ความคิดเห็นที่ 1 คิดว่า  ข้อ1  นะคับ  ไม่แน่ใจ รอล่าง ละกัน................... จากคุณ : โอ๊ะเอ๊ะ - [ วันแรงงาน 10:13:35 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มันเป็นทั้งสองข้อแหละครับ คือได้ทั้งข้อดีและข้อเสียติดกันมา ได้แอมป์มากขึ้น เวลาสตาร์ทแบทจะไม่โหลดมาก เวลาทำงานแบก็จ่ายไฟได้สบายๆ แต่ เวลามันมีปัญหา เช่นแผ่น Plate ทองแดงเสีย หรือเริ่มเสื่อม ไดชาร์จจะทำงานหนักขึ้นครับ จากคุณ : BigA - [ วันแรงงาน 10:27:48 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ... เพลทตะกั่วไม่ใช่เหรอ จากคุณ : Mr. Fusion - [ วันแรงงาน 10:33:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่เกี่ยบวกับการทำงานหนักขึ้น แต่ได้ไฟสำรองใช้มากกว่า รถคุณกินไฟปกติ  ไฟก็หายไปจำนวนปกติ  ไดก็ชาจไฟเข้าตามจำนวนที่หายไปปกติ  ลูกใหญ่ลูกเล็กไดเลยทำงานเท่ากัน  แต่ไปได้ดีในเรื่องไฟที่สำรองใช้  หรือติดตั้งอุปกรณ์เพื่ม  เช่น  เครื่องเสียงต่างๆ   ส่วนมากร้านที่บอกคุณอย่างนั้น  ถ้าไม่ใช่เด็กฝึกงาน  ก็อาจไม่อยากดัดแปลงฐานหรือหาที่รัดแบตใหม่มาให้คุณเพราะมันยุ่งยากอ่ะครับ ทั้งๆที่รถมาจากโรงงานเค้าทำฐานเผื่อไว้แล้ว แต่ถ้าดูเรื่องการสมดุลย์น้ำหนักในห้องเครื่อง  ผมว่าผลกระทบมันน้อย  ถ้าไม่ใช่รถที่ใช้ในสนามแข่งอ่ะนะ จากคุณ : TzOzOzN - [ วันแรงงาน 10:58:06 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ใส่ได้ใส่ไปเถอะ กรณีนี้ใหญ่กว่าได้เปรียบ จากคุณ : เพชร-เพชรบุรี - [ วันแรงงาน 11:54:17 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตะก่วครับ โทดที พอดีกำลังง่วนกับแบบแผ่นทองแดงอยู่ อิอิ คนมันง่วงอ่ะ ขออภัย จากคุณ : BigA - [ วันแรงงาน 13:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เปลี่ยนใหญ่ขึ้นได้ครับ แต่ถ้าอุปกรณ์ในรถเดิมๆ ไม่ได้ชอบดับเครื่องฟังวิทยุ เปิดพัดลมบ่อยๆ นานๆ ก็เสียเงินเปล่า แล้วยังเพิ่มน้ำหนัก เปลืองน้ำมันด้วย เสียสองต่อ สรุป ถ้าการใช้ไฟฟ้าไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก ติดใหญ่ขึ้นไม่คุ้ม แต่ถ้าต้องการใช้ไฟมาก โดยเฉพาะตอนดับเครื่อง ก็ควรเพิ่มครับ จากคุณ : จั๊กกะจี๋ - [ วันแรงงาน 15:17:39 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เหมือนที่ท่าน TzOzOzN ว่าไว้แหละครับ ถ้าท่านใช้งาน เหมือนๆ เดิม ไดท่านก็จะทำงานเท่าๆ เดิมนั่นแหละครับ ไดชาร์ทท่านจะต้องทำงานหนักกว่าเดิมก็ต่อเมื่อ ท่าน ใช้แบตไปจนหมดไฟ แล้วชาร์ทให้เต็มโน่นแหละครับ แบตลูกไหนจำนวนแอมป์มากกว่า ก็ต้องชาร์ทนานกว่า ครับผม จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ วันแรงงาน 16:31:09 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อสตาร์ทรถปุ๊บ สายพานมันก็ปั่น คอมแอร์กะ ไดชาร์จอยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ จะลูกใหญ่ลูกเล็ก ยังไงไดชาร์จก็หยุดปั่นไฟไม่ได้ครับ ดังนั้นไม่มีนะครับ กับคำว่าไดชาร์จหยุดจ่ายไฟนะ แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 50 22:59:39 จากคุณ : Dark Archon - [ วันแรงงาน 22:58:15 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ^ ไดชาร์ทไม่ได้ใช้แม่เหล็กถาวรในการหนี่ยวนำในการ ชาร์ทไฟครับ มีวงจรควบคุมอีกที ดังนั้นถ้าแบตเต็ม ได ของเราจะเบา หมุนเปล่า ไม่ชาร์ทครับผม จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 2 พ.ค. 50 00:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คือผมหมายถึง ชิ้นส่วนที่สึกหรอมันก็สึกหรอเป็นปกติ ตลอดเวลา เนื่องจากตัวไดนาโมมันก็หมุนของมัน ตลอดเวลา ที่ผมเคยส่องๆดูตอนที่เค้าแกะไดชาร์จออกมาทำ ตรงกลางมันก็เป็นแกนแม่เหล็กหนิครับ ปล่อยสนาม แม่เหล็กไปเหนี่ยวนำขดลวดที่พันไว้รอบนอกของไดชาร์จ เพื่อสร้างเป็นกระแสออกมา ส่วนวงจรควบคุมถ้ามี ผมเข้าใจว่ามันมีหน้าที่ควบคุม ให้ปล่อยกระแสไปที่แบตเพื่อทำการชาร์จรึเปล่ามากกว่า นะครับ ปล. เคยเห็นช่างเค้าวัดไฟว่าไดชาร์จมันทำงานปกติรึเปล่า ก็เห็นกระแสมันนิ่งเรียบนะครับ ไม่ได้มีช่วงตัดต่อว่า ชาร์จหรือ ไม่ชาร์จ จากคุณ : Dark Archon - [ 2 พ.ค. 50 00:59:51 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แกะดูได้เลยครับ ไม่มีแม่เหล็ก ชัวร์ ผมแกะเอง มา ๓ - ๔ ลูกแล้วครับ (คนละยี่ห้อ คนละรุ่นกัน) ด้วยซ้ำไปครับ คือแบบนี้ครับ ถ้ารถไม่ได้มีการใช้ไฟฟ้า เช่นรถ ที่ใช้เครื่องดีเซลรุ่นเก่าๆ สตาร์ทแล้วไม่เปิดแอร์ ไม่เปิดวิทยุ ยกแบตออกยังได้่เลยครับ ทีนี้ เมื่อ ไม่มีการใช้ไฟฟ้า เราจะทำให้ไดชาร์ท มันชาร์ท ไปเพื่ออะไรครับ หนักรถเปล่าๆ กินน้ำมันด้วย และ แถมในกรณีมีแบตอยู่ ถ้ามีไฟเต็มแล้ว ชาร์ทซ้ำ นี่ แบตพังนะครับ และในรถเบนซินหลายคัน ก็มี เจ้าไดชาร์ทในขนาดที่ ชาร์ทได้มากกว่าที่ตัวเองกิน ตลอดเวลาครับ ดังนั้น ชาร์ทไม่นานก็เต็มแล้วครับ ดังนั้น สนามแม่เหล็กของไดชาร์ท จึงไม่ใช่แม่ เหล็กถาวรครับ เป็นเพียงขดลวดเหนี่ยวนำ ถ้าไม่ จ่ายไฟจากแบตเข้าไปในไดชาร์ทก่อน หมุนให้ ตาย ไดก็ไม่ชาร์ทครับผม (เบาหวิว เหมือนหมุน อะไรเล่น) แต่ถ้าลองต่อสายไฟ จ่ายเข้าไปให้มัน กลายเป็นสนามแม่เหล็กเมื่อไหร่หล่ะก็ ลองหมุน ดูครับ มันจะหนักขึ้นทันทีครับ ทีนี้ ถ้าตอนที่ไดไม่ได้ชาร์ท ผมกล้ารับประกันว่า ทุกชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง จะทนขึ้น ถามว่าทำไม ? เพราะว่าไล่ไปเลยครับ ตั้งแต่สายพาน ก็ไม่ต้อง รับแรงมากนัก ความร้อนในไดชาร์ทก็ไม่เกิด เครื่อง ก็ไม่หนัก ไม่หน่วง น้ำมันก็ไม่ค่อยเปลืองครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 2 พ.ค. 50 03:18:00 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^ คุณ  สยึมกึ๋ย ว่าไว้ถูกแล้ว ยกเว้นไดชาร์จแบตฯลูกใหญ่กับลูกเล็ก ไดชาร์จทำงานหนักไม่เท่ากัน ผมพูดถึง"ชาร์จเติมให้เต็ม" ไม่ใช่ ชาร์จตอนแบตฯหมด แบตฯลูกใหญ่ กับ แบตฯลูกเล็ก ตัวมันมีความ"ต้านทาน" ไม่เท่ากัน แม้ไฟจะ "พร่อง" ลงเท่ากัน ชาร์จแบตฯลูกใหญ่ต้องใช้ Amp สูงกว่า ==> ไดก็ร้อนกว่า ถ้าไม่เชื่อ  ลองเอาไดชาร์จญี่ปุน (แอมป์ต่ำกว่า) ดัดแปลงใส่รถเบนซ์ซิครับ ดูว่ามันจะทนทานเท่าไดชาร์จตัวใหญ่หรือเปล่า จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 2 พ.ค. 50 05:04:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แบบที่คุณสยึมกึ๋ย บอกน่ะถูกแล้วครับ เมื่อวงจรชาร์ทตัดการทำงานความหน่วงจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในตัวไดชาร์ทมันก็หมดไป ส่งผลให้ลด load จากเครื่องยนต์ แต่คงไม่มากเท่าคอมแอร์ที่เรารู้สึกกันหรอกครับ ทำให้ผมคิดไปอีกว่าทำยังไงที่จะใช้คอมแอร์แบบไฟฟ้า (DENSO-EVA) แทนรุ่นเดิมที่ใช้ครัทซ์แม่เหล็ก เพราะผมเบื่อตัวชดเชยรอบมันทำงานไม่ค่อยราบลื่น พาลให้รถที่กำลังจะหยุดวิ่งต่อไปข้างหน้าอีก จากคุณ : rbko - [ 2 พ.ค. 50 08:07:29 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่น่าจะเป็นอะไรนะครับ กระแสเพิ่มขึ้นเอง  โวลต์เท่าเดิมนี่ไม่มีอะไรหรอก จากคุณ : x-philes - [ 2 พ.ค. 50 11:43:42 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ข้อสองครับ ไดชาร์ทหรืออัลเทอร์เนเตอร์ อัลเทอร์เนเตอร์ ทำงานตลอดเวลาเพราะอย่างน้อยก็ต้องจ่ายไฟเลี้ยงให้เครื่องยนต์ทำงาน ดังนั้นเมื่อเครื่องหมุนยังไงก็ต้องจ่ายไฟ ตัวเขาเองงานหลักคือจ่ายให้รถยนต์ทำงาน ส่วนที่เหลือถึงไปเก็บในแบตเตอรี่ คำถามที่ว่าแบตเตอรี่ใหญ่เล็กมีผลอย่างไร ก็ต้องตั้งคำถามก่อนว่า 1. แบตเล็กไฟไม่เต็ม กับแบตใหญ่ไฟไม่เต็ม ต่างกันอย่างไร อัลเทอร์เนเตอร์ไม่มีทางรู้ เพราะสิ่งที่แบตเตอรี่บอกได้คือแรงดันที่ขั้วแบต ดังนั้นอัลเทอร์เนเตอร์ก็จ่ายไฟไปตามสภาพ โดยใช้ไฟที่เหลือจากการใช้งานจ่ายไป ท่านที่เข้าใจระบบไฟฟ้าคงพอนึกออก ถ้าแบตเตอรี่สองตัวแรงดันที่ขั้วเท่ากัน แรงดันของอัลเทอร์เนเตอร์เท่ากัน กระแสไฟจะจ่ายตามปริมาณความต้านทานของแหล่งจ่ายไฟ ซึ่งถ้าแหล่งจ่ายไฟตัวเดียวกันก็จ่ายกระแสเท่ากัน อีกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าแบตเตอรี่เป็นตัวควบคุมการรับไฟ(โดยบางท่านบอกว่าเป็นความต้านทานต่างไป) การชาร์ทตามร้านแบตเตอรี่แบบชาร์ทช้าหรือชาร์ทเร็วคงเกิดไม่ได้ 2. แบตเต็มแล้วเกิดอะไรขึ้น ง่ายๆก็คือส่วนที่เหลือจากการใช้งานกับรถยนต์ก็ปล่อยทิ้ง เหมือนเสียบตัวชาร์ทมือถือทิ้งไว้โดยไม่ได้เสียมือถือ หรือเมื่อมือถือตัดแล้ว(อันนี้อาจจะไม่ใกล้เคียงเท่าไหร่) อีกกรณีที่ผมมักยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าใครเคยขี่จักรยานที่มีที่ปั่นไฟเล็กๆเกาะที่ล้อ เพื่อปั่นไฟให้หลอดไฟดวงเล็กๆ จะเห็นว่าถ้าปั่นเร็วแสงจะสว่าง ปั่นช้าแสงจะหรี่ และถ้าเราไม่เปิดหลอดไฟ ถามว่าที่ปั่นไฟเขาเลิกผลิตไฟหรือไม่ในเมื่อล้อยังหมุนอยู่ แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 50 16:00:16 แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 50 15:50:28 จากคุณ : ELANTRAnsport - [ 2 พ.ค. 50 15:05:02 ]

ความคิดเห็นที่ 17 45 เป็น 65 มันหนักไปอ่ะ หนักรถครับ ถ้ารถคุณไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟมากๆเพิ่มไปหนักรถเปล่าๆ จากคุณ : BNB - [ 2 พ.ค. 50 15:17:15 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แบตเตอรี่ ก็เหมือนถังเก็บน้ำที่มีรูรั่ว ถังใหญ่มากก็มีรูรั่วมาก จากคุณ : ton99 - [ 2 พ.ค. 50 22:19:25 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมยังยืนยันว่าไดชาร์จทำงานตลอดเวลานะครับ ก่อนอื่นเราต้องตกลงในหลักการก่อนนะครับ หลักการของไดนาโมคือ เอาขดลวดไปผ่านสนามแม่เหล็ก เพื่อสร้างเป็นกระแสออกมา ความต่างศักย์ (V) จะน้อยจะมาก ขึ้นอยู่กับความเข้มของสนามแม่เหล็ก ส่วนกระแส (I) จะน้อยจะมากขึ้นอยู่กับความเร็วของขดลวดที่ผ่านสนาม แม่เหล็กครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 50 00:28:48 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ทีนี้มาว่าด้วยเรื่องไดชาร์จ หรือ อัลเทอเนเตอร์ ผมจะแบ่งไดชาร์จเป็น 2 แบบก่อน แบบแรกคือพวกที่ใช้สนามแม่เหล็กจากขดลวดเหนี่ยวนำ พวกนี้จริงๆแล้วผมเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุด Voltage Regulator ครับ คืออะไร ผมจะอธิบายคร่าวๆอย่างนี้ คือระบบไฟรถยนต์มันใช้ไฟ 12 Volt ครับ ดังนั้น เจ้าตัวไดชาร์จ หรือ อัลเทอเนเตอร์มันต้องจ่ายไฟ 12 Volt ออกมาครับ ทีนี้ทำยังไงให้ได้ไฟ 12 Volt ก็คือการควบ คุมความเข้มของสนามแม่เหล็ก ตามหลักการข้างบนนั่นเอง สมมุติเอาขดลวดไปตัดผ่านสนามแม่เหล็ก ได้เป็น Output ออกมา ทีนี้ถ้า output มันมากกว่า 12 Volt ตัว Volt Regulator มันจะต้องสั่งให้ไปลด Output ให้ออกมาได้ 12 Volt โดยการจ่ายไฟไปที่ขดลวด เหนี่ยวนำให้น้อยลง (ที่อยู่ตรงแกนหมุนนั่นแหละ) เพื่อให้ความเข้มสนามแม่เหล็กมันลดลง แล้วได้ Volt กลับมาอยู่ในเรนจ์ 12 Volt ถ้า Output มันต่ำกว่า 12 Volt ตัว Volt regulator มันก็จัดการจ่ายไฟเข้าไปในขดลวดเหนี่ยวนำเพื่อ สร้างสนามแม่เหล็กที่เข้มขึ้น เพื่อให้ได้ Volt กลับออกมามากขึ้นเป็น 12 Volt เท่าเดิมครับ ดังนั้นถ้าเอา Volt Meter ไปจับไฟที่จ่ายออกมาจาก ไดชาร์จ ยังไงก็ได้ 12 Volt ตลอดเวลาครับ ไม่มีช่วงไหนที่ไดทำงาน ได้ 12 Volt ช่วงที่ไดชาร์จไม่ทำงาน Volt Drop เป็น 0 ยืนยันว่าไม่มีแน่นอนครับ สรุป ไดชาร์จทำงานตลอดเวลานะครับ ไดชาร์จพวกนี้ก็คือที่ใช้กับรถทั่วไปนะครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 50 00:29:18 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ทีนี้มาว่าด้วยเรื่องกระแส (Amp) ตามหลักการข้างต้น I ที่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วขดลวดที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็ก ก็คือความเร็วรอบเครื่องยนต์นั่นเอง เร่งเครื่องมาก ก็ได้ แอมป์ออกมามากเพื่อไปชาร์จกลับเข้าไปในแบต ครับ ดังนั้นตอนแบตหมด พ่วงสตาร์ทเครื่อง แล้วต้อง เร่งเครื่อง เพื่อให้มันมีไฟชาร์จกลับเข้าไปที่แบตนั่นเอง ทีนี้ถ้าเอา Spec ของ Di-Charge มาดู มันจะบอกว่า ไดชาร์จตัวนี้ ที่ Idle Speed จะจ่ายไฟออกมากี่แอมป์ ที่ Speed สูงสุด จะจ่ายไฟออกมากี่แอมป์ครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 50 00:30:21 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ส่วนไดชาร์จแบบที่ 2 คือแบบที่ใช้กับแม่เหล็กถาวร พวกนี้ส่วนใหญ่ก็ใช้กะมอเตอรไซด์ไงครับ เนื่องจากมัน เล็กกว่าเยอะ จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 50 00:30:57 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เหนื่อย ไม่ได้คิดจะพิมพ์เยอะขนาดนี้เลยให้ตายเถอะ จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 50 00:31:52 ]

ความคิดเห็นที่ 24 สรุปสุดท้าย ไดชาร์จมันทำงานตลอดเวลา ทำงานมากน้อยตามน้ำหนักเท้าของเราที่กดคันเร่งลงไป ส่วนไฟได้ออกมาเอาไปทำอะไร 1) จ่ายเข้าระบบปกติเพื่อควบคุมอุปกรณ์ อิเลคทรอนิคส์ต่างๆ 2) จ่ายเข้าระบบควบคุม 3) ชาร์จเข้า battery 4) ส่วนที่เหลือก็ทิ้งไปนั่นเอง ทีนี้ถ้ารถเรามีอุปกรณ์อิเลคทรอนิคเยอะๆ แล้วมันกินไฟมากกว่าที่ ได้ชาร์จปั่นได้ตอนที่รอบเครื่องอยู่ที่ Idle Speed ตอนนี้แหละที่ Battery จะแสดงประสิทธิภาพการทำงาน (นอกเหนือจากเอาไว้ Start เครื่องตอนเช้า) จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 50 00:42:36 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ส่วนเรื่องแกนข้างในเป็นขดลวดเหนี่ยวนำ จ่ายไฟปุ๊บ ไดชาร์จหนักอึ้งหมุนไม่ไป อันนั้นถูกต้อง แล้วครับ เพราะมันต้องจ่ายไฟเข้าไปเพื่อสร้าง เป็นสนามแม่เหล็กในระดับที่จะจ่ายไฟออกมาได้ 12 Volt และยังไงๆมันก็ต้องจ่าย ออกมา 12 Volt ตลอดเวลา ส่วนจะกี่ Amp ก็อีกเรื่องนึงครับ เพราะระบบไฟของรถมัน 12 Volt นั่นเอง ยังไงหลังจาก Start เครื่อง ไดมันก็ต้องหนักเท่านี้ตลอดเวลาครับ ไม่มากไปกว่านี้ และไม่น้อยไปกว่านี้ครับ หนักกว่านี้ จ่ายไฟออกมาเกิน 12 Volt พังครับ เบากว่านี้ จ่ายไฟออกมาไม่ถึง 12 Volt ก็พังอีกครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 50 00:52:57 ]

ความคิดเห็นที่ 26 di จ่ายเกิน 12 นะจ๊ะ ทั่วไป ราวๆ 13.8 - 14.2 จ๊ะ จากคุณ : . ไม่สามารถใช้การได้ชั่วคราว . - [ 3 พ.ค. 50 03:52:49 A:203.151.206.73 X:124.120.12.22 TicketID:143768 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ความคิดเห็นที่ 4   http://www.autoshop101.com/forms/h8.pdf จากคุณ : CORONA ECT  - [ 17 ก.ค. 48 01:55:40 ] จากคุณ : ton99 - [ 3 พ.ค. 50 11:43:05 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ถ้าบอกว่าไดทำงานตลอดเวลา  ผมว่าเกือบถูกแต่ไม่ถูก มันอาจจะทำงานตลอดเวลา  แต่มันไม่ได้ทำงานหนักตลอดเวลา เพราะ การทำงานของได  มันมี close loop control ตลอด ถ้ามีความต้องการใช้กระแสมาก  duty cycle ที่ส่งไปที่ตัวไดจะมี  % ที่สูงขึ้น ถ้าไดทำงานที่ 100% ของ duty cycle แล้วแต่ยังไม่เพียงพอในการจ่ายกระแส คราวนี้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆจะไปดึงกระแสจาก bettery แทน เมื่อสองสามปีที่แล้ว  ผมเคยมาพูดเรื่องที่เปิดไฟตัดหมอกแล้วกินน้ำมัน เพราะผมรู้มาว่าหลายคน  เข้าใจว่า  ไฟในรถนั้นได้มาฟรี หรือ ไดชาร์ททำงานเต็มที่ตลอด ถ้าไม่ได้ใช้ไฟ  ไฟก็เหลือทิ้ง ขอบอกเลยว่าความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่ผิดทั้งหมด ไดแบบที่ติดกับจักรยาน  กับที่ติดกับรถยนต์  การทำงานมันต่างกันมาก แบบที่ติดกับจักรยานไม่มี close loop control ถ้าปั่นไฟแล้วไม่ได้ใช้  แรงที่ปั่นไปก็จะเสียแรงเปล่า แรงที่เสียไปส่วนใหญ่จะเสียไปกับแรงเสียดทานระหว่างหน้าลูกกลิ้งกับแก้มยาง  แรงที่ใช้ปั่นไฟจริงๆมีนิดเดียว การที่มีโหลดต่อกับไดหรือไม่มีนั้น  จะกินแรงที่ใช้ปั่นต่างกันน้อยมากๆถ้าเทียบกับแรงเสียดทานต่าง ดังนั้นจึงทำให้มองไม่เห็นความต่างของแรงดังกล่าว แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 50 12:12:04 จากคุณ : ton99 - [ 3 พ.ค. 50 11:56:39 ]

ความคิดเห็นที่ 29 PDF ที่ได้มาถือว่าดีมากจะได้สื่อสารตรงกัน คงต้องพูดคุยกันยาว จะพยายามให้จบวันพรุ่งนี้ เพราะต้องออกต่างจังหวัดหลายวัน อยากให้คุณ ton99 ช่วยอธิบายคำว่า close loop control ทิ้งไว้ก่อนจะได้เข้าใจตรงกัน ว่าใช่ส่วนที่ควบคุม ROTOR COIL หรือว่าเป็นส่วนอื่น โดยผมเน้นให้ดูที่ หน้า 6 ใน PDF ซึ่งมี Tr1:ON (....) จะได้เข้าใจตรงกัน ว่า IC Regurator ทำหน้าที่เพื่อควบคุมการเกิดสนามแม่เหล็กชั่วคราวใน ROTOR COIL ที่กินกระแสคงที่ประมาณ 200mA ประเด็นที่สองในหน้าแรก หัวข้อ Operation บอกไว้ว่าถ้าที่ความเร็วต่ำอัลเทอร์เนเตอร์จะจ่ายไฟน้อยและอาจใช้ไฟจากแบตเตอรี่ช่วย แต่ที่ความเร็วสูงอัลเตอร์เนเตอร์จะจ่ายไฟให้รถทั้งคันและเหลือไปชาร์ทแบตเตอรี่ ดังนั้นปริมาณกระแสที่จ่ายขึ้นได้กับความเร็ว โดยไม่เกี่ยวกับตัวแปรอื่น ส่วนรูปที่ 2 ในหน้า 7 ของ PDF ไม่มีการพูดถึงการใช้ไฟในระบบรถยนต์(LOAD) แต่ถ้าดูจากแผนภาพจะเห็นว่าจะมีกรณีที่อัลเทอร์เนเตอร์ไม่ทำงานจริง เมื่อแบตเตอรี่เต็ม(14.5V) และไม่มีการใช้ไฟ ซึ่งในรถยนต์จริงจะเกิดเหตุการณ์ที่ว่าได้อย่างไร เพราะเมื่อแบตเตอรี่เต็มอัลเทอร์เนเตอร์หยุดจ่ายไฟ เครื่องยนต์ใช้ไฟจากแบตเตอรี่ เพียงเสี่ยววินาทีแบตเตอรี่ก็จะไม่เต็มและอัลเทอร์เนเตอร์ก็ต้องทำงานอีก ส่วนเรื่องจักรยาน อันนี้ยอมรับว่าแตกต่างเพราะเป็นแม่เหล็กถาวรกับแม่เหล็กชั่วคราว กรณีนี้ต้องมาประเด็นกันว่าถ้าหมุนอัลเทอร์เนเตอร์ - ขณะที่สนามแม่เหล็กใน ROTOR COIL ทำงาน - ขณะที่ ROTOR COIL ไม่ทำงาน - หรือขณะที่ ROTOR ทำงานและไม่ทำงานสลับกัน มีผลอย่างไร กินกำลังเครื่องยนต์ไหม คงทั้งท้ายไว้แค่นี้ก่อน ต้องไปจัดกระเป๋าก่อนหละ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 50 20:01:08 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 50 19:57:07 จากคุณ : ELANTRAnsport - [ 3 พ.ค. 50 19:34:27 ]

ความคิดเห็นที่ 30 close loop control ที่กล่าวไว้คือส่วนที่ควบคุมกระแสให้กับ rotor coil ในหน้า 6 นั้นยังเป็นเงื่อนไขที่ไดยังไม่ทำงาน ผมเข้าใจว่า tr1 ไม่ได้จ่ายกระแสคงที่  แต่เป็นการจ่ายเป็น pluse ขนาด 0.2A กระแสที่ได้จากได จะขึ้นกับความเร็ว และขนาดของ pluse กระแสที่จ่ายโดย tr1 รอบต่ำๆถึงกระแส tr1 จะปล่อยเต็มกำลัง  ก็ยังไม่สามารถทำให้ได้จ่ายกระแสได้เพียงพอ กับความต้องการใช้งานของอุปกรณ์ที่ใช้กำลังไฟสูงได้ ดูตรงหัวข้อ regulator ในหน้า 5 เพิ่มเติม จากคุณ : ton99 - [ 3 พ.ค. 50 23:05:48 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คำว่า output ในหน้า 5 น่าจะหมายถึง V นะครับ ไม่ได้หมายถึง I ลองดู Modern automotive alternators have a voltage regulator built into them. The voltage regulator operates by modulating the small field current in order to produce a constant voltage at the stator output. The field current is much smaller than the output current of the alternator; for example, a 70-amp alternator may need only 2 amps of field current. จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Alternator ------------------------------------------- ส่วนคุณ ไม่สามารถใช้การได้ชั่วคราว แน่นอนครับ output ของไดชาร์จจริงๆมันมากกว่า 12 V เพราะถ้า 12 เท่ากันเป๊ะๆ มันก็ชาร์จเข้าไปที่ batt ไม่ได้ สิครับ แต่มันจะมากกว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ ผมไม่แน่ใจจริงๆครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 50 23:57:04 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ลองดูอันนี้ด้วยครับ http://czyucheng.en.alibaba.com/product/50181889/51031723/DC_Motors/Car_Generator.html จะเห็นว่า Spec ของ ไดชารจ์ บอกไว้ว่า Volt คงที่นะครับ ส่วน Max Power ก็คือ Rated power เท่ากันกี่ Watt มาที่ Rated Speed กี่ Rpm ซึ่งก็คือ มันแปรผันตามความเร็วของรอบการหมุน นั่นเอง --------------------------------------------- คุณ ไม่สามารถใช้การได้ชั่วคราว เอ่อ ผมเห็นแล้วครับว่ามันบอกว่า 14 V. แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 50 00:04:25 จากคุณ : Dark Archon - [ 4 พ.ค. 50 00:02:44 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผมเข้าใจเรื่องกระแส 0.2A ของ ROTOR เป็นการจ่ายแบบ Pulse เพื่อให้ได้กระแสคงที่ 0.2A อันนี้เข้าใจตรงกัน เพราะมีบอกไว้ที่หน้า 6 อยู่แล้ว โดยผลคือการที่ได้กระแสคงที่ผ่าน ROTOR ซึ่งเป็นการควบคุมกระแสกับ LOAD ที่มีความต้านทานต่ำทั่วไป Tr1:ON (Maintained at 0.2A By INTERMITENT ON/OFF OPERATION) แต่การลดสนามแม่เหล็กจะเป็นการลด โดยการลดขนาด pulse หรือการหยุด pulse เป็นช่วงๆ กันแน่ เพราะใน PDF หน้า 6และ7 พูดแต่เรื่อง Tr1:ON หรือ OFF และไม่มีการพูดถึงการลดกระแสลงจาก 0.2A แต่อย่างไรก็ตามการตัด pulse ออกเป็นช่วงๆหรือการลดขนาด Pulse ก็ส่งผลให้กระแสเฉลี่ยที่ผ่าน ROTOR และสนามแม่เหล็กของ ROTOR ลดลงเช่นกัน โดยผลที่ได้คือการควบคุม Voltage ตามที่คุณ Dark Archon บอกไว้ หรือดูคำถามและเฉลย ข้อ 1 ใน PDF หน้า 20-21 ก็ได้        1. A regulator controls alternator output voltage by regulating:              A: sine-wave voltage              B: battery voltage              C: field current              D: output current คำตอบ              1. "C" - The regulator control alternator output by increasing or decreasing the amount of current from the battery to the rotor field coil. แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 50 12:46:07 จากคุณ : ELANTRAnsport - [ 4 พ.ค. 50 12:43:44 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ลบข้อสรุปออกแล้วกัน แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 50 14:03:31 จากคุณ : ELANTRAnsport - [ 4 พ.ค. 50 13:49:06 ]

ความคิดเห็นที่ 35 voltage ที่ออกจากได จริงๆแล้วมันมากกว่า 14.4v แต่ที่มันได้แถวๆ 14.4v  เพราะว่ามันมีแบตมาต่อเป็นโหลดอยู่ ลองแกะเอาแบตออกแล้ววัดดู  จะเห็นว่า voltage มันจะสูงขึ้น เมื่อมีการใช้ไฟ  แรงดันมันก็จะตก ไดต้องชาร์ทไฟกลับเข้าไปใหม่ อันนี้ว่าตามการการทำงานของวงจรเลย เมื่อใช้ไฟมาก  แรงดันตกมาก  ไดต้องชาร์ทให้มากขึ้น การชาร์ทมากหรือน้อย  ก็อาศัยการคุม pulse กระแสที่ tr1 pulse มี duty cycle มา  ไดมันก็กินแรงมาก ลองติดเครื่องเดินเบา  แล้วเปิดไฟหน้าดู จะเห้นว่าตอนเปิดไฟหน้า  รอบเครื่องจะตกลงไป สาเหตุที่รอบเครื่องตก  เพราะว่าไดมันกินแรงเครื่องมากขึ้น สาเหตุที่ได้กินแรงเครื่องมากขึ้น  เพราะ tr1 จ่าย pulse มากขึ้น ถ้าบอกว่าไดทำงานหนักตลอดเวลา  ไฟที่เหลือก็ทิ้งไป ไม่ว่าจะเปิดปิดไฟหน้า  รอบเครื่องต้องไม่ขยับ เพราะว่าโหลดของเครื่องมันไม่ได้เปลี่ยนแปลง จากคุณ : ton99 - [ 4 พ.ค. 50 13:56:06 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คุณ ELANTRAnsport  สรุปแบบนั้นผิดมหัตครับ เพราะ 1 ได ไม่ได้จ่ายกระแสคงที่   ตัวเลขที่ระบุเป็นแค่ค่า max เมื่อมีโหลดน้อย  ไดก็จ่ายกระแสน้อย   เมื่อมีโหลดมากไดก็จ่ายกระแสมาก ใน spec จากผู้ผลิตจะมีกราฟ max current เทียบกับรอบให้ดู เรื่องกระสจ่ายมากจ่ายน้อย  ลองหา amp meter ไปลองวัดกระแสที่ออกจากไดดูก็ได้ 2 แบตลูกใหญ่ต้องใช้กระแสและแรงดันในการชาร์ทมากขึ้น แบตใหม่กับแบตเก่าที่ขนาดเดียวกัน  ก็สร้างภาระให้กับไดต่างกัน จากคุณ : ton99 - [ 4 พ.ค. 50 14:11:42 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เอาเป็นว่าผมลบข้อสรุปใน คคห 34 ออกก่อน ถ้าอยากให้ใส่กลับบอกด้วยครับจะใส่คืนให้ไม่ว่ากัน ตามความคิดเห็นผม เป็นประเด็นดังนี้ครับ > voltage ที่ออกจากได จริงๆแล้วมันมากกว่า 14.4v แต่ที่มันได้แถวๆ 14.4v  เพราะว่ามันมีแบตมาต่อเป็นโหลดอยู่ ลองแกะเอาแบตออกแล้ววัดดู  จะเห็นว่า voltage มันจะสูงขึ้น อันนี้ไม่เห็นด้วยครับ เพราะวงจรตาม PDF ที่คุณ ton99 อ้างถึงพูดไว้ชัดเจนเรื่องการควบคุม Volt output ให้คงที่ด้วย IC REGURATOR และ ALTERNATOR จะมี SPEC บอกค่า VOLTAGE OUTPUT ว่า 14V หรือ 13.6V ไว้เพื่ออะไรถ้าควบคุมแรงดันให้เป็นตามนั้นไม่ได้ และถ้าควบคุมไม่ได้จริง ถ้าถอดแบตเตอรี่ออกตอนเครื่องติดอยู่ ECUหรือหลอดไฟ ไม่พังหมดหรือครับ ส่วนเรื่องวงจรที่ว่า ผมมั่นใจว่าผมเข้าใจเคลียร์แล้ว ตามที่ POST ไว้ใน คคห ที่ 33 ส่วนเรื่อง Pulse ที่รอบเดินเบา ถ้าเป็นอย่างที่คุณ ton99 เข้าใจ ก็น่าจะเป็นช่วงที่ ALTERNATOR ใช้กระแส Tr1 มากที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ ไม่น่าที่จะเพิ่มได้อีก เพราะถ้ายังไม่เต็มก็เพิ่มให้กระแสมากขึ้น โดยไม่ต้องให้แบตเตอรี่ช่วยสิครับ ส่วนเรื่องไฟหน้า รถผมเปิดไฟหน้าเครื่องไม่สั่นครับ อันนี้ยืนยัน และถ้าอัลเทอร์เนเตอร์กินกำลังเครื่องจริงก็ต้องมีระบบชดเชยรอบเหมือนระบบแอร์สิครับ ทั้งหมดข้อมูลสามารถหาอ่านได้จาก PDF File ที่คุณ ton99 อ้างถึงทั้งนั้น ทางผมไม่ได้ยกมาจากที่อื่นเลย แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 50 14:53:54 แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 50 14:46:49 แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 50 14:29:47 จากคุณ : ELANTRAnsport - [ 4 พ.ค. 50 14:27:57 ]

ความคิดเห็นที่ 38 1 ได ไม่ได้จ่ายกระแสคงที่   ตัวเลขที่ระบุเป็นแค่ค่า max เมื่อมีโหลดน้อย  ไดก็จ่ายกระแสน้อย   เมื่อมีโหลดมากไดก็จ่ายกระแสมาก ใน spec จากผู้ผลิตจะมีกราฟ max current เทียบกับรอบให้ดู เรื่องกระสจ่ายมากจ่ายน้อย  ลองหา amp meter ไปลองวัดกระแสที่ออกจากไดดูก็ได้ > อัลเทอร์เนเตอร์จ่ายกระแสตามความเร็วรอบ อันนี้ผมยืนยันตั้งแต่ คคห 29 แล้ว 2 แบตลูกใหญ่ต้องใช้กระแสและแรงดันในการชาร์ทมากขึ้น แบตใหม่กับแบตเก่าที่ขนาดเดียวกัน  ก็สร้างภาระให้กับไดต่างกัน > แบตเก่าใหม่ ลูกใหญ่ลูกเล็ก ก็ 12 VOLT เท่ากัน ถ้าไม่เสียจะต้องการแรงดันในการชาร์ทต่างกันได้อย่างไร อันนี้คิดไม่ออกจริงๆ ส่วนเรื่องกระแสในการชาร์ทอันนี้ผมเขียนไว้แล้วในความคิดเห็นที่ 16 ครับ ถ้าแบตเป็นตัวควบคุมการชาร์ท แสดงว่าแบตเก่าแบตใหม่ต้องชาร์ทเต็มพร้อมกันแต่กินกระแสไม่เท่ากัน แต่ถ้าแบตเก่าชาร์ทเต็มช้ากว่าแบตใหม่แสดงว่าตัวจ่ายเป็นตัวป้อนให้เท่ากันแต่แบตเก่าจะสูญเสียมากกว่าเลยเต็มช้ากว่า แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 50 15:58:43 จากคุณ : ELANTRAnsport - [ 4 พ.ค. 50 14:41:06 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คุณลองไปอ่านที่ผมยกมาให้อีกดีกว่า ลองดูว่ามันมีเงื่อนไขใดบ้างที่ voltage เกินกว่าที่ 14 บ้าง ผมไม่รู้ว่าคู่มือได้มีเขียนบอกเอาไว้หรือเปล่า แต่ที่ปฏิบัติกันคือ  เขาห้ามแกะเอาแบตออก  ขณะที่เครื่องติด ไดทำงาน มิเช่นนั้นแรงดันไฟมันจะสูงเกิน  จนทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหายได้ ผมว่าใน pdf นี้น่าจะเขียนบอกเอาไว้  แต่อาจจะไม่ได้บอกเอาไว้ตรงๆ ใน pdf ผมยังไม่เห็นตรงที่เขาเขียนบอกเอาไว้ว่า ตอนรอบเดินเบา ไดจ่ายกระแสได้เต็มที่แล้ว เขาแค่บอกว่า  ที่รอบเดินเบาถ้าใช้ไฟมากๆไดอาจจะจ่ายไฟให้ไม่พอต้องไปดึงมาจากแบต ตรงนี้น่าจะเข้าใจว่า  ที่รอบเดินเบา กระสูงสุดที่ออกจากจากได มันไม่ได้ค่า max ตาม spec ที่เขียนบอกเอาไว้ ลองเอา ampmeter ไปวัดกระแสที่ออกมาจากได้ก็ได้ ว่าตอนที่เปิดไฟปิดไฟ  กระแสที่ออกมาจากได  มันมีค่าไม่เท่ากัน รถสมัยก่อนที่เครื่องเป็นคาร์บู  ตอนเปิดไฟหน้า รอบจะตก เพราะว่าไม่มีระบบชดเชยรอบเดินเบา ถ้าเป็นเครื่องหัวฉีด  ตอนเปิดไฟหน้ารอบเครื่องจะสวิงลงแล้วกลับไปที่เดิม ลองสังเกตุดีๆครับ ตรงนี้เป็นเพราะระบบชดเชยรอบเดินเบา ถ้าอยากเห็นให้ชัด ลองเร่งเครื่องเอาไว้ 1200rpm แล้วเปิดไฟหรี่ ไฟหน้า  ไฟตัดหมอก  จะเห็นว่ารอบเครื่องมันตกลงมา จากคุณ : ton99 - [ วันฉัตรมงคล 14:53:45 ]

ความคิดเห็นที่ 40 แบตใหญ่ แบตเล็ก  มันกินกระแสในการชาร์ทไม่เท่ากัน นอกเหนือกว่านั้นแบตใหญ่  ยังไม่กระแสรั่วไหลในตัวมันเองมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่ทำให้ได ทำงานมากขึ้น จากคุณ : ton99 - [ วันฉัตรมงคล 14:55:26 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผมยังยืนยันเหมือนเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วคือ ได ไม่ได้ชาร์ทไฟออกมาเต็มที่ตลอด ได ไม่ได้ชาร์ไฟจนเหลือทิ้ง ได จะชาร์ทไฟออกมาเท่าที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น ถ้าในขณะนั้นมีการใช้กระแสมากกว่าที่ไดจะจ่ายให้ได้ กระแสไฟที่ต้องการใช้เหล่านั้นจะไปถูกดึงมาจากแบต อันนี้เป็น web ของคนขายได เขาโฆษณาเอาไว้ว่า  ได high output ของเขา ไม่ได้กินแรงเครื่องมากกว่าไดอื่นๆเลย ในการปั่นกระแสไฟเท่ากัน  ไดใหญ่ของเขาจะกินแรงเท่ากับไดอื่นๆ การกินแรงของได  ขึ้นอยู่กับกระแสที่ได้ต้องจ่ายออกไป http://performanceunlimited.com/cobravalley_drivetrain/alternatortechinfo.html จากคุณ : ton99 - [ วันฉัตรมงคล 15:00:37 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ตรงนี้น่าจะเข้าใจว่า  ที่รอบเดินเบา กระสูงสุดที่ออกจากจากได มันไม่ได้ค่า max ตาม spec ที่เขียนบอกเอาไว้ ลองเอา ampmeter ไปวัดกระแสที่ออกมาจากได้ก็ได้ ว่าตอนที่เปิดไฟปิดไฟ  กระแสที่ออกมาจากได  มันมีค่าไม่เท่ากัน ---------------------------------------------------- ถูกเลยครับ ที่รอบเดินเบา กระแสที่ออกจากไดไม่ใช่ค่า สูงสุด เพราะค่า Max Current มันจะออกมาตอน RPM สูงสุดครับ ลองดูในเวบนั้นก็ได้ เห็นตารางมั้ยครับ มันจะบอกว่าในแต่ละ RPM ไดสามารถจ่ายกระแสได้เท่าไหร่ เห็นชัดเจนว่า กระแสที่ไดจ่ายได้มันแปรผันตาม RPM ถ้าเอา amp ไปต่อกับได แน่นอนว่ากระแสที่มันไหล ออกมามันต้องแปรผันตาม Load ที่ใช้ เพราะตัวขับ เคลื่อน Electron มันคือความต่างศักย์หรือ V เปิดอุปกรณ์ elec มาก กระแสที่โหลดออกมามัน ก็มาก ก็แค่นั้น จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 16:43:27 ]

ความคิดเห็นที่ 43 สรุปอีกครั้ง ไดมันก็ทำงานเต็มที่ตาม RPM ของที่ผ่าน การทดมาจากสายพานเรียบร้อย โดยกระแส แปรผันตาม RPM จนไปถึง MAX ตามสเปคที่รอบสูงสุด Volt regulator ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ามีหน้าที่ Control Volt ให้เรียบ ไม่ใช่ control ว่าจะจ่ายกระแสออกมาเท่าไหร่ จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 16:45:59 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เข้ามาดูกระทู้ตัวเอง -_-' รถสมัยก่อนที่เครื่องเป็นคาร์บู ตอนเปิดไฟหน้า รอบจะตก เพราะว่าไม่มีระบบชดเชยรอบเดินเบา ถ้าเป็นเครื่องหัวฉีด ตอนเปิดไฟหน้ารอบเครื่องจะสวิงลงแล้วกลับไปที่เดิม ลองสังเกตุดีๆครับ ตรงนี้เป็นเพราะระบบชดเชยรอบเดินเบา ถ้าอยากเห็นให้ชัด ลองเร่งเครื่องเอาไว้ 1200rpm แล้วเปิดไฟหรี่ ไฟหน้า ไฟตัดหมอก จะเห็นว่ารอบเครื่องมันตกลงมา จากคุณ : ton99 - [ วันฉัตรมงคล 14:53:45 ] ที่รอบมันตกเป็นเพราะไดชาร์จให้กระแสไม่พอ หรือว่าแบตให้กระแสไม่พอ ถ้าอย่างนั้นถ้าเราเพิ่มเป็นแบตเป็นลูกโต จะทำให้อาการรอบตกที่ว่าหายไปหรือเปล่า ??? จากคุณ : เจ้าของกระทู้ (Vigo_Turbo) - [ 6 พ.ค. 50 01:02:20 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ไดชาร์ดalternator rotor ตัวที่หมุนอยู่ตรงกลางของไดชาร์ด จะหมุนตามรอบเครื่องมันเป็นแม่เหล็กไฟฟ้าครับ จะมีแปรงถ่าน๒อันต่อไว้เพื่อปรับสนามแม่เหล็ก จากคุณ : joe (aircraftdesigner) - [ 6 พ.ค. 50 06:26:53 ]

ความคิดเห็นที่ 46 alternator statorคือขดลวดทองแดง วงรอบนอกของไดชาร์ดเพื่อผลิตกระแสสลับไฟ๓เฟส ความถี่ตามรอบเครื่อง จากคุณ : joe (aircraftdesigner) - [ 6 พ.ค. 50 06:30:12 ]

ความคิดเห็นที่ 47 จากขอลวดทองแดง๓เฟสของstatorจะต่อกับไดโอด๖ตัวเพื่อแปลงไฟจากไฟสลับเอซีให้เป็นไฟตรงแรงดันคงที่๑๔โวล์ดีซีเพื่อจ่ายให้โหลดทั้งหมดของรถและอัดแบตเตอรี่ด้วย ในรูปจะเห็นแปรงถ่าน๒ตัวและregulatorมันคือวงจรอีเล็กทรอนิกที่จะปรับกระแสให้กับแม่เหล็กไฟฟ้าของโรเตอร์ คือมันจะปรับความแรงของสนามแม่เหล็กของตัวหมุนหรือrotor ให้ความแรงของแม่เหล็กเพื่อที่จะปรับแรงดันไฟออกให้ได้คงที่๑๔โวล์ครับ ไม่ว่ารอบเครื่องจะมากหรือน้อยโหลดของรถมากหรือน้อย แรงดันไฟออกจะคงที่๑๔โวล์ จากคุณ : joe (aircraftdesigner) - [ 6 พ.ค. 50 06:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ในรูปจะเห็นการต่อจากขดลวดทองแดงของstatorกับไดโอดทั้ง๖ตัว ไฟออกจากไดโอดจะเป็นไฟตรงแรงดัน๑๔โวล์ จากคุณ : joe (aircraftdesigner) - [ 6 พ.ค. 50 06:50:44 ]

ความคิดเห็นที่ 49 รูปถ่ายตอนถอดไดชาร์ดออกมา จากขวาไปซ้าย โรเตอร์แม่เหล็กไฟฟ้าตัวหมุนกับslip rings statorตัวขดลวดทองแดงรอบนอก ไดโอด๖ตัวกับแปรงถ่านและเร็กกุเรเตอร์ จากคุณ : joe (aircraftdesigner) - [ 6 พ.ค. 50 07:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 50 สรุบ ไดชาร์ดแบบอัลเทอเนเตอร์รถยนต์ปัจจุบัน ดับเครื่องโรเตอร์จะไม่เป็นแม่เหล็กเลย พอติดเครื่องโรเตอร์จะเป็นเเม่เหล็กน้อยๆ เพราะจะมีไฟ๑๒โวล์จากแบตไหลผ่านหลอดไฟแดงที่หน้าปัตไปยังโรเตอร์มันจะเป็นแม่เหล็กอ่อนๆ พอเครื่องติดไดชาร์ดจะหมุนเร็วขึ้น ขดลวดstatorก็จะผลิตไฟสลับไดโอดก็จะแปลงเป็นไฟตรง ป้อนกลับไปให้กับโรเตอร์เพื่อจะให้สนามแม่เหล็กโรเตอร์แรงขึ้น พอแรงขึ้นก็จะผลิตแรงดันได้สูงขึ้น จนได้แรงดันไฟออกคงที่๑๔โวล์ครับ ตัวเร็กกุเรเตอร์กับแปรงถ่านจะเป็นตัวปรับกระแสของโรเตอร์เพื่อปรับความแรงของแม่เหล็กโรเตอร์เพื่อจะรักษาแรงดันไฟออกให้คงที่๑๔โวล์ ถ้ารอบเครื่องหมุนเร็วแล้วโหลดในรถน้อยก็จะลดความแรงของแม่เหล็กของโรเตอร์ผลที่ได้คือแรงดันไฟออกจะคงที่ๆ๑๔โวล์เหมือนเดิม ถ้ารอบเดินเบาแค่๗๐๐รอบโหลดดึงกระแสมาก เร็กกุเรเตอร์ก็จะจ่ายกระแสให้โรเตอร์เป็นแม่เหล็กแรงๆเพื่อขดลวดstatorจะได้ผลิตกระแสให้มากขึ้นเพื่อรักษาแรงดันไฟออกให้คงที่๑๔โวล์ สรุบไม่ว่าจะต่อกับแบตลูกเล็กหรือใหญ่ไดชาร์ดจะพยายามรักษาแรงดันที่๑๔โวล์เสมอ ทีนี้พูดถึงรถที่ใช้โหลดมากๆเช่น๑๐๐แอม แต่ไดชาร์ดเล็กแค่๗๐แอม ถ้าใส่แบตใหญ่ๆ๒ลูกขนานกัน ไฟก็ยังจะไม่พอใช้ครับ จะต้องเปลี่ยนไดชาร์ดให้ใหญ่ขึ้นมากว่าโหลดครับ จากคุณ : joe (aircraftdesigner) - [ 6 พ.ค. 50 07:24:32 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ^ ^ ต้องอย่างนี้ซิ !!! ผมอุตส่าห์บอกง่ายๆว่า แบตฯใหญ่ กับ แบตฯเล็ก internal resister คือ R มันไม่เท่ากัน แบตฯ ต่ออยู่ในวงจร มี R มากกว่า น้อยกว่า ===> Amp-Charge ไม่เท่ากัน ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจ ....ไปอ่านตำราเยอะๆ ให้ปวดหัวเปล่าๆ จะเอาไปเทียบกับ ถังน้ำ ตุ่มน้ำ ไม่ได้ครับ เพราะ I-Charge มันไม่เท่ากัน ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 6 พ.ค. 50 08:37:05 ]

ความคิดเห็นที่ 52 voltage ที่ออกจากได จริงๆแล้วมันมากกว่า 14.4v แต่ที่มันได้แถวๆ 14.4v  เพราะว่ามันมีแบตมาต่อเป็นโหลดอยู่ ลองแกะเอาแบตออกแล้ววัดดู  จะเห็นว่า voltage มันจะสูงขึ้น >>>>>>>>> คุณ Ton นี่เป็นนักทดลองของจริง ตัวจริง จะว่าเพราะมี R ทำให้ Voltage เหลือ 14 V ก็ได้ แต่จริงๆ แล้วที่มาของ Limit Volt-Chage กำหนดที่ 13.8 V ที่ Voltage = 13.8 V เขาเรียก Gassung-Spannung แปลว่า ระดับ Voltage ที่แบตฯจะเกิด Gas ครับ ที่จุดนี้ จึงตั้ง cut-out ให้ตัดการ charge ควบคุมไว้ไม่ให้เกิน 13.8 -14 V ควบคุมการชาร์จได้ยังไง ?? แบ่งเป็น 2 ยุค 1) ยุคโบราณ ก็ใช้ Cut-out 2) ยุคใหม่ยุคไฟฟ้า ควบคุมการจ่ายไฟเข้าไปที่ exciter ??? (สะกดผิดช่วยหน่อย) exciter คือ คอยแม่เหล็ก จ่ายไฟฟ้าเข้าไปทำให้ "แรงแม่เหล็ก" เพิ่มขึ้นหรือลดลง ผลจากฟิลคอยมีแรงแม่เหล็กมากหรือน้อย ===> คุณต้น นายเอามือหมุนก็รู้สึกหนัก/เบา ====> นี่คือการกิน Load มากหรือน้อย ผลจากแรงแม่เหล็กมากหรือน้อย เป็นผลจาก I กระแสที่จ่ายเข้า coil ===> ทำให้จ่าย load ได้มากหรือน้อย ในขณะเดียวกัน ก็มีความร้อน เพิ่มขึ้น เป็นธรรมดา เรื่องง่ายๆ ครับ ถ้าทะลึ่งเอาแบตฯ  ตัวใหญ่ ใส่เข้าไป R (ความต้านทานภายใน) มันต่ำกว่า กระแส Amp ที่ไหลในวงจรก็เพิ่มขึ้น คำตอบคือ ไดชาร์จ ทำงานหนักขึ้น ==> ร้อนขึ้น   จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 6 พ.ค. 50 08:48:41 ]

ความคิดเห็นที่ 53 คำตอบคือ ไดชาร์จ ทำงานหนักขึ้น ==> ร้อนขึ้น   ความร้อนที่ได้ มันจะร้อนไปกว่าความร้อนของเครื่องยนต์หรือเปล่า ถ้าเครื่องยนต์มันร้อนกว่า ถึงใช้งานไดชาร์จหนักเท่าไหร่ ยังไงมันก็จะร้อนเท่าเครื่องยนต์ ??? จากคุณ : เจ้นของกระทู้ (Vigo_Turbo) - [ 6 พ.ค. 50 13:22:54 ]

ความคิดเห็นที่ 54 จริงครับ ที่แบตใหญ่ มีความต้านทานภายในต่ำกว่าแบตเล็ก และโดยเฉลี่ยแล้วจะกินกระแสชาร์จสูงกว่าแบตเล็กอยู่ "เล็กน้อย" แต่หน้าที่หลักของไดชาร์จ คือใช้สร้างกระแสไฟ ป้อนให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ได้แก่ พัดลมไฟฟ้า พัดลมแอร์ ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไล่ฝ้ากระจกหลัง เครื่องเสียง ECU ปั๊มติ๊ก หัวฉีด คอยล์จุดระเบิด กระจกไฟฟ้า คลัทช์แอร์ ไฟแสงสว่างภายในรถ ไฟหน้าปัด ซึ่งอุปกรณ์ที่กล่าวมา คร่าวๆแล้วจะกินไฟมาก มาหาน้อย ตามลำดับ (บางอย่างที่กินไฟมาก แต่ไม่ใช้บ่อย ก็ถือว่าใช้ไฟน้อย) ส่วนที่ใช้ชาร์จแบตเตอรี่นั้น เป็นส่วนเล็กน้อย เมื่อเทียบกับ อุปกรณ์เหล่านี้ ที่กินไฟตลอดเวลา ถ้าเราติดเครื่อง ในขณะที่ไฟในแบตเหลือน้อย จริงครับ ที่ voltage คร่อมแบต จะต่ำลงกว่าปรกติ ทำให้เกิดกระแสไหลไปเข้าแบตมากกว่าปรกติ ถ้า Regulate Voltage ที่ไดชาร์จคือ Vreg (14V) Voltage คร่อมแบต คือ Vbatt ความต้านทานภายในแบตคือ Rbatt กระแสที่ไดชาร์จจ่ายเข้าแบตจะเท่ากับ (Vreg-Vbatt)/Rbatt  แอมแปร์ เมื่อชาร์จไปเรื่อยๆ แบตมีไฟมากขึ้น Vbatt จะสูงขึ้นเรื่อยๆ กระแสชาร์จก็จะลดลง จนกระทั่ง Vbatt เข้าใกล้ Vreg กระแสชาร์จแทบไม่ไหล สรุปว่า ใส่แบตใหญ่ไปเถอะครับ เปลี่ยนจาก 45Ah -> 70Ah กินกระแสชาร์จในบางจังหวะเพิ่มขึ้นอีกไม่กี่แอมป์ แทบไม่มีผล พอไฟเต็มแล้ว ก็ไม่แตกต่าง เปลี่ยนไฟหน้าจาก 55/60 W  เป็น 90/100 W นี่กินไฟมากกว่ากันเห็นๆ เหมือนเราเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ซีซีเพิ่มขึ้น ไม่จำเป็นต้องกินน้ำมันมากกว่าเดิม มันอยู่ที่ load ครับ load มาก กินกำลังมาก จริงอยู่เวลาจอดเดินเบา จะกินน้ำมันมากกว่ากันบ้าง แต่ก็ยอมรับได้ กับกำลังสำรอง ที่เรียกใช้ได้ ยามฉุกเฉิน ผมเชียร์แบตใหญ่ครับ จากคุณ : Compromiser - [ 6 พ.ค. 50 14:04:07 ]

ความคิดเห็นที่ 55 แบต มันเป็นทั้ง R L C เป็น R ตอนที่ดึงกระแสไฟชาร์ทจากได เป็น C ตอนที่ทำหน้าที่ปรับกระแสและแรงดันให้เรียบ และก็มีคุณสมบัติเป็น L ด้วย  แต่จะมองยากหน่อย //////////////////// ที่รอบมันตกเป็นเพราะไดชาร์จให้กระแสไม่พอ หรือว่าแบตให้กระแสไม่พอ ถ้าอย่างนั้นถ้าเราเพิ่มเป็นแบตเป็นลูกโต จะทำให้อาการรอบตกที่ว่าหายไปหรือเปล่า ??? จากคุณ : เจ้าของกระทู้ (Vigo_Turbo)   - [ 6 พ.ค. 50 01:02:20 ] //////////// ที่รอบเครื่องตกเพราะไดมันกินแรงเครื่องมากขึ้น แรงที่กินไปมากขึ้น  เพื่อไปปั่นให้ได้กระแสและแรงดันตามความต้องการของอุปกรณ์ไฟฟ้า พวกเครื่องเล็กๆจะเห็นอาการชัด  เพราะว่าที่รอบต่ำมีกำลังน้อย จากคุณ : ton99 - [ 6 พ.ค. 50 22:15:21 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เป็นกระทู้ที่มีความรู้มากเลยครับแถมจบสวยอีกต่างหาก ขอบคุณทุกท่านอย่างยิ่ง จากคุณ : bigBirdS - [ 6 พ.ค. 50 23:00:36 ]

ความคิดเห็นที่ 57 หุหุ ไม่น่าเชื่อ บทความทางวิชาการเลย เหอๆ จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 21 พ.ค. 50 17:42:48 ]