ความคิดเห็นที่ 1 E220 ผมว่านะเล่นนะครับชั่วโมงนี้ไม่จุกจิกอะไหล่ไม่แพง ผมว่าบางชิ้นถูกกว่าอะไหล่รถญี่ปุ่น อีก จากคุณ : sittiporn - [ 27 เม.ย. 50 18:39:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 300E จากคุณ : benz - [ 27 เม.ย. 50 21:12:57 A:58.8.50.72 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 ก็อปมาให้อ่าน ครับ ผมจะเก็บเอาไว้ เสมอๆ เมื่อ มีคนพูดถึงเจ้า W124 นี่ของเร็วๆ นี้ครับ คห. จากหลายๆ คน ****************หาซื้อพ็อคเก็ตบุ๊คเกี่ยวกับ W124 มาอ่านดูสิครับ จัดพิมพ์โดยคุณหมูตอนแห่ง  www.benzuser.com W124 เป็นสมดุลที่ลงตัวสำหรับคนที่คิดอยากมีเบนซ์ เพราะเป็นรถที่ไม่เก่าจนเกินไป และไม่ใหม่จนราคาเกินเอื้อม W124 แบ่งได้เป็น 3 ยุคใหญ่ๆ 1. Code A เป็นรุ่นแรก เปิดตัวในปี 1984 จุดที่สังเกตได้ชัดคือ ไม่มีกาบข้าง เป็นแค่คิ้วยาง ภายในไม่มีลายไม้ที่แผงประตู ของเล่นมีให้ไม่เยอะ บางคันยังเป็นกระจกมือหมุน แต่บางคันก็มีแอร์สัมผัสแบบกดปุ่ม ราคารุ่นนี้ค่อนข้างถูก เพราะเป็นรุ่นแรกๆ อาจหาได้แถวๆ 3 แสนกว่าบาท หรืออย่างถูกก็ 2 แสนปลายๆ 2. Code B เป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ เปิดตัวประมาณช่วงปี 1990 มีของเล่นเพิ่มขึ้นจาก Code A มาก มีกาบข้าง มีลายไม้ที่แผงประตู ราคาราวๆ 4-6 แสนบาท 3. Code C หรือรุ่น E หน้า ที่คุณเจ้าของกระทู้สนใจ เปิดตัวเดือนมิถุนายน ปี 1993 แล้วผลิตจนถึงปี 1995 ถ้าหากไปเจอปีเก่ากว่านี้ แต่เป้น E หน้า มั่นใจได้เลยว่าเขาเอา Code A หรือ B มาแปลง แต่บางทีอาจเจอรถที่ใหม่กว่าปี 95 แต่ยังไงต่อให้เป็นรถปี 96-97 ก็ออกมาจากโรงงานไม่เกินกว่าปี 95 รุ่นนี้มีข้อสังเกตหลายจุด บางคันจะมีถุงลมนิรภัยคู่หน้า ซึ่งจะไม่เห็นที่เปิดเก๊ะเก็บของหน้ารถ และไม่มีเก๊ะหน้ารถ เพราะใช้ไปเป็นที่เก็บถุงลมแล้ว แต่จะมีที่เก็บของตรงกลางระหว่างเบาะมาชดเชยให้แทน แต่รุ่นที่ไม่มีถุงลมฝั่งผู้โดยสารก็สามารถเก็บของในเก๊ะได้ปกติ แต่ไม่มีกล่องใส่ของระหว่างเบาะ เป็นแค่ถาด บางคันก็มีกุญแจรีโมทจากโรงงาน ดูได้จากเซ็นเซอร์สีดำที่อยู่ใกล้ที่เิปิดกระโปรงท้าย ถ้าคันไหนมีแสดงว่าเป็นกุญแจรีโมท ไม่มีก็กุญแจไขธรรมดา อีกจุดก็เป็นเรื่องสายไฟ เพราะ Code C และเบนซ์รุ่นอื่นๆ ที่เปิดตัวหลังเดือนมิถุนายน ปี 1993 จะใช้สายไฟที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งจะไม่ทนทานเท่าสายไฟของรุ่นก่อนๆ ซื่งต้องระวังให้ดี ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนสายไฟเป็นของใหม่เพื่อความสบายใจ แต่เปลี่ยนแล้วใช้ได้อีกนาน แล้วก็สำหรับประเทศไทย เรื่องของการทำตลาด ใน Lot แรกๆ Code C ขายดีมากจนส่งมอบรถไม่ทัน ทางธนบุรีฯ ก็มีข้อเสนอ โดยให้ลูกค้าซื้อ Code B ที่ยังมีในสต๊อก แล้วให้มาแปลงเป็น Code C ได้ฟรีในภายหลัง เพราะฉะนั้น ก็อาจจะมีบางคันที่เป็นรถแปลงมา แต่ก็คงไม่ทำให้เสียความรู้สึกเท่าไหร่นักถ้าไม่แคร์ตรงจุดนี้ บางทีรถปีเก่าๆ บางคันสภาพดีกว่ารถปีใหม่ๆ ด้วยซ้ำ เรื่องราคา ก็ราวๆ 5-7 แสนบาท เรื่องการบำรุงรักษา ก็ไม่ได้แพงมากมาย อะไหล่บางชิ้น เปลี่ยนของใหม่ทีสามารถใช้ต่อไปได้อีกนานจนลืม บางชิ้นอาจแพง แต่ใช้ได้นาน แต่บางชิ้นก็ถูก ถ้าหาอู่ที่ไว้ใจได้ก็ไม่แพงอย่างที่คิด ถ้าไม่แน่ใจว่ารถที่จะซื้อแท้จริงแล้วเป็นปีอะไร ถ้าหากกลัวโดนย้อมแมว ก็ลองจดเลขตัวถังมาเช็คในเว็บนี้ได้ http://ecudata.auto-diagnostics.info/vin-decoder/ เรื่องการขับขี่ การใช้งาน ที่บ้านเคยใช้มาแล้วทั้ง 3 รุ่น Code C ที่ใช้ เป็น E220 เครื่องหัวฉีด เติมแก๊สโซฮอล์วิ่งได้ปกติ กินน้ำมันไม่ดุเดือดเท่ารุ่นก่อนๆ ประมาณ 8-9 กม/ลิตร ส่วน Code A เป็น 230E คาร์บฯู กินน้ำมัน 7-8 กม/ลิตร ส่วน Code B เป็น 300E ถ้าเลี่ยงได้ควรเลี่ยงเพราะกินน้ำมันดุเดือด 5-6 กม/ลิตร แต่ 300E มีของเล่นเยอะ แต่ทั้ง 3 รุ่น ก็วิ่งทางไกลได้ดีเหมือนๆ กัน แต่ถ้าใช้ในเมือง E220 น่าจะโอเคสุด เพรากินน้ำมันไม่มาก แต่ถ้าเดินทางไกลบ่อยๆ E280 ก้น่าสนใจ จะได้เปรียบเรื่องอัตราเร่งเพราะรถค่อนข้างใหญ่ แต่ก็ต้องทำใจเรื่องกินน้ำมัน ทั่วๆ ไป การจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ จะต่างจากรถญี่ปุ่นพอสมควร ที่เสียบกุญแจสตาร์ทอยู่ทางซ้ายคนขับ ที่เปิดฝากระโปรงอยู่ฝั่งผู้โดยสาร การปรับเบาะ ถ้าไม่ใช่เบาะไฟฟ้า ก็ต้องบิดมือหมุน แต่ถ้าเบาะไฟฟ้า ก็สบาย แต่บางคันที่มีเบาะไฟฟ้าก็ไม่มีตัว Memory การปรับเบาะให้ใช้ ส่วนเรื่องการล็อกรถ ก็ต้องกดปุ่มตัวล็อกของคนขับ ส่วนการปลดล็อก ก็เปิดประตูได้เลย แล้วจะปลดล็อกเอง เป็นความใส่ใจด้านความปลอดภัย ซึ่งถ้าหากเกิดอุบัติเหตุ ก็สามารถเปิดประตูจากภายในหนีออกมาได้โดยง่าย เรื่องออพชั่น จากการที่มีของเล่นอิเล็กทรอนิกส์ไม่มาก มีแค่ของพื้นๆ ที่จำเป็น การบำรุงรักษาก็เลยมีค่าใช้จ่ายไม่ค่อยมาก แต่ที่แน่ๆ ทุกคันมีสัญญาณไฟเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัย และปุ่มพับพนักพิงด้านหลัง กับปุ่มเปิดไฟเก๋งด้านหลัง ความคล่องตัว ถึงแม้ว่าจะเป็นรถใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ขับยากเย็น ความรู้สึกไม่ค่อยต่างจากขับรถเล็กๆ เผลอๆ รู้สึกว่าขับง่ายกว่า ทัศนวิสัยก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี พื้นที่ว่างเหนือศีรษะมาก นั่งสบาย ในราคาเท่ากัน เมื่อนำ W124 ถ้าเปรียบเทียบกับรถญี่ปุ่นป้ายแดง ก็ถือว่าให้อะไรได้มากกว่าที่คิด ทั้ง -ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง -ช่วงล่างที่มั่นคง และนุ่มนวล โดยเฉพาะเมื่อใช้ความเร็วสูง ดีไม่ดีขับเพลิน จนเหยียบไปถึง 140 -ระบบความปลอดภัย -ความกว้างของห้องโดยสาร -แอร์เย็นจับใจ -เครดิต ค่านิยม แต่ก็ต้องแลกกับ -อัตราการกินน้ำมันที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรถใหม่ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด E220 เติมเต็มถังวิ่งทางไกลได้ 400 กว่ากม. (กรุงเทพ-เชียงใหม่ ใช้น้ำมันประมาณถังครึ่ง) -ค่าบำรุงรักษา -ตาดีได้ ตาร้ายเสีย เจอรถดีก็ดีไปตลอด เจอรถไม่ดีก็ได้แต่ทำใจ แต่รวมๆ แล้ว สิ่งที่ได้มาก็คุ้มพอๆ กัน หรืออาจคุ้มกว่ารถใหม่ป้ายแดงด้วยซ้ำครับ ปล. แนะนำเพิ่มเติม ถ้าหากมีงบเหลือๆ 8-9 แสน บอดี้ที่เป็นแวนก็น่าสนใจ ถ้าต้องการความอเนกประสงค์ และไม่ชอบของโหล สามารถนั่งได้ 5+2 คน (ผู้ใหญ่ 5 กับเด็กเล็กอีก 2 ในแถวหลัง) แต่ช่วงล่างเป็นไฮดรอลิกบาลานซ์ ก็จะมีค่าใช้จ่ายตรงนี้เพิ่มอีก ส่วนอะไหล่อื่นๆ ส่วนใหญ่ก็ใช้ร่วมกับรุ่น 4 ประตูได้ครับ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 50 19:21:52 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 50 19:16:54 จากคุณ : ขี้ก้างแมน (kekangman)  - [ 19 เม.ย. 50 19:07:10 ]     ความคิดเห็นที่ 9   หนังสือเกี่ยวกับ W124ของคุณเอกก็หาได้ตามร้านซีเอ็ด แต่จะอยู่ในมุมมืดๆครับ และถามร้านเค้าก็บอกว่าไม่รู้ หนังสือวางขาย3-4ปียังเหลือสต็อกอยู่ แต่ในหนังสืออาจจะมีข้อมูลเยอะไปในเรื่องที่เจ้าของกระทู้คงจะไม่ต้องการรู้ เช่นข้อมูลพวกเรื่องเครื่องกับเกียร์ ประวัติของการเกิด วิธีเปลี่ยนหัวเกียร์ วิธีทำหน้าปัดสีต่างๆไว้ใช้เองอะไรพวกนี้ จากคุณ : Mr. why? - [ 27 เม.ย. 50 21:42:24 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จะใช้ 124 ต้องทำใจไว้เลยว่าคุณไม่ควรเป็นคนที่ตามแฟชั่นเพราะมันไม่ใช่ เจ้านี่มันออกจะเป็นรถผู้ใหญ่ และตัวถังนี้ก็ออกแบบเสร็จหลัง190Eไปไม่นาน ในช่วงต้นยุค1980 มีการแต่งหน้าทาปากครั้งใหญ่สุดก็ตอนปลายปี93 ยังไงๆดีไซน์ของมันโดยรวมนั้นก็ประมาณ2ทศวรรษแล้ว ผมมักไม่ค่อยเห็นสาวที่ไหนถวิลหาอยากขับ124นัก ถ้ามีก็คงเป็นคนที่รสนิยมแปลกดี สำหรับ124นั้นมีเครื่องเบนซินที่ไม่ได้ใช้หัวฉีดจ่ายน้ำมัน(ใช้คาร์บู)มีรุ่นเดียวคือ "200" ซึ่งในไทยผมไม่เคยเจอ แต่ถ้าใครไปสิงค์โปร์เมื่อ18ปีที่แล้วบ่อยๆจะเจอ ส่วนรุ่นที่ขายในไทยอย่างเป็นทางการจริงๆก็จะมี 230E,300E พวกนี้เหยียบ สยามตั้งแต่ประมาณปี88 เครื่องยนต์เป็นหัวฉีด แต่หม้อกรองอากาศจะบานโตเหมือนเครื่องคาร์บู หัวฉีดแบบกลไกกึ่งไฟฟ้า ทนทานมากไม่ค่อยมีอะไรเสียง่ายๆแต่ถ้าเข้าศูนย์ก็มักจะโดนหลอกเปลี่ยนหัวฉีดประจำ 230Eและ300EมาแรกๆในลักษณะของรถCode Aไม่มีกาบ ซึ่งถูกมากและเก่าที่สุด ถ้าเป็นรถปี90ขึ้นมาจะมีกาบข้าง ไฟหน้าจะเปลี่ยนจากสีเทาเป็นสีเงินออกขาว มือจับเปิดประตูมีโครเมียมคาด ภายในมีลายไม้ตรงแผงประตู ที่เท้าแขนบนเบาะหลังจะไม่เว้าหลบหัวเสียบเข็มขัด พวกนี้นักเลงเบนซ์เรียกว่ารถมีกาบ หรือรถ Code B (รถCode AกับBนี้รวมกันทั้งสองพวกเรียกว่าพวกอีหลัง เพราะตัวEอยู่ข้างหลังเลขรุ่น) ปี92 ตั้งแต่เดือนกันยายนมาพวกเครื่องยนต์เดิมที่มีสองวาล์วต่อสูบและหัวฉีดกลไกกึ่งไฟฟ้า มันเริ่มล้าสมัย เค้าก็เอาเครื่องตัวใหม่ที่เป็นทวินแค็ม 4วาล์วต่อสูบที่ทันสมัยกว่ามาใส่ โดยจะมีรุ่น200E, 220E,และ280E รถพวกนี้จะมีลักษณะเหมือนรถ Code Bเดิมทุกประการยกเว้นพวงมาลัยที่มีถุงลมนิรภัยแล้ว และกระจกส่องข้างทั้งสองด้านจะปรับด้วยไฟฟ้า ของเดิมจะไฟฟ้าด้านคนนั่ง แต่ด้านคนขับต้องยกมือปรับเองตรงก้านข้างในรถ ปี93 เค้าก็เปลี่ยนเอาตัวEมาไว้ข้างหน้าตัวเลข3ตัว แล้วก็เปลี่ยนไฟหน้า กระโปรงหน้า กระัจังหน้า กันชนหน้า(ต่างกันที่วัสดุบางส่วน)กันชนหลัง(แถบกันกระแทกจะยาวมาจรดบังโคลนหลัง) ไฟเลี้ยวหน้า ไฟท้ายทั้งกะบิ ฝากระโปรงหลัง ส่วนภายในจะเหมือนCode Bที่เป็นเครื่องทวินแค็ม เจ้ารถปี93นี่เค้าเรียก Code C และมีอีกชื่อนึงว่าพวก E หน้า การเลือกซื้อนั้น ตัดพวกCode Aออกไปดีกว่าเพราะตอนนี้ส่วนมากต้องรอการบูรณะกันพอสมควร เหมาะกับคนที่ไม่เบื่ออู่ง่าย เช่นพวกนักเลงรถที่ซื้อไปแต่งต่อหรือวางเครื่องญี่ปุ่นแรงๆ จากนั้นก็คงเหลือ Code Bไม่ก็ C ก็ให้เลือกตามระดับความแรงที่ต้องการว่าจะเอาแบบไหน กลุ่มวิ่งเรื่อยๆ ไม่กินจุมากนักก็คือ E200 - ราคาไม่แรง ได้รถใหม่ เครื่อง136ม้า ขับก็งั้นๆ แต่ระวังพวกรถfleetที่มาจากบริษัทหรือโรงแรมที่ใช้งานมาอย่างหนักหน่วง มีไม่มากเท่าพวกE200Dieselสนามบิน แต่ก็มี ก็จงระวัง 230E - รถจะปีเก่า และเครื่องก็จะเป็นเทคโนโลยีเก่า กินน้ำมันกว่า220 แต่มีข้อดีคือราคาไม่แรงและความหรูเอาเข้าจริงก็ไม่ต่างจาก300E E220 - ปีจะใหม่กว่า เครื่องยนต์เล็กกว่า230Eอยู่100cc แต่มี16วาล์วและมีระบบที่คล้ายVVTi ของโตโยต้านี่แหละ เลยเร่งดีด้วย และกินน้ำมันน้อยกว่ารถญี่ปุ่นหลายคันที่เครื่องเล็กกว่าแต่ตัวเท่าๆกัน และถ้าเป็นกลุ่มเท้าหนัก เน้นแรง 300E - ราคาทุกวันนี้ถูกลงมาก เพราะอะไหล่เครื่องบางส่วนเริ่มหายากแล้ว ่เครื่องส่วนมากมักจะโทรมแค่รายละเอียดภายนอก แต่ไส้ในเครื่องนั้นใช้งานได้นานปีชนิดที่ว่าถ้าใช้รถปีละ20,000โล และ่ใช้รักษาเป็น กว่าจะยกเครื่องออกมาเปิดทำภายในใหม่ อาจจะต้องรอ10ปี E280 - เครื่องเคราทันสมัยกว่า ใช้กล่องคุมแบบไฟฟ้าคุมเครื่องแบบเต็มขั้นเหมือนรถญี่ปุ่นสมัยใหม่ แรงดีถูกใจคนเท้าหนักแน่ๆ แต่6กิโลลิตรกับการขับแบบเค้นๆก็เป็นเรื่องปรกติ บางคันที่เซ็นเซอร์จุดต่างๆที่เครื่องยนต์เริ่มเสื่อม อาจจะหนีไม่พ้น5โลลิตร ไม่ต่างอะไรกับ300Eเลย บทไม่สมบูรณ์ก็จะกินชนิดกะดูดบ่อน้ำมันหมด ถ้าไม่ได้ขับรถเร็วมากนัก หรือขับเร็วแต่เร็วแบบค่อยๆไล่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ใจร้อนชอบเอาเข็มวัดรอบฟาดเกิน5000ประจำ E220 ถือว่าเพียงพอ ถ้าเทียบกับViosใหม่ ยังไงพูดถึงความคล่องViosเหนือกว่าแน่ถ้าเป็นในเมือง คันเร่งและเบรคเบากว่ากันแบบคนละเรื่อง พวงมาลัยเบนซ์จะหนักกว่า ฉะนั้นการขับในเมืองเบนซ์จะไม่เบาสบายมือและเท้าเท่า แต่ถ้าออกเดินทางต่างจังหวัดโดยเฉพาะถ้าคอสะพานห่วยๆเยอะ เบนซ์จะให้ความรุ่นสึกที่มั่นคงกว่า นั่งแล้วเมาน้อยกว่า ถ้าสนใจมากเรื่องความสบายในการนั่ง เบาะใหญ่ๆของ124กับความกว้าง1740mmก็เห็นผลได้ชัดจากเนื้อที่เบาะหน้าสบายเหลือๆ คอนโซลหน้าไม่ใหญ่เบียดบังที่เหมือนรถขับหลังบางยี่ห้อ และที่เท้าแขนที่ใช้งานได้จริง คือใช้เท้าแขนได้จริง ไม่ใช่เอาไว้คอยทิ่มข้อศอก การใช้124 สมมติว่าถ้าซื้อมาใช้ กรุณาระวังเรื่องกระจกส่องข้าง เพราะมุมมองนั้นเป็นมุมที่แคบมากและจุดบอดเยอะ ถ้ามีรถอยู่ข้างขวาและค่อนๆไปทางหลังเวลาเปลี่ยนเลน ถ้าไม่หันมามองก่อน ชนแน่ และคันเกียร์ขั้นบันไดของมัน ก็ควรระวังเพราะไม่มีปุ่มใดๆในการล็อคหรือปลดล็อคเพื่อเลื่อนคันเกียร์ และคันเกียร์สามารถเลื่อนไปมาได้โดยที่เท้าไม่ต้องเหยียบเบรค ต้องระวังมือไม่ให้ไปโดน จากคุณ : Mr. why? - [ 27 เม.ย. 50 21:43:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เท่าที่ยังจำได้นะครับ ผมให้เป็นข้อมูล เนื่องจากขายรถไปนานแล้วดังนั้นอาจจะต้องตรวจสอบ ราคาใหม่ เดิมที่ใช้อยู่เป็น e220 ตัว code c ปี 93 ค่าของสิ้นเปลือง 1. กรองน้ำมันเครื่อง (ยี่ห้อ knetch) ราคา 150 บาท เปลี่ยนทุกๆ 10,000ก.ม. พร้อมน้ำมันเครื่อง (ใช้ไม่เกิน 7 ลิตร ซื้อของ PTT แบบ semi-syn) 2. กรองอากาศ (ยี่ห้อ knetch) ราคา 450 บาท เปลี่ยนทุกๆ 10,000ก.ม. เพราะทางวิ่งมีแต่ฝุ่น 3. หัวเทียน (ยี่ห้อ bosch) ราคาหัวละไม่เกิน 50 บาท เปลี่ยนทุกๆ 20,000ก.ม. 4. กรองน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ราคา 120 บาท เปลี่ยนทุกๆ 20,000ก.ม. พร้อมน้ำมันเพาเวอร์ตอนนั้น ใช้ caltrex เกรด dexron III ใช้ไม่เกิน 1 ลิตร 5. กรองเกียร์และประเก็นอ่านน้ำมันเกียร์ ราคา 800 บาท เปลี่ยนทุกๆ 20,000ก.ม. พร้อมน้ำมันเกียรเป็นเกรด dexron III ปริมาณไม่เกิน 7 ลิตร 6. กรองน้ำมันเบนซิน (ยี่ห้อ knetch) ราคา 450 บาท เปลี่ยนทุก 40,000ก.ม. 7. น้ำมันเบรกเป็นเกรด dot 4 ใช้ไล่และเติมระบบไม่เกิน 1 ลิตร ราคาพร้อมค่าแรงเปลี่ยนที่B-quik ไม่เกิน 500 บาท เปลี่ยนทุกปี หลังหน้าฝน 8. สายพานเครื่อง (ยี่ห้อ continental) ราคา 450บาท ดูสภาพแต่เปลี่ยนเพราะต้องการความมั่นใจทุก 40,000ก.ม. 9. ผ้าเบรกหน้า (ยี่ห้อ textar) ราคา 1,500 บาท 10. ผ้าเบรกหลัง (ยี่ห้อ textar) ราคา 1,000 บาท 11. สายไฟเตือนผ้าเบรกหมดเส้นละ 50 บาทมีสองเส้น 12. น้ำมันเฟืองท้าย (ต้องยี่ห้อ Benz เท่านั้น) ใช้ไม่เกิน 2 ลิตร ราคาจำไม่ได้อะ ค่าของที่เปลี่ยนเมื่อคราวมีเคราะห์ 1. shock absorber (ยี่ห้อ บินกระจาย) 4ต้น เบอร์ 2 ราคาไม่เกิน 9,000 บาท 2. ลูกลอยถังน้ำมัน (ยี่ห้อ vdo) ราคา ไม่เกิน 2,500 บาท 3. air mass sensor (ยี่ห้อ bosch) ราคาไม่เกิน 9,000 บาท 4. Oxygen sensor (ยี่ห้อ bosch) ไม่เกิน 3,500 บาท 5. ผ้าบุหลังคา ราคาซ่อมไม่เกิน 3,000 บาท 6. ยางหูช้าง(กระจกมองข้าง) คู่ละไม่เกิน 700 บาท 7. ยางรองแท่นเครื่องฝั้งใกล้ท่อไอเสียมักจะกลับ เยอรมันก่อนอีกฝั่ง แต่ราคาตัวละไม่เกิน 2,000 บาท 8. ไดชาร์ต (ยี่ห้อ bosch) ขนาด 90 แอมป์ ของใหม่ ราคาไม่เกิน 9,500 บาท ของซ่อมไม่เกิน 3,500 บาท ถามว่าจุกจิกไหม ไม่เลยโคตรทนตีนเลย อัตราเร่งดีไม่เหนื่อยในการขับ ไม่วอกแวกเวลาใช้ความเร็วสูง เบรกมั่นใจว่าไม่พาไปมิด พี่เขามีแรงวิ่งสูงสุดไม่เกิน 210กม. ตาม specของโรงงาน ซดไหม ตอนนั้นใช้ gasohol 95 ก็ทำได้ไม่ต่ำกว่า 13โลต่อลิตร ในความเร็วต่ำกว่า 120ก.ม. ต่อ ช.ม. ตอนออกต่างเมือง แล้วทำไมขายอะ ก็มันผุอะพี่ เวลาไปซื้อดูที่ซุ้มล้อหลังดีๆ นะ และถ้าพี่โชคดี ซุ้มล้อหลังสด ก็อาจจะหมดโชคที่ซุ้มล้อหน้าได้ พยายาม หารถประกอบนอกนะพี่ เทียบกับพี่ยุ่นเป็นอย่างไร หากกลับไปได้จะเอาพี่ w124 ไปพ่นกันสนิมอะจะได้อยู่ กันนานกว่านี้ ตอนนี้ขับ wish อยู่ โอ้โห อะไหล่บางอย่างแพงกว่ามากๆ เช่น สายพานเครื่อง ราคา wish ประมาณ ไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท อาจจะมีคน เถียงว่าก็ toyota เบิกห้าง benz ไปซื้อหลังวัดโสม พี่ๆ คนรู้จักที่ยังเอา 124 เข้าห้างนะสายพานเขาคิดราคา แค่ 920 บาทเอง แต่จริงๆ อาจจะมีถูกแพงสลับกันไป แต่เท่าที่กลับมาใช้รถพี่ยุ่นตอบเลยว่าไม่โดนใจเท่า 124 ทั้งค่าดูแลและการขับ จากคุณ : Mr. why? - [ 27 เม.ย. 50 21:44:23 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุ้มค่าในชั่วโมงนี้ผมยกให้E220ครับ ถ้าใครอยากซื้อผมแนะนำให้ลองหาขับเป็นตัวอย่างดู แล้วดูอัตราเร่งออกตัวว่าโอเคไหม ลองทำเป็นขับเอื่อยๆแล้วกดแบบเพื่อแซงดูว่าตอบสนองได้พอใจเราหรือเปล่า ถ้าโอเค ฟันไปเลย E220 ครับ E280/300Eก็น่าเล่นครับอัตราเ่ร่งดี แต่ถ้ามีพลังแล้วไม่ค่อยสนใจจะใช้ หรือแทบไม่ได้ใช้ สิ่งที่เหลือก็จะเป็นภาระในด้านน้ำมัน การดูแลรักษาและเงินที่ต้องจ่ายเวลาต่อภาษีประจำปี ซึ่งบางคนอาจจะไม่สน จากคุณ : หมีไฟฟ้า (V.Putin) - [ 27 เม.ย. 50 22:56:18 ]

ความคิดเห็นที่ 7 E220 ผมก็ช่วยพ่อขับอยู่ครับ ถือว่าเป็นรถที่ไม่จุกจิกครับ เปลี่ยนทีใช้ลืม อัตราเร่งก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย ต้นอาจจะอืดกว่า ญี่ปุ่น แต่ปลายได้เรื่อยๆนะครับ ที่เด่นกว่ารถญี่ปุ่นคือ ช่วงล่างและตัวถัง ดีกว่าเยอะครับแม้รถจะ 10 กว่าปีแล้ว แต่ การเกาะถนน การทรงตัว ดีกว่าพวกรถญี่ปุ่นที่ราคามือ 1 (5-7แสน)  เยอะครับ ครับ จากคุณ : Hong_G - [ 27 เม.ย. 50 23:10:43 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เท่าที่เคยขับ มาก็ตัวเดียวคือ อี220 ช่วงล่างเกาะดีมาก 180 ชิว ชิว เลย สวยน่าใช้อยู่เลยครับ จากคุณ : M@M@$ung - [ 28 เม.ย. 50 14:04:26 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อื้อหือ กระทู้นี้ ข้อมูลแน่นมากๆครับ กำลังสนใจเจ้า124อยู่พอดี จากคุณ : Sympho - [ 28 เม.ย. 50 14:22:07 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ยืนยันว่าเป็นรถยุโรป อันดับต้นในน้อยรุ่นที่น่าใช้มากครับ จากคุณ : คนบ้าบิต - [ 28 เม.ย. 50 15:46:38 ]