ความคิดเห็นที่ 1 ผมเชื่อว่ารถซับคอมเพ็คคาร์ มีกำไรเข้ามือหลังจาก ขาย ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาทครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ วันเถลิงศก (15) 21:41:41 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเชื่อว่าครึ่งๆ จากผู้ผลิตครับ จากคุณ : PickBoy - [ 16 เม.ย. 50 00:46:39 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ยกตัวอย่าง วีออส คันละ 6 แสนบาทครับ ต้นทุน ก่อนเสียภาษีหน้าโรงงาน ต้นทุน ไม่เกิน 1.5-2 แสนครับ ภาษา ก็อีก 1 เท่า ก็ ประมาณ 4 แสน  ที่เหลือ ก็ค่าการตลาด และกำไรครับ จากคุณ : BIZZARE - [ 16 เม.ย. 50 01:30:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 teana ได้กำไรประมาณ 3 แสนต่อคันครับ จากคุณ : es 2.0 (ES_BK) - [ 16 เม.ย. 50 12:06:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 โห ... มิน่าละ พวกรถยนต์ นี่กิจกรรมการตลาด อลังการกันจัง ... .... แสดงว่าทุกวันนี้ เราเสีย ค่าการตลาดกันไปเยอะนะเนี่ย ... อิอิ... จากคุณ : ลองตอบ (ชายไท ไม่ทราบชื่อ) - [ 16 เม.ย. 50 15:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าน่าจะเข้าใจกันผิดนะครับ ไม่มากอย่างที่คิดกันละครับ เท่าที่รู้จาก คนในวงการจริงๆ อยู่ที่ 10% +/-  ครับ แล้วแต่รุ่น (รถตลาด กำไรยิ่งน้อย บางทีลดให้เพิ่มพิเศษเองอีก เหลือ กำไรคันละ 30,000 ก็มี) บางคนสงสัย ทำไม เขาลดกันที่เป็นแสนได้  ที่ได้ก็เพราะโรงงานลดมาน่ะครับ ทั้งปท. สุดท้ายก็จะได้กำไรนิดหน่อยอยู่ดี ดูเหมือนกำไรน้อยไปหรือเปล่า แต่ผมว่าไม่น้อยครับ เพราะมันอยู่ที่ จำนวนครับ เขาไม่ได้ขายกันเดือนละ2-3 คันนะครับ ถ้า 100 คัน x 50,000 (ลดแล้ว) = 5 ล้านนะครับ พอทำกิจกรรม และค่าใช้จ่ายต่อเดือนแน่ครับ จากคุณ : supercar - [ 16 เม.ย. 50 17:44:10 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่าเป็นไปไม่ได้ที่รถคันนึงจะกำไรแค่ 30000 ไม่มีทางอยู่ได้แน่ๆ ขายได้เยอะก็จริงแต่อย่าลืมค่าลงทุนโชวรูม โบนัสพนักงาน สำรองอะไหล่เอย โรงงานเอย สรุปแล้วผมว่า minimum ที่แสนขึ้นไปครับ ส่วนบางคนที่ทำอยู่ในบริษทรถที่เป้นคนใหญ๋คนโตก็มักจะพูดกันเป็น % แบบนี้ละครับ แต่ % นี้มัน % ของอะไรเค้าไม่บอกหรอกครับ คนของบริษัทรถยิ่งโดยเฉพาะพวกผู้บริหารด้วยเนี่ย ยิ่งพยายามให้พวกเรารับรู้ว่าเค้าได้ margin น้อย แต่ลองคิดดูนะครับเครื่องใช้ไฟฟ้าเอย อะไรเอยยิ่งนานก็ยิ่งราคาถูก ยิ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆมา แต่นี้รถมีแต่เพิ่ม option นิดๆหน่อยแต่ราคาไม่เคยตก แถมอัพราคาขึ้ยไปเดี๋ยวนี้รถ subcompact ราคาจะ 700000 -800000 แล้ว   คิดดูเอาว่าบริษัทรถบ้านเราจนแค่ไหน จากคุณ : NAN_KUNG - [ 16 เม.ย. 50 18:14:31 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เอาอย่างนี้แล้วกันนะครับ รถ 600,000 ราคาทุน ยังไม่รวมค่า marketing ประมาณไม่ถึง 300,000 ใน invoice เรียกเก็บจาก Dealer จะประมาณ 450,000 คือแบ่งกันครึ่งๆ แต่ใน 300,000 นั้นยังมีกำไรแฝงพวกชิ้นส่วนสั่งประกอบ จากบริษัทลูกอยู่อีกก็หลายบาทอยู่ กำไรรถไม่ใช่น้อยๆครับ ไม่งั้นจ่ายโบนัส 6-9 เดือนไม่ได้หรอก จากคุณ : Dark Archon - [ 16 เม.ย. 50 18:33:26 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่เชื่อ ไม่เป็นไรครับ ที่ผมให้ความเห็น ก็เพราะคิดว่าพอรู้อยู่บ้าง และก็เคยเข้าใจแบบหลายท่านมาก่อนแล้วครับ ตอนแรกก็ตกใจเหมือนกันที่ ทำไมถึงเหมือนได้กำไรต่อคันน้อย มาเข้าใจก็ตอนที่ทำธุรกิจเองนี่แหละ ถึงได้ อ้ออ มันเป็นอย่างนี้เอง ผมหมายถึงกำไรในมือ Dealer นะครับ เครดิตที่ผมพอจะมี 1. ผมทำธุรกิจที่ Margin  น้อยกว่า 10 % ครับ และก็เป็นสินค้าที่คนไม่ได้ซื้อบ่อยด้วย ชีวิตหนึ่งได้ซื้อไม่กี่ครั้ง ลงทุนก็สูง ตอนแรกก็นึกว่าจะรอดได้อย่างไร กำไรแค่นี้ แต่ก็รอดได้ครับ บอกเพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อกันครับ ต้องลองสัมผัสเอง (ในวงการธุรกิจผม บางราย มาร์จิ้น 2-3 % ก็เห็นรวยๆกันก็มีเยอะ) 2. พี่สาวผม เป็นผู้จัดการบริษัทขายรถยนต์ยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง ทำหน้าที่จัดสรรรถให้ ดีลเลอร์ ต้นทุนอยู่ในมือทุกวัน เคยขอให้ช่วยติดต่อซื้อรถในราคาพิเศษ ก็ลดได้ไม่เยอะ (ต้นทุนก็รู้อยู่ ไม่ใช่ไม่รู้) ของพ่อผมเอง ก็ได้ไม่เยอะอย่างที่เข้าใจกันละครับ 3. แฟนผมทำงานบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ (ดูแลเรื่องต้นทุนรถด้วย) แน่นอนครับ โบนัสเยอะ บริษัทกำไรเยอะมาก (แต่เพราะจำนวนที่ผลิต ไม่ใช่เพราะต่อคัน และกำไรส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ไม่ใช่ในปท) แต่เรื่องกำไรของดีลเลอร์ก็รู้อยู่บ้างนะครับ แก้ไขเพิ่มอีกนิดหนึ่ง มีเพื่อนผมอีกคนครับ เป็น Dealer รถยี่ห้อดัง ใกล้กรุงเทพ บอกว่า ขายธรรมดาๆก็ราว 100 คัน/เดือน น่ะครับ มีรถหลายระดับราคา ผมดูโชว์รูมแล้ว ลองประเมินค่าใช้จ่าย ค่าเสื่อม กำไรต่อคันไม่เกิน 10% ก็อยู่ได้สบาย ที่เหลือกำไรสุทธิ ถูกผิด ก็ไม่ว่ากันนะครับ ผมเชื่อก็เพราะทำธุรกิจเองก็เลยรู้ว่าเป็นไปได้ แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 50 19:25:32 จากคุณ : supercar - [ 16 เม.ย. 50 19:13:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แต่ละบริษัทอาจจะได้ไม่เท่ากันมั้งครับคุณ SuperCar เพราะที่ผมเห็น ผมเห็นมาจาก JE และ Invoice ครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 16 เม.ย. 50 19:58:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 พี่  supercar   เป็นแบบที่ผมบอกไปแล้วจริงๆครับ ไม่เชื่อไปถามคนในได้เลยครับ ขอเพิ่มเติมนิดหนึ่งครับ ที่ผมบอก หมายความว่า บริษัทิแม่ได้นะครับ  ไม่ได้บอกว่า dealer ได้นะครับ แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 50 21:17:18 จากคุณ : BIZZARE - [ 16 เม.ย. 50 21:15:51 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ supercar เชื่อเถอะครับ รถคันนึงกำไรขนาดนั้นจริงๆ  ต้นทุนชิ้นส่วนแต่ละชิ้นน่ะถูกโค่ดๆครับ ถ้าเอาเฉพาะตัวรถประกอบเสร็จหน้าโรงงานนะครับ คิดว่าใกล้เคียงกับที่คุณBIZZAREบอกมาแหละครับ อยู่ที่บริษัทแต่จะบริษัทจะจัดการบริหาร แบ่งสรรปันส่วนกำไรและแชร์ค่าใช้จ่ายกับdealerกันอย่างไร อ้อ อันนี้ไม่ได้นับต้นทุนแฝงทั้งหลายนะครับ คิดแค่ว่าจากราคาที่เหล่าชิ้นส่วนทั้งหลายมาประกอบๆกันมาเป็นตัวรถน่ะ เป็นเงินประมาณกี่บาทแค่นั้นเอง ยิ่งพวกspare partนะครับ ราคาขายให้ลูกค้าในศูนย์นี่ถ้าคุณรู้ต้นทุนเมื่อเทียบกับราคาขายแล้วจะหนาวว่ากำไรมันกี่ร้อย% ผมเองยังไม่ค่อยอยากเปลี่ยนอะไหล่แท้เลยถ้ารถเสีย ทำใจลำบาก 5 5 จากคุณ : อุ๊บอิ๊บ อุ๊บอิ๊บ - [ 16 เม.ย. 50 22:41:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ต้นทุนพวก วีออส  ซิตี้ ต้นทุนไม่เกิน 200,000 ครับ เป็นราคาแจ้งจากโรงงานนะ  ไม่รู้ราคาจริงๆอาจจะน้อยกว่านั้นอีก บ. แม่ได้คันเท่าไหร่ ลองคำนวณดู ของคุณ supercar ก็คงไม่ผิดถ้า dealer จะได้กำไรประมาณนั้นครับ จากคุณ : อาชาสีหมอก_offer - [ 16 เม.ย. 50 23:45:32 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ญาติหรือไม่ก็ตาม บ.รถจะมีกฏครับว่าห้ามทำราคาต่ำกว่าเท่าไหร่ เพราะจะทำให้คนอื่นรู้ว่ารถเขาคิดแพงและเสียความเชื่อมั่นครับ คุณลองเปิดศูนย์ทำเองซิ แล้วคุณก็จะรู้ว่าก่อนทำนะเขามีสัญญาอะไรในนั้นบ้าง คุณความเห็นที่ 10 11 ใกล้เคียงครับ จากคุณ : ลองดู - [ 17 เม.ย. 50 03:13:23 A:125.25.206.122 X: TicketID:131513 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมขอออกความเห็นอีกทีเพราะบางท่านอาจเข้าใจผิดผมหมายถึงอะไร ที่ผมกล่าวถึงหมายถึง (ขอย้ำครับ) คือ กำไรในมือดีลเลอร์ ที่ได้เขียนบอกไว้แล้วนะครับ ใน คห 10 มีหลายท่าน ดูจะเข้าใจผิดว่า ผมหมายถึง กำไร ทั้งโปรเซส ถ้าถามต้นทุนจากโรงงาน เป็นเรื่องที่ซับซ้อนครับ มีเรื่องภาษีหลายชนิด ค่าใช้จ่ายหลายรูปแบบ ต้องนำเข้ามาคิดให้หมดด้วย คงไม่เถียงครับ ถ้าบอกว่า ต้นทุนแค่สองแสนเฉพาะวัตถุดิบแต่การกล่าวแบบนี้ ก็จะเหมือนพูดไม่หมดครับ บางคนดูเผินๆ ไม่มีความรู้เรื่องนี้ เข้าใจว่า รถคันหนึ่งเจ็ดแสนลบทุนสองแสน เหลือกำไรห้าแสน ....... คห 14 ครับ คุณพูดถูกครับ แต่.....ความเป็นจริง คงไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมพูดอย่างนี้ เพราะธุรกิจของผมก็มีระเบียบแบบนี้ และธุรกิจอีกหลายอย่างเช่นกัน แต่เอาเข้าจริง ไม่ต้องญาติหรอกครับ แค่อยากขายขึ้นมา ก็ตัดราคากันแหลกแล้ว ขายต่ำกว่าทุนก็เอา ไว้ไปเอากำไรเล็กๆน้อยๆจากเป้าเดือนเป้าปีเอา ก็คงไม่เชื่อกันอีกนั่นแหละ ผมถึงไม่อยากจะขายสินค้าให้เพื่อนให้ญาติสักเท่าไหร่ เพราะลดได้น้อย เขาก็คิดว่าเราเอากำไรเยอะล่ะสิ พูดไปก็ไม่เชื่อ บางทีต้องเอา บิลมาเปิดให้ดูกัน ก็ยังบอกว่ามีเป้าขายอีก (มันจะสักท่าไหร่กัน 1-3% บางทีก็ไม่มี) ส่วนเทคนิคการขายราคาถูก ทำได้ครับ แต่อย่าทำหลักฐานสิครับ เปิดบิลราคาปกติ แต่รับเงินราคาลดสิครับ หรือถ้าจ่ายเช็ค ก็เขียนเต็ม เดี๋ยวควักเงินสดคืนให้ก็ได้ ทำกันออกบ่อยในวงการผม ไม่ให้มีหลักฐานไปฟ้องบริษัทแม่ได้ ผมอยากให้คิดดูง่ายๆ ถ้าคุณทำงานเป็นผู้จัดการส่งรถให้ดีเลอร์ ดีลเลอร์ต้องเกรงใจครับ เพราะโควต้าที่ได้ขึ้นอยู่กับคุณ แล้วคุณคิดว่าคุณจะยอมซื้อรถให้น้อง ให้พ่อ ในราคาที่ดีลเลอร์ยังมีกำไรอีกเป็นแสนๆเหรอ ทั้งที่รู้ว่าราคาส่งไปเท่าไหร่ ก็คงจะไม่เชื่อกันอีกแหละ ไม่เป็นไร ยกตัวอย่างให้ดูอีกแล้วกัน พอดีเมื่อวานเข้าไปดูเวป CRV มา ลองดูครับไม่เห็นมีใครได้ลดเกิน 30,000 เลย ส่วนใหญ่ 0-10000 บาทเท่านั้น ทำไมไม่มีใครหลุดออกมาสัก แสน สองแสนล่ะครับ ราคารถ ล้านห้า ถ้ากำไรเยอะสัก ยี่สิบเปอร์เซ็นก็สามแสน ลดกันแค่ สามหมื่น(ในนั้นเขาถือว่าเยอะแล้ว) คุณว่ามันไม่เคี่ยวกันไปหน่อยเหรอ ต้องมีหลุดมาบ้างซิ เวปไซด์ ใคุรจะโพสยังไงก็ได้ ไม่เห็นต้องกลัวเลย พูดไปก็ไม่เชื่ออีกนั่นแหละ ไม่เป็นไรครับ ผมก็หวังอยากให้เขากำไรกันเยอะๆเหมือนกัน เวลาซื้อรถ จะได้ลดให้ผมเยอะ แต่ไหงถามพี่สาวผมแล้ว ลดได้น้อยทุกที ผมไม่คิดว่าพี่สาวผมจะยอมให้น้องซื้อรถในราคาที่ดีลเลอร์มีกำไรกันทีแสนสองแสนหรอกนะ ทั้งที่ก็รู้ราคาส่งอยู่แม้แต่ตัวเขาเองเถอะซื้อใช้เอง ก็เห็นได้ลดไม่เยอะ ย้ำอีกที ผมพูดหมายถึงกำไรที่ดีลเลอร์นะ มันใกล้ตัวเรามากกว่า (ถ้าพูดถึงโรงงาน เข้าใจยากครับ ต้นทุนหลายด้าน กำไรแต่ละโรงงานแวรี่กันมาก ขึ้นกับการบริหาร ขาดทุนต้องปิดโรงงานก็มีเยอะแยะอย่ามองแต่โรงงานที่กำไรเยอะๆซิครับ) เวลาผมบอกเพื่อนเรื่องกำไรที่ผมได้ (ธุรกิจผม) ก็ไม่ค่อยเชื่อกันเหมือนกันเลย เป็นผมก็เชื่อยาก เพราะทำไมบอกกำไรน้อย แต่เห็นธุรกิจโตเอาโตเอา โกหกหรือเปล่า ไม่ลองไม่ร้ครับ จากคุณ : supercar - [ 17 เม.ย. 50 08:05:17 ]

ความคิดเห็นที่ 16 กำไร หลักหักค่าการตลาดไปแล้ว ควรได้ 30% เป็นอย่างน้อยครับ ไม่งั้นอย่ามาทำธุรกิจเลย ไม่ว่าธุรกิจประเภทไหนก็ตาม ใครว่ากำไร 10% บอกได้เลย ผมไม่เชื่อ จากคุณ : Mr.Submarine - [ 17 เม.ย. 50 10:01:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอแจมมั่ง ไม่รู้เรื่องรถหรอกครับแต่คลุกวงในพวกการตลาดเนื่องจากอยู่วงการโฆษณา ลักษณะบริหารงบด้วยเลยเอาประสบการณ์มาบอกว่า ถ้ามารจิ้นรวมแบบคิดเหมายอดทั้งหมดถ้าไม่เกิน 10% ล่ะก็ ไม่ต้องหวังโฆษณาครับ พวกรถยนต์แท้จริงไม่ทราบแต่จากงบการตลาดด้านโฆษณาคาดว่า อย่างต่ำต้อง 30-40% ขึ้นไป จากคุณ : BNB - [ 17 เม.ย. 50 11:48:51 ]

ความคิดเห็นที่ 18 Car Manufacturer กำไรเยอะจริงครับ... เอาง่ายๆ ให้ทายกันเล่นๆ ว่าถังน้ำมันรถกระบะทั้งลูก (รวมลูกลอย+ทำสี) เค้าสั่งจาก Supplier ในราคาใบละเท่าไหร่ เพื่อเอาไปประกอบ... เฉลย ... ประมาณ 1500 บาทเท่านั้นเองนะคับ ถูกแพงแล้วแต่รุ่นแต่บวกลบก็ไม่เกิน 500 เท่านั้นเอง ปล. ต้นทุนไม่เยอะ  แต่ภาษีเยอะ... แต่สุดท้ายพอขายแล้วก็ยังกำไรเยอะ จากคุณ : TooNew - [ 17 เม.ย. 50 15:38:54 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ super car ครับ เค้าพูดกันเรื่องกำไรของบริษัทรถยนต์ครับ ไม่ได้หมายถึงกำไรของ dealer  บริษัทระบ้านเรากำไรเยอะจริงๆครับ และไม่มีใครอยากจุดประเด้นนี้ขึ้นมาเพราะมันจะทำลายตลาดตัวเอง ส่วนถ้าพูดกำไรของ dealer ผมก็ว่า 30000 ต่อคันนี้เยอะมากเพราะ dealer แค่รับมาขายไปไม่ได้รับความเสี่ยงและต้องลงทุนสูงแบบผู้ผลิตครับ จากคุณ : NAN_KUNG - [ 17 เม.ย. 50 19:27:57 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อืม...ไม่อยากจะบอกว่าพี่น้องยังไงก็ตามไม่มีใครอยากเอาตำแหน่งหน้าที่การงานตัวเองมาเสี่ยง เหมือนกับขอดูเงินในบัญชีพี่ผมน้องผมมันก็ไม่ให้ดูเหมือนกันมันบอกแต่ว่าเงินในแบงก์น้อย เอามาหมุนใช้จ่ายหมดแต่พอมีพันธบัตรออกมามันซื้อทีเดียวแปดหลักครับ พี่น้องกันเงินในบัญชีไม่มีใครกล้าเปิดเผยหมดหรอกครับแต่ละคนมีหลายแห่งเลย และไม่มีใครอเอาอนาคตตัวเองไปเสี่ยงไล่ออกแค่ซื้อรถให้ถูกกว่าให้พี่น้องตัวเองแน่ๆ ...น้องผมเคยทำงานธนาคารใหญ่มาก่อนพ่อผมก็เปิดบ.กับธนาคารนั้นแค่เรื่องTR มันยังไม่ยอมบอกเลยว่าแบงก์นั้นให้TR เท่าไหร่และเรื่องต่างๆที่สำคัญที่แบงก์วางหลักเพื่อดูประเมินบ.พ่อตัวเองด้วยซ้ำ มันกลัวครับกลัวหลุดไปแล้วรู้เรื่องเข้ามันจะถูกไล่ออก มันยังอยากทำงานที่นั่นพร้อมตำแหน่งอันดีๆของมัน ซึ่งพ่อผมก็ไม่อยากเซ้าซี้มันอะไรเพราะเข้าใจมันดี... ....อีกเรื่องนะครับดีลเลอร์ไม่ได้กำไรน้อยแบบที่คุณคิดนะครับ รถยุ่นกระบะดังเจ้าของมาคุยกับผู้จัดการตอนนั้นผมก็นั่งอยู่ด้วย เขาบอกว่าคันนึงได้กำไรอย่างน้อยแปดหมื่นครับ ...ผมขอไม่พูดต่อนะครับ วงการใครวงการมัน เอามาพูดมากๆมันไม่เหมาะเท่าไหร่..... " คุณว่ามันไม่เคี่ยวกันไปหน่อยเหรอ ต้องมีหลุดมาบ้างซิ เวปไซด์ ใคุรจะโพสยังไงก็ได้ ไม่เห็นต้องกลัวเลย" ตรงนี้คิดใหม่นะครับถ้ามีคนลดได้เยอะเป็นแสนแล้วเอามาโพส คุณว่าคนดูจะถามไหมว่าที่ไหนและจะแห่กันไปซื้อที่นั่น และพร้อมกับโดนตรวจสอบจาก สนง.ใหญ่แน่ๆว่าจริงหรือเปล่า อะไรตามมาอีกเพียบครับมันคุ้มรึเปล่าละครับ... ปล.ผมเองขอจบกระทู้ความเห็นผมนะครับ จากคุณ : ลองดู - [ 18 เม.ย. 50 00:59:00 A:125.25.200.96 X: TicketID:131513 ]

ความคิดเห็นที่ 21 โครงสร้างราคารถยนต์ รถราคาขายปลีกให้เราประมาณ 1 ล้านบาท / คัน มีกำไรระดับต่างๆกว่าจะมาถึงมือเรา ถือเป็นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ทุกขั้นตอนลงแรงลงทุนไป 1. ต้นทุนค่าจ้างประกอบรถยนต์  (ถ้าเจ้าของค่ายไม่ทำโรงงานเอง  ลงทุนสร้างโรงงานแต่ละแห่ง ต้อง กี่ล้านล่ะ  ) ค่าอะไหล่ +ค่า assembly น่าอยู่ที่ระดับหลัก 2-3 แสนบาท/คัน 2. บริษัทแม่ (เจ้าของค่ายรถยนต์/ เจ้าของแบรนด์ ) นี่ได้เยอะ เพราะต้องจ่ายค่าจ้าง+โบนัส ระดับบริหารต่างชาติ + ลูกจ้างคนไทย  น่าอยู่ที่ระดับ 2-3 แสน/คัน 3. ภาษีเข้ารัฐ   น่าอยู่ที่ระดับ เกือบ 1 แสนบาท/คัน หรืออาจจะมากกว่านี้ไม่แน่ใจ 4. ค่าการตลาด จัด event จัดแคมเปญต่างๆ น่าอยู่ที่ระดับ 1-2 แสน/คัน รวมลดแลกแจกแถมทุกชนิด 4  รายการแรก รวมกันแล้วเรียกว่า ราคาขายส่งแก่ดีลเลอร์   5. ดีลเลอร์ โชว์รูม  เถ้าแก่โชว์รูมลงทุนสร้าง แต่ละแห่ง ต้อง 200 ล้านบาทอย่างน้อย  จ่ายดอกเบี้ยธนาคารอาน  ย่อมต้องเอากำไรส่วนของเถ้าแก่ด้วย  +  จ่ายค่าจ้างลูกจ้าง  ค่าแอร์ เย็นๆ  เครื่องดื่ม  คุกกี้  ค่าจ้างยามมาตะเบ๊ะเรา   + โดนไถ โดนรีด  การกุศล รอบด้าน + จ่ายส่วนแบ่งเซลส์แมน (ค่าคอม) มาออดอ้อนให้เราตัดสินใจซื้อรถ    ส่วนนี้น่าอยู่ที่ระดับ  แสน ถึง แสนกว่า บาท/คัน จากคุณ : พิจารณ์รัฐกิจ - [ 18 เม.ย. 50 11:27:05 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ดูเหมือน กระทู้นี้ ตอบกันคนละประเด็นเลย แต่ก็จับมาเถียงกันได้ (ต้องโทษเจ้าของกระทู้ ตั้งคำถามไม่เคลียร์ น่าจะเข้ามาแก้ไขให้ชัดเจนนะว่าหมายถึงกำไรที่ใคร รถคันหนึ่งกว่าจะทำได้ใช้คนเป็นพัน ทุกคนมีกำไรรวมกันก็บานตะไทเลย แล้วคนตอบหลายคน จะรวมผมด้วยก็ได้ ก็ใช้ความรู้สึก และสิ่งที่ได้เห็น ได้ยินมาโดยผิวเผิน มากกว่าข้อเท็จจริง) 1.ของผมตอบเรื่อง กำไรที่ดีลเลอร์ (ต้นทุนส่งจาก Distributer) 2. บางคน ตอบต้นทุนที่วัตถุดิบ (ผมว่า ห่างเกินไป วัตถุดิบมีหลายขั้นตอน ถ้าถอยหลังไปอีก ก็ต้องถามว่าเหล็กกิโลเท่าไหร่เลย) 3. บางคนตอบถึงกำไรแต่ละขบวนการผลิต แต่ละชิ้นส่วนด้วย 4. บางคนก็เดาจากการทำตลาด น่าจะกำไรเยอะ (แต่การทำตลาดรวม มันก็คือต้นทุนหลักส่วนหนึ่งไม่ใข่เหรอ) ไม่มีคำตอบถูกผิด100% ครับ แล้วแต่วิธีคิดแต่ละคน ผมเองก็ไม่ได้รู้ลึก ทุกอย่าง แต่ก็เคยเป็นวิศวกร รง. รถยนต์หลายปี เคยดูแลเรื่องวัตถุดิบ ก็รู้ว่ามันถูกแน่ๆ แต่มันคิดแค่นั้นไม่ได้ เพราะมีแต่วัตถุดิบ คงผลิตรถให้สบบูรณ์ หรือทำให้คนเลือกซื้อไม่ได้ครับ แฟนผมก็ถือบัญชีต้นทุนบริษัทรถ(ยักษ์ใหญ่)อยู่นับสิบปี อย่างที่บอกแล้ว กำไรรวมเยอะจริงครับ แต่ต่อคันคิดแล้ว ไม่เยอะอย่างที่บางคนเข้าใจ ผมละก็คันปากอยากจะบอกตัวเลข แต่แฟนผมบอกอย่าพูดเลย ไม่มีผลดีอะไร ผมก็ว่างั้นแหละ เดี๋ยวถามหาหลักฐานก็ยุ่งกันไปอีก เมื่อไม่กี่ปีนี้ผมก็เคยศึกษานิดหน่อยเรื่องอยากจะลงทุนเปิดโชว์รูม (ผมก็ต้องมีข้อมูลจริงบ้าง ไม่ใช่นั่งเทียนเอา โชว์รูมละ 200 ล้านอย่างน้อยนี่ มีไม่กี่แห่งหรอกครับในเมืองไทย อย่าเหมาทุกแห่งหมดครับ เรื่องนี้ถ้าเล่นพนันกับผม ร้อยเอาหนึ่งเลยครับ เวอร์ไปครับ) ตอบคุณลองดู นิดหนึ่ง อยากบอกว่า ครอบครัวผมคงไม่เหมือนกับครอบครัวคุณลองดู ผมไม่เถียง เรื่องครอบครัวคุณลองดู เพราะไม่รู้จักครับ แต่ถ้าเข้าใจว่าครอบครัวผมเป็นสไตล์เดียวกัน ขอยืนยันว่าไม่ใช่แบบนั้นแน่ครับ ผมไม่หลอกตัวเองหรอกครับ ครอบครัวผมเล็ก พี่น้องสองคนเอง หน้าที่การงานของพี่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอกครับ ทำไปวันๆ รอเมื่อไหร่เขาให้ออกซะที จะได้เงินชดเชยเยอะๆ ส่วนใหญ่เน้นเลี้ยงลูกให้ดี รายได้หลักอยู่ที่พี่เขยครับ ก็ไม่รู้จะหลอกเอาเงินพ่อ เงินน้องให้บริษัทคนอื่นทำไม ไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่ผมเชื่อของคุณลองดูนะ..อิอิ พอดีมีบางท่านบอกว่า ทำธุรกิจควรได้ 30% อย่างน้อย ทำให้นึกถึงตัวผมเอง เมื่อหลายๆปีก่อน คิดเหมือนกันเป๊ะเลย ผมขออนุญาติเล่าให้อ่านเล่นๆนิดหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่ง พี่แฟนผมเขาคุยปรึกษากัน มีผม มีแม่ยาย อยู่ด้วย เขาบอกจะไปเปิดทำธุรกิจอย่างหนึ่งกำไรดี ตั้ง 20 % แน่ะ ผมกับแม่ยายงี้ หัวเราะกันหึหึเลย ผมบอกว่า 20% นี่เรียกว่ากำไรเยอะเหรอ ไม่มีใครเห็นด้วยเลยครับ บอกว่าไม่น่าทำ เพราะกำไรน้อยมาก เพราะตอนนั้น ผมทำธุรกิจได้ไม่นาน ที่ทำอยู่ตอนนั้น กำไรถึง 50-60 % ต่อชิ้น โดยเฉลี่ย (หักค่าใช้จ่ายแล้วด้วย) แล้วหลังจากนั้นอีก 2-3 ปี ผมก็มาเปิดทำธุรกิจใหม่ ตอนแรก บอกตรงๆ ไม่ได้ศึกษาให้ดี คิดว่า น่าจะได้สัก 15-20% ต่อชิ้น ก็คงพออยู่ได้ พอถลำเข้ามาทำจริง เพิ่งรู้ครับว่า ที่ได้กำไร 15-20% ต่อชิ้นนั้น มันแค่ไม่กี่รายการ ราว 10 % ของรายการทั้งหมดที่ขายเท่านั้น ส่วนใหญ่ ต่ำ 10% ครับ (ต้องทำการตลาดในท้องถิ่นเอง และต้องลงทุนเองเยอะเลย ไม่ใช่จับเสือมือเปล่า) ช่วงแรกก็เกือบจะพับเสื่อไปเหมือนกัน ต่อมาอีก 2 ปี แทนที่จะเลิก กลับเริ่มขยายไปอีกหลายแห่ง นี่คือตัวอย่าง ที่อยากให้บางท่านลองดูครับ หลักการธุรกิจไม่มีอะไรตายตัวครับ (คนที่เคยเรียน MBA ก็รู้) อย่าประมาทว่ากำไรน้อยต่อชิ้นแล้วไม่ทำเลย แล้วท่านจะเสียโอกาส ผมมีเพื่อนขายบัตรเติมเงินบางคน รู้มั๊ยครับว่ากำไรกี่ % ขายปลีก ไม่เกิน 5 %  ถ้าขายส่ง ก็ไม่เกิน 0.5-1 % อาจน้อยกว่านี้ด้วย ถ้าขายกันทีเยอะๆ (เป็นหมื่นใบ) ก็เห็นขายได้ขายดี บางคนไม่เชื่ออีก เอาเป็นว่าผมรู้แล้วกันนะ ไม่อยากบอกไรมากกว่านี้ คิดว่าคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ คงทำให้ใครเชื่อไม่ได้ แต่ก็เอาไว้เป็นเรื่องเล่าประสปการณ์กัน เผื่อวันหน้าได้สัมผัสอย่างที่ผมเจอ ก็จะได้นึกถึงกันบ้าง จากคุณ : supercar - [ 18 เม.ย. 50 14:07:29 ]

ความคิดเห็นที่ 23 - จะตั้งบริษัททำธุรกิจ ต้องมี margin อย่างน้อย 30% ต้องถามกลับว่า margin ที่ว่านี่คือส่วนไหนครับ? ราคาขาย ลบด้วย ราคาที่ซื้อมา (กำไรขั้นต้น) หรือเปล่าครับ หรือหมายถึง กำไรสุทธิหลังจากหักต้นทุนทุกๆ อย่างออกไปหมดแล้ว?? ไม่อยากตอบยาวๆ ละ เอาเป็นว่า ผมไม่เชื่อความเห็นส่วนใหญ่ในนี้ครับ  แต่ผมเชื่อคุณ supercar มากกว่า บริษัทยิ่งใหญ่ ลงทุนยิ่งเยอะมาก กำไรคิดออกมาเป็น % เมื่อเทียบกับรายได้ยิ่งน้อยครับ ไม่เชื่อก็ลองไปดูในตลาดหุ้นก็ได้ครับ ลองดูว่า บริษัทใหญ่ๆ ที่ยอดขายสูงมากๆ มีความน่าเชื่อถือมากๆ อย่างเช่น ปูนซิเมนต์ไทยก็ได้ เค้าได้กำไรสุทธิปีนึงๆ คิดเป็นกี่ % ของรายได้ - ทำไมคิดถึงแต่ตอนขายได้กำไรล่ะครับ บางคัน บางรุ่น บางล็อตขายขาดทุนก็มีนะครับ - ถ้ากำไรมากมายขนาดนั้นจริงๆ ล่ะก็ + GM บริษัทอันดับหนึ่งของโลกด้านรถยนต์ คงไม่ยอมให้สถานะบริษัทอยู่ในขั้นล้มละลายให้เสียชื่อหรอกครับ + บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นหลายๆ บริษัท คงไม่ยอมให้โดน takeover จากพวกสัญชาติฝรั่งหรอกครับ + ดีลเลอร์ของรถยนต์บางยี่ห้อ คงไม่ปิดตัวเองลงไปให้เสียชื่อบริษัทแม่หรอกครับ + ถ้ามีใครจะแย้งว่า ก็นั่นมันต่างประเทศ รถที่อื่นไม่แพงเหมือนบ้านเราล่ะก็  ก็จะขอบอกว่า บ้านเราที่แพงนั้นเพราะภาษีทั้งหลายครับ ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่  ไม่งั้นบ้านเราก็คงมีรถอีกหลายๆ ยี่ห้อ มาทำตลาดกันแล้วล่ะครับ แม้ว่าจะขายได้น้อยก็ตาม เพราะกำไรมากขนาดนั้น ยังไงก็คุ้ม ที่เค้าใช้งบโฆษณากันได้มากๆ เพราะว่ารถ 1 คันราคามันสูงมากครับ  ถ้าคันละ 1 ล้าน ขายแค่ 100 คันต่อเดือน ก็รายได้ 100 ล้านแล้ว แล้วถ้าไม่ทุ่มงบการตลาด แล้วจะขายได้ 100 ล้านยังไงล่ะครับ หรือถ้าคุณจะประหยัดงบ แต่คนอื่นเค้าทุ่ม กำลังซื้อมันมีจำกัด เค้าก็จะหันไปซื้อยี่ห้ออื่นๆ ที่ทุ่มงบมากกว่าแน่นอน ลองคิดอีกแบบนึงก็ได้  สมมติว่า มีผู้ประกอบการรถยนต์รายใหม่ อยากผลิตรถเพื่อผู้บริโภคจริงๆ จึงออกแบบและเตรียมตัวผลิตรถระดับเดียวกันกับ Vios คุณสมบัติของตัวรถทุกๆ อย่างแข่งขันกันได้ สมมติราคาต้นทุนรถ 4 แสน (รวมภาษีแล้วด้วย) แต่ยังไม่รวมค่าการตลาด  แล้วใช้วิธีประกาศขายทางเน็ต กับฟอร์เวิร์ดเมล์ แค่ 4 แสนบาท ใครอยากได้ให้ไปซื้อที่หน้าโรงงานผู้ผลิต ไม่มีรถคันจริงให้ดู ไม่มีรถให้ทดลองขับ ใครอยากซื้อต้องจ่ายเลย 4 แสน แล้วรอ 18  เดือน ให้เดินทางไปรับที่หน้าโรงงานแล้วขับออกไปได้เลย   - คุณว่าจะขายได้กี่คันครับ - ผู้บริโภคโดยทั่วไปเค้าจะเชื่อถือมั้ย  หรือจะกลายเป็นว่า เห็นเป็นรถราคาถูก รถสำหรับคนจน ฯลฯ เทียบกับบริษัทอย่างโตโยต้า ตั้งราคาขาย VIOS เฉลี่ยที่ 6 แสนบาท ขายรถที่ศูนย์/ตัวแทนจำหน่าย มีระบบบริหาร-บริการหลังการขาย มีรถโชว์ให้ดู ให้ทดลองขับ มีการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ทั้งเฉพาะรุ่นและแบรนด์โดยรวม มีกิจกรรมทางการตลาด มีการตั้งศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ มีการรับประกัน 3 ปี 100,000 กม. คุณว่า รถคันไหนจะทำยอดขายได้มากกว่ากัน?? แล้วผู้ประกอบการที่ขายรถที่แข่งกันได้แค่ 4 แสนแต่ไม่ทำอะไรอย่างอื่นอีกเลย จะอยู่ในธุรกิจได้นานเท่าไหร่ครับ? ธุรกิจประกอบรถยนต์นะครับ ไม่ใช่ชานมไข่มุก ปล. ว่าจะไม่ยาวแล้วเชียว จากคุณ : P_Wut - [ 19 เม.ย. 50 01:53:26 ]