PANTIP.COM : V5346657 * * * รายงานผลการทดสอบการวัดผลค่าฝุ่นและCO ในรถฟอร์จูนเนอร์ * * * []

ความคิดเห็นที่ 20

จริงๆ ตอนที่เรื่องนี้ดังขึ้นมา ผมอ่านคร่าวๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อครับ
เออ ถ้ามันมีฝุ่นเฉพาะตรงเบาะแถว 3 ที่พับขึ้นแล้วปิดช่องลมแอร์อย่างเดียว อันนี้น่าคิด
- แต่คนที่เอามาโพสต์ ดันเอาฝุ่นที่เกาะอยู่ตามคอนโซล เบาะหน้ามาด้วย ผมเลยไม่เชื่อเลย
(คราบดำๆ ที่อยู่ด้านข้างพนักพิงเบาะคนขับ ผมว่ามีโอกาสที่เป็นคราบเหงื่อไคลของแขนคนขับเองมากกว่าด้วยซ้ำ)
- รวมทั้งเรื่องการสมมติทิศทางไอเสียที่ไหลเข้าห้องโดยสาร ซึ่งหากเป็นตอนรถวิ่งอยู่ล่ะก็ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
(ที่เค้าโพสต์ว่า วิ่งจากกทม.ไปเชียงใหม่ แล้วจะมี CO ทั้งหมดเข้าห้องโดยสารเป็นปริมาณเท่าไหร่นั่น ยกเมฆจริงๆ)
ยิ่งพอมารวมกับ คนที่เอามาโพสต์ เป็นใคร กระบวนการโพสต์เพื่อสร้างกระแส ฯลฯ เลยยิ่งไม่รู้สึกเชื่อเลย

แต่ประเด็นที่ควรคำนึง น่าจะเป็นเรื่องของ มีควันไอเสียถูกดูดด้วยพัดลมแอร์ตอนหลัง (ซึ่งถ้าตามหลักแอร์รถทั่วไปแล้ว
จะดูดอากาศจากภายนอกเข้ามาผสมเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ) แล้วเป่าเข้าห้องโดยสารด้วยจริงหรือไม่

ผลจากการทดสอบของโตโยต้าตอนนี้ ก็พิสูจน์ได้ระดับนึงแล้วว่า หากเป็นการใช้งานรถปกติ (วิ่งในเมือง / วิ่งเร็วๆ
ก็ตาม) ปริมาณ CO ที่เข้ามาในรถ (ไม่ว่าจะจากทางไหนก็ตาม) ไม่ได้อยู่ในขั้นที่เป็นอันตราย (เทียบกับมาตรฐาน
ความปลอดภัยของรัฐ) และน่าจะคล้ายๆ กับรถคันอื่นๆ ซึ่งจะมี CO จากนอกรถเข้าไปในรถได้บ้าง อย่างน้อย
คนที่เดินถนน / คนขับมอเตอร์ไซค์ ยังอันตรายยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป

แต่ว่า หากเป็นการจอดรถ ติดเครื่องเดินเบา เปิดแอร์ตอนท้ายล่ะ??
เช่น จอดรอคน จอดแวะพัก จอดนอนค้างข้างทาง
ตอนกลางคืน เพราะขับไม่ไหว/หาที่พักไม่ได้ ฯลฯ ไอเสียที่ออกมาจากท่อไอเสีย คงไม่ได้ไปไหนไกล ก็คงอยู่แถวๆ นั้น
แล้วอาจมีไอเสียส่วนนึงถูกดูดเข้าโดยพัดลมแอร์ตัวหลัง แล้วเป็นอันตรายกับผู้โดยสาร ทั้งที่เวลาไม่ได้ผ่านไปนานนัก
(คือ ถ้าข้ามคืน 7-8 ชั่วโมง ก็คงเป็นอันตรายกันหมดทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น ทุกคันแหละ แต่ถ้าแค่ สมมติว่า 1-2 ชั่วโมง
ก็เป็นอันตรายมากๆ กับผู้โดยสารได้แล้ว เราจะถือว่านี่เป็นข้อบกพร่องของรถรุ่นนี้หรือไม่??)

ผมคิดว่า หากใครอยากลองพิสูจน์อย่างที่ผมสงสัย น่าจะลองทดสอบง่ายๆ แบบนี้ก็ได้
- หาที่จอดรถในร่ม / ไม่ใช่ในที่โล่ง เพื่อให้ควันมีโอกาสสะสมได้เร็วหน่อย
- จุดธูปหอม 3-5 ดอก แล้ววางไว้ที่พื้นแถวๆ ปลายท่อไอเสีย
- เสียบกุญแจรถ บิดกุญแจไปที่ ON แต่ยังไม่สตาร์ท (ระบบพัดลมแอร์ไฟไปเลี้ยงแล้ว)
- เปิดพัดลมแอร์ตอนหลัง แรงสุด
- นั่งอยู่ตรงแถว 3 แล้วคอยจับเวลาสังเกตดูว่า เริ่มมีกลิ่นธูปเข้ารถตอนไหน แล้วรอต่อไปว่า รู้สึกมันมากขึ้นๆ เรื่อยๆ เร็วขนาดไหน

ถ้ารถใครไม่มีปัญหา ก็จะได้สบายใจ ใครมีปัญหาก็เอาไปเคลม หรืออุดช่องลมเข้าที่แอร์ตอนหลังไปเลย ก็จบ

ตอบ คนข้างถนน
ผมว่า มันคงไม่เกี่ยวกับประเด็น Fortuner นี้มั้งครับ?? รถรุ่นนี้ปริมาณไอเสียก็่น่าจะผ่านมาตรฐานเหมือนรุ่นอื่นๆ
ที่ผลิต/ขายในเมืองไทยนะครับ

จากคุณ : P_Wut - [ 25 เม.ย. 50 09:33:03 ]

ความคิดเห็นที่ 21

จับ โกหก TMT เรื่องเกณฑ์มาตรฐานCO ต้องน้อยกว่า 50 ppm
อ้างจากประกาศของกระทรวงมหาดไทยMINISTRY เรื่องความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม(สารเคมี)

ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 94 ตอนที่ 64 วันที่ 12 กรกฎาคม 2520

http://dpc5.ddc.moph.go.th/DPC5/law_05.html

สรุปสาระสำคัญประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม (สารเคมี)
1. เจตนารมณ์ของกฎหมาย
เพื่อป้องกันมิให้ลูกจ้างได้รับอันตรายจากการได้รับ สารเคมี ซึ่งมีการนำมาใช้ ในสถานประกอบการต่างๆเป็นจำนวนมาก

2. ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
กำหนดการควบคุมปริมาณสารเคมีที่ฟุ้งกระจายอยู่ใน บรรยากาศการทำงาน ของลูกจ้างไว้ 121 ชนิดอาจอยู่ในรูปของฝุ่น ฟูม แก๊ส ละออง ไอ หรือเส้นใย หาก สถานประกอบการ ใดที่มีลูกจ้างหรือใช้ สารเคมีดังกล่าว จะต้องทำการป้องกันมิให้ สารเคมีฟุ้งกระจาย เกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ในตารางที่ 1-4 ตามท้ายประกาศ
http://www.thailabour.org/thai/law/303.html

ซึ่งจากเจตนารมณ์ของกฎหมายและขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้นั้น

เพื่อปกป้องลูกจ้างให้ได้รับความปลอดภัยในการทำงานในสถานประกอบการของนายจ้างเท่านั้นก็คือกฎหมายแรงงานนั่นเอง

และกฎหมายดังกล่าว ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 94 ตอนที่ 64 วันที่ 12 กรกฎาคม 2520นั่นเอง

ซึ่งประกาศก่อนพ.ศ. 2538 จึงทำให้ ใช้เกณฑ์มาตรฐานของกาซ CO ต้องน้อยกว่า 50 ppm

ซึ่ง เป็นเกณฑ์ ที่ยังไม่ได้รับการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพอากาศใหม่ ในปีพ.ศ. 2538 ที่ใช้เกณฑ์ ความเข้มข้นเฉลี่ย co ในอากาศ ในระยะเวลา 8 ชั่วโมงไม่เกิน 9 PPM

ในการพิจารณามาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศในปี พ.ศ. 2524 นั้น ได้อัตราความปลอดภัย (Safety Factor) เป็น 2 ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 ได้ประกาศปรับปรุงมาตรคุณภาพอากาศใหม่โดย กำหนดคาร์บอนมอนอกไซด์ในบรรยากาศ ให้มีอัตราส่วนความปลอดภับเพิ่มขึ้นเป็น 3 ดังแวดงในตารางที่ 4

ตารางที่ 4 มาตรฐานคาร์บอนมอนอกไซด์ในอากาศ

ความเข้มข้นเฉลี่ยของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซ์ในอากาศ เวลา (ชั่วโมง)
2524 2538
มิลลิกรัมต่อ
ลูกบาศก์เมตร ส่วนในล้านส่วน
(ppm) มิลลิกรัมต่อ
ลูกบาศก์เมตร ส่วนในล้านส่วน
(ppm)
20
50 17
43 10.3
34.2 9
30 8
1

http://www.aqnis.pcd.go.th/basic/pollution_co.htm
ดังนั้นการกล่าวอ้างกฎหมายประกาศกระทรวงมหาดไทย

เรื่องความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม(สารเคมี)
ที่ออกมาในพศ 2520นั้น จะนำมาอ้างใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานไม่ได้
และผิดจากเจตนารมณ์ของกฎหมายและขอบเขตของกฎหมาย
และการบังคับใช้นั้นที่ระบุว่าใช้ในสถานประกอบการ

ดังนั้น จะเห้นได้ว่ามีเจตนาทำให้ผู้ใช้รถเข้าใจผิด ว่ามีปริมาณCO ต่ำ จากการทดสอบ ด้วยเครื่องมือทดสอบ พบว่า ขณะที่รถ FORTUNER วิ่งด้วยความเร็ว 120กม/ชม พบว่า มี อากาศและไอเสียไหลย้อนเข้าห้องโดยสารโดยพุ่งออกมาจากช่องเข็มขัดนิรภัยหน้ารถ ด้วยความเร็วในการไหลถึง 1.5 เมตร ต่อ วินาที
ตรงนี้แหละครับ ที่บ่งบอกได้ชัดเจนถึงปัญหาการออกแบบของรถSUV ที่ห้อยยางอะไหล่ไว้ท้ายรถเหมือนรถกระ บะทั่วไป
ไม่เหมือน SUV อื่นที่วิศวกรผู้ออกแบบมีมาตรฐานความระมัดระวังในการออกแบบ โดยออกแบบเนื่องจากรถSUV ส่วนใหญ่ความสูงของใต้ท้องรถจะสูง จึงทำให้มีปริมาณมวลอากาศที่ไหลผ่านใต้ท้องรถมากกว่ารถทั่วไป จึงออกแบบให้ยางอะไหล่ใส่ไว้ในห้องโดยสารท้ายรถ และหลุมของยางอะไหล่ใต้ทองรถ จะทำหน้าที่ช่วยให้การไหลของอากาศใต้ทองรถ ไม่กระแทกกันชนท้าย ไอเสียจึงไม่ไหลย้อนเข้าห้องโดยสารเหมือน ยนตรกรรม
SUV FOR-TUNER IS MORE DEFECT ที่ความสูงใต้ท้องรถถึง 70ซม แต่ยางอะไหล่ห้อยท้ายเหมือนรถกระบะทั่วไป
คงต้องช่วยกันกระจายข่าวสารนี้เพื่อการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ผู้ใช้รถ เป็นภูมิคุ้มกัน อำนาจ ทุนนิยม ที่หน่วยงานราชการไม่กล้าแตะต้อง
ติดตาม การทดสอบ ปริมาณอากาศและไอเสียที่ไหลย้อนเข้าในห้องโดยสารโดยพุ่งออกมาจากช่องเข็มขัดนิรภัยหน้ารถ ด้วยความเร็ว 1.5 เมตร ต่อ วินาที http://www.oknation.net/blog/preechasan/2007/04/24/entry-1

จากคุณ : preecha - [ 25 เม.ย. 50 11:31:12 A:58.9.102.59 X: TicketID:141251 ]