ความคิดเห็นที่ 1 ความคิดเห็นที่ 7   เอ ภาพนี้คงไม่ได้ป็นระบบเบรคในฟอร์จูนเนอร์หรอกนะครับ สิ่งที่ผมเห็นแล้วขัดตาที่สุดเห็นจะเป็นสายเบรคที่หย่อนยาน กับ ทิศทางการหมุนของลูกกลิ้งน่ะครับ หรือสายเบรคทำด้วยหนังยางเหรอครับ? ท่าจะสนุกดี จากคุณ : hk2cxvd - [ 4 พ.ย. 49 18:24:17 A:58.9.151.40 X: TicketID:111497 ] ..................................................... ถูกต้องแล้วครับ Fortuner คงไม่ได้ออกแบบระบบเบรคให้มันเอ๋อออกมาแบบนี้แน่ครับ แต่ต้องการทำให้ดูง่ายๆ โดยตัดชิ้นส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อน โดยให้เห็นชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องจริงๆก่อน เพื่ออธิบายอาการที่เป็นที่มาของปัญหาครับ ที่ท่านสังเกตุเห็นว่าสายเคเบิ้ลหย่อนยานนั่นน่ะ ใช่แล้วครับ ส่วนทิศทางการหมุนของลูกกลิ้งนั้น จะหมุนกลับข้างบ้างก็ได้ครับ อย่าไปใส่ใจเรื่องทิศทางการหมุน เพราะถ้าผมใส่ลูกศรอีกทาง เดี๋ยวฝืนความรู้สึกคนทั่วไปที่ว่า เอ๊ะ ทำไมล้อหมุนถอยหลัง เพราะแป้นบังคับเบรคอยู่ทางขวา ****************************************************************** ประเด็นอยู่ที่ว่า ถ้าสายเคเลิ้ลหย่อนยาน กับ ระยะที่แป้นเบรคมีจำกัด อาการของเบรคจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร ****************************************************************** ให้บ่งชี้ไว้เบื้องต้นก่อนครับว่า ผ้าเบรคก็ใหญ่โดพอ ไม่เล็กจนน่าสงสัยว่าจะเบรคลูกกลิ้งไม่อยู่ แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 49 18:54:08 จากคุณ : kroner   - [ 4 พ.ย. 49 18:50:08 ] .............................................................. ดังนั้น หม้อลมลูกใหม่ที่ได้เปลี่ยนให้กับลูกค้า fortuner ได้มีขนาดแม่ปั๊มที่ใหญ่ขึ้นหรือไม่ครับ เพื่อชดเชยระยะของแป้นเบรคที่จำกัด จากข้อมูลที่คุณ preecha นำมาเผยแพร่ ระบุว่า เป็นเพราะความดันน้ำมนเบรคหลังที่ผ่าน lspv + bypass นี่ครับ ข้อเท็จจริงเป็นจากสาเหตุใดกันแน่หรือครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 4 พ.ย. 49 19:06:27 A:58.9.151.40 X: TicketID:111497 ] ......................................................... อิอิ คุณhk2cxvd ครับ ใจเย็นๆครับ ผมไม่มีหน้าที่มานั่งชำแหละข้อมูลคุณปรีชา และก็ไม่สนใจที่จะทำด้วยครับ เนื่องจากว่า การแก้ไขปัญหาใดๆ ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ต้องค้นหาดูว่าสาเหตุของปัญหาอยู่ที่ไหน ซึ่งถ้าเป็นคนไข้ คุณเป็นหมอก็ต้องดูอาการเสียก่อน ว่าคนไข้มีอาการอย่างไร อาการของคนไข้รายนี้ คือ 1. เบรคไม่อยู่ แม้ขณะที่รถแล่นไม่เร็ว 2. เหยียบเบรค ก็เหมือนกับว่าไม่ตอบสนอง พอกระทืบเข้าไปจริงๆ เบรคก็เอาอยู่แฮะ อย่างที่เขาเขียนแถลงการของเขาออกมาอย่างนั้น 3. เหยียบเบรคยาวๆ ขณะความเร็วสูง ผ้าเบรคร้อนจัด ไหม้ได้ อาการที่ว่าในข้อ 2. แม้กระทืบเบรคลงไปก็เอารถอยู่ แต่ก็อาจจะไม่ทันอก ทันใจคนขับ ซึ่งนี่แหละ ที่เป็นที่มาของรูปที่ผมเอามาฝากคุณhk2cxvd ใน คคห.ที่ 6 คุณเห็นว่า ถ้าเบรคถูกเซ็ทมาตามรูปนี้ อาการของเบรคจะเหมือนกับอาการของ Fortuner อย่างที่ผมว่ามาหรือเปล่าครับ ตรงนี้ต้องเห็นตรงกันเสียก่อน ไม่งั้นไปกันต่อไม่ได้ครับ จากคุณ : kroner   - [ 4 พ.ย. 49 19:32:21 ] ........................................................................ ความคิดเห็นที่ 14   ^ ^ ขอเล่นด้วยคน 2. น่าจะคล้ายกันกับกรณี FT เพราะกว่าที่สายเบรคจะตึง และดึงผ้าเบรคเข้ามา มันต้องใช้เวลา และถ้าทิศทางการหมุนของล้อเป็นตามนั้นจริง แรงเสียดทานจะเหวี่ยงให้ผ้าเบรคกระดอนออกจากลูกกลิ้ง ซึ่งถ้าหากเป็นสายเบรค แรงเหวี่ยงนั้น เมื่อนานๆไป จะทำให้สายเบรคยืดได้ .. แรงกดลดลง ไปต่อได้หรือยังครับ   จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง   - [ 4 พ.ย. 49 21:07:41 ] ............................................................... ความคิดเห็นที่ 15   ขอโทษครับ เผอิญมีแขกมาเลยห่างคอมไปพักใหญ่ๆ และหวัดดีครับคุณหมอเหมียวฯ ยินดีครับที่มาเล่นด้วย คุณ kroner ครับ หากรูปที่วาดนั้น ระยะแป้นเบรคไม่พอให้ก้ามปูเบรคกดลงได้เต็มที่กับดุม ก็แน่นอนครับ แต่ผมไม่คิดว่า Toyota ไม่น่าจะตกม้าตายง่ายๆแบบนั้นนะครับ ปกติเบรคจะมีระยะฟรีพอสมควร แต่เมื่อก้ามปูกดถึงดุมแล้ว ระยะที่แป้นสามารถกดยุบลงไปได้อีกแทบจะไม่เพิ่มขึ้นอีกเลยครับ มีเพียงแรงเบรคเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น จากคุณ : hk2cxvd - [ 4 พ.ย. 49 21:51:35 A:58.9.145.24 X: TicketID:111497 ] .............................................................. จากคุณ : Arado_Kung - [ 5 พ.ย. 49 22:39:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ความคิดเห็นที่ 16   สวัสดีครับคุณหมอแมวเหมียวฯ คุณhk2cxvd ขออภัยที่ไม่ได้เผ้าจอ กว่าจะเข้ามาก็ดึกมากแล้ว ปกติก็ผมมักออนดึกๆน่ะครับ กลับมาที่รูปนี้ดีกว่าครับ หากเบรคถูกเซ็ทให้ linkage เป็นไปตามตามรูปนี้ 1. เบรคจะทำงานตอบสนองช้า เพราะเคเบิ้ลหย่อนยาน 2. เบรคไม่มีแรงกดเพียงพอ เพราะระยะแป้นเบรคไม่พอให้ก้ามปูเบรคกดลงได้เต็มที่กับดุม (อันนี้ก็อปเอาคำของคุณhk2cxvd มาเลย ตรงเป๊ะครับ) 3. เมื่อความเร็วสูง ต้องหยุดลูกกลิ้ง ให้ได้ กดเบรคไป แรงกดไม่มากพอที่จะหยุด เบรคก็เสียดสีราวกับเลียคลัทช์ เบรคก็ไหม้น่ะครับ ส่วนเรื่องทิศทางการหมุน อย่าถือสาครับ คิดซะว่าไม่ต้องใส่สปริงดึงกลับก็แล้วกัน เจตตนาเพียงเพื่อไม่ให้ดูฝืนธรรมชาติว่าหมุนถอยหลัง เท่านั้นครับ จากคุณ : kroner   - [ 5 พ.ย. 49 01:49:15 ] ................................................................. ความคิดเห็นที่ 17   ^ ^ ตรง (3) นี่ .. ยังสงสัยครับ เมื่อความเร็วสูง ถ้าหากแรงกดเบรคมากพอ ลูกกลิ้งหยุด ... ถ้าเป็นรถ ก็หมายถึงล้อล็อค เบรคไม่ไหม้ก็จริงอยู่ แต่รถสไลด์เป็นนักสเก้ตน้ำแข็ง เมื่อผ้าเบรคเสียดสีกับดุม .. พลังงานกล และความเฉื่อยในการหมุน ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นพลังงานความร้อน ถึงดุมจะไม่หยุด แต่ผ้าเบรคก็จะไม่ไหม้ถ้า 1. ผ้าเบรคทนอุณหภูมิได้สูง 2. มีกลไก (ขบวนการ) ถ่ายเทความร้อนออกจากผิวสัมผัสได้ทัน ข้อ (2) นี่ .. ผมนึกถึง "กลวิทยาศาสตร์" ที่แสดงให้เด็กๆดู (เด็กชอบมาก และอยากเรียนวิทย์ขึ้นอีกเยอะ ) ... กลต้มน้ำในถ้วยกระดาษ .. เปลวเทียนไข หรือแกส แม้อุณหภูมิเปลวไฟสูง 2-300 องศา แต่ถ้วยกระดาษก็ไม่ไหม้ เพราะน้ำนำพาความร้อนออกได้หมด ฉะนั้น ถ้าเบรคจะไหม้ ก็น่าจะสาเหตุึที่ตรงข้ามกับ 2 ข้อข้างบนนี้เท่านั้นใช่ไหมครับ? จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง   - [ 5 พ.ย. 49 09:03:43 ] .................................................................. ความคิดเห็นที่ 18   เรียนคุณหมอแมวเหมียว ผ้าเบรคเสียดสีกับลูกกลิ้งนานๆ เพราะไม่สามารถยุดลูกกลิ้งได้ในระยะเวลาที่ควร คงไม่ต่างกับการออกรถแล้วเลียคลัทช์ยาวๆ ไม่ปล่อยคลัทช์ให้สุด ผ้าคลัทช์ดีๆี ใช้งานปกติ ก็ถ่ายทอดแรงบิดสูงๆได้ โดยคลัทช์ไม่ลื่น ผ้าคลัทช์ดีๆ หาปล่อยคลัทช์ไม่สุด เลียคลัทช์อยู่ตลอด คลัทช์ก็ไหม้ได้ การที่สารให้ความฝืดไหม้นั้น ไม่ได้แปลว่า สารให้ความฝืดนั้นคุณภาพไม่ดี เพียงแต่ว่า กลไกถ่ายทอดกำลัง และการสั่งการที่หย่อนยาน ทำให้ผ้าเบรคทำงานไม่แม่นยำ ขาดอำนาจการเบรคที่เพียงพอ ที่จะหยุดการเคลื่อนที่ในเวลาที่เหมาะสมครับ อย่างกลวิทยาศาสตร์ของที่คุณหมอ ได้ยกมานั้น กรวยกระดาษไม่ไหม้ เพราะอุณหภูมิที่น้ำเดือด ไม่สูงพอที่จะทำให้กรวยกระดาษลุกไหม้ได้ แต่ถ้าให้ความร้อนไปเรื่อยๆให้กับน้ำเดือด จนเหือดแห้งเมื่อไหร่ กรวยกระดาษนั้นก็ไหม้ได้เหมือนกันใช่ไหมครับ แล้วกระดาษที่ไม่ลุกไหม้้ตอนที่น้ำเดือด กับกระดาษที่ไหม้ตอนน้ำเหือด มันก็กระดาษกรวยแบบเดียวกัน ผลิตออกมาพร้อมๆกัน คุณภาพเท่ากัน เราจึงโทษว่ากรวยกระดาษที่ไม่ลุกไหม้ กับกรวยกระดาษที่ลุกไหม้เป้นไคุณภาพดีแย่ไม่เท่ากันไม่ได้ใช่ไหมครับ ในกรณีผ้าเบรคที่ผมยกมา หากจับเลียเสียดสยาวๆ ก็เฟดได้ เพราะหน้าสัมผัสแนบอยู่กับจานเบรคตลอดเวลา และมีการเติมความร้อนสะสมอยู่ตลอดเวลา แต่การระบายความร้อนไม่ได้ดี เพราะตลอดเวลาที่เบรครถเคลื่อนตัวด้วยความเรวที่ลดลง แต่ก็ไม่ถึงกับหยุดรถได้ เบรคซึ่งระบายความร้อนด้วยลมก็มีลมมาช่วยระบายความร้อนน้อยลง ด้วยความเร็วลมที่ต่ำลง หน้าผ้าเบรคที่ร้อน ก็ไม่สามารถระบายแก๊สออกได้ดี เพราะหน้าสัมผัสเบรคแนบติดกับจานเบรคอยู่ตลอดเวลา อุณหภูมิของไอน้ำน้ำสูงกว่าน้ำที่เดือดอย่างไร แก๊สที่คายออกมาจากผ้าเบรค ก็มีอุณหภูมิสูงกว่าผ้าเบรคเช่นกัน แต่แก๊สที่คายไม่ออก ก็จะค้างอยู่ในผ้าเบรค(ผ้าเบรคมีความพรุน) ็ก็ช่วยเร่งให้ผ้าเบรคคายความร้อนแย่ลง แถมยังสะสมความร้อนเร็วขึ้น ด้วยผลจากการที่เลียเบรคยาวๆนั่นเองครับ ถึงตรงนี้ เ็ห็นเ็ป็นอย่างไรบ้างครับว่า รูปที่ผมยกมาใน คคห6 พอจะสะท้อนอาการของเบรคใน Fortuner ก่อนปรับปรุงได้ครบไหมครับ จากคุณ : kroner   - [ 5 พ.ย. 49 17:12:56 ] ............................................................ ความคิดเห็นที่ 19   ครับแล้วยังไงครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 5 พ.ย. 49 18:04:36 A:58.9.145.24 X: TicketID:111497 ] ..................................................... ความคิดเห็นที่ 20   เอ่อ สรุปแบบในความเข้าใจของผมนะครับ จาก คห.18 ต่อให้ผ้าเบรคมันดีขนาดไหน มันก็สามารถเฟดได้ เพียงแต่ในน้องจูนระบบเบรคมีปัญหาเรื่องการใช้แรงกดเบรคมากกว่าปกติในการหยุดรถ+การระบายความร้อนของระบบเบรคซึ่งไม่ดีประกอบด้วยกันแล้ว ทำให้ผ้าเบรคสามารถเกิดอาการเฟดได้ง่ายกว่ารถยี่ห้ออื่น ถูกต้องไหมครับ จากคุณ : Arado_Kung  - [ 5 พ.ย. 49 19:07:47 ] .................................................................. ความคิดเห็นที่ 21   ขออ่านด้วยคนครับ อย่างนี้แปลว่า ถ้ารถวิ่งมาด้วยความเร็ว x โดยปลดเกียร์ว่าง (ไม่คิดกำลังเครื่องยนต์) แล้วเบรคให้หยุดกึกเลย เทียบกับ เบรคแบบเลียให้รถค่อยๆชลอจนหยุด ตามทฤษฎีต้องใช้พลังงานเท่ากัน แต่กลับทำให้ความร้อนที่เกิดกับเบรคไม่เท่ากัน โดย เบรคแบบเลียจะให้ความร้อนมากกว่า ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 49 19:17:32 จากคุณ : luciddream  - [ 5 พ.ย. 49 19:16:17 ] ............................................................... หลังจากคห.นี้ตัวป่วนมาล่ะ ขอตัดออก ความคิดเห็นที่ 24   คุณArado_Kungครับ ผ้าเบรคดีขนาดไหน ก็เฟดได้ครับ น้องจูนมีแม่ปั้มเบรคที่มีสัดส่วนต่อลูกสูบเบรคในล้อเล็กว่าทั่วไป นัยว่าต้องการให้เกิดแรงดันได้มาก ด้วยแรงกดเพียงเล็กน้อย แลกกับระยะเคลื่อนที่ที่แป้นเบรคมากขึ้น (ทั้งหมดนี้ผมสรุปเองโตโยต้าไม่เคยบอก) ที่เบรคเฟดใน น้องจูน ผมก็เ็้ห็นด้วยว่าเบรคหน้าทำงานหนัก เพราะเลียเบรคเบาๆ หลังก็ไม่ค่อยช่วย เบรคหนักๆหน้าก็รับเต็มๆ แตในรูปที่1 ที่ผมนำมานั้น ไม่ได้มีอะไรอธิบายตรงนี้ แต่เป็นการออกแบบระบบอย่างง่ายๆให้แสดงอาการแบบเดียวกันในการหยุดรถ คุณluciddreamครับ หากมองโดดๆ พลังงานจลน์การเครื่องที่ = พลังงานความร้อนที่ได้จากการเบรค แต่อันที่จริงแล้ว มันไม่ใช่สมการการแปลงพลังงานจลน์ไปเป็นความร้อน ที่มีตัวแปรเพียงแค่ตัว 2 ตัวน่ะครับ การปลดเกียร์ว่างที่ทางราบย่อม อันตรายน้อยกว่าปลดเกียร์ว่างลงเข้า ก็เพราะมีแรงโน้มถ่วงของโลกมาเกี่ยวข้อง ในกรณีจำเป็นใช้เกียร์์ทำให้เกิดเอนจิ้นเบรคช่วยลดภาระของเบรคได้ ในขณะเดียวกัน หากเปรียบเทียบภาระเบรคในรถเกียร์แมนนวล กับเกียร์ออโต เบรคในรถเกียร์ออโต ก็เปลืองกว่า อันนี้แปลว่ามีอินพุทจากเครื่องยนต์เป็นอีกตัวแปรหนึ่ง ที่ี่ยังคงใส่พลังงานเพิ่มเข้ามาขณะเบรคอีกด้วย แต่ถ้าเบรคดี เบรคสั้นๆพอเหมาะ ไม่เบรคยาวจนเกินไปหรือเบรคแรงจนสั้นเกินไป เบรคก็ไม่ได้ร้อนจัดมาก แล้วก็มีโอกาสได้จังหวะได้คายแก๊ส คายความร้อน ได้ทันก่อนที่ผ้าเบรคจะ่ถึงระดับวิกฤติ แต่ถ้าเบรคไม่อยู่ กดเบรคกลับกลายเป็ยเลียเบรคยาวๆ คนขับก็ยิ่งกดเบรคเพิ่มมากขึ้น ด้วยหวังว่าจะเบรคได้ดีขึ้น ระบบส่งกำลังก็ยังคงถ่ายทอดกำลังมาเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่เบรค อันนี้ร้อนแบบไม่ทันได้คายไปไหนรับสะสมความร้อนมาตลอด ค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานของเบรคก็ลดลงไปเรื่อยๆ คนขับก็ต้องเพิ่มแรงกดเบรคไปเรื่อยๆ อย่างนี้ผ้าเบรคเดือดร้อนมากกว่าครับ จากคุณ : kroner   - [ 5 พ.ย. 49 20:32:57 ] ............................................................. ความคิดเห็นที่ 30   ขอบคุณครับ พี่เสว เข้าใจแล้วครับเบรคแบบเลียจะไม่มีโอกาสได้ระบายความร้อนเนื่องจากเบรคจับตลอดเวลา อืมอดอ่านต่อเลย กำ จากคุณ : luciddream  - [ 5 พ.ย. 49 22:01:21 ] ......................................... ผมก็อปมาเท่าที่ผมว่าสำคัญนะครับ ขาดเหลือยังไงคห. ต่อไปช่วยทีครับ แต่ไม่ต้องเอาของตัวป่วนมานะ ผมอยากฟังแต่คุณ Kroner จากคุณ : Arado_Kung - [ 5 พ.ย. 49 22:39:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคูณครับ คุณ : Arado_Kung แบบนี้หากคุณ preecha fortuner เข้ามาแสดงคคห. อีกครั้งเรามิต้องย้ายกันไปเรื่อยๆเหรอครับนี่ --------------------------------------------------------- คุณ kroner: อาการของคนไข้รายนี้ คือ 1. เบรคไม่อยู่ แม้ขณะที่รถแล่นไม่เร็ว 2. เหยียบเบรค ก็เหมือนกับว่าไม่ตอบสนอง พอกระทืบเข้าไปจริงๆ เบรคก็เอาอยู่แฮะ อย่างที่เขาเขียนแถลงการของเขาออกมาอย่างนั้น 3. เหยียบเบรคยาวๆ ขณะความเร็วสูง ผ้าเบรคร้อนจัด ไหม้ได้ อาการที่ว่าในข้อ 2. แม้กระทืบเบรคลงไปก็เอารถอยู่ แต่ก็อาจจะไม่ทันอก ทันใจคนขับ ซึ่งนี่แหละ ที่เป็นที่มาของรูปที่ผมเอามาฝากคุณhk2cxvd ใน คคห.ที่ 6 ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ ขออนุญาตย้อนกลับมาที่ประเด็นอาการตามข้อ 2 ตามสโลแกน "เบรคทื่อ แต่ปลอดภัย" เหมือนไม่ยอมหยุด แต่เอาจริงๆก็หยุด ในประเด็นนี้เหมือนว่าคุณ kroner บอกว่ามาจากสาเหตุของระยะแป้นเบรคที่มีให้น้อยเกินไป ทำให้แรงเบรคเกิดได้ไม่เต็มที่ แต่ "พอกระทืบเข้าไปจริงๆ เบรคก็เอาอยู่แฮะ" อันนี้มันแสดงว่าระยะแป้นเบรคยังมีเหลืออีกหรือเปล่าครับ? ฟังดูเหมือนว่าระยะแป้นเบรคไม่น่าจะใช่ปัญหานะครับ แต่หากเป็นเรื่องของ braking torque มากกว่า ซึ่งอาจเกิดจาก assist ของหม้อลมไม่พอ รบกวนคุณ kroner ช่วยทำให้กระจ่างอีกทีสิครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 5 พ.ย. 49 23:16:36 A:58.9.144.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 4 กลับมาสวัสดีทุกๆท่านที่กระทู้นี้ครับ ขออภัยจริงๆครับ ที่ไม่อยากเสวนาด้วยกับใครบางคน ส่วนเรื่องที่ผมพูด หรือเขียนในกระทู้ที่แล้ว(อันที่จริงไม่ใช่กระทู้ของผม แต่เป็นของคุณhk2cxvd ต่างหาก) หรือกระทู้นี้ก็ตาม ขอเรียนให้ท่านผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นโปรดอย่างเพิ่งเชื่อว่าเป็นจริงตามนั้น เพราะผมบอกแต่แรกแล้วว่า เป้นเรื่องที่ผมเรียนรู้มาจกกรณีนี้ โดยที่ไม่มีใครสอน จึงเรียนรู้และเข้าใจตามแต่ภูมิปัญญาเท่าที่มีอยู่ ซึ่งอาจจะผิดก็ได้นะครับ เพราะผมสังเกตจากอาการ จินตนาการหาสาเหตุ ลองลองมือปรับแก้ดู ได้ผลออกมาอย่างไร ก็นั่งจินตนาการดูว่า มีเหตุผลใด ที่พอจะอธิบายปรากฏการณ์อันนี้ ************************************************ ขอให้ทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณ์ในการอ่านครับ หากสงสัย ไม่เชื่อ หรือว่าพบความบกพร่องของแนวคิด ทุกท่าน(ยกเว้นไว้คนเดียว คงรู้ตัวนะครับ)สามารถสอบถาม ชี้แนะ หรือติติงได้ครับ เพียงขอให้อยู่บนพื้นฐานการถกเพื่อประเทืองปัญญาครับ อารมณ์ไม่เกี่ยว ************************************************ จากคุณ : kroner - [ 5 พ.ย. 49 23:38:48 ]

ความคิดเห็นที่ 5 รูปที่ผมวาดมา มันตัดเอาองคาพยพต่างๆที่วุ่นวายออกไป เอาแต่ให้ดูว่า Linkage ที่มีปัญหา หย่อนประสิทธิภาพ ทำให้เกิดอาการอย่างที่ Fortuner เป็นได้ไหม ถ้าเ็็ห็นคล้องว่าเป็นไปได้ เราจะได้มาจัดการกะตัวการเสียทีครับ ตามรูป เราเห็นว่าความหย่อนยานของ Control Linkage ของระบบ ทำให้เบรคตอบสนองทำงานช้า และถ่ายทอดกำลังไปสั่งการเบรคได้ไม่ดี วิธีแก้ที่ควรจะเริ่มลงมือก็คือ ก็ทำให้มันเลิกหย่อนยานเสียก่อน เวลาขับช้าๆ ถึงเบรคห่วยอย่างไร ก็น่าจะเอาอยู่ ถ้าแก้ไขเรื่องหย่อนยานได้อแล้ว เบรคยังไม่อยู่อีก ็ก็ค่อยมาทดสอบดูว่า ผ้าเบรคที่ใช้อยู่ดีหรือเปล่า เบรคที่โรงงานให้มาเพียงพอหรือไม่ เบรคยังจะร้อน ยังไหม้อีกหรือเปล่า ท่านเห็นเป็นอย่างไรครับ ที่เราจะเริ่มลงมือแก้ความหย่อนยานของระบบตรงนี้ก่อน อย่าเพิ่งไปแตะอะไรต่อมิอะไรมาก เดี๋ยวรวนกว่าเดิม จากคุณ : kroner - [ 5 พ.ย. 49 23:50:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตามคคห.3 ของผมข้างบนครับ หากความหย่อนยานนั้นไม่ได้สร้างปัญหาให้กับการทื่ออย่างแท้จริงแล้ว นั่นคือ "พอกระทืบเข้าไปจริงๆ เบรคก็เอาอยู่แฮะ" แสดงว่า ความหย่อนยานของ linkage นั้นเป็นเพียงระยะฟรีของเบรคเท่านั้น หากกระทืบแล้วเอาอยู่ ก็ย่อมแสดงว่าแป้นเบรคยังไปไม่สุดสโตรคยังมีช่วงให้เคลื่อนต่อไปได้ แต่หากเป็นเพราะแรงกดที่แป้นเบรคนั้นอาจไม่มากพอที่จะทำให้เกิด braking torque พอที่จะเอาอยู่นี่ครับ จึงจำเป็นต้องกระทืบ จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 00:02:13 A:58.9.144.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ครับท่านhk2cxvd สโตรกยังพอมี แม้แม่ปั้มเบรคเล็ก แต่ก็ออกแบบมาให้ยาวเป็นพิเศษครับ แต่ว่าระยะที่แป้นเบรคมันก็ลึกกว่ารถทั่วไป เวลาเลียเบรคเพื่อชะลอรถที่ความเร็วต่ำ เราก็เลียเบรคตามรถปกติ  แต่ไม่มากพอที่จะเอาชนะความหย่อนยานตรงนี้ได้ ถ้าเ็ป็นคนขับ ก็ย่อมตกใจเ็ป็นธรรมดา เพราะเบรคไม่ยักกะตอบสนอง ส่วนท่าผู้ขับขี่ ที่ไม่ได้ใส่ใจรับรองการตอบสนอง หรือรับรู้บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าการตอบสนองของเบรคนั้นน้อยเกิดกว่าที่จะหยุดรถได้ แม้รถที่วิ่งอยู่มีความเร็วไม่สูงนัก มารู้สึกอีกที รถก็เคลื่อนที่เข้าใกล้รถคันข้างหน้าแล้วครับ ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่ตระหนกตกใจได้ เป็นธรรมดา จึงกระทืบเบรคลงไป และผู้ขับขี่บางท่านก็เกิดการเรียนรู้ว่า ถ้าจะหยุด ฟอร์จูนเนอร์ จะต้องกระแทกแป้นเบรคลงไป ไม่ว่าขับช้าหรือเร็ว ทำให้เบรคถูกใช้งานหนักอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่จำเป้นต้องเบรคหนักขนาดนั้น (แล้วเบรคจะไม่ร้อนจัดได้อย่างไร) เพราะตลอดเส้นทาง ที่มีทั้งเร่ง ทั้งมีเบรคสลับกันไป ผู้ขับขี่ก็จังเกิดอาการหวาดๆ และจะต้องระลึกถึงอยู่เสมอว่า ถ้าจะเหยียบเบรค ก็ต้องกระทืบลงไปอยู่อย่างนี้ครับ จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 00:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตกลงเรามาลงมือตรวจสอบดุว่า ความหย่อนยานนั้นปรับตั้งได้ไหม ซึ่งแน่นอนอยู่ว่า ในระบบจริงๆ ก็ย่อมมีที่ให้ปรับตั้งได้น่า ซึ่งโดยหลักการ ถ้ามองตามรูป เราต้องจัดการกับสายเคเบิ้ลให้ตึงขึ้นเสียก่อน แต่ระบบเบรคจริงๆ ตรงสายเคเบิ้ลนั้น มันมีทั้งหม้อลม แม่ปั้ม วาวล์จัดแบ่งแรงดันหน้า/หลัง(proportioning valve-PV) และท่อน้ำมัน ในด้านเบรคหลังของน้องจูน ก็จะมี LSPVBV ขวางอยู่อีกด้วย ในกรณีของฟอร์จูนเนอร์ ขอให้ข้อสังเกตไว้ก่อนว่า ผมหาวาวล์จัดแบ่งแรงดันนี้ไม่เจอครับ แล้วตอนนั้น รถใหม่อย่างน้องจูนมาถึงมือช่าง ช่างข้างถนนอย่างผมจะอาจหาญไปว่ามันออกแบบผิดไปเลย ก็คงไม่ได้ ระบบเบรคในล้อทั้ง 4 ก็ได้รับการตรวจสอบ เพื่อเปรียบเทียบ กับรถยนต์รุ่นก่อนๆ โดยเฉพาะเจ้าไทเกอร์ ที่ผมมีอยู่ จริงอยู่ครับ แม่ปั้มเล็กกว่าไทเกอร์ (เก็บไว้ในใจ อย่าด่วนสรุป) เบรคล้อหน้า ให้จานใหญ่โตขึ้นมากกว่าไทเกอร์เล็กน้อย ส่วนเบรคหลัง หากดูจริงๆ ขนาดก็ไม่ได้ต่างกัน เรื่องพวกนี้เ็ห็นแล้วบอกได้ว่า อย่างน้อยๆ เบรคที่ล้อทั้ง 4 ของฟอร์จูนเนอร์ ไม่ได้ด้อยกว่าเิดิมครับ แต่เก็บไว้ก่อน ไว้รอตอนปรับแก้กลไกหย่อนยานแล้ว ถ้าเบรคยังไม่อยู่อีกค่อยมาคิดถึงเรื่องพวกนี้ครับ จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 00:41:16 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เวลาเลียเบรคเพื่อชะลอรถที่ความเร็วต่ำ เราก็เลียเบรคตามรถปกติ แต่ไม่มากพอที่จะเอาชนะความหย่อนยานตรงนี้ได้ ถ้าเ็ป็นคนขับ ก็ย่อมตกใจเ็ป็นธรรมดา เพราะเบรคไม่ยักกะตอบสนอง ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ ตรงนี้ผมยังไม่เคลียร์ครับ "ไม่มากพอที่จะเอาชนะความหย่อนยาน" ปกติเมื่อเรากดแป้นเบรค ระบบประสาทของเราจะควบคุมแรงกดโดยอาศัย การป้อนกลับที่แรงต้านทานที่แป้นเบรค และความหน่วงของรถ การที่ตกใจแสดงว่า ผู้ขับขี่กดแป้นเบรคลงไปจนรู้สึกถึงแรงต้านที่เท้าแล้ว ซึ่งหากเกิดแรงต้านทานนี้ขึ้นแสดงว่า ผ้าเบรคเริ่มจับแล้วและมี braking torque เกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน แต่หากความหน่วงของรถนั้นเกิดน้อยกว่าที่ผู้ขับขี่ตั้งความคาดหวังไว้เป็นอย่างมาก จึงทำให้ตกใจ อย่างนี้แสดงว่า อาการนี้ไม่ได้เป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอทุกๆครั้งที่ใช้เบรค เพราะหากเกิดขึ้นทุกๆครั้งผู้ขับขี่ย่อมปรับตัวเองได้ และความคาดหวังในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง แรงต้านที่เท้า กับ ความหน่วง นั้นก็จะได้รับการโปรแกรมใหม่เข้าไปในหน่วยความจำของสมองด้วย และอาการตกใจก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 00:43:31 A:58.9.144.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ยอดเยี่ยมมากครับคุณhk2cxvd ที่ท่านไม่เคลียร์ตรงจุดนั้น เพราะสำหรับผู้ผลิต หรือแม้แต่ช่างธรรมดาๆอย่างผมแล้ว มันก็น่าสับสนจริงๆว่า ทำไมถึงบอกว่าเบรคไม่อยู่ โดยเฉพาะเวลาขับช้าๆเสียด้วย เพราะธรรมชาติของคนเรา มันน่าจะจดจำเรียนรู้ ปรับตัว ให้เข้ากับการบังคับได้อยู่แล้ว จึงเป็นที่มาของการทดสอบที่สนามบริดสโตน ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันเป้นการไปขับให้เขาจับตาดูเราว่าตรงไหนนะ ที่เราว่าเบรคทื่อ ไม่ได้เป็นการทดสอบเพื่อวัดหาค่า ตามมาตรฐานการทดสอบเบรคแต่อย่างใด ก็เหมือนกับการที่คุณหมอวิเคราะห์ปัญหาการหลับของคนไข้ โดยให้คนไข้ไปนอนหลับ ให้คุณหมอบันทึกเทป สังเกตการหลับนั่นแหละครับ จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 01:01:53 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ครับ แล้วบรรดาคุณหมอหาสาเหตุเจอมั้ยล่ะครับว่า ทำไมเกิดแรงต้านทานที่เท้าแล้ว รถจึงยังไม่ค่อยยอมหน่วง (ในบางครั้งบางคราว รึป่าวครับ) จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 01:09:30 A:58.9.144.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณหมอ(โต)เขาเอาข้อมูลไป ส่งกลับญี่ปุ่น อันนี้ผมไม่รับทราบเลยครับ เหลือแต่เจ้าหน้าที่เสนารักษ์อย่างผม ต้องมานั่งงมเอาเองไปพลางๆก่อนครับ จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 01:15:17 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ระบบเบรคจริงๆของจูน เป้นไฮดรอลิก ไม่ใช่เคเบิ้ล แต่ด้วยแม่ปั้มที่มีสัดส่วนเล็กกว่าทั่วไป ประกอบกับดรัมเบรคหลังที่ห่าง ทำให้การรับรู้แรงต้านที่เท้ามีน้อยมากครับ นี่อาจจะเป้นอุปสรรคต่อการจดจำเรียนรู้แล้วปรับตัวของผุ้ขับขี่จำนวนมาก ซึ่งประเด็นเรื่องเบรคหลังที่ห่างมากนั้น เรามาเจอกันที่อู่ข้างถนน ซึ่งที่จริงแล้ว การตั้งระยะเบรคห่างแบบนี้ ไม่เคยเจอมาก่อนครับ ภายหลังก็ได้แจ้งหมอ(โต)ไปไปด้วย ให้ช่วยตรองดูหน่อยว่า ปรับตั้งระยะเบรคห่างๆแบบนี้ มันทำให้ระบบกลไกหย่อนยานไปด้วยหรือเปล่า จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 01:20:14 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อาการเหมือนเบรคเฟดทั้งที่วิ่งไม่เร็ว อาจเกิดจากความร้อนสะสมที่คุณ kroner ได้อธิบายไว้ในช่วงต้นนั้นใช่ไหมครับ แต่ความร้อนสะสมดังกล่าว หากจะกล่าวว่าเกิดจาก ความหย่อนยานจึงทำให้ต้องใช้เบรคอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ ยกเว้นกรณีที่เพิ่งลดความเร็วจากความเร็วสูงมาก่อนหน้าสักครู่ จากคำอธิบายช่วงต้นของคุณ kroner ที่กล่าวว่า ความหย่อนยานทำให้แรงเบรคน้อยจึงทำให้มีการเสียดสียาวนานขึ้น ความร้อนจึงสะสมมาก อันนี้ผมคิดว่าแท้จริงแล้วการเสียดสียาวนานมากน้อยนั้นถูกบังคับด้วยสถานการณ์ของการเบรคอยู่แล้ว คือระยะที่ต้องหยุดรถให้ได้จากความเร็วที่วิ่งอยู่ และหากต้องการชลอความเร็วแล้วรถไม่ค่อยหน่วงจึงต้องกดเบรคหนักขึ้นและต่อเนื่องขึ้นไปอีก ปริมาณความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีก็ยังคงเท่าเดิม หากคิดตามทฤษฎืครับ และทั้งสองกรณีย่อมมีการระบายความร้อนจากจานเบรคอย่างต่อเนื่องเสมอเช่นเดียวกัน จึงไม่อาจสรุปได้ครับว่า อาการเบรคเฟดนี้จะมาจากความหย่อนยานที่ว่า ปล. คุณ kroner ครับ ขออนุญาตหลบไปงีบก่อนนะครับ แล้วคุยกันใหม่ตอนเช้าครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 01:28:12 A:58.9.144.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมขอเสริมข้อมูลในส่วนของผู้ใช้นิดนึงนะครับ (พี่เสวอาจจะลืมไป)  ส่วนคำอธิบายด้านเทคนิคก็ขอท่านผู้รู้ได้ถกกันอย่างสร้างสรรค์ต่อไป ในช่วงต้นที่ Fortuner ออกมาใหม่ๆ   หลายคนรู้สึกตรงกันว่า Fortuner เบรคไม่อยู่ครับ     เท่าที่จับข้อมูลได้  กลุ่มคนที่รู้สึกว่าเบรคไม่อยู่เป็นกลุ่มที่เคบขับรถเก๋งมาก่อน  ส่วนกลุ่มที่ขับรถกระบะมาก่อนกลับไม่บ่นว่ารถเบรคไม่อยู่เท่าไรนัก    ทำให้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า กลุ่มที่บอกว่า Fortuner เบรคไม่อยู่นั้น "ขับรถไม่เป็น"   ผมสังเกตุว่ารถที่มีปัญหาผู้ใช้บ่นว่าเบรคไม่อยู่มีระยะเบรคมือที่ห่างมากถึง 9-12 กริ๊ก และมีระยะการเหยียบแป้นเบรคที่ลึกมากๆ จากนั้นจึงได้มีการทดสอบรถที่สนามบินส่วนตัวแห่งหนึ่งที่ชลบุรี โดยนำรถ Fortuner จำนวนหลายคันของสมาชิก (ตอนนั้นผมยังไม่ได้เข้าร่วม แต่มีหลักฐานอยู่ในกระทู้ของบอร์ดเก่า)     ปรากฏว่าระยะเบรคของ Fortuner ทำได้ดีมากๆ มีตั้งแต่ระยะ 38-45 เมตรซึ่งสั้นกว่ารถเก๋งหลายๆ รุ่นเสียอีก   ซึ่งตอนนั้นผู้เข้ารว่มทดสอบก็งงเป็นไก่ตาแตกว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ Fortuner เบรคอยู่และสั้นด้วย Fortuner รุ่นแรกๆ เบรคหยุดได้ตามปกติเมื่อกระทืบเบรคแรงๆ     แต่สำหรับคนทั่วไปมิได้เหยียบเบรคเช่นนี้     จึงเป็นที่มาส่วนหนึ่งของปัญหาเรื่องเบรคไม่อยู่  (ไม่นับเรื่องการระบายความร้อนที่ไม่เพียงพอสำหรับผู้ใช้ส่วนหนึ่ง ซึ่ง Toyota แก้โดยการเปลี่ยนแผงดักลมจานเบรคหน้าที่กินลมและระบายลมได้มากขึ้น) ผมเสริมเพียงเท่านี้ครับในส่วนของผู้ใช้ที่มีพื้นความรู้แค่ขับอย่างเดียว ขอบคุณครับ จากคุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด.. - [ 6 พ.ย. 49 09:19:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ลืมเสริมอีกนิด ข้อมูลได้ที่จาก Toyota คือ  รถที่ส่งออกยังใช้หม้อลมเดิมครับ มิได้ใช้หม้อลมเบอร์ใหม่ซึ่งมีการปรับกลไกด้านในให้ทำงานฉับไว ตื้น และแรงขึ้นเช่นในเมืองไทย จากคุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด.. - [ 6 พ.ย. 49 09:35:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณคุณหนูน้อยครับสำหรับข้อมูล จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 09:41:13 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด: มิได้ใช้หม้อลมเบอร์ใหม่ซึ่งมีการปรับกลไกด้านในให้ทำงานฉับไว ตื้น และแรงขึ้น ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ รบกวนคุณ kroner ช่วยอธิบายรายละเอียดการปรับปรุงหม้อลมนี้ให้หน่อย จากคุณลักษณะที่คุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด ระบุมา ในเชิงเทคนิคแล้วดูเหมือนว่า ได้มีการปรับปรุงขนาดของแม่ปั๊มด้วยซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นไปในทิศทางใด เพราะ ได้คุณลักษณะทั้ง ตื้น (แม่ปั๊มใหญ่ขึ้น) และ แรงขึ้น (แม่ปั๊มเล็กลง) ในขณะเดียวกัน เท่าที่ทราบขนาดหม้อลมยังคงเท่าเดิม ดังนั้น assist ที่ได้คงเท่าเดิม ปรับปรุงได้เพียงแต่ให้มาฉับไวขึ้นเท่านั้นใช่ไหมครับ? จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 10:19:27 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขนาดหม้อลม มีหน้าที่ช่วยลดแรงเหยียบจากเท้า ครับ จากคุณ : ป๋า - [ 6 พ.ย. 49 11:26:35 A:unknown X:202.44.210.31 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตอนที่คุยกับทาง Toyota ได้บอกว่า ทาง Toyota ได้ทำการ Research การทำงานของวาลว์อะไรสักอย่างหม้อลมเบรค  ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ครับ  (ขออภัยจริงๆ ที่จำรายละเอียดไม่ได้)  ทำให้หม้อลมไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ลดแรงเหยียบแต่เพียงอย่างเดียว    ซึ่งต่างออกไปจากที่เรารู้กันมาครับ  อันนี้คงต้องถามพี่เสวในเรื่องรายละเอียด หม้อลมของ Fortuner รุ่นใหม่ก็นำเอาเทคนิคที่ว่านี้มาใช้ครับ จากคุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด.. - [ 6 พ.ย. 49 11:39:56 ]

ความคิดเห็นที่ 21 การบ้าน ................................................................................................................ จากคำอธิบายช่วงต้นของคุณ kroner ที่กล่าวว่า ความหย่อนยานทำให้แรงเบรคน้อยจึงทำให้มีการเสียดสียาวนานขึ้น ความร้อนจึงสะสมมาก อันนี้ผมคิดว่าแท้จริงแล้วการเสียดสียาวนานมากน้อยนั้นถูกบังคับด้วยสถานการณ์ของการเบรคอยู่แล้ว คือระยะที่ต้องหยุดรถให้ได้จากความเร็วที่วิ่งอยู่ ................................................................................................................ ผู้ขับขี่ก็จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เบรคแต่เนิ่นๆไงครับ เบรคมันตอบสนองช้านัก ก็เหยียบซะตั้งแต่เนิ่นๆ ถ้าเป็นรถคันอื่น อาจจะแค่ยกคันเร่งก่อน หรือไม่ก็ไปเหยียบเบรคที่ระยะใกล้กว่านั้น การเบรคแต่เนิ่นๆ แต่เบรคไม่จับแรงมากพอทำให้มีระยะเบรคยาวๆ ผ้าเบรคร้อนสะสมได้มากครับ ตามทฤษฎี ค่าพลังงานความร้อนจากการเบรคที่ความเร็วระดับเดียวกัน มวลของวัตถุที่เคลื่อนที่เท่าๆกัน จะเบรคสั้นยาว ก็คงจะต้องเท่าๆกัน อันนี้เห็นด้วยครับ แต่เราไม่ทราบว่า ค่าความร้อนที่เกิดขึ้น ควรไปอยู่ที่เบรคหน้าเท่าไหร่ เบรคหลังเท่าไหร่ และผลรวมพลังงานที่จะทำให้อุปกรณ์มีอุณหภูมิสูงขึ้นกี่องศา กรณีเกียร์ออโต การถ่ายน้ำหนัก การปรับตั้งระยะห่างเบรคหลังที่ห่างไป ล้วนมีผลทำให้เบรคหน้าทำงานหนักขึ้น อุณหภูมิสูงมากขึ้น นี่ยังไม่นับว่า Torsen มีผลต่อการส่งแรงบิดหน้าหลังขณะเบรคเป็นอย่างไรอีก โดยที่ประสิทธิภาพการระบายความร้อน ลดลงไปเรื่อยๆตลอดระยะเวลาที่เบรค เพราะความเร็วในการเคลื่อนที่ลดลง รอบการหมุนของจานเบรคลดลง อันนี้ ผมใช้ประสบการณ์ และจินตนาการ มากกว่าเครื่องมือมาสรุป ณ เวลาที่เริ่มจับอาการ และตั้งสมมติฐานเพื่อหาสาเหตุของแต่ละอาการครับ สิ่งที่เราจะคุยกันในกระทู้นี้ คือการเล่าถึงกระบวนการเรียนรู้ของผม ที่ได้มาจากการลงมือ ลงไม้ไปกับ ฟอร์จูนเนอร์ เพราะฉะนั้น ผมจะให้ข้อมูลตามลำดับขั้นก่อนหลัง ไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย ซึ่งจะทำให้คุณhk2cxvd หรือท่านอื่นๆได้เห็นว่ากระบวนการเรียนรู้ และการทดลองปรับตั้งของผม ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ตรงไหนผมเริ่มทำก่อนหลัง และมีอะไรที่ผมยัง งง งง สรุปไม่ได้ ณ เวลา นั้นๆ แล้วต่อมาภายหลัง ได้ข้อสรุปตรงนั้นหรือไม่ อย่างไร การมานั่งถกกันแบบนี้ ผมก็จะได้ข้อโต้แย้ง หรือ ซักถาม จากท่านที่เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งจะได้ช่วยให้ ผมได้เรียนรู้จากพวกท่านอีกด้วยครับ จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 11:49:49 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ส่งการบ้าน ................................................................................................................ รบกวนคุณ kroner ช่วยอธิบายรายละเอียดการปรับปรุงหม้อลมนี้ให้หน่อย จากคุณลักษณะที่คุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด ระบุมา ในเชิงเทคนิคแล้วดูเหมือนว่า ได้มีการปรับปรุงขนาดของแม่ปั๊มด้วยซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นไปในทิศทางใด เพราะ ได้คุณลักษณะทั้ง ตื้น (แม่ปั๊มใหญ่ขึ้น) และ แรงขึ้น (แม่ปั๊มเล็กลง) ในขณะเดียวกัน ................................................................................................................ ในส่วนการปรับปรุงหม้อลมที่ว่านี้ ผมเรียนเท่าที่ทราบนะครับ ตัวหม้อลมได้รับแจ้งว่าได้มีการเปลี่ยนวาวล์ลมภายในให้หม้อลมทำงานงานได้ฉับไวขึ้นครับ ขนาดหม้อลมเท่าเดิม เมื่อหม้อลมทำงานได้ไวขึ้น ทางผู้ผลิตเขาคงคิดว่า น่าจะช่วยลดอาการหย่อนยานลงได้ครับ ส่วนแม่ปั้มเบรค ไม่มีการเปลี่ยนครับ ใช้ตัวเดิมครับ ส่วนเบรคตื้นขึ้นไหมนั้น ตัวหม้อลมใหม่เองคงไม่มีส่วนช่วยอะไรมากครับ เว้นเสียแต่มีการปรับตั้งบางอย่าง เช่น สากหม้อลมให้ชิดขึ้น แต่แรงส่งช่วยผ่อนแรงเบรคก็จะลดลงอยู่ดี ไม่ได้เบาเท้าลงอย่างที่เป็นอยู่ คุณหนูน้อยแกเรียนให้ทราบถึง อากาของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ภายหลังจากที่ได้ส่งรถตัวเองเข้าไปเป็นหนูทดลอง กลุ่มแรกน่ะครับ ถ้าเราเดินไปตามลำดับ Sequence ที่เราพบเจอ ก็จะเห็นว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร มีที่ไหนอีกบ้างที่เราเจอ แล้วจะทำอย่างไรกันครับ จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 12:10:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ทีนี้เรามาดูว่าระบบมันให้เราปรับแก้ความหย่อนยานได้แค่ไหน ผมก็เลยสมมติว่า เคเบิ้ลที่หย่อน ซึ่งแทน Control Link ในระบบเบรคดังนี้ครับ 1. แป้นเบรค 2. หม้อลม 3. แม่ปั้มเบรค 4. ท่อน้ำมันเบรค 5. LSPVBV 6. ระยะห่างเบรคหลัง ซึ่งมองดูแล้ว ชิ้นส่วนเหล่านี้ มีมากกว่า 1 ตัวที่ปรับตั้งได้โดยช่างข้างถนนอย่างผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะห่างเบรคหลัง ส่วน LSPV BV ช่างข้างถนนก็ปรับได้ แต่ต้องทดสอบให้แน่ใจเสียก่อรว่า จะไม่ก่อปัญหาด้านความปลอดภัยภายหลัง เมื่อเป็นเช่นนี้ ระบบลวกๆที่อยู่ในรูปที่ 1 ก็ถูกใส่รูปอุปกรณ์ที่จะใช้ใน ในการปรับตั้ง เพื่อลดความหย่อนยานของกลไกบังคับเบรค ดังรูปที่ 2 ครับ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 49 16:37:54 จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 16:36:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เพื่อให้กลไกที่หย่อนยานทำงานกระชับขึ้น ถ้าท่านเป็นผม ท่านจะปรับอะไรตัวไหนก่อนครับ 1. แป้นเบรค 2. หม้อลม 3. แม่ปั้มเบรค 4. ท่อน้ำมันเบรค 5. LSPVBV 6. ระยะห่างเบรคหลัง เราจะปรับแค่ตัวเดียวก่อนนะครับ ถ้าปรับหลายๆตัวพร้อมๆกัน จะหาความสัมพันธ์ของกลไกที่มีผลต่อผลลัพธ์ไม่เจอครับ จะกลายเป็นว่า มีการแตะต้องตัวแปร หลายๆตัวพร้อมๆกันครับ จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 16:42:26 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ kroner: ผู้ขับขี่ก็จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เบรคแต่เนิ่นๆไงครับ เบรคมันตอบสนองช้านัก ก็เหยียบซะตั้งแต่เนิ่นๆ ถ้าเป็นรถคันอื่น อาจจะแค่ยกคันเร่งก่อน หรือไม่ก็ไปเหยียบเบรคที่ระยะใกล้กว่านั้น การเบรคแต่เนิ่นๆ แต่เบรคไม่จับแรงมากพอทำให้มีระยะเบรคยาวๆ ผ้าเบรคร้อนสะสมได้มากครับ ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ กรณีนี้คงจะสรุปได้ยากครับว่าจะเป็นไปตามนั้น เพราะฟังดูเหมือนขัดกันในตัวเอง หากผู้ขับขี่เกิด awareness ขนาดที่จะต้องใช้เบรคแต่เนิ่นๆแล้ว ข้อมูลที่ถูกโปรแกรมลงในหน่วยความจำของสมองนั้นก็จะบอกให้ผู้ขับขี่ต้องกดเท้าแรงๆด้วยเช่นกัน การกดเท้าแช่ไว้โดยไม่มีผลการหน่วงที่พอเพียงจะมีผลให้สมองของผู้ขับขี่สั่งการให้เกดน้ำหนักมากขึ้นไปโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยแล้ว โอกาสที่จะกดเบรคเตรียมไว้แต่เนิ่นๆคงไม่มี ดังนั้นสามารถสรุปได้ไหมครับว่า หม้อลมลูกใหม่ที่โตโยต้าเปลี่ยนให้ลูกค้าใหม่นั้น จะช่วยให้....... การตอบสนองของการช่วยแรงต่อการกดแป้นเบรคฉับไวขึ้น (ซึ่งคงเป็นเพียงเล็กน้อยมาก หากวาวล์ลมเดิมไม่ได้มีขนาดเล็กผิดปกติ) ซึ่งคงมีผลทางด้านความรู้สึกของผู้ขับขี่เท่านั้น ไม่ได้มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเบรค หรือช่วยในการผ่อนแรงในการเบรคเพิ่มขึ้นเลย จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 16:48:06 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้ากำหนดมาให้เลือกเพียงรายการเดียวก่อน ผมคงจะเลือกตัวที่สามารถทำให้ผ้าเบรคกดลงบนลูกกลิ้งได้เต็มที่ล่ะครับ หากแป้นเบรคกดสุดแล้วยังห่างพื้นรถ ผมคงจะมุ่งไปที่ระยะเบรคหลังก่อนนะครับ จะได้มั่นใจด้วยว่าผิวสัมผัสกับลูกกลิ้งนั้นเต็มที่ดีด้วย จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 17:03:08 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่องเบรคเฟด ณ เวลานั้น เบรคที่ผุ้ขับขี่บอกว่าเฟด เขาบอกว่าเกิดขึ้นได้แม้ขับไม่เร็วครับ ตอนเกิดขึ้น ก็ไม่ได้ระบุว่าผ้าเบรคไหม้ด้วยทุกครั้งหรือเปล่า แต่ผมมักจะลองนั่งรถ แล้วให้เจ้าของรถขับ แล้วเบรคให้ผมดูด้วยครับ ผมเห็นว่า หลายๆท่านมีอาการ กดเบรคล่วงหน้ามาก และกดแป้นเบรคแรง ส่วนที่ว่าเบรคเฟด อาจจะเป็นไปได้ว่ารู้สึกว่าเบรคไม่จับ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ termal fade ทุกครั้ง ก็เป็นได้ครับ ยอมรับครับว่า ณ ตอนนั้น ผมก็ยัง งง งง เอามากครับ ผมรับอาการฟังไว้ก่อน แต่ยังคงลงมือทำอะไรมากไม่ได้ครับ ใจอยากที่จะปรับตั้งกลไกให้กระชับเสียก่อน เบรคร้อน เบรคไหม้ ค่อยมาว่ากัน ................................................................................................. ใจตรงกันครับคุณhk2cxvd   ที่ขอปรับเบรคหลังก่อน ซึ่งผมเชื่อว่าช่างที่ไหน ถ้าเจอเบรคหลังห่างเอามากๆ จนแป้นเบรคลึกเกินไป ก็ต้องลงมือปรับระยะเบรคหลังก่อนแน่ๆครับ จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 17:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เข้ามาฟังด้วยครับ จากคุณ : luciddream - [ 6 พ.ย. 49 18:48:53 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ตามเข้ามาอ่านครับ ... เนื้อหาแน่น ความรู้เพียบครับ เรื่องกลไกหย่อนยานนั้น ตอนขับ TIGER A/T ผมก็เจอปัญหานี้นะ แต่ออกตัวก่อนว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยขับปิคอัพมาก่อนครับ มาขับ TIGER อาการก็คือ กดเบาๆ อาการหน่วงน้อย แต่พอกดหนักก็เอาอยู่ ... จำได้ว่า ทุกครั้งที่ขึ้นขับ TIGER คันนั้น ผมจะบอกตัวเองตลอดว่า "ต้องกระทืบ" ครับ แต่นั่นก็คือ ในการขับขี่ปกติ เพราะถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา บางทีได้แค่แตะ ก็หมดเวลาแล้วล่ะครับ ... --------------------------------------------------------- ส่วนเรื่องการปรับปรุงกลไกนั้น ผมเลือกปรับตั้งระยะห่างเบรคหลังเช่นกันครับ ... ไหนๆก็ไหนๆแล้ว โม้ต่อหน่อย เจ้า space wagon ผมนี่แหละ หน้าดิสค์ หลังดรัม เจอปัญหาเบรคไม่อยู่ โดยเฉพาะยามนั่งกันเยอะๆ กดเบรคลงไปรู้สึกว่า เบรคหน้าจับ แต่ท้ายยก เหมือนเบรคหลังไม่ค่อยอยากจะทำงาน ทางแก้ ทางแรก ที่คิดกันได้ในตอนนั้นก็คือ เปลี่ยนหม้อลมเบรคใบใหญ่ขึ้นกว่าเดิม (ทั้งที่ของเดิม ก็ตอนครึ่ง ขนาดใหญ่กว่าเก๋งทั่วไปแยะแล้ว) ก็ดีขึ้นครับ จับไวขึ้น ออกแรงกดน้อยลง ความรู้สึกดีขึ้น ... แต่ ยามนั่งกันเยอะๆ เบรคกันที่ความเร็วสูงๆ อาการเดิมก็ยังออกมาให้เห็น หน้าจับ หลังไม่จับ กดเบรคยาวๆ กลิ่นไหม้ฟุ้งขึ้นมาให้รู้สึก แก้ต่อ เปลี่ยนผ้าเบรคหน้า เกรดดีขึ้น ก็ดีขึ้น จับตัวดีขึ้น ลองนั่งเยอะ เบรคแรงๆอีก อาการเดิมก็ยังมาอีก เหมือนแก้ไม่ตรงจุด ตอนนั้น ที่ทำได้ก็คือ พยามขยันปรับตั้งเบรคหลัง ให้ชิด และบ่อยที่สุด เท่าที่จะทำได้ (แทบจะทุก 5,000 กม.) ชิดขนาด ดึงเบรคมือได้เพียง 1 แก๊ก รถก็ไม่ขยับแล้ว สุดท้าย ท้ายสุด จัดการกับผ้าเบรคหลังใหม่ อัดใหม่ เป็นผ้าเบรคเกรดสูง ลองนั่งกันเยอะๆ แกล้งเบรคแรงๆ กดเบรคยาวๆ คราวนี้อยู่ครับ ไม่จำเป็นต้องตั้งเบรคให้ชิดขนาดดึงเบรคมือ 1 แก๊ก อีกแล้ว เดี๋ยวขึ้นเหนือคราวนี้ ได้ลองของจริง ลงทางชันยาวๆครับ เสียดาย วันนั้นคุณ kroner ไม่ได้ลองรถผม ตอนที่เบรคหลังยังเป็น ผ้าเดิมจากโรงงาน ครับ ... อาการคล้ายๆเจ้า fortuner นี่แหละ (แต่น้อยกว่า) จากคุณ : เด็กบูรพา - [ 6 พ.ย. 49 19:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณ เด็กบูรพา: เจ้า space wagon ผมนี่แหละ หน้าดิสค์ หลังดรัม เจอปัญหาเบรคไม่อยู่ โดยเฉพาะยามนั่งกันเยอะๆ กดเบรคลงไปรู้สึกว่า เบรคหน้าจับ แต่ท้ายยก เหมือนเบรคหลังไม่ค่อยอยากจะทำงาน ทางแก้ ทางแรก ที่คิดกันได้ในตอนนั้นก็คือ เปลี่ยนหม้อลมเบรคใบใหญ่ขึ้นกว่าเดิม (ทั้งที่ของเดิม ก็ตอนครึ่ง ขนาดใหญ่กว่าเก๋งทั่วไปแยะแล้ว) ก็ดีขึ้นครับ จับไวขึ้น ออกแรงกดน้อยลง ความรู้สึกดีขึ้น ... แต่ ยามนั่งกันเยอะๆ เบรคกันที่ความเร็วสูงๆ อาการเดิมก็ยังออกมาให้เห็น หน้าจับ หลังไม่จับ กดเบรคยาวๆ กลิ่นไหม้ฟุ้งขึ้นมาให้รู้สึก ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ ขออนุญาติวิเคราะห์ตรงนี้นิดหนึ่งครับ "กดเบรคลงไปรู้สึกว่า เบรคหน้าจับ แต่ท้ายยก เหมือนเบรคหลังไม่ค่อยอยากจะทำงาน" อาการที่ว่ายยกนั้น คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับ การที่เบรคหลังไม่ค่อยอยากจะทำงานหรอกนะครับ แต่มันเป็นผลของ weight transfer ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาที่ตัวรถถูกเบรคหน่วงให้ช้าลง ซึ่งปฏิกิริยานี้เกิดรุนแรงมากน้อยแปรผันตามอัตราความหน่วงของเบรค การที่ท้ายยกมากหรือน้อยนั้น จึงคงไม่ได้บอกอะไรกับเราเลยเกี่ยวกับความขี้เกียจของเบรคหลังนะครับ แต่หากเป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของรถยนต์แต่ละคัน และคุณลักษณะระบบช่วงล่างของมันด้วยครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 21:02:18 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 31 การเปลี่ยนหม้อลมให้ใหญ่ขึ้น ก็คือการ เพิ่มแรงช่วย assist ให้มากขึ้นเท่านั้น ผลก็คือจะให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องออกแรงกดแป้นเบรคมากนัก *** และจะไม่มีส่วนช่วยใดๆเลยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบเบรค *** ดังนั้น ย้อนกลับมาที่............... . . ดังนั้นสามารถสรุปได้ไหมครับว่า หม้อลมลูกใหม่ที่โตโยต้าเปลี่ยนให้ลูกค้าใหม่นั้น จะช่วยให้....... การตอบสนองของการช่วยแรงต่อการกดแป้นเบรคฉับไวขึ้น (ซึ่งคงเป็นเพียงเล็กน้อยมาก หากวาวล์ลมเดิมไม่ได้มีขนาดเล็กผิดปกติ) ซึ่งคงมีผลทางด้านความรู้สึกของผู้ขับขี่เท่านั้น ไม่ได้มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเบรค หรือช่วยในการผ่อนแรงในการเบรคเพิ่มขึ้นเลย จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 16:48:06 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ] ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ คุณ kroner คิดเห็นอย่างไรครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 21:27:56 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 32 สำหรับ space wagon คุณ เด็กบูรพา พอจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบเบรคได้ไหมครับว่า เป็นอย่างไร และมีการควบคุมจัดการแรงเบรคหน้า / หลัง (bias) อย่างไร? เพื่อที่จะได้มาช่วยกันชำแหละกันที่ละจุด ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่เกิดประโยชน์มากนัก (จนถึงแก่น) ถ้าจะเอามาพูดคุยกัน จากคุณ : hk2cxvd - [ 6 พ.ย. 49 21:41:40 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ... เข้ามาโหวดเฉยๆ (จะได้มาต่อง่ายๆ ไม่จมหายไปในทะเลกระทู้ ) จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 6 พ.ย. 49 22:57:41 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ดูเหมือนว่า การปรับตั้งระยะเบรคหลังจะเป็นแนวทางที่ตรงกันนะครับ ผมปรับไปแล้ว ก็ให้เพื่อนๆไปลองใช้ก่อน แล้วคอยเก้บข้อมูล โดยที่ยังไม่ปรับตั้งจุดอื่น ระหว่างเดียวกัน ก็มีรายงานว่า บรคหลังฟอร์จูนเนอร์ เมื่อใช้ไปซัก 2000 กม. ถึง 5000 กม. เบรคห่างกันอีกแล้ว แล้วฟีลลิ่งก็แย่ด้วย สำหรับรถล็อตแรกๆ บางคันเพิ่งเข้ามาตั้งเบรค วิ่งไปตั้ง 7-8000 กม. เบรคหลังยังจับไม่เต็มหน้าเลยครับ จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 23:42:19 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ใช่นะครับคุณhk2cxvd อาการหัวทิ่มเป็นการถ่ายน้ำหนัก แต่ถ้าหากเบรคหลังมีแรงดึงที่ดีหน่อย ก็จะช่วยหน่วงอาการนี้ได้ครับ รถของคุณเด็กบูรพาเบรคหลังของเดิม มันถูกใช้งานมานานมากแล้ว ันก็เลยไม่ค่อยจะจับเท่าไหร่ เปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ มันจับดีขึ้น อาการเบรคหัวทิ่มก็ยังคงเกิด แต่ว่าน้อยลง และมีแรงหน่วงจากด้านหลัง ช่วยประคองการเบรคไปตลอดระยะที่เหยียบเบรคครับ ผมก็เสียดายเหมือนกันครับ ที่ไม่ได้มีโอกาสทดลองขับ เพื่อจับอาการเบรคของ space wagon คันนี้ก่อน จากคุณ : kroner - [ 6 พ.ย. 49 23:53:11 ]

ความคิดเห็นที่ 36 แล้วคุณ kroner ได้ตรวจสอบพบไหมครับว่า มันเกิดขึ้นจากสาเหตุใด จากคุณ : hk2cxvd - [ 7 พ.ย. 49 00:05:48 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อันดับแรกเลยนะครับ ผมไม่แน่ใจว่า เบรคถูกตั้งให้ห่างมาจากโรงงานประกอบเลยหรือไม่ เพราะรถที่มาถึงมือผมช่วงแรกๆ ก็มักจะวิ่งไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2000 กม. ส่วนรถคันไหนได้ตั้งเบรคไปให้ลองใช้ สักพักก็จะมีรายงานกลับมาว่า เบรคหลังห่างอีกแล้วครับท่าน ส่วนเรื่องอาการเบรคภายหลังการปรับตั้งเบรคไปใหม่ๆ ส่วนใหญ่ก้ว่าดีขึ้นครับ แต่ก้ยังมีรายงานกลับเข้ามาว่าเบรคไหม้ครับ โดยเฉพาะจากรถที่ใช้เดินทางไกล ขับขึ้นลงทางชันเสียส่วนใหญ่ อาการเบรคเฉื่อยช่วงความเร้วต่ำดีขึ้น แต่ยังไม่เป็นที่พอใจครับ จากคุณ : kroner - [ 7 พ.ย. 49 00:12:30 ]

ความคิดเห็นที่ 38 แรงเบรคที่ล้อหลังนั้น ไม่สามารถมีผลต่อการยกลอยขึ้นได้เลยครับ เนื่องจากแรงเบรคี่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นที่จุดสัมผัสของล้อและถนน ซึ่งหากนำเวคเตอร์ของแรงที่เกิดขึ้นนี้มาเขียนเป็น force / moment diagram จะเห็นได้ว่า แรงเบรคที่ล้อหลังนี้ไม่ทำให้เกิดโมเมนต์รอบจุดสัมผัสถนนี่ล้อหน้าเลย เนื่องจากแนวแรงนี้พาดผ่านจุดสัมผัสดังกล่าว ผมเข้าใจว่าเป็นความเข้าใจจากความรู้สึกกันมากกว่าความเป็นจริงครับ การที่ท้ายยกนั้น เกิดขึ้นเพราะน้ำหนักที่เคยกดลงบนเพลาล้อนั้นลดลงไปเมื่อเกิดการหน่วงความเร็ว น้ำหนักี่ลดลงไปนั้น ไม่ได้หายไปไหนแต่หากย้ายไปอยู่บนเพลาหน้า เมื่อน้ำหนักที่กดลงบนเพลาหลังลดลง สปริงที่รองรับตัวรถจึงยืดตัวขึ้น ท้ายรถจึงยกลอยขึ้น หากจะพิจารณาน้ำหนักที่ถูกถ่ายเทไปยังเพลาหน้านั้น จะพบว่า มันขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ ระยะฐานล้อหน้า-หลัง (ยิ่งยาวยิ่งทำให้ถ่ายไปน้อย) ความสูงของจุดศูนย์ถ่วง (ยิ่งต่ำยิ่งทำให้ถ่ายไปน้อย) อัตราความหน่วงของรถซึ่งเป็นผลของแรงเบรครวม (หน้า+หลัง) (ยิ่งมากยิ่งทำให้ถ่ายไปมาก) น้ำหนักรวมของรถ (ยิ่งมากยิ่งทำให้ถ่ายไปมาก) ซึ่งจะเห็นได้ว่า การที่แรงเบรคหลังจะขยันมากขึ้น จะทำให้รถมีการหน่วงที่มากขึ้นด้วยและมีผลให้น้ำหนักถูกโอนถ่ายจากเพลาหลังไปยังเพลาหน้ามากขึ้น ดังนั้นท้ายรถจะยิ่งเบามากขึ้นและยกลอยสูงขึ้นครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 7 พ.ย. 49 00:37:58 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ภายหลัง เราก็สงสัยว่ากลไกการปรับตั้งระยะห่างเบรคหลังอัตโนมัติไม่ค่อยดี จึงลองสั่งทำเฟืองใหม่ ให้มีความละเอียดมากกว่าเดิม โดยหวังว่า เฟืองละเอียด จะช่วยให้แขนสับเฟืองทำงานได้ดีขึ้น น่าจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องเบรคห่างได้ดีกว่าเดิม เรายังอยู่กันที่การปรับตั้งเบรคหลัง นะครับ และเราพยายามรักษาระยะเบรคให้ได้นานหน่อย ไม่ใช่ทุกๆ 2000-5000 กม. ต้องคอยให้ช่างมาปรับตั้งเบรค ระหว่างนี้ เราก็เริ่มมองหาวิธีการจัดการกับเบรคร้อน เบรคไหม้ไปด้วยแล้ว จากคุณ : kroner - [ 7 พ.ย. 49 00:43:34 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ตามที่คุณ kroner กล่าวไว้ ก็แสดงว่า ระบบกลไกเบรคหลังของน้องจูน มีปัญหาทางแมคคานิคส์ ซึ่งทำให้ brake bias นั้นไม่เป็นไปตามค่าที่ออกแบบ แต่หากรับเอาข้อมูลของคุณ preecha มาพิจารณาประกอบ คุณ preecha แจ้งว่าความดันไฮโดรลิคเบรคหลังนั้นมาต่ำมาก เนื่องจากถูก BV ลัดไป มีผลให้แรงเบรคล้อหลังนั้นน้อยมากจนไม่สามารถหยุดล้อได้เลยบนลูกกลิ้ง ผมจำได้ว่าคุณ kroner เคยพูดถึง LSPV ว่ามีช่วงให้ปรับแต่งได้อีกมากโดยที่ล้อหลังจะไม่ล็อค ซึ่งผมเองไม่แน่ใจนักว่าคุณ Kroner หมายถึง การปรับตั้งจากโรงงานนั้นเผื่อ safety zone ไว้กว้างเกินไป หรือ คุณลักษณะการควบคุมความดันของ LSPV ไม่ค่อยแม่นยำ แน่ ตรงนี้เป็นสาเหตุที่ระยะผ้าเบรคล้อหลังมันต้องมาทำการปรับเองบ่อยๆ หรือเปล่าครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 7 พ.ย. 49 00:59:21 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขออภัยครับคุณhk2cxvd ตอนที่ผมพิมพ์ คคห.39 ยังไม่ห็นคคห.38 ของท่าน แรงเบรคที่ล้อหลัง แท้ที่จริงแล้ว เกิดแรงบิดในล้อ ไม่ใช่ที่ล้อสัมผัสกับถนนนะครับ หากแตกแรงแล้ว เป็นแรงที่กระทำที่ขอบดรัมเบรค ซึ่งอยู่ห่างจากตรงกลางดุมล้อเพียงเล็กน้อย และตรงนั้นเป็นจุดหมุน ที่มีลิงค์ของช่วงล่างด้านหลังเชื่อมต่อกับล้อหลัง หากเบรคหลังทำงานขยันขึ้น แรงก็จะถูกแตกไปยังชิ้นส่วนจุดยึด ของช่วงล่างด้านหลังด้วยครับ ไม่ใช่เกิดแรงเฉพาะที่ล้อ หรือยางเท่านั้น หากท่านเคยขับรถเปอโยต์ 405 ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ว่าลิงค์ของช่วงล่าง มีผลต่อการยกของท้ายรถมากน้อยเพียงใด เพราะรถยนต์รุ่นนี้ ท้ายจะตกทุกครั้งที่เหยียบเบรคครับ ขณะเดียวกัน ในรถยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง หรือขับเคลื่อน 4 ล้อ แรงบิดจากเบรค ก้ยังถ่ายผ่าน drivetrain ไปด้วยครับ ดังนั้น อาการหน่วงจากเบรคหลังที่มากขึ้น ไ่ม่ได้มีผลต่อความรู้สึกเท่านั้น มีผลแน่นอนกับการเปลี่ยนแปลงระยะส่วนสูงของท้ายรถครับ จากคุณ : kroner - [ 7 พ.ย. 49 01:01:44 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ในคคห.39ของผม ผมช่วงนั้นผมยังมองเฉพาะส่วนที่เป้นกลไกการปรับตั้งเบรคที่ไม่ค่อยจะทำงานเท่าไหร่ โดยยังไม่ข้ามไปทำจุดอื่น เพราะขณะนั้น เรายังไม่ประสบความสำเร็จในการรักษาระยะห่างเบรคหลังให้ได้นานๆ ซึ่งแปลว่าสิ่งที่พวกเราในกระทุ้นี้เห็นตรงกันในเรื่องปรับตั้งเบรคหลังเป็นอันดับแรก ยังไม่สามารถทำได้อย่างยั่งยืน ต้องหมั่นคอยกลับมาปรับตั้งถี่ไปหน่อย แต่ว่าระหว่างรอชิ้นส่วนที่เราลองออกแบบใหม่ให้เฟืองถี่ขึ้น เราก็เริ่มมองหาจุดอื่นๆเหมือนกัน ว่าอะไรที่จะสามารถทำให้กลไกที่หย่อนยานนั้น ทำงานฉับไวขึ้นอีก(บนพื้นฐานอุปกรณ์เดิมๆ) เพราะแม้ว่าตั้งเบรคชิดแล้ว pedal ratio ก็ยังไม่ค่อยเป็นที่พอใจ อีกทั้งความฉับไวในการตอบสนองควรจะดีกว่านี้หน่อย นอกจากนี้ เราก็ยังมีปัญหาคาใจเรื่องทำอย่างไรไม่ให้เบรคหน้าไหม้ง่ายๆ แล้วสาเหตุใดบ้างล่ะที่ทำให้เบรคหน้าไหม้ จากคุณ : kroner - [ 7 พ.ย. 49 01:11:32 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เรื่องเบรค bias นั้น เรายังขยับไปไหนได้ไม่มากครับ เพราะว่าตราบใดที่เบรคหลังยังชอบห่างอยู่เรื่อย ทั้งยังวิ่งมาตั้งเกือบหมื่นแล้ว เบรคหลังก็ยังไม่ยอมเต็มหน้าเสียที เราไม่สามารถสรุปว่าระบบ Hydraulic จ่ายแรงดันมาล้อหลังไม่พอครับ เรา็้ยังเช็คแม้กระทั่งส่วนโค้งของผ้าเบรคกับดรัมเบรค ว่าเป็นสาเหตุของปัญหาผ้าเบรคหลังไม่ยอมเต็มหน้าซะทีหรือไม่ แต่เมื่อได้ตรวจสอบดูหลายๆคันแล้ว ก็ถือว่าอยู่ในค่าปกติตามที่ควร แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 49 01:20:53 จากคุณ : kroner - [ 7 พ.ย. 49 01:19:27 ]

ความคิดเห็นที่ 44 หากท่านเคยขับรถเปอโยต์ 405 ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ว่าลิงค์ของช่วงล่าง มีผลต่อการยกของท้ายรถมากน้อยเพียงใด เพราะรถยนต์รุ่นนี้ ท้ายจะตกทุกครั้งที่เหยียบเบรคครับ ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ อันนี้อาจจะเป็นกลไกเฉพาะรถพิเศษเพียงบางรุ่นเท่านั้นกระมังครับ ที่ออกแบบระบบช่วงล่างมาให้ท้ายไม่ลอยในขณะเบรคได้ น่าสนใจตรับ แต่อย่างไรก็ตาม หากสามารถบังคับตัวถังรถให้ท้ายไม่ลอยขึ้นด้วยวิธีใดก็ตาม เช่นการทำให้ช่วงยืดตัวของช่วงล่างหลังจำกัด เป็นต้น เพื่อหวังให้ LSPV ปรับ bias ทางด้านหน้าได้อย่างจำกัดลงนั้น (เหมือนไอเดียของท่าน A-Z เคยแนะนำไว้ในกระทู้ก่อน) จะไม่ช่วยแก้ไขเรื่อง weight transfer ได้เลยมันจะต้องถูกถ่ายไปในอัตราเดิมนั้นอยู่ดี เพียงแต่ท้ายรถไม่สามารถลอยขึ้น แต่น้ำหนักที่ล้อกดลงพื้นก็จะน้อยเท่าเดิม และ bias ก็จะต้องเป็นไปตามกลไกของ weight transfer เช่นเดิมอยู่ดี หากมีความคิดที่จะไปรบกวน LSPV ไม่ไห้ลดอนแรงดันด้านหลัง ล้อก็มีโอกาสจะล็อคได้แน่นอน อันนี้เป็นประเด็นหนึ่งที่ได้เคยมีการนำเสนอขึ้นมาแล้วในกระทู้ก่อน แต่ยังไม่ได้มีการนำมาตกตะกอนกันครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 7 พ.ย. 49 01:46:31 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ตรงประเด็นของความดันไฮโดรลิคหลังนั้นมาต่ำมาก แม้ในขณะท้ายรถยังไม่ยกลอย (เบรคบนลูกกลิ้ง) นี่น่าจะเป็นผลให้กลไกอัตโนมัติไม่มีแรงพอที่จะปรับตัวเอง ก็น่าจะเป็นไปได้นี่ครับ แล้วเมื่อเบรคหลังนี่ไม่ปรับตัวเองก็ย่อมนำไปสู่ปัญหาของเบรคหน้า เนื่องจากต้องรับภาระแทนจากความพิการของเบรคหลัง พิจารณาอย่างนี้ได้ไหมครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 7 พ.ย. 49 01:51:48 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เรื่องท้ายยกไม่ยกมันเป็นเรื่องของช่วงล่าง แต่ที่มาของมันก็มาจากเบรคเหมือนกัน รถบางรุ่นเบรคยังไง ท้ายมันก็ยก เบรคหน้าดี  เบรคหลังแย่  เบรคแล้วหน้าทิ่มท้ายก็จะยกเป็นอัตโนมัติ เบรคหลังจับดีหน่อย ท้ายก็ยกอยู่ดี  เพราะล้อหลังมันไม่วิ่งตามรถ  ตัวรถเลยยกขึ้น รถบางรุ่น  ช่วงล่างออกแบบมาให้ท้ายยุบเวลาเบรคหลังทำงาน ช่วงล่างพวกนี้แนวแกนของล้อ  มันจะต่ำกว่าจุดหมุนของแขนของช่วงล่างที่มาจับแนวแกนล้อ เวลาเบรคหลังหยุดดีกว่าตัวรถ  ล้อหลังจะถอยไปด้านหลัง  ทำให้ท้ายรถยุบตัวลงมา การทำให้เบรคหลังจับเร็วๆสำหรับรถที่มีช่วงล่างแบบนี้  จะช่วยรถอาการท้ายยกได้ แต่ผมว่าการตั้งเบรคหลังให้ชิด มันเป็นการปรับเบรคที่ไม่ยั่งยืนเลย เพราะใช้ไปสักพัก  เบรคมันก็ห่างเหมือนเดิม แต่ยอมรับครับ ตอนที่ตั้งเบรคหลังใหม่ๆ feeling เบรคดีมากเลย ขับแล้วมั่นใจขึ้นเยอะ แต่ระยะเบรคโดยรวม  มันก็ดีขึ้นไม่มาก จากคุณ : ton99 - [ 7 พ.ย. 49 01:56:25 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อ้าว เรื่อง ท้ายยกไม่ยกที่คุณเด็กบูรพาท่านว่ามานั้น มันไม่ใช่รถ Fortuner นะครับ แต่เป็น spacewagon ครับ ส่วนที่ผมตอบไป ผมก็ตอบแบบรวมๆ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นการแก้ปัญหา brake bias ของ Fortuner ครับ ที่ตอบไปก็เพราะเห็นว่าคุณhk2cxvd กรุณาแย้งมาเบรคหลังขยัน เกี่ยวกับท้ายยกไม่ยกอย่างไรไงครับ จากคุณ : kroner - [ 7 พ.ย. 49 01:59:40 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คุณton99 ครับ การปรับดรัมเบรคหลังนี่ รถส่วนใหญ่ใช้ได้ไม่มีต่ำกว่าหมื่น สองหมื่นกว่าจะต้องมาปรับอีกครั้งหนึ่งครับ สำหรับผม ผมว่าถ้าเป็นหมื่น กม. มาปรับที ก็โอเคแล้วล่ะครับ แต่กับจูนนี่ แค่ 2000 กม. ในรถบางคัน เบรคหลังก็ห่างอีกแล้ว มันคงไม่ใช่เพราะผ้าเบรคสึกเ็ร็ว โดยที่กลไกไม่ปรับอัตโนมัติแน่ครับ ผมว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติ จึงต้องจับตาดูส่วนนี้เป็นพิเศษครับ ส่วนผลการปรับตั้งเบรคหลังให้ชิดตามปกติแล้ว การควบคุมเบรคก็ดีขึ้นครับ แต่ก็ยังไม่เป้นที่พอใจอย่างที่ได้เรียนไปแล้ว มันน่าจะได้ดีกว่านี้ จากคุณ : kroner - [ 7 พ.ย. 49 02:06:59 ]

ความคิดเห็นที่ 49 Civic ผม หน้าดิสหลังดรัม ช่วงล่างมีระบบกันท้ายยกแบบที่ว่า วิ่งไป 40000km หมดผ้าเบรคหน้าไปสองชุด  จานคดไปสองรอบ หลังจากนั้นเปลี่ยนเอาเบรครุ่นใหญ่มาลง ถึงวันนี้วิ่งเลย 200000km ก็ไม่เคยยุงกับผ้าเบรค จานเบรค อีกเลย จะมีก็แค่ปรับตั้งเบรคหลังให้ชิดขึ้น  แต่ขับไปไม่นานมันก็ห่างเหมือนเดิม เท่าที่ผมใช้รถที่ล้อหลังเป็นดรัมเบรคมา จะพบว่าผ้าเบรคหลัง  มันจะไม่ค่อยสึกเลย เปลี่ยนผ้าเบรคหน้าไปสองรอบ  ผ้าเบรคหลังก็ยังหนาอยู่ดี อันนี้รวมทั้ง mightyX ที่หลายๆคนบอกว่าเบรคหลังมันจับไวด้วยนะครับ จากคุณ : ton99 - [ 7 พ.ย. 49 02:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 50 มีหลายคันเหมือนกันครับ ที่คิดแก้ไขปัญหาแบบฟันธงไว้ก่อนเลย เช่น การเปลี่ยนดรัมเบรคหลังออก แล้วใส่ดิสค์เบรคเข้าไปแทน เพราะคิดว่า เบรคหน้าทำงานหนักจึงไหม้ เพราะเบรคหลังไม่ช่วย หรือ เบรคหน้าไหม้เก่งเฟดดีนัก เอาเบรคหน้าใหญ่ๆมาใส่ เบรคใหญ่ขึ้น จับดีขึ้น ทนความร้อนดีขึ้น การเปลี่ยนแค่ส่วนใด ส่วนหนึ่งของเบรคที่ล้อ โดยไม่เหลียวแลตัวระบบ ก็อาจจะสร้างปัญญหาใหม่ๆมาให้อีกด้วยครับ สำหรับฟอร์จูนเนอร็ จากคุณ : kroner - [ 7 พ.ย. 49 02:19:19 ]

ความคิดเห็นที่ 51 รถผมน่าจะราวๆ 10000km แล้วถึงรู้สึกว่ามันห่าง หลังจับปรับเบรคหลังใหม่ๆ ใช้ไปสัก 2000-3000 ก็ยังรู้สึกถึงเบรคหลังได้ตอนที่เริ่มแตะเบรค กรณีของ Fortuner ที่เบรคหลังมันห่างที่ 2000km มันเป็นเพราะผ้าเบรคมันสึก  หรือว่ามันห่างออกมาเองครับ ผมอ่านที่พี่ kroner บอกข้างบนแล้วงงครับ มีเรื่องสงสัยขอถามเพิ่มนะครับ กลไกปรับตั้งผ้าเบรคอัตโนมัติของดรัมเบรค  มันสามารถตั้งได้ตึงขนาดไหนครับ จุดที่มันตั้งได้  เป็นจุดที่เหมาะสมหรือเปล่า คือผมไม่เข้าใจว่ามีกลไกแบบนี้ขึ้นมา  แล้วทำไมเราต้องมาปรับตั้งกันเพิ่มด้วย ในความรู้สึกผม  ผมว่ามันปรับก็เหมือนไม่ได้ปรับ เพราะสุดท้ายต้องใช้คนมาปรับเอาเองอีกที จากคุณ : ton99 - [ 7 พ.ย. 49 02:25:38 ]

ความคิดเห็นที่ 52 โหวตให้ครับ ติดตามอ่านอยู่ครับ จากคุณ : ชิวตะ - [ 7 พ.ย. 49 09:51:09 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ระบบกลไกปรับระยะผ้าเบรคอัตโนมัติ ทำงานโดยอาศัยการเบ่งออกของลูกปั๊มเบรค ซึ่งหากแรงดันน้ำมันเบรคมีน้อยก็อาจมีผลให้กลไกไม่สามารถขยับตัวให้แขนล็อคข้ามไปฟันเฟืองอีกซี่ได้ ประเด็นเรื่องความดันน้ำมันนี่ น่าจะเป็นต้นเหตุ่แจริงนะครับ สำหรับการที่เบรคหลังไม่ขยันทำงานนี้ จากคุณ : hk2cxvd - [ 7 พ.ย. 49 10:37:37 A:58.9.142.11 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คุณton99 ครับ ขอยกอันเดิมมาอีกที .................................................................................................... สำหรับผม ผมว่าถ้าเป็นหมื่น กม. มาปรับที ก็โอเคแล้วล่ะครับ แต่กับจูนนี่ แค่ 2000 กม. ในรถบางคัน เบรคหลังก็ห่างอีกแล้ว " มันคงไม่ใช่เพราะผ้าเบรคสึกเ็ร็ว โดยที่กลไกไม่ปรับอัตโนมัติแน่ครับ ผมว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติ จึงต้องจับตาดูส่วนนี้เป็นพิเศษครับ " ................................................................................................ .... ไม่น่าจะใช่เรื่องผ้าเบรคสึกแน่ครับ 2000 กม. ถึงผ้าเบรคหลังจะสึกหรอไปบ้าง มันก้ไม่น่าเกิดระยะห่างมากมายขนาดนั้นน่ะครับ ต้องมานั่งดูใหม่ว่าอะไรกันแน่ ที่ทำให้เบรคห่างมากมายขนาดนั้น แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 49 12:21:53 จากคุณ : kroner - [ 7 พ.ย. 49 12:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 55 จากคคห. 54 ทางเราจึงคิดเปลี่ยนกลไกปรับตั้งให้ทำงานได้ละเอียดขึ้น โดยเพิ่มความถี่ของฟันเฟืองในชุดตั้งเบรคอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้แขนสับเฟืองทำงานได้ง่ายขึ้น และป้องการการรูดได้ดีขึ้น เมื่อได้เฟืองปรับตั้งที่ฟันละเอียดขึ้นมาแล้ว ก็ลองติดตั้งเพื่อทดสอบ ระหว่างรอผลการทดสอบเรื่องเฟืองละเอียดอยู่นี้ ก็มีพี่ท่านหนึ่งในคลับ ได้มาแนะนำให้ลองดัดแขนสับเฟือง เพื่อให้แขนสับเฟืองทำงานได้แม่นยำขึ้น และยังป้องกันการรูดได้เช่นกัน พี่ท่านนั้นคือคุณake ใน FC หรือคุณakeb ในพันทิป-รัชดา หากเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างเฟืองละเอียด กับการดัดแขนสับเฟืองก็คือ 1ก. เฟืองละเอียด แขนสับเฟืองทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเพราะ ระยะความสูงของเฟืองต่ำลง อันผลมาจากที่เฟืองละเอียดขึ้น 1ข. ดัดแขนสับเฟือง แขนจะแนบกับเฟืองอยู่ตลอด ช่วยเขี่ยเฟืองได้ดี แต่ก็ต้องให้ผ้าเบรคห่างมากกว่าเฟืองละเอียด แขนจึงปีนข้ามเฟืองนี้ได้ 2ก. เฟืองละเอียด เป็นการเปลี่ยนอุปกรณ์ ซึ่งไม่แน่ว่าจะได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตรถ ต่อมาภายหลัง พบว่าทางผู้ผลิตชิ้นส่วนได้ทดลองทำเฟืองละเอียดนี้มาทดสอบเช่นกัน โดยที่ผู้ผลิตรถยนต์ไม่ทราบ 2ข. การดัดแขนสับเฟืองหากใช้งานได้จริงๆ ผู้ผลิตรถยนต์ก็ต้องแก้ไขแม่พิมพ์ใหม่ แต่หากว่าแนวทางไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้ผลิตรถ เราสามารถดัดเองได้ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษอะไร เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็ทดลองทั้ง 2 วิธีขนานกันไป เพราะเฟืองละเอียด ทำต้นแบบมาเพียงจำกัดไม่กี่ชุดเท่านั้น แต่มีผุ้บริดภคที่มีความเดือดร้อนจำนวนมาก การดัดแขนสับเฟืองสามารถสนองความต้องการได้มากกว่า โดยไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จากคุณ : kroner - [ 7 พ.ย. 49 12:39:32 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ผมขอถามหน่อยคับ ตกลง ต้องเปลี่ยนเบรคชุดใหม่ไปเลยมั้ยคับ เพราะเอาไม่อยู่จิงๆ ที่บ้านมีรถเก๋ง และ กระบะ Isuzu ( กะลังมอง มิว 7 เพราะ คิดว่าน่าจะดีกว่า) เบรคใน อีซูซุ ไม่เห็นเป็นอะไรเลยคับ ( ที่บ้านทำโรงงานขนของหนักๆ ทุกวัน) หยุดได้ตามปกติ ที่กลัวเพราะตอนนั้น ขับมา ประมาณ 80 มีรถจะเลี้ยว เลยเหยียบเบรคแรงหน่อย abs ทำงานเลยคับ แบบว่า ตกใจมาก ต้องเหยียบเบรคกัน 200 เมตรล่วงหน้า เคยเอาไปทำ ช่างที่โต บอก เค้า ดึงเบรคหลังให้สั้นกว่าเดิม ช่วยได้นิดหน่อย แต่ยังเสียวคับ รบกวนช่วยเหลือหน่อยคับ เพื่อนไปเปลี่ยนเป็น brembo มา เห็นบอก ดีขึ้นมากๆเลย จากคุณ : เทม - [ 7 พ.ย. 49 16:58:45 A:61.91.253.22 X: TicketID:127927 ]

ความคิดเห็นที่ 57 แปลกครับ  ผมอ่านผลทดสอบเบรคในบรรดารถกระบะ จากหนังสือรถหลายๆเล่ม ผลออกมาว่า Vigo เบรคดีเป็นอันดับ 1 ทั้งระยะและเวลา  ทุกช่วงย่านความเร็วเลยก็ว่าได้ จากคุณ : ton99 - [ 7 พ.ย. 49 19:51:29 ]

ความคิดเห็นที่ 58 มีบ่อยๆครั้งที่สิ่งที่เราพบได้จากสื่อฯ ก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงครับ น้อง ton99 อย่าลืมว่าสื่อฯจะต้องทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ด้วยนะครับ ไม่ใช่รายงานข้อเท็จจริงแต่เพียงอย่างเดียว คุณ kroner ครับ แล้วจนถึงปัจจุบันนี้ ปัญหานี้ได้มีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจนหรือยังครับ หรือว่ายังอยู่ในช่วงการทดลองอยู่ จากคุณ : hk2cxvd - [ 7 พ.ย. 49 20:45:04 A:58.9.142.11 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เรื่องการทดสอบแบบนี้ สื่อคงไม่หลอกพวกเราหรอกนะครับ จะมีแต่ บริษัทรถ ส่งรถรุ่นพิเศษให้สื่อมาทดสอบให้พวกเราดู ทดสอบมาหลายฉบับ  มันก็ได้ผลในทางเดียวกัน ดูแล้วสื่อคงไม่ได้ปั้นตัวเลขมาแน่ๆ จากคุณ : ton99 - [ 7 พ.ย. 49 21:03:33 ]

ความคิดเห็นที่ 60 พี่ต้น ผมชักสงสัยรถที่โตต้า ส่งมาให้พวกสื่อนี้ทดสอบซะแล้วสิ ผมเคยอ่านไดเวน โฟวีล ที่มีทดสอบกระบะหลายรุ่นพร้อมกัน แต่ติดใจตรงขึ้นเขียงไดโนนี่สิ ทำไมวีโก้ถึงมา175แรงม้าได้ ทั้งที่ใช้งานมาร่วมแสนโลแล้ว และมากกว่าสเปกโรงงานตั้งเยอะ จากคุณ : GOLF-B16A - [ 7 พ.ย. 49 22:56:58 ]

ความคิดเห็นที่ 61 สวัสดีคุณ hk2cxvd, คุณ Kroner ท่าน จขกท และเพื่อนๆครับ ขออนุญาติตามอ่านก่อนนะครับ ผมความรู้ไม่มาก แถมไม่ได้ตามอ่านหลายๆกระทู้ด้วย แต่คิดว่าน่าจะพอแลกเปลี่ยนในบางจุดได้ สาเหตุของเรื่องนี้แบ่งได้หลายประเด็น แต่ไม่ได้แยกกันชัดเจน เพราะเป็นเรื่องของระบบเบรคทั้งระบบ ทางที่คุณ Kroner เดินมาก็มีส่วนเกี่ยวข้องมากอยู่ ทางที่คุณ Preecha พบ ก็เป็นส่วนหนึ่ง แม้แต่เงื่อนไขที่ทางโตโยต้าปรับปรุง ก็ยังต้องทำหลายๆเรื่องไปด้วยกัน แต่ ระหว่างรับข้อมูลนี้ขอไปตามอ่านกระทุ้เก่าๆไปพลางๆก่อนละกันครับ จากคุณ : Num..na - [ 8 พ.ย. 49 06:32:06 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คคห.56 ของคุณเทม ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ขับมา ประมาณ 80 มีรถจะเลี้ยว เลยเหยียบเบรคแรงหน่อย abs ทำงานเลยคับ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ แลว่าเบรคมันพยายามหยุดได้ดีกว่ายางครับ ABS ถึงขึ้นมาทำงาน ลองดูครับว่า เบรคแรงเกินไป หรือว่ายางไม่ดีครับ จากคุณ : kroner - [ 8 พ.ย. 49 10:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณคับ แต่วันนั้น เพิ่งออกรถมา ประมาณ 3 วันเองคับ ยางไม่ดี นี่คือ ยังไงอ่ะคับ เพราะ ยางใหม่ ปี 06 คับ วันนั้น แตะเบรค แรง แต่ไม่ถึงกับมากเลยคับ ( เทียบกับ กระบะ Isuzu คับ ) เพราะต้องการแค่ ชะลอๆ คือ ผมเห็นแล้วว่ารถคันนี้คงพุ่งออกมาแน่ เลยเตียรมตัวไว้ก่อน ถ้าระมาท เบครใกล้ๆ คงไม่ได้นั่งโพสแบบนี้แน่เลยคับ ^^ ขออีกนิดคับ คือ ผมลองเหยียบแรง (กว่าปกติ นิดเดียว) abs ทำงานทุกครั้งเลยคับ คันอื่นๆ ( เก๋ง +กระบะ) ไม่เป็นคับ มันเป็นเพราะอะไรเหรอคับ ขอบคุณคับ จากคุณ : เทม - [ 8 พ.ย. 49 13:03:50 A:61.91.253.22 X: TicketID:127927 ]

ความคิดเห็นที่ 64 มาโหวตให้ครับ จากคุณ : PATTAYACITY - [ 8 พ.ย. 49 14:29:22 ]

ความคิดเห็นที่ 65 รถใหม่ๆ เบรคหลังยังจับไม่เต็มหน้าครับ พอกดเบรคแรงๆ เบรคหน้าทำงานดีจนกระทั่งจะทำให้ล้อหน้าล็อกก่อน ABS จึงทำงานขึ้นมาครับ รถใหม่ๆ แม้รันอินมาบ้างแล้ว เบรคหลังซึ่งเป้นดรัมเบรค กว่าจะเต็มหน้า ก็นานละครับ อาจจะต้องวิ่งซัก 5,000 กม.กว่าเบรคหลังจะจับเต็ม หากระหว่างเบรคหลังยังจับไม่เต็ม เพราะรถยังใหม่มาก แล้วนำรถมาขึ้นเครื่องทดสอบ ซึ่งใช้ทดสอบรถเก่าที่ใช้งานมาแล้วหลายๆปี ผลการทดสอบเบรคหลังก็จะออกมาต่ำกว่าที่ระบบเบรคหลังจริงๆจะทำงานได้ครับ จากคุณ : kroner - [ 8 พ.ย. 49 15:08:05 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ตามมาอ่าน จากคุณ : หมี่ผัด - [ 8 พ.ย. 49 19:11:47 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คุณhk2cxvd ขออภัยจริงๆ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าเนตยาวๆครับ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ คคห.58 คุณ kroner ครับ แล้วจนถึงปัจจุบันนี้ ปัญหานี้ได้มีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจนหรือยังครับ หรือว่ายังอยู่ในช่วงการทดลองอยู่ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เรื่องรักษาระยะเบรคหลังนี้ ของเรามีแนวทางชัดเจนแล้วครับ ช่วงนั้นที่ทดลอง แล้วก็รอเก็บข้อมูล เราก็พบว่า การดัดแขนสับเฟือง ก็เพียงพอที่จะรักษาระยะห่างเบรคหลังได้ เพราะกลไกปรับตั้งอัตโนมัติทำงานได้ดีขึ้นครับ การเปลี่ยนเฟืองให้ละเอียดขึ้นจึงไม่จำเ็ป็้นครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 49 21:08:23 จากคุณ : kroner - [ 8 พ.ย. 49 21:03:08 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ขอบคุณครับ คุณ kroner ช่วงนี้ผมเองก็เช่นเดียวกันครับ มีธุระปะปังค่อนข้างมาก เลยเหมือนว่าคุยกันได้ไม่ค่อยต่อเนื่องนัก เท่าที่รับฟังข้อมูลของคุณ kroner ก็ดูเหมือนว่า หากทำการแก้ไขกลไกปรับระยะผ้าเบรคอัตโนมัติให้สามารถทำงานได้ดี ปัญหาต่างๆน่าจะจบลงได้ใช่ไหมครับ จากข้อมูลที่มีผู้เข้ามาให้คคห. ในกระทู้ต่างๆขณะนี้ ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นข้อมูลที่บริสุทธิ์หรือไม่ ยังแจ้งว่ายังพบปัญหาผ้าเบรคหน้าร้าวอยู่ ไม่ทราบทางคุณ kroner หรือ FC ยังคงได้รับข้อมูลอย่างเดียวกันนี้อยู่หรือไม่ครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 8 พ.ย. 49 23:07:19 A:58.9.136.179 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เรื่องผ้าเบรคร้าวนี่ พักหลังๆแทบไม่เจอของใหม่เลยนะครับ โดยเฉพาะที่ไปเปลี่ยนหม้อลม+แผงดักลมใหม่มาแล้ว หรือรถล็อตใหม่ ที่ยังมี็บ้างก็เป็นเพราะว่าเดิมมันร้าว แต่ยังคงใช้อยู่ต่อไป ศูนย์ไม่ได้เปลี่ยนผ้าเบรคให้ใหม่ ตอนเปลี่ยนหม้อลม+แผงดักลมครับ ส่วนการแก้ไขปัญหาเรื่องระยะเบรคหลังนั้น แม้แก้ได้แล้ว ในขณะนั้น ยังไม่มีหม้อลม+แผงดักลมใหม่มาเปลี่ยน ก็ยังพบปัญหาเรื่องเบรคเฟดอยู่บ้าง แต่น้อยลงไปอย่างมีนัย ส่วนเรื่องผ้าเบรคหมดเร็ว ยังพบเจออยู่ครับ เข้าใจว่าเรื่องความร้อนที่เบรคหน้าสูงยังคงมีอยู่ แต่เรื่องการควบคุมเบรค ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก้ยังไม่ดีพออย่างที่ต้องการ จากคุณ : kroner - [ 8 พ.ย. 49 23:20:47 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เมื่อจัดการกับระยะเบรคหลังได้แล้ว แต่ยังไม่เป็นที่พอใจ จุดต่อไป พวกท่านจะทำอย่างไรกันล่ะครับ ในเมื่อฟอร์จูนเนอร์ เหลือจุดที่พอจะปรับตั้งได้อีกจุดหนึ่ง ซึ่งก็คือ LSPVBV แต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง และทดสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ถามว่า จะปรับตัวนี้เพื่ออะไร ต้องตอบตัวเองให้ได้เสียก่อนครับ จากคุณ : kroner - [ 8 พ.ย. 49 23:23:47 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ครับ การปรับแต่ง LSPV นั้น ผมก็เห็นว่า หากทางโรงงานได้ปรับแต่งมาถูกต้องแล้วก็ไม่ควรที่จะไปดำเนินการ เว้นเสียแต่ตรวจสอบพบว่าการปรับแต่งนั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ จากประเด็นที่คุณ preecha นำมาเผยแพร่ว่า เบรคหลังไม่สามารถล็อคล้อได้ในการทดสอบบนลูกกลิ้ง ซึ่งตรวจสอบพบว่าสาเหตุเนื่องจาก ความดันน้ำมันเบรคหลัง LSPV มาต่ำมากๆ (ยังไม่ได้กล่าวถึงประเด็นของระยะห่างผ้าเบรค) หากรถคันดังกล่าวซึ่งระบุว่าเป็นรุ่นใหม่ มิได้มีการไปกระทำการปรับแต่งโดยบุคคลใดเลยนับจากการส่งมอบให้ลูกค้า ก็เป็นที่น่ากังวลว่า การปรับแต่ง LSPV จากโรงงาน หรือ คุณลักษณะการทำงานของ LSPV นั้น น่าจะไม่เหมาะสม และเป็นเหตุให้ brake bias นั้นผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นอย่างมาก รายละเอียดในเรื่องนี้ดูเหมือน จะยังไม่มีผู้ใดนอกจากคุณ preecha ได้ทำการศึกษาทดสอบ และนำมาเผยแพร่ ดังนั้น ประเด็นนี้คงจะหาข้อสรุปลำบากหากไม่มีการนำรถในท้องถนนทั้งหลายมาตรวจสอบจริง แล้วประเมินผล ซึ่งเราก็จะสามารถทราบได้ทันทีว่า ปัญหามันยังคงมีอยู่จริงหรือไม่ ปัญหาคือ จะทำให้เกิดการตรวจสอบอย่างกว้างขวางได้อย่างไร และฝ่ายใดจะเป็นผู้ริเริ่มดำเนินการ จากคุณ : hk2cxvd - [ 9 พ.ย. 49 00:17:15 A:58.9.136.179 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 72 *** คุณ เทม และ ผู้ใช้รถที่ยังไม่มั่นใจว่ามีปัญหาหรือไม่ น่าจะลองนำรถไปทดสอบระบบเบรคบนลูกกลิ้งอย่างที่คุณ preecha แนะนำ ดูนะครับ แล้วนำผลการดสอบมาแสดงใน pantip นี้ เพื่อให้หลายๆท่านได้ช่วยกันวิเคราะห์ดู นก็จะได้ความมั่นใจในระบบเบรคของรถท่าน ในขณะเดียวกันท่านก็ได้ช่วยทำให้เรื่องนี้เกิดความชัดเจนขึ้น ไม่เป็นประเด็นที่จะต้องมาวิวาทกันต่อไป เนื่องจากเท่าที่เห็นมา ก็คงมีแต่เพียงคุณ preecha เท่านั้นครับ ที่นำผลการทดสอบ ภายหลังการปรับปรุงของโตโยต้าแล้ว มาเผยแพร่ อย่างนี้คุณ kroner เห็นเช่นไรครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 9 พ.ย. 49 00:33:41 A:58.9.136.179 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ผมไม่อยาก comment ในคำถามเกี่ยวกับบุคคลที่ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวครับ ถ้าผมตอบไป เขาก็จะใช้สิทธิอ้างอิง ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะกล่าวถึงเลยครับ รถใหม่ๆ วิ่งมาไม่ถึงอาทิตย์ดี คุณhk2cxvd คิดว่าเบรคหลังจะเต็มหน้าหรือยังล่ะครับ ส่วนรถคันนี้ รถรุ่นเก่าแต่เปลี่ยนหม้อลม+แผงมาแล้ว ผลทดสอบเบรคหลังก็ผ่านนะครับ ทั้งๆที่จานหลังเบี้ยวเอามากๆ ผมขอยืมรูปรายงานทดสอบมาจากคุณ Martzack ครับ จากคุณ : kroner - [ 9 พ.ย. 49 00:53:58 ]

ความคิดเห็นที่ 74 "ทั้งๆที่จานหลังเบี้ยวเอามากๆ" ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ คุณ kroner หมายถึงอะไรครับ รถของคุณ Martzack ครับ ผลการดสอบออกมาดูดีจังนะครับ แล้วคุณ kroner ได้ทราบหรือไม่ครับ ว่าปัญหาเรื่องระยะห่างผ้าเบรคหลังยังมีอยู่หรือไม่ ส่วนประเด็นข้อมูลที่หยิบยกมาจากของคุณ preecha คุณ kroner กรุณาอย่าได้ตั้งข้อรังเกียจไว้อย่างนั้นเลยครับ ผมเห็นเพียงว่า มันเป็นข้อมูลเชิงเทคนิค ซึ่งก็ตรงกับวัตถุประสงค์ที่เราจะพูดคุยกันอย่างสร้างสรรค์ และหากเรานำมาพิจารณาแล้วเกิดประโยชน์ก็น่าจะเป็นผลดีต่อการหาแนวทางแก้ปัญหาครับ ผมอยากให้คุณ kroner กรุณาก้าวข้ามเส้นมายืนอยู่ในข้างของประชาชน อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ในกระทู้ของน้อง ton99 แล้วสลัดสิ่งที่จะพันธนาการไม่ให้เราสามารถก้าวเดินไปยังจุดหมายได้ดีครับ ส่วนรถของคุณเทมเข้าใจว่า ขณะนี้คงจะ bed-in เรียบร้อยแล้วกระมังครับ ส่วนที่แจ้งว่า ABS ทำงาน ไม่แน่ชัดนะครับว่าล้อหน้า หรือล้อหลัง จากคุณ : hk2cxvd - [ 9 พ.ย. 49 01:26:31 A:58.9.136.179 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ขอตามต่อนะครับ ผมสงสัยจริงๆเรื่องเบรคผ้าหลังที่มันห่าง จากที่ผมอ่านๆดู ผมเข้าใจว่า ผ้าไม่มันไม่ได้สึก แต่มันมีอะไรสักอย่างมาทำให้ผ้า มันห่างจากจานเบรคออกมา แบบนี่ผมเข้าใจถูกไหมครับ จากคุณ : ton99 - [ 9 พ.ย. 49 02:34:14 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขออนุญาติให้ความเห็นตรงประเด็นคุณต้นก่อนละกันนะครับ เนื่องจากการออกแบบสายเคเบิ้ลของชุดเบรคมือทั่วๆไป ถ้าลองพิจารณาดูถึงโครงสร้างลึกๆ จะพบว่ามีหลายส่วนถูกนำมาประกอบเข้าด้วยกัน และผมเข้าใจว่า สายเคเบิ้ลทั้งเส้น ที่ถูกจัดวางให้มีการต่อโยงกันระหว่างทางและยังต้องเดินโค้งไปมา (สำหรับวีโก้) โดยเฉพาะ สายเบรคมือของล้อหลังข้างซ้าย (อ้างถึงข้อมูลของแรงเบรคล้อหลังที่ไม่เท่ากันด้วย) น่าจะมีเปอร์เซนต์ Elongation หลังจากถูกใช้งานสูงอยู่ครับ เรียกง่ายๆว่า เคเบิ้ลยืดตัวได้หลังถูกใช้งานไปซักพัก โดยเฉพาะการใช้เบรคมือในช่วงสิบ ถึงยี่สิบครั้งแรก ทำให้เมื่อสายเคเบิ้ลหย่อน และชุด Auto adjustment ทำงานได้ไม่เต็มที่ ผลลัพธ์น่าจะเป็นอย่างที่เห็นครับ ทั้งผ้าเบรคหลังห่างขึ้น และสโตรคการทำงานที่ก้าน Lever ก็เพิ่มมากขึ้นด้วย จากคุณ : Num..na - [ 9 พ.ย. 49 04:20:33 ]

ความคิดเห็นที่ 77 จากความคิดเห็นที่ 74 คุณhk2cxvd ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ "ทั้งๆที่จานหลังเบี้ยวเอามากๆ" ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ คุณ kroner หมายถึงอะไรครับ รถของคุณ Martzack ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ คลองดูที่ค่าหน้าสัมผัสเบรก 1 ของล้อหลัง ซ้าย/ขวา ดูครับ ได้ค่าตั้ง 27% หมายถึงหน้าสัมผัสเบรกมี variation สูง สาเหตุมาจากจานเบรคคด บิดเบี้ยวไงครับ ทำให้หน้าสัมผัสไม่เต็มที่ หากเทียบกับค่านี้ที่เบรคหน้านั้น มีค่าน้อยมากครับ แค่ 6% และ 8% ในกรณีเบรคหลัง ค่า 27% อาจจะหมายถึงความไม่เต็มหน้าของเบรคหลังก้ได้ครับ รถคันนี้ เดิมทีเคยปรับตั้งเบรคหลังได้ระยะดีแล้ว แต่เมื่อนำรถเขาศูนยืเพื่อเช็คระยะ ภายหลังรับรถกลับมา มักจะพบว่า เบรคห่างซะทุกที คงเป้นช่างที่ศูนย์ปรับระยะเบรคหลังใหม่ ให้ห่างกว่าเดิมก็เป็นได้ครับ เรื่องช่างที่ศูนย์ปรับระยะเบรคหลังห่างนั้น เป็นกับบางศูนย์เท่านั้น ไม่ใช่ทุกศูนย์บริการจะปรับเบรคหลังให้ห่าง ส่วนจะเป็นที่ระดับช่างบางคนในแต่ละศูนย์หรือเปล่า อันนี้ไม่ยืนยันครับ กรณีรถคุณเทม คุณเทมเจ้าของรถก็บอกแน่ชัดแล้วว่า รถของท่านวิ่งมาเพียง 3 วันเท่านั้น เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่ผ้าเบรคหลังจะจับเต้มหน้าแล้ว แล้วที่ ABS ทำงาน ผมมั่นใจว่าล้อหน้าแน่ๆครับ เพราะล้อหน้าเป็นคาร์ลิปเปอร์แบบ 4 pot + กับหม้อลมใหม่ที่มี jumping force สูง เบรคหน้าจับดี จับไวแน่ๆครับ จากคุณ : kroner - [ 9 พ.ย. 49 09:41:50 ]

ความคิดเห็นที่ 78 คคห.75 ของคุณton99 ดรัมเบรคหลังที่วิ่งเพียง 2,000 กม. ก็ยังเจอว่าห่างแล้วนั้น ผมไม่คิดว่าระยะห่างที่เกิดจาหผ้าเบรคสึกหรอ ด้วยระยะใช้งานแค่ 2,000 กม. จะมีระยะห่างได้มากมายขนาดนั้นน่ะครับ ทำให้เราสงสัย กลไกปรับตั้งเบรคอัตโนมัติ น่าจะผิดปกติ ซึ่งปกติแล้วจะเป็นกลไกนี้ จะเป็นกลไกที่หมุนด้านเดียว คือหมุนด้านที่ปรับผ้าเบรคออกไปยันจานเบรค เพื่อรักษาระยะห่าง หรือชดเชยระยะห่างเมื่อผ้าเบรคสึกไปเท่านั้น แต่จากการตรวจสอบพบว่า ที่แจนสับเฟืองนั้น ไม่มีแรงสปริงที่กดแขนในแนวที่แนบกับเฟืองมากพอ อาจจะทำให้กลไกไม่ได้ทำงานหมุนด้านเดียวก็เป็นได้ จึงมีการคิดวิธีดัดแขนสับเฟืองตามที่คุณakeb แนะนำมา ให้แขนตัวนี้มีแรงกดแนบกับเฟืองมากพอ ที่จะบังคับให้เฟืองหมุนไปทางเดียวเท่านั้นอย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ การดัดแขนสับเฟืองตรงนี้ ยังช่วยให้กลไกปรับตั้งอัตโนมัติ ทำงานได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เดิมๆที่ติดมากับรถจากโรงงานเลย จากคุณ : kroner - [ 9 พ.ย. 49 09:49:25 ]

ความคิดเห็นที่ 79 จาก คคห.76 ของคุณNum..na ความเห็นของคุณNum..na ให้มุมมองที่น่าสนใจมากๆครับ ************************************************************ เนื่องจากการออกแบบสายเคเบิ้ลของชุดเบรคมือทั่วๆไป ถ้าลองพิจารณาดูถึงโครงสร้างลึกๆ จะพบว่ามีหลายส่วนถูกนำมาประกอบเข้าด้วยกัน และผมเข้าใจว่า สายเคเบิ้ลทั้งเส้น ที่ถูกจัดวางให้มีการต่อโยงกันระหว่างทางและยังต้องเดินโค้งไปมา (สำหรับวีโก้) โดยเฉพาะ สายเบรคมือของล้อหลังข้างซ้าย (อ้างถึงข้อมูลของแรงเบรคล้อหลังที่ไม่เท่ากันด้วย) น่าจะมีเปอร์เซนต์ Elongation หลังจากถูกใช้งานสูงอยู่ครับ ************************************************************ ในรถใหม่ๆอย่าง Fortuner และ Vigo หากพบว่าเบรคมือดึงได้สูง โดยที่ยังไม่ได้ตรวจสอบระยะห่างเบรคหลัง ช่างควรจะต้องตั้งสมมติฐานว่า เบรคหลังห่างไว้ก่อน เพราะรถที่มีอายุใช้งานไม่นานนัก สายเคเบิ้ลแม้จะยืด ก็ไม่น่ามากมายนัก ยิ่งประกอบกับระยะเบรคที่แป้นจมลึกด้วยแล้ว ระยะเบรคหลังที่ดรัมเบรคน่าจะมีนัยสูงสุด ส่วนเรื่องการยืดของสายเคเบิ้ลที่มีผลต่อแรงดึงเบรคมือไม่เท่ากันนั้น อันนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับว่า link ของเคเบิ้ลเบรคมือ ไปยังล้อซ้าย/ขวา ไม่สมมาตรกันอยู่แล้ว (อันนี้ก็รวมหมายถึงแม้แต่ท่อน้ำมันเบรค) ดังนั้น ความยาวในแต่ละด้านของสายเคเบิ้ล ประกอบกับมุมโค้งงอ และจุดแบ่ง มีผลต่อการยืดตัวของสายเคเบิ้ลไม่เท่ากัน ความตึงจึงไม่เท่ากันด้วย เมื่อเป็นดังนี้ ความสับไว หรือระยะส่งถ่ายแรงก็ไม่เท่ากันได้อย่างที่เห็นน่ะครับ ในทางทฤษฎี เบรคควรจะทำงานซ้ายขวาเท่าๆกัน แต่ในโลกแห่งความจริง ไม่เท่ากันง่ายๆครับ ขอเพียงแต่ให้แตกต่างได้แต่ให้อยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของการควบคุมก็พอ จากคุณ : kroner - [ 9 พ.ย. 49 10:04:52 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ส่วนเรื่อง Auto Adjustment หรือ Self Adjust จากเบรคมือนั้น ผมกลับมองว่า ฟอร์จูนเนอร์ ออกแบบกลไกนี้ได้ดีมากๆ กล่าวคือ แม้ไม่ดึงเบรคมือ หรือใช้เบรคมือเป็นประจำ กลไกนี้ก็ยังทำงานได้ด้วยการเหยียบเบรคธรรมดาๆนี่แหละ เสียอย่างเดียว แขนสับเฟืองไม่ค่อยแม่นยำ นั่นแหละครับ จากคุณ : kroner - [ 9 พ.ย. 49 10:18:27 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณมากๆคับสำหรับคำแนะนำ เดี๋ยวถ้าว่างๆจะเอาไปทดสอบดูคับ ได้ผลอย่างไร จะนำมาให้ดูกันต่อไป ^^ อีกนิดคับ ที่ว่าเปลี่ยนหม้อลมใหม่ แผงดักลม อันนี้ต้องจ่ายเงินเอง หรือ เอาเข้าไปเปลี่ยนที่ศูนย์ครับ แล้วถ้าอยากเปลี่ยนจานใหม่ไปเลย เหมือนของเพื่อน ควรจะเปลี่ยนดีมั้ยคับ ( แพงอยู่ กลัวหมดเงินเติมน้ำมัน อิอิ ) จากคุณ : เทม - [ 9 พ.ย. 49 11:48:18 A:61.91.253.22 X: TicketID:127927 ]

ความคิดเห็นที่ 82 คุณเทมครับ หม้อลม+แผงดักลมใหม่ เคลมได้ฟรีครับ ส่วนรถลอตใหม่ ที่ผลิตตั้งแต่ต้นเดือน กรกฎาคม 2549(วันที่อาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง) ใส่หม้อลม+แผงดักลมใหม่มาจากโรงงานแล้วครับ จากคุณ : kroner - [ 9 พ.ย. 49 12:27:01 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ผมขอจมอยู่กับเรื่องในชุดดรัมเบรคหลังก่อนละกันครับ ตามมาตรฐานที่เคยอ่านในความคิดเห็นก่อนๆ บวกลบ 0.5 มิลลิเมตรน่าจะเป็นค่าปรับตั้ง ซึ่งชุดดรัม น่าจะถูกปิดมาจากซัพพลายเออร์ (อาจจะเป็นตั้งแต่ Tier 2 แล้ว ซึ่งเป็นเจ้าจากทางค่ายอเมริกัน มาตรฐานน่าจะดีอยู่) ดังนั้นค่าเริ่มต้น Initial setting ผมคิดว่าไม่น่าผิดพลาดง่ายๆ ส่วนเรื่องยืด หากท่านใดพอมีเวลา จับรถใหม่มาดึงเบรคมือเล่นดูซักหน่อย น่าจะได้ตัวเลขออกมาชัดเจน ดึงแรงๆซักสิบครั้ง วัดสโตรคซักหน ให้แรงดึงคงที่ เรื่องการปรับตั้งเบรคห่างจากศูนย์บริการที่คุณ Kroner กล่าวถึง ไม่ทราบว่า หมายถึง ที่ชุดดรัมเบรคเลยหรือเปล่าครับ หรือว่ารู้สึกได้ที่คันเบรคมือ เวลาใช้งานครับ จากคุณ : Num..na - [ 9 พ.ย. 49 15:38:14 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ความคิดเห็นที่ 45 ตรงประเด็นของความดันไฮโดรลิคหลังนั้นมาต่ำมาก แม้ในขณะท้ายรถยังไม่ยกลอย (เบรคบนลูกกลิ้ง) นี่น่าจะเป็นผลให้กลไกอัตโนมัติไม่มีแรงพอที่จะปรับตัวเอง ก็น่าจะเป็นไปได้นี่ครับ แล้วเมื่อเบรคหลังนี่ไม่ปรับตัวเองก็ย่อมนำไปสู่ปัญหาของเบรคหน้า เนื่องจากต้องรับภาระแทนจากความพิการของเบรคหลัง พิจารณาอย่างนี้ได้ไหมครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 7 พ.ย. 49 01:51:48 A:58.9.140.105 X: TicketID:111497 ความคิดเห็นที่ 53 ระบบกลไกปรับระยะผ้าเบรคอัตโนมัติ ทำงานโดยอาศัยการเบ่งออกของลูกปั๊มเบรค ซึ่งหากแรงดันน้ำมันเบรคหลังมีน้อยก็อาจมีผลให้กลไกไม่สามารถขยับตัวให้แขนล็อคข้ามไปฟันเฟืองอีกซี่ได้ ประเด็นเรื่องความดันน้ำมันนี่ น่าจะเป็นต้นเหตุ่แจริงนะครับ สำหรับการที่เบรคหลังไม่ขยันทำงานนี้ จากคุณ : hk2cxvd - [ 7 พ.ย. 49 10:37:37 A:58.9.142.11 X: TicketID:111497 ] !!!!!!จากคหของคุณ hk2cxvd นั้นที่ว่า !!!!! ประเด็นเรื่องความดันน้ำมันนี่ น่าจะเป็นต้นเหตุ่แจริงนะครับ สำหรับการที่เบรคหลังไม่ขยันทำงานนี้ แล้วเมื่อเบรคหลังนี่ไม่ปรับตัวเองก็ย่อมนำไปสู่ปัญหาของเบรคหน้า เนื่องจากต้องรับภาระแทนจากความพิการของเบรคหลัง พิจารณาอย่างนี้ได้ไหมครับ ขออนุญาติร่วมแจมจากกระทู้ 4851565 จากคหของคุณ hk2cxvd นั้นจากการทดสอบ และการวัดแรงดันน้ำมันเบรคหลังด้วย PRESSURE GUAGE นั้นฟ้องชัดเจนว่า !!!!!!แรงดันน้ำมันเบรคหลังตำมาก ในช่วงเริ่มเหยียบแป้นเบรค !!!!!!!!!!!แขนของ LSP&BV ยังขยับ !!!! ขณะเหยียบแป้นเบรครถจอดอยู่นิ่งนิ่ง การกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)ของรถไม่เปลี่ยน แต่LSP&BV ขยับเกิน นั่นคือ สัญญานเตือนภัยที่แสดงว่า ปัญหาของเบรค FORTUNERที่อ้างว่าเปลี่ยนหม้อลมเบรคใหม่นั้นยังไม่จบ คือแขนของ LSP&BV ยังขยับ (ตำแหน่งอยู่เหนือเพลาหลัง) เมื่อเหยียบแป้นเบรคเร็ว เร็ว (เกินค่า setting)ทั้งที่รถFORTUNER ที่เปลี่ยน หม้อลมใหม่ 16370และ เก่า13940 จอดนิ่ง นิ่ง อยู่กับที่ ซึ่งการกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)ในล้อหลังยังไม่เปลี่ยนก็คือ ความสูงของทายรถยังไม่เปลี่ยน รถจอดนิ่ง นิ่ง แต่LSP&BV ยังขยับ (เกินค่า setting)ทำให้แรงดันน้ำมันเบรคหลังลดลง เบรคหลังจึงไม่ช่วยเบรคหน้าทำงาน เหมือนกับว่า ขณะกดแป้นเบรค เหมือนเบรคเฉพาะล้อหน้าเพราะ LSP&BV ยังขยับทำให้ ประสิทธิภาพเบรคหลังลดลง LSP&BVตามนิยามของTOYOTA คือ Load-Sensing Proportioning and Bypass Valve (LSP & BV) Mounted to the frame and the rear suspension arm/rear axle, the LSP & BV senses the weight distribution of the vehicle and automatically varies the amount of hydraulic pressure to the rear brakes based on the load in the vehicle. This helps to reduce rear-wheel lock-up with either light or heavy loads to maintain stopping control !!!!!เราจะเห็นว่าLSP&BVตามนิยามของTOYOTAออกแบบมาเพื่อ!!!!! 1 ลดโอกาส เบรคล้อหลังล็อค 2 ทำงานตาม การกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)ในล้อหลัง หากรถ จอดนิ่ง นิ่ง อยู่กับที่ ซึ่งการกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)ในล้อหลังยังไม่เปลี่ยนก็คือ ความสูงของทายรถยังไม่เปลี่ยน แต่LSP&BV ยังขยับ (เกินค่า setting)ทำให้แรงดันน้ำมันเบรคหลังลดลง เบรคหลังจึงไม่ช่วยเบรคหน้าทำงาน ภาระจึงไปอยู่ที่เบรคหน้าซึ่งน่าหาคำตอบมากที่สุด เพราะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ในการออกแบบ และ วัดแรงดันน้ำมันเบรคหลังด้วย PRESSURE GUAGE นั้นฟ้องชัดเจนว่า !!!!!!แรงดันน้ำมันเบรคหลังตำมาก เพราะ BY PASS VALVE ในLSP&BVขยับ ในช่วงเริ่มเหยียบแป้นเบรค !!!!!!!!!!!แขนของ LSP&BV ยังขยับ !!!! ขณะเหยียบแป้นเบรครถจอดอยู่นิ่งนิ่ง การกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)ของรถไม่เปลี่ยน ทำให้ลดแรงดันน้ำมันเบรคหลังตั้งแต่เริ่มเหยียบแป้นเบรคแล้ว ความคิดเห็นที่ 71 ครับ การปรับแต่ง LSPV นั้น ผมก็เห็นว่า หากทางโรงงานได้ปรับแต่งมาถูกต้องแล้วก็ไม่ควรที่จะไปดำเนินการ เว้นเสียแต่ตรวจสอบพบว่าการปรับแต่งนั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ จากประเด็นที่คุณ preecha นำมาเผยแพร่ว่า เบรคหลังไม่สามารถล็อคล้อได้ในการทดสอบบนลูกกลิ้ง ซึ่งตรวจสอบพบว่าสาเหตุเนื่องจาก ความดันน้ำมันเบรคหลัง LSPV มาต่ำมากๆ (ยังไม่ได้กล่าวถึงประเด็นของระยะห่างผ้าเบรค) หากรถคันดังกล่าวซึ่งระบุว่าเป็นรุ่นใหม่ มิได้มีการไปกระทำการปรับแต่งโดยบุคคลใดเลยนับจากการส่งมอบให้ลูกค้า ก็เป็นที่น่ากังวลว่า การปรับแต่ง LSPV จากโรงงาน หรือ คุณลักษณะการทำงานของ LSPV นั้น น่าจะไม่เหมาะสม และเป็นเหตุให้ brake bias นั้นผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นอย่างมาก รายละเอียดในเรื่องนี้ดูเหมือน จะยังไม่มีผู้ใดนอกจากคุณ preecha ได้ทำการศึกษาทดสอบ และนำมาเผยแพร่ ดังนั้น ประเด็นนี้คงจะหาข้อสรุปลำบากหากไม่มีการนำรถในท้องถนนทั้งหลายมาตรวจสอบจริง แล้วประเมินผล ซึ่งเราก็จะสามารถทราบได้ทันทีว่า ปัญหามันยังคงมีอยู่จริงหรือไม่ ปัญหาคือ จะทำให้เกิดการตรวจสอบอย่างกว้างขวางได้อย่างไร และฝ่ายใดจะเป็นผู้ริเริ่มดำเนินการ จากคุณ : hk2cxvd - [ 9 พ.ย. 49 00:17:15 A:58.9.136.179 X: TicketID:111497 ] การปรับแต่ง LSPV จากโรงงาน หรือ คุณลักษณะการทำงานของ LSPV นั้น น่าจะไม่เหมาะสม และเป็นเหตุให้ brake bias นั้นผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นอย่างมาก คือเรียนตอบอย่างนี้ครับว่า การปรับตั้ง LSP&BV จากโรงงาน นั้น SETTING ที่ค่าเดียวจุดเดียวคือ !!!!!!!!แรงดันน้ำมันเบรคล้อหน้า 100 ksc SETTING แรงดันน้ำมันเบรคล้อหลัง 37.7+- 6.5 ksc!!!!!! ก็เลยทำให้ไม่เจอเพราะในช่วงเริ่มเหยียบแป้นเบรค !!!!!!!!!!!แขนของ LSP&BV ยังขยับ BY PASS VALVE ในLSP&BVขยับ !!!! ขณะเหยียบแป้นเบรครถจอดอยู่นิ่งนิ่ง การกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)ของรถไม่เปลี่ยนทำให้ลดแรงดันน้ำมันเบรคหลังตั้งแต่เริ่มเหยียบแป้นเบรคแล้ว ความคิดเห็นที่ 73 ผมไม่อยาก comment ในคำถามเกี่ยวกับบุคคลที่ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวครับ ถ้าผมตอบไป เขาก็จะใช้สิทธิอ้างอิง ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะกล่าวถึงเลยครับ รถใหม่ๆ วิ่งมาไม่ถึงอาทิตย์ดี คุณhk2cxvd คิดว่าเบรคหลังจะเต็มหน้าหรือยังล่ะครับ ส่วนรถคันนี้ รถรุ่นเก่าแต่เปลี่ยนหม้อลม+แผงมาแล้ว ผลทดสอบเบรคหลังก็ผ่านนะครับ ทั้งๆที่จานหลังเบี้ยวเอามากๆ ผมขอยืมรูปรายงานทดสอบมาจากคุณ Martzack ครับ รถใหม่ๆ วิ่งมาไม่ถึงอาทิตย์ดี คุณhk2cxvd คิดว่าเบรคหลังจะเต็มหน้าหรือยังล่ะครับ !!!!!!ตอบรถFORTUNERที่ไปทดสอบนั้นใช้มา 9500 กม แล้ว และ triton 750กม เบรคล้อหลังยังหยุดหมุนเลย!!!!! และจากผลทดสอบ ประสิทธิภาพเบรคของFORTUNER ในกระทู้4851565 คห 73ที่ผลทดสอบ ประสิทธิภาพเบรคมีค่าดังนี้ ประสิทธิภาพเบรคหน้า 75% ประสิทธิภาพเบรคหลัง 59% ระบบแรงดันน้ำมันLSP&BV ประสิทธิภาพเบรคมือ 73% ระบบสายดึง CABLE ทำไม ประสิทธิภาพเบรคมือ 73% ระบบสายดึง CABLE จึงมีประสิทธิภาพ ดีกว่า ประสิทธิภาพเบรคหลัง 59% ระบบแรงดันน้ำมันLSP&BV ซึ่งแตกต่างจากรถทั่วไปที่ ประสิทธิภาพเบรคหลัง จะดีกว่า ประสิทธิภาพเบรคมือ เสมอ ตรงนี้ตั้งข้อสังเกตุได้ดังนี้ 1 ประสิทธิภาพเบรคมือ 73% ระบบสายดึง CABLE จึงมีประสิทธิภาพ ดีกว่า ประสิทธิภาพเบรคหลัง 59% ระบบแรงดันน้ำมันLSP&BV เป็นผลมาจาก BY PASS VALVE ในLSP&BVขยับ ทำให้แรงดันน้ำมันเบรคล้อหลังลดลง ทำให้ลูกสูบเบรคหลังไม่มีแรงถ่างออกแรงเบรคหลังจึงลดลง 2 จากผลทดสอบ ประสิทธิภาพเบรคหน้า 75%ประสิทธิภาพเบรคมือ 73% ซึ่งมีค่าเกือบใกล้กัน BALANCE แสดงว่าเป็นปัญหาที่ เกิดจาก BY PASS VALVE ในLSP&BVขยับ ทำให้แรงดันน้ำมันเบรคล้อหลังลดลง ทำให้ลูกสูบเบรคหลัง ไม่มีแรงถ่างออก แรงเบรคหลังจึงลดลงไม่เกี่ยวกับการตั้งระยะห่างเบรคหลัง เพราะ เบรคหลัง กับ เบรคมือขณะทดสอบก็ระยะห่างเดียวกัน 3 จากค่าหน้าสัมผัสผ้าเบรคหลัง 27%แสดงว่า ผิวหน้าผ้าเบรคหลัง สัมผัสกับ จานดรัมเบรคหลังแค่ 100-27=73% แสดงว่า อาจเกิดจาก การตั้งระยะห่างเบรคหลังให้ชิดเกินกว่า ค่า มาตรฐานในการออกแบบที่กำหนดไว้ 0.6 mm หากตั้งชิดเกินไป ก็จะทำให้ รัศมีส่วนโค้งของฝักเบรคหลังไม่เป็นรัศมีส่วนโค้งเดียวกับจานดรัมเบรคหลัง ทำให้หน้าสัมผัสฝักเบรคหลัง ไม่แนบกับจานดรัมเบรคหลัง และหากตั้งเบรคหลังชิดเกินไปเวลาลูกสูบเบรคหลังตัวบนถ่างออกก็อาจทำให้จานดรัมเบรคหลัง เบี้ยวได้เพราะไม่แนบเต็มหน้าสัมผัส 4 ในรถคันนี้ อาจมีการ SETTING แรงดันน้ำมันเบรคหลังLSP&BV มากกว่าโรงงาน 5 ขณะทดสอบรถคันนี้น้ำมันในรถไม่เกินครึ่งถัง 6 รถคันนี้ไม่ได้ตรวจสอบแรงดันลมยางก่อนขึ้นเครื่องทดสอบ จากคุณ : PREECHA FORTUNER - [ 9 พ.ย. 49 15:41:49 A:202.133.139.8 X: TicketID:131246 ]

ความคิดเห็นที่ 85 เรื่องเบรคมือดึงได้สูง ถ้าผมจำตัวเลขไม่ผิด ในคุ่มือ บอกไว้ว่า ระยะใช้งาน ต้องมีประมาณ 5-7 กริ้ก (หรือว่า 7-9 ครับ ไม่แน่ใจ ใครช่วยทีครับ) ซึ่งระยะใช้งานที่ว่านี้ เป็นค่ามาตรฐาน และมีตัวแปรต้น คือแรงดึงต้องไม่น้อยกว่า.....(ไม่ทราบตัวเลขครับ) ตรงนี้น่าจะฝืนความรู้สึกผู้ใช้อยู่บ้างครับ แต่ Full stroke จริงๆ รถทั่วๆไป การออกแบบนั้น สามารถทำงานไปได้ถึง 15-16 กริ้กนะครับ (น่าจะเพื่อสำหรับอีกมาตรฐานหนึ่ง จำพวกจอดบนทางชัน) สำหรับเบรคมือ ที่ทำหน้าที่เป็นเบรคมือ น่าจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้ ยกเว้นแต่ความรู้สึกของผู้ใช้งานเท่านั้น ดังนั้น หาก ที่จุดทำงาน ยังให้แรงได้เพียงพอต่อการหยุดรถ เรื่องเบรคมือน่าจะไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่ผมเห็นคือ เมื่อสายมีการยืดบ้างแล้ว ชุดผ้าเบรคยังแนบเข้าไปกับจานมั้ย ระบบจำเป็นต้องถูกตั้งค่าใหม่ เพื่อให้ทำงานที่จุดทำงานเดิม หรือไม่ ครับ ค่ำๆมาต่อครับ จากคุณ : Num..na - [ 9 พ.ย. 49 15:53:54 ]

ความคิดเห็นที่ 86 อ่า ได้เวลาย้ายกระทู้แล้วค๊าบบ ท่านผู้ชม จะคุยอะไร เขาก็รู้ไปโหม๊ดดดดดดดด /ขอหวยได้ไหมครับ จากคุณ : Martzack - [ 9 พ.ย. 49 16:34:33 ]

ความคิดเห็นที่ 87 อุ้ย ลืมไป พันทิปเขาก็ใบ้ให้แล้วไงว่า 39 ล๊อกอิน = 39 /me วิ่งไปหาซื้อ 39 ดีกว่า จากคุณ : Martzack - [ 9 พ.ย. 49 16:36:35 ]

ความคิดเห็นที่ 88 คุณ Preecha : คือเรียนตอบอย่างนี้ครับว่า การปรับตั้ง LSP&BV จากโรงงาน นั้น SETTING ที่ค่าเดียวจุดเดียวคือ !!!!!!!!แรงดันน้ำมันเบรคล้อหน้า 100 ksc SETTING แรงดันน้ำมันเบรคล้อหลัง 37.7+- 6.5 ksc!!!!!! ก็เลยทำให้ไม่เจอเพราะในช่วงเริ่มเหยียบแป้นเบรค !!!!!!!!!!!แขนของ LSP&BV ยังขยับ BY PASS VALVE ในLSP&BVขยับ !!!! ขณะเหยียบแป้นเบรครถจอดอยู่นิ่งนิ่ง การกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)ของรถไม่เปลี่ยนทำให้ลดแรงดันน้ำมันเบรคหลังตั้งแต่เริ่มเหยียบแป้นเบรคแล้ว ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ "ก็เลยทำให้ไม่เจอเพราะในช่วงเริ่มเหยียบแป้นเบรค !!!!!!!!!!!แขนของ ......" คุณ preecha หาอะไรไม่เจอหรือครับ 37.7 +- 6.5 ksc หรือเปล่าครับ? การปรับตั้ง LSPV กำหนดให้ปรับตั้งขณะรถอยู่บนพื้นราบและไม่มีสัมภาระใช่ไหมครับ แล้วจึงปรับแขน LSPV ให้ได้ค่า 37.7 +- 6.5 ksc ในขณะที่ค่าขาเข้าเป็น 100 ksc ใช่หรือเปล่าครับ? หากใช่ แล้วคุณ preecha หาอะไรไม่เจอหรือครับ ผมยังสับสนอยู่จริงๆครับ จากคุณ : hk2cxvd - [ 9 พ.ย. 49 23:06:07 A:58.9.142.17 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ปรีชาเขาสับสนในชีวิตอยู่แล้วครับ ผมไปแจกการ์ดแต่งงานก่อนดีกว่า ไว้ว่างๆ จะมาเสวนาด้วยนะครับ อ่านข้อความปรีชาแล้ว แกขาดความสามารถในการวิเคราะห์เอามากๆ เลยนะนี่ เห่อๆๆๆ วงการวิศวะกรไทยมีคนแบบนี้ด้วยหรือนี่  น่าสงสารจริงๆ จากคุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด.. - [ 10 พ.ย. 49 09:26:59 ]

ความคิดเห็นที่ 90 "ก็เลยทำให้ไม่เจอเพราะในช่วงเริ่มเหยียบแป้นเบรค !!!!!!!!!!!แขนของ ......" คุณ preecha หาอะไรไม่เจอหรือครับ 37.7 +- 6.5 ksc หรือเปล่าครับ? การปรับตั้ง LSPV กำหนดให้ปรับตั้งขณะรถอยู่บนพื้นราบและไม่มีสัมภาระใช่ไหมครับ แล้วจึงปรับแขน LSPV ให้ได้ค่า 37.7 +- 6.5 ksc ในขณะที่ค่าขาเข้าเป็น 100 ksc ใช่หรือเปล่าครับ? หากใช่ แล้วคุณ preecha หาอะไรไม่เจอหรือครับ ผมยังสับสนอยู่จริงๆครับ จากคุณ : hk2cxvd - ผมหมายความว่า ช่าง TOYOTA หาข้อบกพร่องไม่เจอเพราะเอกสารจากTOYOTA ให้ปรับตั้ง LSP&BV SETTING ที่ค่าเดียวจุดเดียวคือ !!!!!!!!แรงดันน้ำมันเบรคล้อหน้า 100 ksc SETTING แรงดันน้ำมันเบรคล้อหลัง 37.7+- 6.5 ksc!!!!!! ก็เลยทำให้ไม่เจอเพราะในช่วงเริ่มเหยียบแป้นเบรคเพื่อ ชะลอความเร็ว ยังไม่มีผลจาก WEIGHT TRANSFER ทำให้การกระจาย น้ำหนักรถ ยังไม่เปลี่ยนแต่ !!!!!!!!!!!แขนของ LSP&BV ยังขยับ BY PASS VALVE ในLSP&BVขยับ !!!! ทำให้ลดแรงดันน้ำมันเบรคหลังตั้งแต่เริ่มเหยียบแป้นเบรคแล้ว ลองดูการ SETTING แรงดันน้ำมันเบรค สำหรับ Corolla 2004 ให้ดูว่า !!!!!!ขณะที่เริ่มเหยียบแป้นเบรค ค่าแรงดันน้ำมันเบรคหน้า และ หลัง จะเท่ากันในช่วงเร่มกดแป้นเบรค!!!!!!! เพราะ ยังไม่มีผลจาก WEIGHT TRANSFER นน ท้ายรถ ยังไม่ถูก ถ่ายไปหน้ารถ ดังนั้น การกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)ของรถยังไม่เปลี่ยน แรงดันน้ำมันเบรคหน้าและหลัง จึงเท่ากันในช่วงแรก !!!!!แรงดันน้ำมันเบรคหลัง ควรมีค่าอยู่ที่เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับแรงดันน้ำมันเบรคหน้า!!! สำหรับ Corolla 2004 อ่านได้ใน Corolla 2004 Repair Manual หน้า 32-38 ช่วงแรงดันน้ำมันเบรคหลัง 0-29.42 บาร์เท่ากับแรงดันน้ำมันเบรคหน้า แรงดันน้ำมันเบรคหน้า49.03 บาร์ แรงดันน้ำมันเบรคหลัง36.67 บาร์ แรงดันน้ำมันเบรคหน้า 78.45 บาร์ แรงดันน้ำมันเบรคหลังหลัง 47.56 บาร์ !!!!!!ขณะที่เริ่มเหยียบแป้นเบรค!!!!!!!ช่วงแรงดันน้ำมันเบรคหน้า 0-29.42 บาร์เท่ากับแรงดันน้ำมันเบรคหลัง!!!!! เพราะ ยังไม่มีผลจาก!!!!! WEIGHT TRANSFER!!! นน ท้ายรถ ยังไม่ถูก ถ่ายไปหน้ารถ ดังนั้น !!!!!การกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHTDISTRIBUTION)ของรถยังไม่เปลี่ยน แรงดันน้ำมันเบรคหน้าและหลัง จึงเท่ากันในช่วงแรก หากเรากดแป้นเบรคเพิ่มมากขึ้น จะมีผลจาก!!!!! WEIGHT TRANSFER!!! นน ท้ายรถ ถูก ถ่ายไปหน้ารถ ดังนั้น !!!!!การกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)ของล้อหลังลดลง ท้ายรถเบา ดังนั้น แรงดันน้ำมันเบรคหลังจึงต้อง ลดลงตาม การกระจายน้ำหนักที่ลดลง เพื่อป้องกันล้อหลังล็อค และรักษาสมดุลของรถในขณะเบรคให้เป็นไปตาม การกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)รถจึงต้องSETTING แรงดันน้ำมันเบรคให้หน้า มากกว่าหลังเพราะ นน ถ่ายไปล้อหน้ามากขึ้นตามความรุนแรงในการเบรค แรงดันน้ำมันเบรคหน้า49.03 บาร์ แรงดันน้ำมันเบรคหลัง36.67 บาร์ แรงดันน้ำมันเบรคหน้า 78.45 บาร์ แรงดันน้ำมันเบรคหลังหลัง 47.56 บาร์ ดังนั้นหากพิจารณา ข้อบกพร่องของ FORTUNER พบว่า ในช่วงที่เริ่มเหยียบแป้นเบรคเพื่อ ชะลอความเร็ว นั้นผลจาก WEIGHT TRANSFERน้อยมาก ซึ่งทำให้การกระจาย น้ำหนักรถ(WEIGHT DISTRIBUTION) ยังไม่เปลี่ยนแต่ !!!!!!!!!!!แขนของ LSP&BV ยังขยับ BY PASS VALVE ในLSP&BVขยับ !!!! ทำให้ลดแรงดันน้ำมันเบรคหลังตั้งแต่!!!!!!ในช่วงต้นของการเหยียบแป้นเบรค!!!!! พิจารณาจากผลการวัดแรงดันน้ำมันเบรค ด้วย เกจ์วัดแรงดันดังนี้ !!!!!!!!กรณีนั่ง1คน!!!!!!!! รดน หมายถึง แรงดันน้ำมันเบรค รดน หน้า รดน ก่อนเข้าLSP&BV รดน ออกจากLSP&BV 10 18 2 20 28 10 30 38 15 40 48 18 50 58 20 60-100 20 ในรถปกตินั้น เช่น Corolla 2004 !!!!!!ขณะที่เริ่มเหยียบแป้นเบรค!!!!!!!ช่วงแรงดันน้ำมันเบรคหน้า 0-29.42 บาร์จะเท่ากับแรงดันน้ำมันเบรคหลัง!!!!! ในFORTUNER ช่วงที่เริ่มเหยียบแป้นเบรคเพื่อ ชะลอความเร็วช่วงแรงดันน้ำมันเบรคหน้า0-30 นั้นพบว่า !!!!แรงดันน้ำมันเบรคหน้าและหลังไม่เท่ากัน!!!! หลังน้อยกว่าหน้า !!!!!!จึงทำให้ผู้ขับ แตะเบรค เพื่อชะลอความเร็วแต่รถมันไหลเพราะ แรงดันน้ำมันเบรคหลังลดลง!!!!! เบรคหลังไม่ช่วยเบรคหน้าทำงาน !!!!!เพราะว่า?????? รดน หน้า รดน ก่อนเข้าLSP&BV รดน ออกจากLSP&BV 10 18 2 20 28 10 30 38 15 จากตารางด้านบน !!!!!ชัดเจนครับว่า เกิดข้อบกพร่อง เนื่องจาก !!!!!ช่วงที่เริ่มเหยียบแป้นเบรคเพื่อ ชะลอความเร็วช่วงแรงดันน้ำมันเบรคหน้า0-30 นั้น!!!!! !!!!BY PASS VALVE ในLSP&BVขยับ !!!! เพื่อป้องกันล้อหลังล็อค ตามวัตถุประสงค์ในการออกแบบ เนื่องจาก แรงดันน้ำมันเบรค !!!!!ก่อนเข้าLSP&BV 18 28 38 !!!!มันสูงกว่า!!!! ล้อหน้า10 20 30!!!!หากปล่อยไว้ล้อหลังจะล็อค!!!! !!!!! ดังนั้น BY PASS VALVE ในLSP&BVจึงขยับ เพื่อลดแรงดันน้ำมัน แต่ลดเยอะไป!!!!เลยทำให้ แรงดันน้ำมันเบรคหลังที่วิ่งไป!!!!! ลูกสูบเบรคหลังไม่เพียงพอที่จะหยุดล้อหลังได้ จึงทำให้เบรคที่ความเร็วไม่เกิน 20 กม/ชม บนเครื่องทดสอบเบรคล้อหลังจึงไม่หยุดหมุน!!!!!! และเป็นสาเหตุที่ทำให้ เราเห็น!!!!!!!!!!!แขนของ LSP&BV ยังขยับ !!!! ขณะเหยียบแป้นเบรคทั้งที่รถจอดอยู่นิ่งนิ่ง การกระจายของ น้ำหนัก(WEIGHT DISTRIBUTION)ของรถไม่เปลี่ยน ทำให้ลดแรงดันน้ำมันเบรคหลังตั้งแต่เริ่มเหยียบแป้นเบรคแล้ว จากคุณ : PREECHA FORTUNER - [ 10 พ.ย. 49 18:26:16 A:210.86.217.6 X: TicketID:131246 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ผมขอถามตามนี้นะครับ 1 คุณปรีชา กำลังจะบอกว่าการที่ LSP&BV ขยับ เป็นสิ่งที่ผิดใช่ไหมครับ? 2 การที่แรงดันน้ำมันเบรคหลังน้อยกว่าเบรคกว่าเบรคหน้า แปลว่า เบรคหลังมีประสิทธิภาพเบรคในขณะนั้นแย่กว่าเบรคหน้าหรือครับ? 3 ทำไมคุณปรีชาไม่มองที่แรงเบรคและประสิทธิภาพ แทนที่ไปดูที่แรงดันละครับ? เพราะดิสเบรคกับดรัมเบรค มันมีการเพิ่มดันเบรคตามแรงดันน้ำมันเบรคไม่เหมือนกัน 4 ทำไมคุณปรีชา ถึงสนใจเรื่องเบรคหลังแล้วล้อหยุดบนแท่นครับ? ตรงนี้มันมีความหมายยังไงครับ? เพราะที่พวกผมทดสอบเบรคกับรถหลายๆรุ่นมา ยังไม่เคยเจอคันไหนเบรคหลังแล้วล้อล็อคบนแท่นแบบที่คุณปรีชาต้องการเลย แต่ถ้าเป็นเบรคมือ เกือบทั้งหมดจะล็อคครับ ส่วนล้อหน้าก็จะมีบ้างในกรณีที่เบรคหน้ามีประสิทธิภาพสูงๆ 5 อัตราส่วนประสิทธิภาพเบรคระหว่างหน้ากับหลัง ในความคิดของคุณปรีชา มันควรอยู่ที่เท่าไหร่ครับ ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ จากคุณ : ton99 - [ 10 พ.ย. 49 19:36:45 ]

ความคิดเห็นที่ 92 คุณ preecha รบกวนขอ diagram ระบบเบรคน้องจูนด้วยครับ ดูตัวเลข รดน. ของคุณแล้วเกิดข้อสงสัยครับ หากมี diagram จะช่วยให้เข้าใจ และวิเคราะห์กันต่อได้ชัดเจนขึ้นนะครับ คุณ kroner ยังอยู่หรือเปล่าครับ กรุณาส่งเสียงหน่อยคร้าบ จากคุณ : hk2cxvd - [ 10 พ.ย. 49 23:12:37 A:58.9.136.8 X: TicketID:111497 ]

ความคิดเห็นที่ 93 หลังจากที่รถผมได้มี "ปรับ" ตั้งเบรค โดยรวมแล้ว บอกได้เลยว่าแป้นเบรคตอบสนองไวขึ้นมากผิดจากเดิมเยอะเลยครับ ส่วนค่าแรงเบรคหลังนั้น ได้น้อยกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ก็ไม่ขอยืนยันเพราะวัดคนละเครื่อง คนละที่ค่าก็อาจไม่เท่ากัน ยังไงเรื่องนี้ผมขอขอบคุณพี่เสวมากครับ ที่สละเวลาและให้คำแนะนำพวกผมอย่างละเอียด และเป็นความรู้ใหม่ๆหรือความรู้ลึกๆของระบบเบรคมาก ปล.พี่เสวครับ จากที่ลองเบรคดู ถ้าถนนที่หนึบๆเบรคจะทำงานดีมากล้อล๊อกเกือบพร้อมกัน แต่ถ้าถนนลื่นๆ(ถนนแห้งลาดยาง) กดไปเสียงยางล้อหน้าร้องลั่นเลยครับ ล้อหน้าล๊อกจนเอบีเอสทำงานไม่มีท่าทีว่าเบรคหลังจะล๊อกเลยครับ อย่างงี้จะแก้ยังไงดีอ่ะครับ สงสัย จากคุณ : GOLF-B16A - [ 12 พ.ย. 49 02:19:26 ]

ความคิดเห็นที่ 94 เบรคหลังไม่ล็อค  หน่ะถูกแล้ว ถ้าเบรคหลังล็อค ก็ตัวใครตัวมัน จากคุณ : ton99 - [ 13 พ.ย. 49 00:35:06 ]