157.130.149 X: TicketID:130345 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดิน ผมยังวางใจยุโรปอยู่นะ เวลาขับรถไปต่างจังหวัด ความเครียด ต่างกันมาก พอสมควร อย่างถนนบางช่วงที่มีรอยต่อ ขรุขระ ถนนเป็นหลุม หลายๆครั้ง ที่เราคาดว่า รถต้องเสียหลัก แน่ๆ เตรียมเกร็งมือเต็มที่ แต่เมื่อสภาวะจริงเกิดขึ้น รถออกอาการน้อยกว่าที่เราคาดไว้เยอะ ผมไม่สามารถหา ตัวเลขมาวัดได้ แต่เอาเป็นว่าในสภาะวะใช้งานจริง รถไม่ ได้วิ่งอยู่ในโค้งตลอดเวลา และผมไม่ได้เน้นที่"ตัวเลข"เป็น หลัก ในความเป็นจริง รถยุโรป และ รถญี่ปุ่น ขนาดเดียว กัน รถญี่ปุ่นอาจทำเวลาในโค้งได้ดีกว่าก็เป็นได้ แต่นี่คือ ชีวิตจริง การใช้งานจริงๆ รถยุโรปอาจเข้าโค้ง ทำเวลาช้า กว่า แต่ในทางกลับกัน มันให้ความรู้สึกที่มั่นใจกว่า ซึ่ง ความรู้สึกตรงนี้ส่งตรงมาที่พวงมาลัย ผ่านคนขับ คนนั่ง ได้โดยตรง เพราะฉะนั้น ความเครียดก็เกิดกับคนขับน้อย กว่า ส่งผลให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น อาจจะไม่เป็น ประโยชน์ในทางตรง แต่ผมว่ามันสำคัญกว่าตัวเลข บ้าๆ บอๆที่เอามาใช้ยืนยันในบางครั้งครับ เอาเป็นว่า เวลาผม ขับรถไปต่างจังหวัด เวลาผมเอารถฝรั่งไป ผมอุ่นใจกว่าตั้ง กะสตาร์ทเครื่องออกจากบ้านแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นactive หรือpassive safetyครับ สิ่งต่างๆอาจจะเป็นแค่ subjective แต่อย่างน้อยก็รูสึกว่ามั่นใจกว่าครับ รถแต่ละคันแต่ละยี่ห้อการผลิตใช้งานต่างยังมีเหตุผลใน เรื่องของต้นทุน การตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องอีกเยอะแยะ ครับ บริษัทรถทั่วโลกสามารถผลิตรถ ให้เกาะ ให้แรงได้ ทั้งนั้น แต่มันตรงจุดประสงค์ในการผลิตยี่ห้อนั้นๆรึปล่าวแค่ นั้นแหละ ผลิตออกมา จะขายได้มั้ย? แล้วราคาขายกรูจะ ตั้งขายเท่าไหร่? positioning ในตลาดอยู่กลุ่มไหน? brand image เป็นยังไง พวกนี้ส่งผลต่อการออกแบบรถ ทั้งนั้น นี่ยังไม่รวมลักษณะภูมิประเทศ ซึ่งก็มีผลต่อการ ออกแบบรถอีก อย่างฝรั่งเศส ซีตรอง เปอร์โยต์ เรโนลต์ ช่วงล่างนุ่มนวลเกาะถนนเยี่ยมทั้งนั้น เพราะลักษณะ ภูมิประเทศ ส่งผลให้จำเป็นต้องให้รถช่วงล่างที่มั่นใจ แต่ ไม่ได้ไปเน้นที่ความแรงนัก เพราะไม่รู้จะเอาไปวิ่งที่ไหน มี แต่ตรอก ซอย พรึบพรับ เต็มไปหมด.. ยังไงก็ตามผมยัง คงbias ไปที่รถฝรั่งอยู่ดีครับ เพราะผมซื้อรถ ผมไม่ได้ มองที่รถดีแค่ช่วงล่างอย่างเดียวครับ ผมยังมองไปถึง เครื่องยนต์ ความปลอดภัย และ intrinsic benefits อีก หลายๆอย่างที่รถฝรั่งมีแต่รถญี่ปุ่นไม่มีด้วยครับ จากคุณ : VW Tri-xenon - [ วันปิยมหาราช 18:56:43 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่รุสินะ  ที่บ้านมีไอ้แก่ w126 อยู่คันเดิมๆทุกอย่าง ซึ่งมีไฮดรอลิคบาลลานซ์ซึ่งไฮโซสุดเจ๋งสุด รถสมัยนี้เทียบไม่ติด [ไม่รุหรอกมันทำไง รุแค่ว่านุ่มหนึบ เคยมีปัญหากับระบบบ้านี่จนพ่อผมถอดทิ้ง จากเบ๊นซ์เลยกลายเป้นเกวียน จนต้องหาหนทางยัดกลับมา] ถึงมันจะร่วม20ปีแล้ว ขโมยพ่อมาขับกี่ทีๆก็มั่นใจจะทางไกล้ทางไกล จะคดเคี้ยวแค่ไหน ยิ่งวิ่งตจว.แช่140 เจอหลุมเจอบ่อเจออุปสรรคต่างๆมากมายก็ไม่เครียดเท่าไหร่ ยางขนาดเดิม 205/65/15 จิกโค้งแรงๆมีดีดดิ้นบ้างตามประสายางแก้มสูง แล้วมาดู ek ของผมอายุกว่าครึ่งทษวรรษบ้าง ยอมรับว่าช่วงล่างดีเลิศไม่แพ้กัน [ในที่นี้เปลี่ยนล้อของ16+โหลดนิดหน่อย] จิกเข้าไปมันได้ทุกโค้งจะมีหน้าทื่อกับท้ายออกนิดเป็นครั้งคราว แต่ขับสนุกนะยอมรับเลย แต่ถ้าต้องขับทางไกลมันให้ความมั่นใจไม่ได้เท่าอีแก่เบ๊นซ์ของพ่อผมนะ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรถมันเบาด้วยมั้ง ขับแล้วเครียดกว่าอีแก่พอสมควร [มากอยู่] ผมว่านะไอ่ช่วงล่างอะไรเนี่ย วัดกันที่โค้งอย่างเดียวไม่พอหรอก ลองไปหาคอสะพานแบบทุเรศๆแล้วซัดมาเต็มๆสิคับ ว่าไอ่รถที่ว่าช่วงล่างเลิศหรูเนี่ยมันจะช่วยคุณได้มั้ย จากคุณ : WaTeRz - [ วันปิยมหาราช 19:49:33 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณ WaTeRz ครับ .. ระบบช่วงล่าง hydrolic ... ก็แบบเดียวกับที่รถซีตรองใช้อยู่ครับ  นุ่ม เนียน แน่นอน ... ยกเว้นเวลาซ่อม  ยิ่งบางรุ่น ใช้ electrohydrolic .. ช็อคอัพไฮโดรลิค ควบคุมด้วยไฟฟ้า ... ยิ่งสุดเลิศในการใช้  แต่เวลาซ่อม ... ไก่ต้มยังหน้าใสกว่าอีก  แต่ W126 .. ไม่เหมาะกับการใช้ในเมืองเลย โดยเฉพาะในกรุงเทพ ... เมื่อ 3-4 ปีก่อน ที่ยังบ้าแต่เบนซ์ ... ผมเคยเอาแค่ W124 ไปแถวๆ ช่องนนทรีย์  นรกชัดๆ  ใน กทม. ไม่ว่าอะไรก็สู้ city car พวกตระกูล vios หรือ jazz ไม่ได้ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ วันปิยมหาราช 20:07:51 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณจะเอาราคามาอ้างในการทดสอบไม่ได้หรอกครับ เพราะว่า รถนั้นจริงอยู่ว่ามีการแบ่งระดับราคา แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเอามาอ้างในด้านเทคนิคและวิศวกรรมได้ คุณเอา S2000 ที่เป็น roadster เน้นขับสนุกๆ มาเทียบกับ Sport Sedan ที่มีเครื่องแรงผิดปกติแบบ M Car ไม่ได้หรอกครับ มันถูกออกแบบมาผิดวัตถุประสงค์กันครับ งั้นผมก็เอา Ferrari ไปเทียบกับรถญี่ปุ่นได้สิครับ เอางี้ดีกว่า ถ้าเทียบกันรุ่นต่อรุ่น ขนาดต่อขนาด และประเภทต่อประเภท โดยต้องมีแบบเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนแบบเดียวกันมาเทียบ อย่งนี้ค่อยว่ากัน ซึ่งผมคงต้องถามต่อว่ามีรุ่นไหนบ้างที่รถญี่ปุ่น มีสมรรถนะโดดเด่นกว่า? คำตอบคือ มีครับ แต่น้อยมากเลยครับเพราะว่า วิศวกรญี่ปุ่นออกมา ให้ตรงกับความต้องการของคนในประเทศเป็นส่วนใหญ่ครับ ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่นั้น เท่าที่ผมรู้มา  จะคล้ายกับที่คุณหมีไฟฟ้า (V.Putin) บอกครับ คือ เขานิยมใช้ขนส่งมวลชลมากกว่า ดังนั้นถ้าถามว่าเขาจะ ทำรถเกาะถนนดีๆได้ไหม ตอบเลยครับ ได้ครับ แต่จะทำไปทำไมเมื่อ สินค้าไม่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ที่เน้นความนุ่มนวล และความสะดวกสบายในการขับขี่ มากกว่าประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน? จากเหตุผลข้างบนนี่แหละครับที่ทำให้ระบบรองรับและควบคุม ของรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงยังสู้ของอีกฝ่ายได้ยาก เพราะเรื่องนี้มัน ไม่ได้พัฒนาได้ในไม่กีปีแต่ต้องใช้เวลานานกว่าจะพัฒนามาจนเป็น รูปแบบที่เหมาะสม(ของตนเอง)ครับ แต่ถ้าจะบอกว่าพวกรถอย่าง Evolution หรือ Impreza  นั้น ระบบรองรับดีกว่ารถยุโรปเท่าใด ผมคงต้องให้ไปดู World Rally แล้วคุณจะทราบว่ารถอะไรดีกว่า จริงอยู่ว่ามันอาจจะขึ้นกับคนขับด้วย แต่ต่อให้คนขับเก่งแค่ไหนถ้ารถมีประสิทธิภาพด้อยกว่า ก็ยากที่จะ เอาชนะคู่แข่งได้ครับ ผมไม่เห็นด้วยเรื่องการวัดประสิทธิภาพของระบบรองรับจากการ เข้าโค้งของรถ เพราะนั่นเป็นแค่ "ส่วนเดียว" แต่ผมจะมองไปที่ การขับขี่โดยรวมมากกว่า เพราะว่าต่อให้เข้าโค้งดีอย่างไรแต่ วิ่งทางตรงแล้วแล้วไม่เสถียรเลยก็ไม่เรียกว่าดีแล้วครับ (บางคน อาจจะว่าบ้า มีด้วยเหรอแบบนี้ ผมก็ขอบ้าบอกว่า มีจริงๆครับ) electrohydrolic - คุณหมอคงหมายถึง Hydractive ใช่ไหมครับ จริงๆเจ้านี่ไม่เสียง่ายๆหรอกครับ แล้วก็ซ่อมไม่แพงอย่างที่คิดด้วยครับ ส่วนเรื่องซ่อมแพงนั้น หลายคนคงยังติดภาพซ่อมแพงของเจ้านี้อยู่ แต่ตัวผมเองอยากจะบอกว่ามันไม่ได้หนักหนามากหรอกครับ อะไหล่ช่วงล่างหลายชิ้นราคาไม่หนีไปจากรถยุโรปยี่ห้ออื่นๆเลย แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 49 22:02:04 จากคุณ : เรเนต๊องส์ - [ วันปิยมหาราช 21:57:41 ]

ความคิดเห็นที่ 32 น้ำหนักรถ ทำให้รถเกาะถนน รถยุโรปจึงกินน้ำมัน จากคุณ : o•ิ_•ิo (หนุ่มน้อยหน้าใหวัยสิบหก) - [ วันปิยมหาราช 23:49:02 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เอ่อ ต้องไปบอกทางผู้ทำการทดสอบครับ ว่า ห้ามเอา M SERIE ไปทดสอบกับ S2000 ให้ไปทดสอบกับรถที่แรงกว่าอย่าง GTR R34 ที่เคยทดสอบแล้วทิ้ง M3 อยู่หลายวินาทีแทนล่ะมั้งครับ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ทางรายการที่ทดสอบนี้ เค้าก็ทดสอบรถ F40 F50 และสปอร์ทระดับสูง อื่นๆ ก็เห็นเค้าก็วิ่งกับพวกสปอร์ทยุ่นนี่ครับ ทั้งยังเอากัลยาโด้วิ่งกับอีโว อิม nsx ก็เคย แถมยังเคยทดสอบอิม s204 ยังทำระยะเบรคแบบฉุกเฉินดีกว่าเฟอร์ 360CS ซะอีก จนทางรายการมอบรางวัลให้ซูบารุด้วย เพิ่งรู้ครับว่ารถมีชั้นวรรณะด้วย เอาอะไรมาทดสอบรวมกันไม่ได้ด้วย น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่คนทดสอบ ไม่งั้นผมคงไม่เอา M Serie มาทดสอบกับรถยุ่นหรอกครับ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ ตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่า ที่นี่มันแคบไปแล้วสำหรับผมจริงๆครับ ผมเข้ามาตั้งกระทู้อย่างนี้ก็โดนลบ หาว่าขับรถยุ่นอยู่แล้วเจ็บใจบ้างล่ะ ไม่เคยขับรถดีๆบ้างล่ะ ทั้งๆที่มีแต่ตัวผมเองแท้ๆที่รู้ตัวเองว่าตนเองมีอะไร แค่ไหน ไม่เห็นต้องคุยหรืออวดอ้างสักนิด ก็เพราะสัมผัสมาแล้วมันไม่ใช่ เลยข้องใจจนต้องตั้งกระทู้นี่ไงครับ แต่เอาเถอะ ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเปิดหูเปิดตาให้คนอื่นนี่ครับ ผมก็ไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้ความรู้อะไรสักนิดจากการตั้งกระทู้นี้เลย จบล่ะครับ จากคุณ : ตีนตุ๊กแก - [ 24 ต.ค. 49 01:34:50 A:124.157.130.149 X: TicketID:130345 ]

ความคิดเห็นที่ 34 รถหนักกว่า เกาะกว่า  เป็นความคิดที่ผิดครับ ถ้าตาม logic นั้น รถ Saloon หนักสองตัน ต้องเกาะกว่า F1 หนักหกร้อยโลซิครับ การวิ่งทางตรงนิ่งๆ กับการเกาะถนน  มันอาจจะไม่ไปด้วยกันนะครับ วิ่งทางตรงได้นิ่ง อาจจะหลุดโค้งก่อน อีกคันนึงก็ได้ เจ้าของกระทู้ใจกล้าดีครับ .... ประเด็นแบบ นี้ มันชวนโดนรุมยำมาก จากคุณ : ถัง - [ 24 ต.ค. 49 08:33:11 ]

ความคิดเห็นที่ 35 รถยุโรป รถหนัก แต่มวลของล้อน้อย จึงให้ความรู้สึกดีกว่า ลองใช้เครื่องมือวัดแล้วจะรู้จริง จากคุณ : ป๋า - [ 24 ต.ค. 49 08:34:00 A:unknown X:202.44.210.36 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เรียนเชิญ..เจ้าหน้าที่วิเคราะห์สสาร จากคุณ : หมีไฟฟ้า (V.Putin) - [ 24 ต.ค. 49 09:31:48 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาเห็นใจ จขกท.ครับ ไอ้ผมก็เคยขับแต่รถญี่ปุ่น เลยไม่มีความเห็น แต่คนส่วนใหญ่มักตัดสินอะไรด้วยความรู้สึก ซึ่งมีโอกาสเกิดอคติได้มาก พอ จขกท.เอาผลการทดลองแบบวิทยาศาสตร์มาให้ดู เลยเกิดอาการรับไม่ได้ รอถูก แจ๊กพอตงวดนี้ จะซื้อรถยุโรปป้ายแดงมาทดลองเล่นซักคัน แล้วจะออกบัตรเชิญชาวรัชดาไปร่วมทดสอบเป็นสักขีพยาน จากคุณ : CELEBREX - [ 24 ต.ค. 49 10:17:52 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ส่วนตัวก็ใช้รถยุโรปเหมือนกันแต่ไม่ได้เชียร์ขาดใจว่ามันจะดีกว่าหรือเกาะถนนกว่ารถญี่ปุ่น ผมว่าน่าจะเทียบโดยใช้ Skip Pad Test (เรียกอย่างนี้เปล่า) ที่ให้รถวิ่งผ่านจุดไปมาคล้ายตัวเอส แล้ววัดแรง G กับความเร็วสูงสุดก่อนจะหลุด ผมว่าน่าจะตอบได้ว่ารถอะไรเกาะกว่ารถอะไร และที่มีคนบอกว่ารถยุโรปขับความเร็วสูงๆ มันนิ่งกว่ารถญี่ปุ่น (อาจจะ   เป็นเพราะรถมันหนักกว่า) ถ้าให้ดีผมว่าคุณลองหักพวงมาลัยเปลี่ยนทิศทางที่ความเร็วสูงๆ ดูสิ มีสิทธิ์หมุนได้ง่ายกว่ารถญี่ปุ่นนะเพราะโมเมนตั้มมันสูง จากคุณ : AutoCrazy - [ 24 ต.ค. 49 12:10:08 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ดูเวลาของ Top gear กันดีกว่า นักขับคนเดียว(ยกเว้นตอนเปลี่ยนstig ทีนีง)กันสนามเดียวกัน(แต่คนละวัน) รถก็เป็นรถแรงๆซะส่วนใหญ่มีรถบ้านตัวแรงหลายคัน   http://www.bbc.co.uk/topgear/powerlaps.shtml ถ้าเห็นจะสังเกตได้ว่าจุดเด่นของรถแต่ละคันที่มีผลต่อสนาม ก็แตกต่างกัน อย่า Mitsubishi Evo FQ400 ทำเวลาได้่ดีถึง 1.24.8 แต่อย่าลืมว่ามันขับเคลื่อน 4 ล้่อซึ่งก็มีผลต่อการเข้าโค้งมากๆ ดีกว่าขับเคลื่อนสองล้ออยู่แล้ว (ยกเว้นเจอ supercar แบบลำดับบนๆที่ขับสองก็ยังแรงกว่า) ป.ล. ในเวบนี้ตัดข้อมูลของการวิ่งออกไปหลายคัน(หรืออาจไม่ update) อย่าง M5 E60 ตัวใหม่ออกมาทำเวลาได้ 1.26.2 (ดูจากในรายการทีวี) แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 49 15:45:56 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 49 15:41:10 จากคุณ : ....4จุด - [ 24 ต.ค. 49 15:39:03 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ว่างเลยมาต่อ จากภาพrank จะเห็นได้ว่าเวลาที่ทำได้กระจายออกไป รถญี่ปุ่นคันเล็กๆหลายคันทำเวลาได้ดีกว่า sport รุ่นใหญ่ของทางยุโรป (RX8 ยังทำเวลาได้่ดีกว่า Vanquish/575)นั่นหมายความว่าอะไร? ในขณะเดียวกัน BMW 535d(E60) ก็ยังทำเวลาได้่เทียบเท่ากับ RX8 และ 350Z ทั้งๆที่คันใหญ่โตมากกว่าแถมเครื่อง diesel ? นั่นคือนอกจากช่วงล่างของรถแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆก็มีผลด้วย ไม่ว่าจะขนาดรถ ความแรงของเครื่องยนต์(ในการออกตัวจากโค้ง) สมดุลของรถ (RX-8 ม้านิดเดียวดันทำเวลาได้เทียบเท่ากับรถระดับใกล้ๆ300ม้าหรือมากกว่าแบบ M3หรือ 350Z) การจะเปรียบเทียบรถตรงๆ โดยเอารุ่นต่างๅ ระบบขับเคลื่อนต่างๆกันมาเทียบโดยตรงก็คงจะไม่มีประัโยชน์อะไร นอกจากความสะใจ ที่ EVO FQ400 วิ่งดีกว่า Ferrari 575 ในสนาม   แต่ถ้าจะเทียบโดยตรง คงต้องเทียบที่รถระดับเดียวกัน segmentเดียวกัน ขนาดใกล้เคีัยงกัน เครื่องยนต์ใกล้เคีัียงกัน จึงพอจะบอกได้ว่า รถคันไหนช่วงล่างดีกว่ากัน จริงไหม? น่าเสียดายที่ผมไม่มีข้อมูลการวิ่งบนสนามจับเวลา เทียบกันระหว่าง New Lexus IS250 Vs BMW325i ,New Lexus GS300 Vs BMW530i(ตัวอย่างเฉยๆ ถ้าจริงๆอาจมีคู่อื่นๆที่สมน้ำสมเนื้อกันมากกว่านี้)   ซึ่งจะเป็นการเปรียบเทียบรถที่ตรงกับขนาดและระดับมากกว่าที่จะเอา Accord V6 ไปเทียบกับ 530i แบบนี้มันก็กระโดดเกินไปเพราะราคาที่ต่างมันก็ผลต่อ costเช่นกัน หรือเอา Impreza มาเทียบกับ 325i มันก็รถคนละแบบคนละระบบขับเคลื่อนอยากเทียบมั่วๆก็พอได้ แต่ไม่มีประโยชน์ในเชิงข้อมูลอะไร ส่วนความคิดเห็นกว้างๆ ก็คล้ายๆกับคุณ V.Putin คือลักษณะการออกแบบรถของญี่ปุ่นกับยุโรปแตกต่างกัน เหมือนกับลักษณะของรถที่เมกา ก็แตกต่างจากภูมิภาคอื่นๆ และระดับของราคาป้ายแดงที่แตกต่างกันแม้จะเก่ากว่าในหลายๆรุ่นก็อาจยังทำได้ดีกว่ารถรุ่นใหม่ๆที่ราคาป้ายแดงถูกกว่าเช่นกัน ส่วนน้ำหนักรถนั้น ถ้าหนักอย่างเดียวแต่ช่วงล่างห่วย มันก็เหมือนกับกระบะคันโต ที่ขับความเร็วสูงรู้สึกว่านิ่งและหนักแน่นในทางตรง แต่ถ้าโยกล่ะก็ได้กลิ้งลงคูง่ายกว่าเพราะโมเมนตัมมันเยอะ ถ้าออกแบบช่วงล่างไม่ดีก็จะทำให้หลุดได้ง่าย ส่วนรถคันเล็กแต่ช่วงล่างดี ที่อาจรู้สึกว่ารถไม่นิ่งมากที่ความเร็วสูง แต่ถ้าทำการโยกเปลี่ยนเลนก็จะทำได้ดีกว่า แต่ถ้ารถเล็กและช่วงล่างห่วย มันก็คงสู้ รถหนักแต่ช่วงล่างดีไม่ได้ในหลายๆกรณีนะครับ ถ้าในสนามโค้งแคบๆ รถเล็กช่วงล่างห่วยน่าจะทำได้ดีกว่ารถใหญ่ แต่ถ้าโค้งกว้างๆความเร็วสูงๆก็จะกลับกัน ก็ต้องพูดเจาจงเป็นเคสๆไป ถึงจะพูดได้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน จากคุณ : ....4จุด - [ 24 ต.ค. 49 17:14:17 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ในท็อปเกียร์ โค้งกว้าง แถมยังจับเวลารอบเดียว นับตั้งแต่ออกตัวเลย ไม่ใช่เวลาแบบ Best Lap รถแรงๆใช้ความเร็วได้สูงกว่าเยอะ แล้วเวลาที่แจ้งในเว็ปเค้าไม่ได้แจ้งเลยว่าเป็น wet รึเปล่า อย่าง NSX R ผมจำได้ว่าดูแล้ว มันเป็น wet ครับ ดูท็อปเกียร์มานานก็เหมือนเค้าไม่ได้จริงจังกับการทดสอบในสนามเท่าไหร่นะ จริงๆแล้วเค้าทดสอบได้สนุกพอๆกับ Best Motoring แต่ผมก็ชอบดูแบบ Best Motoring มากกว่า รถคันนึง มาทดสอบหลายครั้ง หลายสภาพอากาศ ทดสอบกับรถหลายๆแบบ บางทีทดสอบกระทั่งเสียงปิดประตูของรถยุโรปหรูๆ เทียบกันด้วยซ้ำไป มันดูน่าเชื่อถือกว่า ดูเค้าเล่นกันจริงจังกว่าท็อปเกียร์ที่เน้นจิกๆกัดๆ บางทีก็เล่นซะดูงี่เง่าเกินไปก็มี แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 49 17:46:08 จากคุณ : Black Monkey - [ 24 ต.ค. 49 17:45:14 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ในเวป bbc คงไม่อัพเดทจริงๆ จำได้ว่า Evo FQ400 ทดสอบแล้วเวลาดีกว่ากัลลาโด้ แต่ช้ากว่าเมอร์ซิเอลาโก้นิดนึง ตอนดูแรกๆก็งง ขับ 4 เหมือนกันซะด้วย อังกฤษแต่งรถยุ่นวิ่งดีจัง จากคุณ : Black Monkey - [ 24 ต.ค. 49 17:56:48 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ผมว่าในกรณีนี้ประเด็น คือ คนส่วนใหญ่ตีความหมายของคำว่า "ช่วงล่างดี" คือไร     จริงๆ แล้วคนส่วนใหญ่มักจะนิยามคำว่าช่วงล่างดี มาจากความรู้สึกในการขับขี่ ยกตัวอย่าง เช่น คุณแมวเหมียวพุงป่อง ใน ความเห็นที่ 12   คนทั่วไปนิยามคำว่าช่วงล่างดี แบบ คุณ แมวเหมียวพุงป่อง  คือ ถ้ามันทำให้ผู้ขับรู้สึก นิ่ง แรงสะเทือนมาที่ ตัวผู้ขับน้อย ไม่สะท้านมาที่พวกมาลัย เสียงช่วงล่าง เงียบ   สิ่งพวกนี้ ทำให้ผู้ขับ ไม่เครียดผลคือ นี่แหละคือ "ช่วงล่างดี"          แต่ในอีก นิยามนึงของคำว่า "ช่วงล่างดี" คือ รถใดๆก็แล้วแต่ ถ้านำมาเข้าโค้งเดียวกัน  คันไหนวิ่งในโค้งได้ไวกว่า  นั่นแหละเรียกว่า ช่วงล่างดีกว่า  โดยไม่สนว่า พวงมาลัย จะสะท้าน แค่ไหน   เพราะ ฉะนั้นในเมื่อ นิยามคำว่า "ช่วงล่างดี" ไม่ตรงกัน มันก็ต้อง คิดเห็นไม่ตรงกันเป็นธรรมดา สำหรับผมแล้ว คำว่า ช่วงล่างดี ก็แบ่งเป็นสองนิยาม   แต่ผมจะสนใจ อันหลังมากกว่า จากคุณ : cat911 (lamborghini_th) - [ 24 ต.ค. 49 20:52:49 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ถ้าช่วงล่างดีคือเกาะถนนแล้วเค้าโค้งได้เร็วที่สุดโยกน้อยสุดทำเวลาได้เร็วที่สุด ผมคนนึงล่ะจะลงชื่อไม่ขอขับช่วงล่างดีๆแบบนี้บนถนนเมืองไทยล่ะ 555 แต่ถ้าบอกว่าช่วงล่างดีแปลว่าขับแล้วรู้สึกดี บางทีคนเราก็โดนหลอกกันได้นะ ผมขับESเดิมๆบนทางตรงๆ พวงมาลัยมันแน่น ขับแล้วรู้สึกRelaxสบายใจ แต่Nissanคันเล็กของผมโหวงเหวงกระด้างหน่อยๆด้วย ขับแล้วไม่relaxเท่า แต่ลองหักพวงมาลัยเล่นที่140ดูสิ ไอ้คันที่relaxเกือบไม่รอด ทำให้คิดว่าถ้าเรามองเรื่องเกาะถนน แปลว่ายาง4เส้นติดพื้นเป็นตุ๊กแก บางทีรถที่ขับแล้วrelaxอาจจะไม่ดีอย่างที่คิดก็ได้ แต่บางคนมองว่ารถเกาะโค้งคือรถที่ทำเวลาได้เร็วสุดในสนาม ผมว่า..บางครั้งมันก็มีโอกาสที่จะไปได้เร็ว โดยที่ล้อทั้ง4สไลด์เป็นว่าเล่นนะ ส่วนมากเวลาผมอิงถึงรถที่ช่วงล่างดี ผมจะหมายถึงดีในแบบของคนที่ขับรถบ้าน คุณสมบัติคือหญิงท้องแก่นั่งจากดอนเมืองไปบางแคต้องไม่แท้งลูก แต่ถ้าโดนมอเตอร์ไซค์ตัดหน้า ก็ต้องหลบให้ได้ แก้ลำรถคืนได้ ไม่ตายทั้งหญิงท้องแก่และสามี และในระหว่างที่ขับแบบปรกติ คนขับรู้สึกมีความมั่นใจ ไม่รู้สึกเหนื่อยล้ามือและหัวไหล่เพราะเกร็งในการขับ นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจากรถที่ผมเรียกว่า "รถช่วงล่างดี" ที่บอกนี่ก็คือให้ได้รับรู้กันเลย ว่าถ้าเมื่อไหร่ไอ้หมีไฟฟ้าบอกช่วงล่างดี มีความเป็นไปได้ว่าช่วงล่างที่ัมันชอบจะเป็นแบบนี้ ซึ่งแต่ละคันที่ผมเรียกว่ารถช่วงล่างดี ไม่ใช่รถแข่ง และเอาไปขับสนามแข่ง ก็มีหมุนเป็นว่าเล่น ..เพราะเอาเทอร์มของรถบ้านมาใช้กับสนามแข่ง ซึ่งเทียบกันได้ แต่เหมือนเอาพิทบูลมากัดกับหมาชิวาว่าทาโก้เบลล์ กัดได้ แต่ตลกมากกว่าสนุก จากคุณ : หมีไฟฟ้า (V.Putin) - [ 24 ต.ค. 49 21:08:32 ]

ความคิดเห็นที่ 45 #41 เอาให้ดูเล่นๆน่ะครับ เพราะมันไม่ได้แข่งจริงจัง แค่ทดสอบกันคนละัวันก็มีผลต่างกันเยอะ แต่แนวโน้มของrank มันมีความแตกต่างกันตามลักษณะของรถ อย่างที่เล่ามาคร่าวๆ รถคันใหญ่เครื่องแรงหลายๆคันก็ทำเวลาดีสู้รถไม่แรงแต่คันเล็กไม่ได้ (เช่น RX8)และ Im กับEVO เดิมๆก็ยังวิ่งดีกว่ารถขับสองที่มีจำนวนม้ามากกว่าเป็นร้อยตัว มันมีตัวแปรหลายๆอย่าง ที่ถ้ายกมาเทียบกันตรงๆไม่ได้น่ะครับ อ้อ FQ400 มีในlink นะครับ เอาส่วนต้นมาให้ดูกันต่อ ********** พอเห็น #43 แล้วก็นึกออกว่าเห็นด้วย เพราะเคยขับรถบางคันช่วงล่างนิ่มมากเหมือนขับเรือ เข้าโค้งนี่แทบไม่รู้สึกถึงแรงเหวี่ยงนิ่งมากๆ แต่พอถึงจุดๆหนึ่งก็หลุดได้ง่ายกว่าอีกคันที่เข้าโค้งแล้วรู้สึกกระเทือนๆแรงเหวี่ยงเยอะแบบของในรถกลิ้งไปมา แต่เข้าและออกโค้งได้ด้วยความเร็วสูงกว่าคันแรกมาก ความรู้สึกตรงนี้มันหลอกอยู่เหมือนกัน แต่รถที่ช่วงล่างดีสำหรับรถบ้าน คงต้องเป็นรถที่ช่วงล่างนิ่มและสามารถเข้าออกโค้งได้ด้วยความเร็วสูง โดย compromise ระหว่างความแข็งกระด้างแต่เกาะถนนมากแบบช่วงล่างรถแข่ง และความนิ่มนวลของรถทั่วไปที่ไม่ค่อยเกาะถนน ถ้ารถคันนั้นหาจุดลงตัวได้ค่อนข้างดี ก็น่าที่จะเรียกว่าช่วงล่างดี(สำหรับรถบ้าน) ส่วนเอาช่วงล่างดีของรถบ้าน ไปวิ่งกับรถแข่งแรงๆแบบsport car ที่ไม่คำนึงถึงความนิ่มนวลเลย มันก็คงสู้่กันไม่ได้น่ะแหละ เพราะเขาเน้นเวลาในการเข้าออกโค้งมากกว่า ความนิ่มนวล จากคุณ : ....4จุด - [ 24 ต.ค. 49 21:49:26 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ลงชื่อว่าเข้ามาอ่าน(แบบผ่านๆ)ค่ะ เห็นมีกระทู้แบบนี้เป็นระยะยเสมอ ก็เข้ามาอ่านขำๆค่ะ  ถ้ามีประโยชน์เราก็อ่านเป็นความรู้ไป จากคุณ : #^_^# นู๋อายยย - [ 24 ต.ค. 49 22:43:19 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เรื่องรถยุโรปกะรถญี่ปุ่นอันไหนมีการทรงตัวดีกว่ากันนั้น ความจริงแล้วมันก็บอกยาก การทดสอบแต่ละครั้งถ้าจะให้เป็นรูปธรรมและมีมาตรฐานแบบสุด ๆ มันต้องอาศัยเครื่องมือเครื่องไม้พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องวัดแรงจี ฯลฯ แต่กระนั้น รถที่เกาะถนนที่สุดไม่จำเป็นว่าต้องออกโค้งได้ดีที่สุดก็ได้ ก็อย่างที่คุณ V.Putin ว่ามาแหละคับ เข้าออกโค้งได้เร็วก็มีโอกาสกลิ้งได้เร็วเหมือนกัน มันสำคัญที่ว่า สามารถทรงตัวในทางตรงได้อย่างมั่นคงแค่ไหนในความเร็วสูง อย่างน้อยก็ต้องนิ่งพอรับกับแรงลมที่กระพือตรงใต้ท้องรถ รวมถึงเนินขรุขระเล็ก ๆ ชนิดที่มองเผิน ๆ อาจไม่รู้ รวมถึงต้องทรงตัวในทางโค้งได้ดี ไม่ปัด ไม่เป๋ สามารถแก้สถานการณ์ได้ดี แม้กระทั่งการบังคับควบคุมยามฉุกเฉินในกรณีที่เปลี่ยนเลนกระทันหันด้วย ระบบกันสะเทือนและบังคับควบคุมเสถียรภาพตัวรถ คือระบบ Active Safety ชนิดหนึ่งนะครับ รถญี่ปุ่นไม่ค่อยจะมีรถเกาะถนนแบบที่ว่ามากนัก ส่วนใหญ่การบังคับควบคุมขนาดความสมดุล รุ่นที่ช่วงล่างกระด้างกลับเข้าโค้งแล้วท้ายปัดเพราะท้ายเบาไป สปริงแข็งไป โช้คก็แข็งแต่ไม่ยืดหยุ่น ผมนึกถึงเจ้าสามห่วง ที่ว่าช่วงล่างแข็ง ดูเหมือนจะเฟิร์ม แต่ก็ยังหวิว ๆ ปัด ๆ ในทางตรงก็ออกอาการที่ความเร็ว 120-130 ขึ้นไป บางรุ่นก็ช่วงล่างนุ่มไป แบบอัลติส โยนตัวมาก โคลงอีกตะหาก ในขณะที่รถยุโรป อย่างน้อยการทรงตัวต้องมั่นคงในทางตรงเป็นอันดับแรกเลย บางรุ่นเข้าโค้งดีบ้างไม่ดีบ้างก็แล้วแต่ยี่ห้อครับว่าเค้ามุ่งประสงค์มาเพื่อการขับขี่แบบไหน อย่างซ้าบ บีเอ็ม เค้าเน้นเอาการขับขี่แบบสปอร์ตมาใส่ในรถยนต์นั่ง ช่วงล่างจึงค่อนข้างแข็งกว่าเพื่อนในค่ายยุโรปด้วยกัน แน่นอน แข็งกว่ารถญี่ปุ่นแน่ ๆ การเข้าโค้งก็ทำได้ดีมาก เมื่อเทียบกับรถนั่งเซ็กเม้นท์เดียวกัน เทียบกะเล็กซัสแล้วยังไงก็เหนือกว่า (ไม่นับซีรี่ 5 ) ส่วนบางยี่ห้ออย่างเบนซ์ รถฝรั่งเศสบางยี่ห้อ เน้นช่วงล่างนิ่ม ขับทางตรงดี ทางโค้งก็ดีแต่ไม่ต้องมากนัก เอาแค่พอมั่นคง ไม่ต้องถึงขนาดใส่โหด ๆ ก็ได้ ก็ถือว่าทำได้ดี ถึงทางโค้งสู้บีเอ็มไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่ารถญี่ปุ่นหลายยี่ห้อ ความแตกต่างมันเป็นเพราะอะไร ? รถแต่ละประเทศต่างก็ต้องทำขึ้นมาเพื่อเน้นตลาดในประเทศตัวเองก่อนใคร ถ้าเรามองดี ๆ มันสะท้อนถึงสภาพบ้านเมืองอันส่งผลต่อปรัชญาแนวคิดการทำรถของแต่ละประเทศอีกด้วย รถญี่ปุ่นนั้น เค้าไม่ทำรถที่เน้นการขับขี่มากนักเพราะว่า 1. ญี่ปุ่นมีถนนไฮเวย์ แต่ถนนไฮเวย์ในญี่ปุ่นไม่มีทางคดโค้งมะโรงมะเส็งมากนัก ส่วนมากค่อนข้างตรง โค้งไม่เยอะ ถึงมีภูเขา ถนนก็ไม่โค้งอ้อมเขามากมาย รถญี่ปุ่นเลยไม่ต้องทำมาเพื่อให้รับเกาะถนนอะไรมากนัก ไม่ต้องเน้นเกาะมากรถก็รับกะสภาพถนนได้อยู่แล้ว 2. กฎหมายของญี่ปุ่นบังคับเอาไว้เลยว่าให้จำกัดความเร็วเอาไว้ที่ 180 กม./ชม. ในถนนไฮเวย์ ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องทำรถให้มีการทรงตัวที่เลิศเลอมากก็ได้ เนื่องจากวิ่งยังไงก็ไม่เกิน 180 อยู่แล้ว 3. ญี่ปุ่นมีภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะ ไม่มีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงไม่มีความจำเป็นต้องขับความเร็วสูงข้ามประเทศ รถญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องเกาะถนนมากนักก็ได้ เอาแค่ใช้งานในความเร็วไม่สูงมากก็พอ แล้วรถยุโรปล่ะ ทำไมถึงเน้นการขับขี่ การทรงตัวมากมาย ? 1. ยุโรปมีถนนไฮเวย์ที่คดโค้งมะโรงมะเส็งไปตามภูมิประเทศที่เป็นภูเขา รถของเค้าจึงต้องทำมาเพื่อรับกับสภาพภูมิประเทศที่คดเคี้ยวเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี หรือแม้แต่สวีเดน ถึงแม้ว่าเยอรมันจะมีเอาโต้บาห์นที่เป็นทางตรงและมีโค้งไม่แคบมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทางโค้งขึ้นลงเขาซะทีเดียว มีแน่ครับ เพื่อนผมบอกว่าค่อนข้างเยอะด้วยในตอนใต้ เนื่องจากตอนใต้เป็นภูเขาเยอะ 2. กฎหมายของประเทศในยุโรปเอื้ออำนวยให้สามารถขับเกิน 200 กม./ชม.ได้โดยเฉพาะในอิตาลีและเยอรมันสามรถขับได้ถึง 300 หรือมากกว่านั้น จึงเป็นการเปิดโอกาสให้พวกที่ต้องการความเร่งด่วน อยากซิ่งมันส์ ๆ ได้ขับความเร็วสูง ๆ จึงไม่แปลกที่เป็นการเอื้อให้รถของประเทศเค้าพัฒนาระบบช่วงล่างและการขับขี่ให้มั่นคงในความเร็วสูงได้ เป็นการสนองความต้องการของนักซิ่งไปในตัว 3. ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเป็นแผ่นดินใหญ่ มีอาณาเขตติดกับเพื่อนบ้าน ยิ่งกว่านั้นประเทศหลายประเทศยังเป็นสมาชิกของอียูและเข้าร่วมภาคีของ Schengen Agreement ที่ให้ประชาชนของประเทศภาคีเข้าออกได้โดยเสรี ผ่านการทำวีซ่าในแบบขชองเค้าเอง ถ้าจะผ่านกี่ประเทศก็ระบุในเชงเก้นวีซ่าไปเลย เราก็จะผ่านได้สะดวก บางคนจึงขับรถทะลุไปโน่นมานี่ตลอด รถยุโรปจึงต้องทำเพื่อเน้นให้การขับขี่มีสเถียรภาพที่มั่นคงพอสำหรับการขับขี่ความเร็วสูงซึ่งถือว่าเป็นการร่นระยะเวลาอีกด้วย ส่วนที่ว่าคนญี่ปุ่นนิยมระบบขนส่งมวลชนนั้น เป็นเรื่องจริง แต่ที่เยอรมัน ฝรั่งเศส และอื่น ๆ ในยุโรปก็มีระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพไม่ด้อยกว่าญี่ปุ่นเท่าไหร่ และคนยุโรปเองก็ชอบที่จะใช้ระบบขนส่งมวลชนของเค้าด้วย เพียงแต่ว่าเค้ามีทางเลือกมากกว่าญี่ปุ่นในเรื่องความสะดวกสบายในการเดินทาง นอกจากนั่งเครื่องบิน นั่งรถไฟ นั่งเรือแล้ว ขับรถยนต์ก็ได้ ไปถึงในเวลาไม่นานอีกด้วย เค้าจึงเลือกการเดินทางด้วยรถยนต์เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับพวกเค้าเอง ผิดกับญี่ปุ่น ที่ขับให้ตายก็โดนล็อกไว้ที่ 180 ลองสังเกตรถที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่นก็ได้ เข็มมาตรวัดมีแค่ 180 ไม่เหมือนที่ขายในประเทศอื่นที่มี 200 กว่า ๆ ผมเองก็ขอจบการอวดฉลาดทั้งที่โง่งมแต่เพียงเท่านี้ครับ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 49 23:25:25 จากคุณ : ดยุคแห่งออสเตรีย - [ 24 ต.ค. 49 23:23:15 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ส่วนตัวผมคิดเหมือนกับคุณ cat911 นะครับ ยังหลงไหลในการเล่นรถญี่ปุ่นน้ำหนักเบา เล่นโค้งได้พริ้วๆเสมอ จขกท. ไม่ต้องเซ็ง ยังไงคนเราก็ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ตรงกันหมดหรอกครับ แค่รถที่ขับอยู่ก็ต่างกันแล้ว ช่างมันเถอะครับ ผมว่าอ่านเอาฮาดีกว่านะ บางความเห็นอ่านแล้วขำดีออก คลายเครียดน่า จากคุณ : Helter Skelter - [ 25 ต.ค. 49 01:17:48 ]

ความคิดเห็นที่ 49 นี่พูดก็พูดเถอะ  ผมเห็นนั่งถกกันไปกันมา ทั้งที่ความจริงแล้ว คำตอบของคำถามเจ้าของกระทู้นั้น มันรวมได้ด้วยคำเพียงประโยคเดียว "เพราะความคิดมนุษย์นั่นเล่าที่ต่างกัน" ------------------- เห็นด้วยกับแพน แต่ขอเสริมตาดยุคฯ นิดนึง ญี่ปุ่น ไฮเวย์ มีครับ แต่ ถนนที่มีเยอะกว่าไฮเวย์ คือ ถนนที่คดเคี้ยว และลัดเลาะไปตามพื้นที่เพาะปลูกไร่นาเป็นหลัก ถนนของเขา ส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไฮเวย์ ทว่า เป็นแบบ สองเลนสวนกันแคบๆ เป็นหลัก ทำความเร็วได้ไม่สูงนัก ดังนั้น อย่าแปลกใจ ที่รถส่วนใหญ่ ที่เขาเลือกใช้กัน มักเป็นรถขนาดตัวถังกว้างไม่เกิน 1,700 มิลลิเมตร ที่จะเซ็ตช่วงล่างแบบธรรมดาๆ ดาษๆ ไม่งั้นก็ เค-คาร์ไปเลย ผิดกับยุโรป ถนนที่นั่น มีทุกรูปแบบ ทั้งทางโค้งคดเคี้ยว อิฐก้อนปูถนนอายุ หลายร้อยปีที่พร้อมจะทำลายช่วงล่างรถของคุณในเวลารวดเร็ว ปจนถึง เอาโตบาห์น นั่นคือเหตุผลที่ เขาต้องทำช่วงล่างมาให้แข็งเข้าไว้ นุ่มหรือนิ่มมากไม่ได้ ภูมิประเทศและภูมิอากาศที่คนสร้างรถอยู่ จะมีผลให้เขาสร้างรถออกมาแตกต่างกัน จากคุณ : JIMMY - [ 25 ต.ค. 49 03:18:17 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ใครว่า หนักกว่าไม่สำคัญ อย่าเปรียบเทียบรถต่างประเภทสิครับ ถ้าให้ f1 หนัก กับ f1 เบาหวิว แน่นอนว่า f1 หนัก เกาะกว่า รถที่ได้ประหยัดน้ำมันมากมาก ก็เบากว่ารถกินน้ำมัน ตัวถังที่เบากว่า ทำให้แรงขับใช้น้อยกว่า ไหง ? กระบะไม่บรรทุก ประหยัดกกว่ากระบะบรรทุกเต็มล่ะ ทั้ง ๆ ที่เป็นรถรุ่นเดียวกัน จริงป่ะ จากคุณ : รัก ยาริส - [ 25 ต.ค. 49 16:44:10 A:203.113.71.70 X: TicketID:126935 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ก็ลองเอา honda f1 มาแข่งกับ renault f1 แล้วถามว่ามันยังเป็นเรื่องเดียวกันอยู่รึเปล่า? เวลาที่ทำได้ต่างกันมากมั้ย นิดหน่อย แสดงว่ามันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเป็นรถประเทศไหน เพียงแต่ approach ของรถแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อมันอาจจะต่างกัน รถยี่ปุ่นถูกๆอาจจะต้อง save cost รถยุโรปหนักๆแพงๆอาจจะขับแล้วนั่งนิ่มๆ แต่วิ่งในสนามโคลงเละเทะก็มี ทีนี้มันอาจจะไปตรงใจใครบ้างก็คงบอกว่ามันเกาะถนนดีล่ะมั้ง จากคุณ : S(2) - [ 25 ต.ค. 49 18:29:40 ]