ความคิดเห็นที่ 1 ขั้นแรก ไม่ว่าคิดจะปรับหรือไม่ปรับก็ต้องทำให้มันดีซะก่อน เซ็ทรถให้พร้อมเพื่อเราจะได้รู้ว่าผลที่เกิดมาจากการปรับเซ็ทช่วงล่างจริงๆ ไม่ใช่อาการผิดปกติของรถ เริ่มจากข้างหลังก่อน เช็คลูกปืนล้อด้วยการยกรถให้ล้อลอยแล้วจับวงล้อลองเขย่าดู ถ้าคลอนแสดงว่าลูกปืนล้อไปซะแล้ว เปลี่ยนซะ เลือกร้านที่มีเพรสอัดลูกปืนด้วย แบบฆ้อนตอกเข้าไปบางทีมันจะเอียงเกินเข้าเนื้อวงล้อ ถึงต้องเปลี่ยนล้อเลยเชียว ล้อไม่คลอนแล้วก็ถอดโซ่ออกแล้วลองหมุนดู ถ้าฝืดหรือมีเสียงมาจากแกนล้อก็ถอดออกมาอัดจารบีลูกปืนล้อ และอย่าลืมเปลี่ยนซีลยางกันฝุ่นด้วย แต่ถ้าเสียงมาจากเบรค หรือถอดชุดเบรคออกแล้วล้อหมุนคล่องดีก็แก้ไขชุดเบรคซะ เช็คว่าปล่อยเบรคแล้วมันดีดกลับที่เดิมมั้ย หล่อลื่นแกนสไลด์(ถ้ามี) ทำอะไรก็ได้ให้เบรคอยู่ในสภาพพร้อมใช้ ข้างหลังก็ขยับแกนสวิงอาร์มและดูพวกลิงค์ของระบบช่วงล่าง ถ้ามันฝืดก็ถอดออกมาทาจารบีซะให้ครบทุกจุดหมุนของลิงค์และแกนสวิงอาร์ม ดูช็อคอับว่าไม่มีน้ำมันซึมออกมา ถ้ามีก็ซ่อมหรือเปลี่ยนซะ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ประกอบเข้าที่ ใส่ล้อ หล่อลื่นโซ่และตั้งโซ่ตามสเปค หย่อนเท่าไหร่ที่บังโซ่มีบอกไว้แล้ว แต่ถ้าไม่มี ค่าส่วนใหญ่คือตั้งรถตรง ที่โซ่ด้านล่างตรงจุดกึ่งกลางสเตอร์หน้ากับหลัง จะมีระยะไกวตัวประมาณ 1 นิ้ว แต่ถ้าโซ่มันยืดเกินไปตั้งไม่ไหวแล้วก็ต้องเปลี่ยน แล้วถ้าจะเปลี่ยนก็เช็คฟันสเตอร์ว่าไม่ล้มไม่เอียง ไม่งั้นก็ต้องเปลี่ยนทั้งชุด ทีนี้ก็ข้างหน้าล่ะ เช็คดูซีลกันฝุ่นและน้ำมันว่าไม่มีรั่วซึม ตรวจดูลูกปืนและเบรคแบบเดียวกับเมื่อกี้ ล้อไม่คลอน หมุนคล่อง เบรคไม่ติดก็ใช้ได้ล่ะ ต่อมาก็ลูกปืนคอ ถ้าหันเลี้ยวคล่องดีไม่มีเสียงแปลกๆก็พอจะวางใจได้ จะให้ชัวร์ถ้ามีประแจปอนด์ก็เช็คทอร์คตัวยึดซะด้วย ถ้าไม่มีหรือไม่รู้ว่าต้องไขกี่ปอนด์ก็ช่างมัน สุดท้าย เช็คยางว่าต้องยังอยู่ในสภาพพร้อมใช้ วัดลมยางให้ได้ระดับ จากนี้รถก็จะอยู่ในสภาพพร้อมที่จะปรับเซ็ทช่วงล่างแล้ว หรืออย่างน้อยก็สมบูรณ์พร้อมสำหรับการใช้งานล่ะน่า ไม่เหนื่อยเปล่าหรอก จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:06:27 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขั้นต่อมา จดบันทึกสิ่งที่ปรับได้เอาไว้ก่อนที่จะลงมือปรับอะไร อย่างน้อยก็ปรับแล้วไม่ถูกใจหรือแย่กว่าเดิมจะได้หมุนกลับที่เดิมได้ แล้วก็มาทำความรู้จักกับรถและสิ่งที่ปรับได้ทั้งหลาย ว่าปรับไปทำด๊อยอะไร และมีอะไรให้เล่นบ้าง ข้อสำคัญในการปรับตั้งคือปรับทีละอย่างและปรับทีละน้อยๆ เพื่อเราจะได้รู้ว่าที่ได้ผลอย่างนั้นมันมาจากการปรับอะไร และจดบันทึกตำแหน่งการปรับตั้งทุกอย่างและผลที่ได้เพื่อเปรียบเทียบ สิ่งแรกที่รถทุกคันปรับได้คือ มุม Rake และระยะ Trail อันนี้เราคงอ่านเจอจากสเปครถบ่อยๆ แล้วมันมีผลยังไงกับรถน่ะหรือ มุม Rake ก็คือองศาความเอียงของแกนหมุนที่คอรถ เทียบกับเส้นสมมติที่ลากตั้งฉากจากพื้นโลก จะเห็นได้ว่ามุม Rake คือมุม Caster นั่นเอง ผลของการมีมุม Rake จะทำให้เกิดมีระยะ Trail ขึ้นมา ระยะ Trail ก็คือมื่อดูจากด้านข้างรถ ระยะห่างระหว่างเส้นผ่านศูนย์กลางล้อที่ลากตั้งฉากกับพื้นโลกซึ่งจะผ่านจุดที่ล้อหน้าสัมผัสพื้น กับจุดที่เส้นสมมติที่เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางแกนคอซึ่งจะเป็นแกนหมุนเลี้ยวของรถ ลากให้ลงมาสัมผัสพื้น อธิบายเข้าใจยาก ดูรูปเอาดีกว่า จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:07:31 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทีนี้เราจะเห็นแล้วว่า Trail มากๆทำให้จุดหมุนกับจุดสัมผัสพื้นห่างกัน ทำให้ต้องออกแรงมากในการทำให้ล้อหันเลี้ยว ผลที่ได้คือเสถียรภาพในการวิ่งและความนิ่งของหน้ารถ ไม่สะบัดหรือออกอาการชกมวยง่ายๆ แต่ก็หนักแรงในการเลี้ยวซอกแซก แต่ถ้าระยะ Trail สั้น คือจุดหมุนกับจุดสัมผัสพื้นใกล้กัน รถจะหน้าไว ออกแรงนิดเดียวก็หันเลี้ยวได้ จะได้ความคล่องตัวแต่ต้องแลกกับความนิ่งในการวิ่ง การจะออกแบบให้มี Rake และ Trail เท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของรถ ตัวอย่างที่เห็นชัดๆก็คือ CBR150 มีมุม Rake 25 องศา ระยะ Trail 88 มม. แต่แฟนทอมมีมุม Rake 31 องศา ระยะ Trail 117 มม. และรถทุกคันสามารถปรับระยะ Trail นี้ได้ ง่ายๆเลยคือการโหลดรถ พอหน้ารถเตี้ยลงหรือยกท้ายรถให้โด่งขึ้น ระยะ Trail จะลดลง หน้าจะไวขึ้น แต่ไม่ใช่เท่านั้น บางครั้งที่เรารู้สึกว่าโหลดเตี้ยแล้วรถทรงตัวดีขึ้น มันเกิดจากการถ่ายน้ำหนักด้วย เพราะเมื่อลดระยะ Trail ระยะฐานล้อก็จะหดสั้นเข้ามา นั่นคือล้อหน้าจะร่นเข้าใกล้ CG มากกว่าเดิม ผลคือน้ำหนักรถจะไปตกข้างหน้ามากกว่า ทำให้รู้สึกว่ารถนิ่งทรงตัวดี แต่อย่าลืมผลอันเนื่องมาจากระยะ Trail สั้นที่จะทำให้หน้าสะบัดง่าย แม้จะมีน้ำหนักกดมากขึ้นแต่ถ้าเกิดการสะบัดมันจะเหวี่ยงแรงขึ้นกว่าเดิม การโหลดนี่คงไม่ต้องบอกนะว่าทำยังไง จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:08:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ต่อมาก็จะเป็นตัวปรับที่มีให้ในรถส่วนใหญ่ แม้แต่รถครอบครัวก็ยังมีมาให้ นั่นคือความแข็งของสปริงหรือ Spring Preload รถบ้านเราจะมีให้ปรับเฉพาะข้างหลัง ความจริงแล้วการปรับตัวนี้ไม่ใช่การปรับความแข็งของสปริงจริงๆ แต่เพราะว่าสปริงที่ใช้ในระบบช่วงล่างจะเป็นแบบที่มีค่า K แปรผัน หรือมีค่าความแข็งไม่เท่ากันในแต่ละช่วงการยุบ สังเกตุได้จากขดสปริงจะมีความถี่ห่างของเส้นสปริงไม่เท่ากันตลอดทั้งเส้น ช่วงที่ขดถี่ๆจะยุบง่ายกว่า เมื่อเราปรับตัว Preload ให้แข็งขึ้น มันจะไปกดสปริงให้ยุบตัวซึ่งจะทำให้สปริงส่วนที่นิ่มกว่าถูกกดไว้ ทำให้มีแต่ส่วนที่แข็งกว่าไว้ใช้งาน ระยะยุบของช่วงล่างจะลดลงโดยที่ความสูงไม่เปลี่ยนเพราะช่วงของสปริงที่ยุบถูกแทนที่ด้วยตัวปรับ และแรงที่ใช้ในการกดสปริงให้ยุบจนสุดก็ยังเท่าเดิม นั่นคือการปรับ Preload เป็นการปรับเพื่อเลือกเอาค่าเริ่มต้นความแข็งของสปริงในการใช้งานนั่นเอง แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาน่ะรึ มาดูกัน ถ้าหากว่าเราเริ่มใช้สปริงตั้งแต่ส่วนที่นิ่มที่สุด มันจะนิ่มนวลสะดวกสบายในการวิ่งทางตรงราบเรียบ แต่อาจออกอาการย้วยได้ถ้าเจอทางขรุขระ และที่อันตรายก็คือเมื่อเจอคอสะพาน หลุมลึก หรือการออกจากโค้งแรงๆ สปริงที่นิ่มเกินไปจะมีแรงดีดตัวกดล้อให้ติดพื้นไม่พอ ทำให้การยึดเกาะลดลง และเมื่อเบรคแรงๆ หน้ารถจะยุบมาก ซึ่งจะทำให้เราลังกาล้อเกวียนเป็นที่ขายขี้หน้า ไปจนถึงรถหลังตามมาช่วยเหยียบซ้ำเอาได้ แต่ถ้ากดซะแข็งโป๊กเราจะไม่เหลือความสะดวกสบาย แถมยังเด้งจนเข้าโค้งไม่ได้อีกตะหาก ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยการขับแล้วว่าเราเน้นความสบายหรือเอาแบบเกาะแต่เด้งในทางตรงหน่อย ปรับเอาตามใจชอบ สำหรับชอคอับหลัง ถ้าปรับแบบเป็นขั้น หมุนไปทางขั้นล็อคที่อยู่ต่ำจะเริ่มใช้สปริงจากนิ่มสุด ขั้นล็อคสูงๆขึ้นจะกดสปริงให้แข็งขึ้นเรื่อยๆ สำหรับรถที่ใช้ช็อคหลังคู่ อย่าลืมตั้งสองข้างให้เท่ากัน จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:10:17 ]

ความคิดเห็นที่ 5 และควรหาประแจสำหรับปรับช็อคมาใช้ ถ้าใช้ไขควงตอกเอาเดี๋ยวพลาดไปจะบรรลัยกันหมด โดยเฉพาะพวกมีถังแก๊ส จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:11:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าเป็นแบบปรับเกลียว หมุนแหวนล็อคตัวบนให้คลายออกแล้วปรับแหวนตัวล่าง หมุนลงจะแข็งขึ้น หมุนขึ้นจะนิ่มลง จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:12:00 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ช็อคอับบางตัวมีตัวหมุนปรับ Preload ผ่านสายสลิง เพื่อจะได้เอาไปแปะไว้ในที่ที่เอื้อมมือไปหมุนได้สะดวก สำหรับการใช้งานหลากหลายพื้นที่และสภาพถนน จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สำหรับตัวปรับ Preload ช็อคหน้า มีให้เห็นในรถใหญ่หลายรุ่น จะเป็นหัวหกเหลี่ยมอันย่อมหน่อย หรือบางแบบก็เป็นวงกลมปาดขอบสำหรับจับด้วยประแจปากตาย หมุนขึ้นมาจะเห็นขีดวงรอบๆเป็นตัวกะระยะ สกรูปรับอันเล็กข้างในสุดสำหรับปรับ Rebound อันนี้ไว้ว่ากันทีหลัง และระวังหัวหกเหลี่ยมอันใหญ่สุด นั่นมันฝาปิดกระบอกช็อค อย่าไปเปิดมันล่ะ จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:13:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ทีนี้ก็ยังมีวิธีปรับแบบกลางๆอยู่อย่างหนึ่ง โดยวัดการยุบตัวของช็อคอับขณะรถเปล่าเทียบกับขณะมีคนนั่ง แต่วิธีนี้เน้นว่าเอาไว้ใช้กับขาซิ่งเป็นหลัก อุปกรณ์ที่ต้องใช้ : ผู้ช่วย 2 คน + ตลับเมตร เริ่มจากข้างหลังก่อน จับรถตั้งตรง วัดระยะจากจุดศูนย์กลางล้อตั้งตรงขึ้นมาถึงส่วนไหนของตัวรถก็ได้ที่อาศัยเป็นจุดสังเกตุได้ เป็นขอบแฟริ่งท้ายก็ได้ จดค่าที่วัดได้ไว้เป็น L1 ต่อมา คนขี่ขึ้นไปนั่งบนรถ วางเท้าจัดท่านั่งให้เหมือนกับท่าขับรถจริง จะหมอบจะนอนก็ตามสะดวก ผู้ช่วยคนหนึ่งจับท้ายรถประคองไว้แล้วกดให้ช็อคหลังยุบตัวแล้วค่อยๆปล่อยให้เด้งกลับช้าๆ วัดระยะเหมือนที่วัดครั้งแรก จดไว้เป็นค่า L2 ครั้งที่สาม จากท่าเดิมให้คนที่จับท้ายยกท้ายรถขึ้นแล้วปล่อยลงช้าๆ วัดระยะเหมือนเดิม จดไว้เป็นค่า L3 (ที่ต้องวัดสองครั้งเพราะค่า L2 กับ L3 ที่ต่างกันเพราะความฝืดของระบบเป็นตัวต้านแรงสปริงไว้) เอาค่าได้มาคำนวน ระยะยุบ = L1 - (L2+L3)/2 ค่าระยะยุบจากน้ำหนักคนขี่จะอยู่ระหว่าง 25 - 35 มม. ขึ้นอยู่กับว่าถนนที่นิยมไปขี่รถมันเรียบแค่ไหน เรียบมากก็ให้ยุบน้อย ขรุขระหน่อยก็ให้ยุบมาก ถ้ารถใครปรับ Preload ข้างหน้าได้ก็ใช้วิธีเดียวกันทั้งสามขั้นตอน แต่การวัดระยะให้วัดจากซีลกันฝุ่นถึงขอบแผงคอล่าง หรือถ้าเป็น USD ก็วัดจากซีลกันฝุ่นจนถึงขอบล่างของกระบอกช็อค จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:14:47 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แล้วก็มาปรับความหนืด โดยเริ่มจาก Compress ก็คือความหนืดในจังหวะยุบตัวของช็อคอับ การเพิ่ม Compress จะเป็นการต้านการยุบตัว ในเวลาเบรคช็อคหน้าจะยุบน้อยลง เวลาเร่งท้ายรถก็จะไม่ยุบมาก น้อยเกินไปจะมีอาการหกหน้าหกหลังจนถึงลังกาหน้าและหงายเงิบได้ แต่ถ้าปรับมากเกินไปช็อคอับจะแทบไม่ยุบตัวเลย ซึ่งจะทำให้เกิดอาการอุจจาระหักในได้ ตัวปรับ Compress ที่ช็อคอับหลังจะอยู่ด้านข้างของกระบอกช็อคหรืออยู่ติดกับซับแท็งค์ เป็นสกรูหมุนปรับด้วยไขควงหรือเป็นลูกบิดแบบหันข้าง บางแบบที่แยกซับแท็งค์ออกมาตัวปรับ Compress ก็มักจะทำเป็นลูกบิดอยู่กับซับแท็งค์ด้วย จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:15:26 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตัวปรับ Compress ที่ช็อคอับหน้าจะอยู่ด้านล่างของกระบอกช็อค เป็นสกรูที่หมุนปรับด้วยไขควง ระวัง บางรุ่นไม่มีตัวปรับ compress แต่มีน็อตหัวหกเหลี่ยมตัวเล็กอยู่ข้างล่าง นั่นเป็นน็อตถ่ายน้ำมันช็อค ไขมันออกแล้วจะเสียตังค์เติมน้ำมันใหม่และต้องเปลี่ยนทั้งสองข้าง จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:16:12 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขั้นแรก ทดลองหมุนตามเข็มหรือทวนเข็มจนสุด บันทึกไว้ด้วยว่าจากจุดเดิมนั้นหมุนไปทางไหนและกี่รอบหรือกี่คลิก เผื่อไม่เข้าท่าจะได้หมุนกลับที่เดิมได้ เวลาหมุนสุดแล้วก็อย่าออกแรงฝืนมันมากเดี๋ยวจะพัง การวัด Compress จะดูจากการเร่งและเบรคเป็นหลัก ต้องเอาไปทดลองวิ่งถึงจะรู้ เพราะฉะนั้นเราเริ่มด้วยการตั้งไว้ตรงกลางก่อน จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:16:46 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ต่อมาคือการปรับ Rebound หรือความหนืดในจังหวะยืดตัวของช็อคอับ รถเล็กไม่มี แต่รถใหญ่มีเกือบทุกคันตัวปรับจะเห็นเป็นสกรูที่ปรับด้วยไขควงหรือประแจปากตายบนหัวช็อคอับหน้า จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:17:22 ]

ความคิดเห็นที่ 14 หรือเป็นวงแหวนหมุนที่ด้านล่างของช็อคอับหลัง จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:17:55 ]

ความคิดเห็นที่ 15 การปรับ Rebound มีทั้งแบบหมุนต่อเนื่องและหมุนแบบคลิกเป็นจังหวะ หมุนตามเข็มเป็นการเพิ่มความหนืด หมุนทวนเข็มจะลดความหนืดเหมือนกันทั้งหน้า-หลัง ตัวนี้เป็นตัวสำคัญในการหยุดการเต้นของล้อ และทำให้ล้ออยู่แนบสนิทกับพื้นตลอดเวลา ถ้า Rebound น้อยเกินไป ในจังหวะสปริงยืดออกแรงดีดของสปริงจะทำให้รถเด้งอยู่หลายครั้งกว่าจะหยุด แต่ถ้ามากไปเวลาวื่งบนทางไม่เรียบในจังหวะยุบตัวสปริงยังดีดตัวไม่ทันสุดก็จะไปเจอการกระแทกครั้งต่อไป อาการเหมือนรถที่ไม่มีสปริงรองรับ วิธีง่ายๆคือลองกดรถดู กดลงไปให้สุดแรงแล้วปล่อยให้เด้งขึ้นอย่างอิสระโดยแรงสปริง มันจะต้องค่อยๆยืดขึ้นโดยใช้เวลาประมาณ 1 วินาทีจึงจะยืดสุด ถ้ามากหรือน้อยกว่า 1 วินาทีก้ให้ปรับโดยหมุนทีละคลิกหรือทีละครึ่งรอบจนกว่าจะได้ แต่ถ้าบ้านใครกันดารจนถึงทุรกันดารก็อาจปรับ Rebound ให้น้อยหน่อยคือลองขย่มแล้วรถยืดตัวขึ้นร็วกว่า 1 วินาที และอย่าลืมว่าเวลากดรถควรหาคนตัวใหญ่แรงเยอะมาช่วย วิธีนี้ใช้ได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:18:26 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เป็นอันว่าเราได้รู้ผลของการปรับความสูง Preload Compress และ Rebound ไปแล้ว และได้ทำการปรับขั้นพื้นฐานไปแล้ว ต่อจากนี้เราจะมาดูความสัมพันธ์ของการปรับค่าแต่ละอย่างและการปรับส่วนหนึ่งเพื่อชดเชยอีกส่วนหนึ่งกันบ้าง อย่างแรกที่เห็นได้ชัดคือการปรับความสูงหรือการโหลดรถกับการปรับ Preload จากที่เล่ามาในตอนต้นแล้วว่า Preload ทำให้ระยะยุบเปลี่ยนไป ถ้าเราตั้ง Preload ข้างหน้าแล้วเหลือระยะยุบช็อคอับน้อยเกินไป นั่นอาจจะแปลว่าน้ำหนักตกหน้ารถมาก ทำให้ต้องใช้ Preload แข็งๆมาชดเชย ก็สามารถแก้ได้ด้วยการปรับความสูงคือยกหน้าสูงหรือกดหลังให้ต่ำถ้ายังมีระยะเหลือพอจะทำได้ ถ้าปรับไม่ได้แล้วก็แสดงว่าสปริงทรุด หรือนิ่มเกินไป หรืออีกอย่างคือตัวคุณหนักเกินไปแล้ว จะเปลี่ยนสปริงหรือรีดน้ำหนักตัวก็ตามแต่ปัญหาที่พบ และการปรับ Preload ข้างหลังก็เหมือนกัน ตั้งไว้แข็งที่จนระยะยุบแทบไม่เหลือแล้ว ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการโหลดหน้าลงหรือยกท้ายขึ้นด้วยแกนต่อ แหวนรองหรืออะไรก็แล้วแต่รูปแบบของช็อคอับ แล้วก็ต้องทำให้หน้าหลังสมดุลย์กันโดยยังคงยึดหลักการวัดระยะยุบจากน้ำหนักคนขี่ที่บอกไว้ข้างต้นมาประกอบ ถ้าปรับยังไงก็ไม่พอดี หน้าได้หลังไม่ได้-หลังได้หน้าไม่ได้ ก็ให้ใช้ค่ากลางๆเข้าไว้ ให้หน้าเคลื่อนนิดหลังเคลื่อนหน่อยรวมแล้วมันก็ใกล้เคียงความพอดีที่สุดที่จะทำได้แล้วล่ะ ตอนนี้เราพูดถึงการปรับตั้งของติดรถที่ยังอยู่ในสภาพดี เพราะฉะนั้นการปรับค่า Compress และ Rebound ซึ่งจะสัมพันธ์กับความแข็งของสปริง ดังนั้นค่าที่มีให้ปรับได้จึงเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักบรรทุก ถ้าหากน้ำหนักตัวคุณมากจนทำให้การปรับ Preload มีปัญหา มันก็จะมีปัญหากับการปรับค่าความหนืดตามมาอีก ถ้าจะให้เห็นชัด เอาไปลองขี่เลยดีกว่า จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แต่ก่อนที่จะปรับค่าอะไรอย่างอื่น เมื่อกี้เราปรับ Compress ไว้ที่ค่ากลาง เอามาลองขี่แล้วเซ็ทค่าตัวนี้ก่อน จากที่บอกไว้แล้วว่า Compress จะเกี่ยวเนื่องกับการยุบตัวอย่างเร็วจากการเบรคและการเร่ง งานนี้อาศัยความรู้สึกเป็นหลัก ทดลองออกตัวแรงๆและเร่งเครื่องแบบรุนแรง ดูว่ามีอาการหน้าเชิดมากไปหรือเปล่า ถ้ามีก็ปรับ Compess ข้างหลังให้หนืดขึ้น แล้วก็ลองวิ่งแบบการใช้งานธรรมดาดุว่าความนุ่มนวลมีพอมั้ย ปรับให้พอใจระหว่างความนุ่มกับการลดอาการหน้าเชิด เท่านี้ข้างหลังก็เสร็จ คราวนี้มาข้างหน้า เหมือนเดิมล่ะ วิ่งมาเร็วๆ เบรคแรงๆ ดูอาการหน้าทิ่ม ปรับ Compress ให้พอดีกับความนุ่มนวลและลดอาการหน้าทิ่ม จากทั้งหมดนั้นเป็นการปรับตั้งในเบื้องต้น แล้วก็มาถึงความสัมพันธ์ของทุกค่าที่บอกมาซึ่งจะรับรู้ได้ด้วยการวิ่งจริงๆ และข้อสำคัญก็คือท่านั่ง นั่งให้ถูก ถ่ายน้ำหนักไปข้างหน้าเวลาเร่งและยกตัวขึ้นให้น้ำหนักเทไปข้างหลังเวลาเบรค จะช่วยให้การขับขี่ดีขึ้นและเซ็ทค่าให้เหมาะสมได้ง่ายขึ้น เอาเฉพาะแค่ที่เราสามารถจะปรับได้คือ อาการหน้าทิ่มเวลาเบรคเกิดมาจาก - ระยะ Trail สั้นน้ำหนักตกหน้ามาก - Spring Preload ข้างหน้านิ่มเกินไป - Compress หน้าน้อยเกินไป ถ้าจะแก้อาการเบรคแล้วหน้าทิ่มก็จะต้องปรับค่าทั้งสามให้สัมพันธ์กันก็คืออยู่ในเรนจ์ที่เหมาะสม มีทั้งการเกาะถนน เสถียรภาพการควบคุม ระยะยุบตัวเมื่อมีคนขี่ ความนุ่มนวล(แล้วความนุ่มนวลนี่มันก็จะต้องไปเกี่ยวเนื่องกับ Rebound) อันนี้ก็ต้องลองขี่แล้วค่อยๆปรับไปทีละตัวหาจุดเหมาะสมของแต่ละตัวเอาเอง อาการหน้าเชิดเวลาเร่ง ก็จะมาจาก - ระยะ Trail ยาวน้ำหนักตกหลังมาก - Spring Preload ข้างหลังนิ่มเกินไป - Compress หลังน้อยเกินไป ก็เหมือนเดิมคือปรับไปทีละตัวให้อยู่ในเรนจ์ที่เหมาะสมและเหมาะกับการใช้งาน ส่วนค่า Rebound นั้นก็ดูจากเวลาวิ่งบนทางปกติก็ปรับให้ได้ความนุ่มนวลพอดี การขึ้นสะพานหักชัน วิ่งบนทางขรุขระตามแต่สภาพการใช้งาน และการเข้า-ออกโค้ง ซึ่งก็ยังต้องคำนึงถึงภาวะอื่นๆข้างบนนั้นอีก ก็แล้วแต่นิสัยการขับขี่และตัวคุณให้ความสำคัญกับความนุ่มนวลหรือควมหนึบเพื่อแก้อาการเนื่องจากการขับแบบโหดๆ อย่าลืมข้อสำคัญ ทดลองปรับครั้งละอย่างเดียว ปรับทีละคลิกหรือครึ่งรอบ ถ้ามีสองข้างต้องปรับให้เท่ากัน จดบันทึกค่าที่ปรับไว้ วิ่งดูอาการ บันทึกความเปลี่ยนแปลงที่รู้สึกได้ ไม่พอใจปรับอีกแล้วเอาไปลองวิ่งใหม่ ถ้าแย่ลงก็ย้อนกลับทางเดิมโดยดูจากบันทึกที่จดไว้ หาจุดลงตัวที่ถูกใจที่สุดโดยให้ทุกค่าอยู่ในย่านการใช้งาน การเซ็ทค่าเบื้องต้นอาจจะเสร็จในไม่กี่ชั่วโมง แต่การทำให้ทุกอย่างลงตัวและสอดคล้องกันทั้งหมดอาจจะต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายอาทิตย์ แต่เราจะสามารถใช้สิ่งที่มีอยู่ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าเห้นว่ากระทู้นี้พอมีประโยชน์บ้างก็ขอแรงเพื่อนๆพี่น้องช่วยกันกดเอาเข้าคลังกระทู้เก่าด้วยค่ะ เอาไว้ใช้อ้างอิงในอนาคตและเอาไว้ป้องกันตัวไม่ให้ข้าเจ้าถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหน้าด้านลอกผลงานตัวเอง T.T ท่านใดมีเรื่องจะแก้ไขเพิ่มเติมเชิญได้เลยค่ะ ปล. นึกว่าจะปล่อยของรวดเดียวหมด แต่ม่ายหวาย เด็กชายนินนินดิ้นแรงแถมยังตัวโตกว่าเมื่อตอนเจ้านินจาตั้งเยอะ จากคุณ : หกขาสองหางสี่ปีก - [ 16 พ.ย. 49 07:25:25 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณครับ จากคุณ : สอระ - [ 16 พ.ย. 49 07:33:38 ]

ความคิดเห็นที่ 20 กดเข้าคลังกระทู้ให้แล้วครับ ต้องขอขอบคุณสำหรับความรู้ที่คุณหกขาฯ ค้นคว้าหามาให้อ่านกัน..วันนี้บางคนอาจยังไม่ใช้..แต่วันข้างหน้าเขาอาจต้องใช้ จากคุณ : tanapol1962 - [ 16 พ.ย. 49 07:40:24 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แหม  ถ้าแฟนท่อมผมปรับได้ละเอียดยังงี้ก็ดีอะจิ  เห่อๆ  แต่มันปรับได้แต่ข้างหลังแถมพ่วงคนอีกเกือบ 60 โล เลยล่อซะแข๊งโป๊ก จากคุณ : foduck - [ 16 พ.ย. 49 08:08:03 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณครับ คุณหกขาฯ :D จากคุณ : ถัง - [ 16 พ.ย. 49 08:15:58 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Mr.Submarine - [ 16 พ.ย. 49 08:19:42 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เยี่ยมจริงๆ ครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูล ดี ๆแบบนี้ จากคุณ : RabbitBegin - [ 16 พ.ย. 49 08:50:59 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ได้ความรู้เพียบเลยครับ ขอบคุณนะครับ จากคุณ : Mark Anthony - [ 16 พ.ย. 49 08:57:10 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ใน Blog ของเจ๊หกขา มีอีกเยอะครับ มีเรื่องของ NSR250 ตัวจี๊ดด้วยครับ ลองไปอ่านกันได้ครับ สุดยอด จากคุณ : องครักษ์พิทักษ์สาวๆ - [ 16 พ.ย. 49 09:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 27 สุดยอดครับ  ไม่ได้ขี่มอไซ มานานแล้ว  อ่านแล้วอยากขี่ขึ้นมาทันทีเลย จากคุณ : Cyber - [ 16 พ.ย. 49 09:38:45 ]

ความคิดเห็นที่ 28 จากคุณ : *380 Z - [ 16 พ.ย. 49 10:13:21 ]

ความคิดเห็นที่ 29 โหวตๆ เก็บเอาไว้เป็นความรู้ จากคุณ : neophyte - [ 16 พ.ย. 49 12:14:20 ]

ความคิดเห็นที่ 30 บทความเยี่ยมครับ เลิกงานก่อนค่อยมาอ่านละเอียด จากคุณ : cbrzoom - [ 16 พ.ย. 49 12:43:30 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ง่า.... ขอบคุณคร๊าบบบบบบ ปล. คนที่สองนี่ปิดอู่เลยป่าวครับ อิอิ จากคุณ : Nemomancear - [ 16 พ.ย. 49 13:38:23 ]

ความคิดเห็นที่ 32 กระทู้ยอดเยี่ยม อัดแน่นด้วยสาระ และรูปภาพ ขอยกนิ้วให้ จขกท. ครับ จากคุณ : malldeff - [ 16 พ.ย. 49 15:20:35 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณครับ  ถึงผมไม่ได้ขับมอเตอร์ไซค์ใหญ่ (ขับแต่ MIO ไปซื้อกับข้าว) แต่ก็ได้สาระความรู้ครับ ชอบตรงที่ให้ข้อคิดว่า การปรับแต่งอะไรควรจดบันทึกค่าที่เราปรับแต่งเอาไว้ เพราะบางที ปรับไปปรับมา ของเดิมดีที่สุด  แต่ก็หาค่าเดิมไม่ได้แล้ว จากคุณ : ปากหวาน - [ 16 พ.ย. 49 20:53:34 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณมากครับเจ๊ ได้ฟื้นความรู้เก่าๆดีจังเลย ขอเอาลิ้งค์ไปแปะไว้ให้เพื่อนๆเข้ามากันนะครับ จากคุณ : RH_MayBee - [ 17 พ.ย. 49 01:11:14 ]