ความคิดเห็นที่ 1 อันนี้เส้นรอบวงไม่ต่างกันมากครับ เห็นๆ คือหน้ายางจะแคบกว่า การถ่ายน้ำหนักลงถนนนั้นก็เป็นไปได้น้อยกว่า ค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทานก็ลดลง รวมถึงน้ำหนักรวมก็ลดลงด้วย ทำให้กินน้ำมันน้อยลงแน่นอน แต่การยึดเกาะก็ลดลงด้วย ถ้าให้ดีควรใส่ตาม Spec ครับ จากคุณ : BigA - [ 15 พ.ค. 50 14:00:39 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ๒ เส้นนั่น ผมไม่มั่นใจนะครับว่า เส้นไหนประหยัด กว่ากัน เพราะ หน้ายางที่แคบลง แต่คงซีรี่ย์ยางเดิม เอาไว้ ทำให้เส้นรอบวงลดลง เครื่องออกแรงน้อย ลงก็จริงอยู่ แต่ เครื่องยนต์ต้องทำงานมากรอบขึ้น เพื่อให้ได้ระยะทางเท่าเดิม หน้ายางเล็กลง กินน้ำมันน้อยกว่า หน้ายางที่กว้าง ขึ้นครับผม แต่ ยาง ยังมีผลเรื่อง ความยาวของเส้น รอบวงด้วยครับ เพราะ มันคืออัตราทดตัวสุดท้าย ของระบบขับเคลื่อนครับผม จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 15 พ.ค. 50 14:34:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แบบนี้ครับ กว้างเท่ากันเลย อย่างใหนประหยัดกว่า จากคุณ : โอ๊ะเอ๊ะ - [ 15 พ.ค. 50 15:00:28 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เส้นรอบวงใหญ่ก็เสียอัตราเร่งครับ เทียบกับล้อที่มีเส้นรอบวงน้อยกว่า ถ้าขับชิวๆ วงใหญ่น่าจะได้เปรียบกว่าขนาดหน้ายาง ถ้าต่างกันไม่มากหรือเท่ากัน แต่ถ้าในเมืองต้องเร่งบ่อยๆ วงใหญ่ก็ไม่ประหยัดครับเผลอๆจะกินกว่าด้วย สูบลมสูงสักหน่อยก็ประหยัดได้ครับ แลกกับกระเด้งกระดอนและไม่เกาะเหมือนขับดริฟ 5555+ จากคุณ : Themad - [ 15 พ.ค. 50 15:41:01 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในชีวิตจริง เร่งๆเบรคๆ ยางเล็กประหยัดกว่า จากคุณ : acvncp (ACVNCP) - [ 15 พ.ค. 50 15:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เอาหน้ายางเท่ากันก่อน ถ้าแรงบิดในเกียร์สุดท้ายยังเหลือเยอะ  เช่นพวกรถกระบะ ใช้ยางเส้นรอบวงใหญ่  จะช่วยให้ประหยัดได้ แต่ถ้าแรงบิดในเกียร์สุดท้ายมีไม่มาก  เช่นรถเก๋ง at ทั่วไป ใส่ยางใหญ่จะพาลทำให้กินน้ำมันขึ้นเสียมากกว่า ยกเว้นว่าขับนิ่งๆเป็นระยะทางยาวจริงๆ  ยางใหญ่ก็จะช่วยให้ประหยัดได้ ยางถ้ามีเส้นรอบวงเท่ากัน  ต่างกันที่หน้าแคบกับหน้ากว้าง ถ้าเติมลมเท่ากัน  ยางหน้ากว้างจะกินน้ำมันน้อยกว่า  เพราะยางจะแบนน้อยกว่า แต่ปกติเมื่อใช้ยางหน้ากว้างขึ้น จะใช้แรงดันลมที่น้อยกว่าเดิม เพราะถ้าเติมเท่าเดิมมันจะแข็งกระด้างมากขึ้น ในกรณีแบบนี้ก็จะทำให้กินน้ำมันมากขึ้นได้ มันไม่ได้มีสูตรตายตัวว่า ยางใหญ่จะกินน้ำมันขึ้น ยางหน้ากว้างจะกินน้ำมันขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าไปท่องจำสูตรที่มาจากความเชื่อเลยครับ จากคุณ : ton99 - [ 15 พ.ค. 50 18:12:41 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยกับคุณต้นเรื่อง ความกว้างของยางที่มากขึ้น ไม่ได้ทำให้กินน้ำมันมากขึ้นเลย หลายท่านเรียกได้ว่าแทบท่องกันมาเลยว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นยางหน้ากว้าง ต้องกินน้ำมันเพิ่มขึ้นเสมอ จากคุณ : Ontjung - [ 15 พ.ค. 50 22:49:43 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แต่รถผม หน้ายางกว้างขึ้น มันกินน้ำมันขึ้นจริงๆนะครับ เนื้อยางสัมผัสพื้นถนนมากกว่า ก็ต้องมีความหนึบมากกว่า และ กินน้ำมันกว่าอ่ะคับ จากคุณ : CoolguyZ - [ 16 พ.ค. 50 00:29:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 หวัดดีคุณต้น ถ้าทดสอบกันในระดับห้องทดสอบที่ควบคุมตัวแปรได้เท่ากันจริงๆ โอกาสที่ยางหน้ากว้างจะกินน้อยกว่ายางหน้าแคบแทบไม่มี ยางหน้ากว้างเสียเปรียบเรื่อง ประสิทธิภาพ 3 ประเด็นเห็นชัดๆ ก็คือ น้ำหนัก อากาศพลศาสตร์ และ การสูญเสียพลังงานในเนื้อยางที่มากกว่า เรื่องความฝืดระหว่างหน้ายางกับพื้นถนน ไม่เกี่ยว หลายคนท่องมาเป็นสูตรเลยเช่นกันว่า ยางหน้ากว้าง มีความฝืดมากกว่ายางหน้าแคบ อันนี้คงต้องดูเรื่อง คอมปาวยางและน้ำหนักกดบนหน้ายางต่อหน่วยพื้นที่ด้วยนะครับ ยางที่ผลิตสำหรับการใช้งานปกติ ไม่ได้เอาไปแข่งขัน ผู้ผลิตจะคำนึงถึงความทนทานมากกว่าการยึดเกาะถนน ดังนั้น คอมปาวยางจะเป็นเนื้อแข็งกว่ายางแข่งขัน การใช้ยางหน้ากว้างเกินไป เมื่อรวมกับแก้มยางที่บางของยางหน้ากว้าง การเกาะถนนอาจลดลงได้บนถนนที่มีความไม่เรียบสมบูรณ์ การเกาะถนนในทางโค้งก็อาจลดลงด้วย เรื่องยางถ้าจะพูดกันก็คงจะยาว คนที่รู้ก็ไม่ค่อยอยากพูด เพราะอาจมีคนเข้าใจน้อย พวกรถปิคอัพ ปัญหาการเกาะไม่เกาะถนน มักไม่ได้อยู่ที่ยางครับ อยู่ที่ระบบช่วงล่าง และลักษณะของรถมากกว่า สำหรับประเด็นของเจ้าของกระทู้ ถ้าต้องการประหยัดน้ำมันโดยเฉพาะ d4d ผมแนะนำใส่ยางสำหรับถนนเรียบ (ดอกยางจะละเอียด) หน้ายางซัก 235 ก็พอ ลงแมก 17 นิ้ว เช่น 235/60/17 ก็น่าจะ Optimum ในทุกๆมิติของการใช้งาน จากคุณ : ม้า - [ 16 พ.ค. 50 07:43:27 A:124.121.160.77 X: TicketID:076491 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นคุณม้ามีความรู้เรื่องยางมาก และมากกว่าผมแยะ เลยอยากคุยด้วย หวังว่าคงไม่รังเกียจนะครับ ถ้าทดสอบกันในห้องทดลองที่คุมตัวแปรได้หมด โอกาสที่ยางหน้ากว้างจะกินน้อยกว่ายางหน้าแคบแทบไม่มี ผมเห็นด้วยจริงๆครับ  แต่การใช้งานในชีวิตประจำวัน มันจะกินกว่ากันอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ครับ ในระดับแรงม้าร้อยกว่าแรงม้าของรถจ่ายกับข้าวในปัจจุบัน มันไม่น่าจะเห็นได้ชัดนะครับ หน้ายางจะต้องกว้างกว่ากันแค่ไหน ถึงจะเห็นได้ชัดว่ากินน้ำมันต่างกัน อันนี้ก็ต้องพิจารณาด้วย ส่วนตัวผมใช้ยางหน้ากว้างขึ้น 20 mm ครับ แต่เส้นรอบวงยางเท่าเดิม "ไม่รู้สึกเลย" ว่ากินน้ำมันเพิ่มครับ (ความจริงก็วัดอัตราสิ้นเปลืองตลอดแหละครับ แทบไม่แตกต่างกัน) ยางหน้ากว้างเสียเปรียบเรื่องน้ำหนักก็จริงครับ แต่ถ้าเราคุมน้ำหนักล้อได้(ใช้แม็กคุณภาพดี วงใหญ่ขึ้น ยางแก้มเตี้ย)จนเท่ากับของเดิมติดรถ ข้อเสียเปรียบหลักอันนี้ก็น่าจะหมดไปจริงไหมครับ ส่วนเรื่องอากาศพลศาสตร์ก็มีผลครับ แต่ต้องวิ่งกันเร็วๆถึงจะเห็นได้ชัดครับ การสูญเสียพลังงานในเนื้อยางนี่ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงสูญเสียมากกว่าล่ะครับ ปรกติยางเส้นหนึ่งๆมันสูญเสียพลังงานในเนื้อยางตรงไหนครับ อนึ่ง ผมเข้าใจว่า ถ้าแรงดันยางเท่ากัน ระหว่างยางหน้ากว้าง กับยางหน้าแคบ จะมีพื้นที่สัมผัสพื้นเท่ากัน ผมเข้าใจผิดไหมครับ จากคุณ : Ontjung - [ 16 พ.ค. 50 09:18:37 ]

ความคิดเห็นที่ 11 สวัสดีครับคุณ OutJung แบบนี้น่าสนใจที่จะคุยด้วยครับ หลายๆ อย่างคุณเข้าใจถูกต้องแล้วครับ และอย่างที่บอกไว้ ผมยังขาดรายละเอียด ทีนี้เรามาไล่ดูที่ละข้อกันเลยนะครับว่า เราจะใส่รายละเอียดให้ครบและเข้าใจกันได้มากน้อยเพียงใด -- ผมเห็นด้วยจริงๆครับ แต่การใช้งานในชีวิตประจำวัน มันจะกินกว่ากันอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ครับ ในระดับแรงม้าร้อยกว่าแรงม้าของรถจ่ายกับข้าวในปัจจุบัน มันไม่น่าจะเห็นได้ชัดนะครับ หน้ายางจะต้องกว้างกว่ากันแค่ไหน ถึงจะเห็นได้ชัดว่ากินน้ำมันต่างกัน อันนี้ก็ต้องพิจารณาด้วย -- อันนี้มันอยู่ที่ว่า นัยสำคัญอยู่ที่ใด ถ้าตามมาตราฐานทางสถิติของข้อมูล ถือว่าถ้าเปลี่ยนแปลง เกิน +/- 5% ถือว่ามีนัยสำคัญเป็นต้น สำหรับผม เป็นนักวิจัย อาจมีความคิดแตกต่างไปจากการใช้งานตรงที่ ผมใส่ใจเรื่องแนวโน้มก่อนเรื่องปริมาณ แม้แต่ว่ามีแนวโน้มจะมากหรือน้อยกว่าแม้จะแค่ 0.5% ผมก็ถือว่ามีผลกระทบ ทั้งนี้เพื่อการศึกศาค้นคว้าต่อไปครับ ถ้าในกรณีนี้ระหว่างยางหน้ากว้างและแคบ ถ้าต่างกันไม่มากก็คงไม่มีนัยสำคัญต่อการใช้งานแต่อย่างไร แต่ถ้าคำถามว่าต่างกันไหม ต้องตอบว่าต่างกัน ถ้าถามว่าเท่าไหร่ นั้นเป็นอีกเรื่อง ซึ่งแต่ละคนให้ความสำคัญไม่เท่ากัน -- ส่วนตัวผมใช้ยางหน้ากว้างขึ้น 20 mm ครับ แต่เส้นรอบวงยางเท่าเดิม "ไม่รู้สึกเลย" ว่ากินน้ำมันเพิ่มครับ (ความจริงก็วัดอัตราสิ้นเปลืองตลอดแหละครับ แทบไม่แตกต่างกัน)-- เป็นเรื่องของ “ความรู้สึกนะครับ” และอีกอย่าง ยางและล้อที่คุณใส่ลงไปใหม่ อาจ เบากว่าเดิม เนื้อยางดีกว่าเดิม ออกแบบดีกว่าเดิม และที่สำคัญ อาจไม่ต้านอากาศเพิ่มเพราะ รูปทรงส่วนอื่นๆ เปลี่ยนไป หรือไม่ใส่ยางล้นแนว steam line ของตัวรถ ฯลฯ สรุปก็คือ ถ้าคุณว่าไม่ต่างก็ไม่ต่างครับในกรณีนี้ --ยางหน้ากว้างเสียเปรียบเรื่องน้ำหนักก็จริงครับ แต่ถ้าเราคุมน้ำหนักล้อได้(ใช้แม็กคุณภาพดี วงใหญ่ขึ้น ยางแก้มเตี้ย)จนเท่ากับของเดิมติดรถ-- อย่าว่าแต่เท่าของเดิมเลย เบากว่าของเดิมก็ทำได้ครับ ถ้าใช้ล้อและยางที่มีน้ำหนักเบากว่า แต่คุณต้องเสียเงินเพิ่มอีกมาก สำหรับ ล้อและยางที่เบา นะครับ อันนี้ เป็นเรื่องของเงิน ถ้าไม่เกี่ยวก็ตัดทิ้งได้ครับ --ส่วนเรื่องอากาศพลศาสตร์ก็มีผลครับ แต่ต้องวิ่งกันเร็วๆถึงจะเห็นได้ชัดครับ-- อย่างที่บอกไป การเปลี่ยนยางใหญ่ขึ้น อาจไม่เปลี่ยนอากาศพลศาสตร์มากนัก ถ้าเข้าใจและทำอย่างถูกต้อง ความกว้างและการออกแบบของกะทะล้อก็มีส่วนเรื่องการไหลของอากาศ และตำแหน่งของล้อที่เปลี่ยนไป จาก Offset เดิม อาจทำให้เกิดผลทั้งทางลบและบวก กับ อากาศพลศาสตร์ครับ แต่ถ้าพูดโดยกว้างๆ แล้ว ยางหน้ากว้างเสียเปรียบค่อนข้างแน่ในด้านนี้ ถามว่าเร็วแค่ไหน หรือเยอะแค่ไหน ก็ต้องย้อนไปคำถามแรกว่า เท่าไหร่ที่เราเห็นความสำคัญหละครับ แน่นอนว่า ยิ่งเร็วยิ่งต่าง ถ้าวิ่งในเมืองจ่ายตลาด แน่นอนว่า ไม่สำคัญหรอกครับ -- การสูญเสียพลังงานในเนื้อยางนี่ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงสูญเสียมากกว่าล่ะครับ ปรกติยางเส้นหนึ่งๆมันสูญเสียพลังงานในเนื้อยางตรงไหนครับ -- ยางที่มีนำหนักเท่ากันสองเส้น ไม่ได้แปลว่า มี MOI หรือแรงต้านการหมุนเท่ากัน ยางหน้ากว้างมีเนื้อยางที่เส้นรอบนอกมากว่ายางหน้าแคบ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงความเร็วในการหมุน ยางหน้ากว้างจะมีแรงต้านการหมุนหรือ MOI มากกว่า เมื่อมีการเปลี่ยนความเร็วการหมุน เนื้อยางของยางหน้ากว้างที่อยู่รอบนอกการหมุน จะต้องมีแรงต้านในตัวเองมากกว่า เกิดแรงเฉือนในเนื้อยางมากกว่า ซึ่งแรงเฉือนเหล่านี้คือแรงที่สูญเสียไป โดยขโมยไปจากแรงที่ใส่เข้ามาในยางนั่นเอง ในกรณีที่ความเร็วคงที่ การสูญเสียในเนื้อของยางหน้ากว้างอาจน้อยกว่ายางหน้าแคบเพราะว่ายางแบนน้อยกว่า มีความกลมมากกว่า การเสียพลังงานจากการยืดหดของยางย่อมน้อยกว่า นี่อาจเป็นกรณีเดียวที่ยางหน้ากว้างได้เปรียบ รวมไปถึงยางแก้มเตี้ยด้วยครับ จะเสียพลังงานน้อยกว่ายางแก้มสูง ในทางโค้ง วงรอบด้านนอกและด้านในของยางหน้ากว้าง มีความแตกต่างกันด้านความเร็วมากกว่ายางหน้าแคบ ดังนั้น ยางหน้ากว้างจะมีการไถลตัวอันเกิดจากระยะทางที่ไม่เท่ากันของรอบนอกกับรอบในมากกว่า เสียพลังงานไปกับการไถลและบิดตัวมากกว่ายางหน้าแคบครับ -- อนึ่ง ผมเข้าใจว่า ถ้าแรงดันยางเท่ากัน ระหว่างยางหน้ากว้าง กับยางหน้าแคบ จะมีพื้นที่สัมผัสพื้นเท่ากัน ผมเข้าใจผิดไหมครับ -- ถ้าใช้นัยสำคัญค่ามากๆ คุณเข้าใจถูกแล้วครับ เพราะตามทฤษฏี การรับน้ำหนักของยาง คือค่าแรงกดต่อพื้นที่ของยางบนถนน ดังนั้นถ้าแรงดันลมยางเท่ากัน (ขณะรับน้ำหนัก) พื้นที่สัมผัสถนนควรเท่ากัน แต่ในความเป็นจริง จะไม่เท่ากันครับ แค่ประมาณว่าเท่ากัน แต่ไม่เท่า อย่าลืมว่าแรงดันลม เป็นเพียงแรงดันส่วนหนึ่ง ยังมีแรงดันจากแก้มยาง และเนื้อยางด้วย และเนื้อยางก็ยังมีร่องมาเกี่ยวข้องด้วยนะครับ ดังนั้น จะตอบไม่ได้ถ้าไม่รู้แรงดันของแก้มยาง และความแข็งของเนื้อยางครับ แต่ความแตกต่างตรงนี้ไม่สำคัญมากนัก จึงพออนุโลมให้ว่าเท่ากัน โดยที่ต้องไม่ลืมว่าแม้หน้าสัมผัสถนนจะเท่ากัน แต่รูปร่างของหน้าสำผัสไม่เหมือนกัน ของยางหน้ากว้างจะ สั้นแต่กว้าง ยางหน้าแคบจะยาวแต่แคบ ซึ่งทิศทางของแนวแรงการผลักรถไปข้างหน้า อยู่ในแนวยาว ดังนั้นแรงเฉือนของยางหน้าแคบจะอยู่ในทิศทางเดียวกันมากกว่าของยางหน้ากว้าง การสูญเสียจึงมีโอกาสน้อยกว่ายางหน้ากว้าง ทั้งนี้ปัจจัย และตัวแปรอื่นๆ เหมือนกันนะครับ เช่น เนื้อยาง ร่องยาง แก้มยาง ฯลฯ ไม่เคลียร์ตรงไหนเพิ่มเติมได้เสมอครับ จากคุณ : ม้า - [ 16 พ.ค. 50 11:09:40 A:124.121.160.127 X: TicketID:076491 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ในข้อสุดท้ายลือบอกไปว่า การกระจายน้ำหนักกดบนหน้ายางนั้น จะมีการกระจายน้ำหนักกดในแนวยาวดีกว่าในแนวกว้างนะครับ ทำให้แนวแรงผลักรถไปข้างหน้าของยางหน้าแคบมีทิศทางไปทางเดียวกัน สม่ำเสมอกว่ายางหน้ากว่าที่มี Footprint อยู่ในแนวขวางถนนที่มีการกระจายแรงกดไม่สม่ำเสมอ และไม่คงที่ขึ้นอยู่กับ ความเอียงของช่วงล่างและพื้นถนน ซึ่ง dynamics ตลอดเวลาครับ จากคุณ : ม้า - [ 16 พ.ค. 50 11:23:37 A:124.121.160.127 X: TicketID:076491 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ด้วยความเคารพ ช่วยพูดถึงในกรณีของผมด้วยสิครับ  แหะๆ ผมหมายถึงว่า ยางหน้ากว้างเท่ากัน แต่วงล้อ (เส้นรอบวง) ไม่เท่ากัน แบบใหนประหยัดกว่า  โดยมีตัวแปรอื่น คือ - เครื่องยนต์ดีเซล 2800 ซีซี  ปิคอัพ - ขับทางไกลเป็นหลัก จากคุณ : โอ๊ะเอ๊ะ - [ 16 พ.ค. 50 11:37:47 ]

ความคิดเห็นที่ 14 กระทู้แบบนี้ ขอเซฟ และเก็บเข้าคลังกระทู้เก่าครับ จากคุณ : P_Wut - [ 16 พ.ค. 50 18:13:51 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องน้ำหนัก  กับ Aerodynamic  ยางหน้ากว้างกว่า จะเสียเปรียบ ส่วนเรื่อง การสูญเสียพลังงานในเนื้อยาง คุณ  Num..na  เคยคำนวณเอาไว้ตามข้างล่างนี้ครับ จากคุณ : ton99 - [ 16 พ.ค. 50 18:39:12 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ความคิดเห็นที่ 54   ข้างล่างจะเป็นการคำนวนที่ผมลองไล่ดู เพื่อให้ตัวผมหายสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของ L และ Rdyn ว่าใครจะมาแรงกว่ากัน เมื่อพิจารณาเรื่อง RRC นะครับ สมมติฐาน ก รถวิ่งเร็วคงที่ ที่ 50 km/hr ข Damping coeff ของยางหน้ากว้างและหน้าแคบมีค่าเท่ากัน  เท่ากับ 45 Ns/m ค่าตัวอย่างจากในหนังสือนะครับ ค R = 0.3 เมตร ค่าทั่วๆไปนะครับ ง ที่แรงดันลมคงที่ แปลว่า ยางหน้ากว้างขึ้น  จะทำให้ L ลดลง  โดย Rdyn สามารถหาได้จากสมการในรูปนะครับ   ผมสมมติให้ Rdyn เป็นส่วนของ R   ที่ 90%, 95% ละ 97% ตามลำดับ จากคุณ : Num..na  - [ 29 ส.ค. 49 22:47:25 ] จากคุณ : ton99 - [ 16 พ.ค. 50 18:40:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ความคิดเห็นที่ 55   การคำนวน L ครับ จากคุณ : Num..na  - [ 29 ส.ค. 49 22:49:05 ] จากคุณ : ton99 - [ 16 พ.ค. 50 18:41:43 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ความคิดเห็นที่ 56   ต่อนะครับ คำนวน Damping work จากสูตรในรูป (สูตรสุดท้ายครับ ตัดช่วงที่ต้องพิสูจน์ตอนอินทิเกรตไปหมดแล้ว) และจาก Damping work กับ L เราหา Resistance Force ได้ จากคุณ : Num..na  - [ 29 ส.ค. 49 22:52:17 ] จากคุณ : ton99 - [ 16 พ.ค. 50 18:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ความคิดเห็นที่ 57   สรุปจากคำตอบนะครับ ยางหน้าแคบกว่า .. L มากกว่า ค่า L มาก ... Resistance Force มาก Resistance Force มาก .. Rolling Resistance coeff มาก ครับ ขอบคุณที่ตามอ่านครับ ยังจะแวะมานะครับ ถ้ามีจุดไหนสงสัย ทิ้งคำถามไว้ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 49 23:00:17 จากคุณ : Num..na  - [ 29 ส.ค. 49 22:59:03 ] จากคุณ : ton99 - [ 16 พ.ค. 50 18:42:34 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ความคิดเห็นที่ 69   ที่คุยกันมาข้างบนนั้น ผมเข้าใจว่าทุกคนเห็นตรงกันครับ คือละเรื่อง Aerodynamic ไว้ หรือที่ผมพิจารณาแต่เรื่อง RRC อย่างเดียว ยางหน้ากว้างกว่า มีผลกับ cross section area หน้ารถแน่นอนครับ ขนาดในเวบจักรยานเค้ายังว่ากันว่าเห็นผลชัดเลยล่ะครับ (ความเหนื่อยของคนปั่น) เหมือนที่บอกไปแล้ว ทีแรก common sense ของผม ก็เหมือนคุณ P_Wut หล่ะครับ ถ้ามองยางรุ่นเดียวกัน สเปคเดียวกัน โครงสร้างเดียวกัน ยางหน้ากว้างกว่า ก็แพงกว่า น้ำหนักมากกว่า ต้องการล้อที่กว้างกว่า ต้องการพื้นที่ในระบบช่วงล่างมากกว่า ....(น่าจะมีอีกครับ  ข้อเสียในมุมมองของผู้ผลิต) จากคุณ : Num..na  - [ 1 ก.ย. 49 01:07:14 ] ///// อันนี้คือเวบจักรยายที่กล่าวถึงครับ http://www.cyclingnews.com/tech/?id=2005/features/conti_tech จากคุณ : ton99 - [ 16 พ.ค. 50 18:43:38 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ความคิดเห็นที่ 73   เรื่องการทดสอบ  ผมยังไม่เคยเห็นใครทดสอบแบบนี้ แต่จากที่ผมได้เปลี่ยนจาก DucaroGA 185/65R14 มาเป็น GIII 195/60R14 ก็พอเห็นว่ารถกินน้ำมันน้อยลง จากความรู้สึกตอนที่ปล่อยให้รถไหลเข้าหาไฟแดง  ก็รู้สึกว่า GIII มันไหลได้ลื่นกว่า แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มันประหยัดนั้น เป็นเพราะว่าหน้ายางที่กว้างขึ้น หรือว่าการขับขี่ของผม เพราะยางเก่าต้องเบาโค้งมากกว่า  เลยเร่งน้อยกว่า ตอนใช้ DucaroGA 185/65R14 ผมเติมลม 30/29 หลังจากมาใช้ GIII 195/60R14 ผมต้องเติมลม 30/27 ไม่งั้นด้านหลังมันกระเทือนมาก  ขับไม่ไหว จากคุณ : ton99   - [ 4 ก.ย. 49 20:05:20 ] จากคุณ : ton99 - [ 16 พ.ค. 50 18:45:08 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สงสัยตรงนี้ครับ /// ยางหน้ากว้างจะ สั้นแต่กว้าง ยางหน้าแคบจะยาวแต่แคบ ซึ่งทิศทางของแนวแรงการผลักรถไปข้างหน้า อยู่ในแนวยาว ดังนั้นแรงเฉือนของยางหน้าแคบจะอยู่ในทิศทางเดียวกันมากกว่าของยางหน้ากว้าง การสูญเสียจึงมีโอกาสน้อยกว่ายางหน้ากว้าง ทั้งนี้ปัจจัย และตัวแปรอื่นๆ เหมือนกันนะครับ เช่น เนื้อยาง ร่องยาง แก้มยาง ฯลฯ /// ตรงนี้หมายถึง เวลาที่ใช้แรงขับยางหน้ากว้าง แล้วยางมันจะวอกแวกน้อยกว่าหรือเปล่าครับ จากคุณ : ton99 - [ 16 พ.ค. 50 18:49:52 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณครับ คุณม้า และคุณต้น ผมให้ความเห็น และถามต่อดังนี้ 1.เราจะทดสอบ Rolling resistance ของยางสองแบบ ด้วยการลากรถผ่านเครื่องชั่งแบบแขวน(วางตัวแนวนอน)ได้ไหมครับ 2.ความกลมของยางหน้ากว้างที่มีมากกว่า ยางหน้าแคบ น่าจะมีผลต่อ Rolling resistance ค่อนข้างมากกว่าปัจจัยอื่นๆหรือไม่ครับ ไม่นับเรื่องน้ำหนักนะครับ เอาเป็นว่ารวยจนเปลี่ยนเป็นล้อเบาได้ อิ อิ (จึงมีผลทำให้ผมวัดอัตราสิ้นเปลืองเทียบกับยางเดิมแล้วไม่แตกต่าง) 3. ผมเข้าใจว่า ยางแก้มเตี้ย แต่กว้าง อาจมีน้ำหนักน้อยกว่ายางหน้าแคบ แก้มสูงที่เส้นรอบวงเดียวกัน(แต่ Moment of Inertia รอบแกนล้ออาจมากกว่า) 4.ตามที่ผมเข้าใจเรื่องการสูญเสียพลังงานในเนื้อยาง การเปลี่ยนความเร็วในรถระดับร้อยกว่าแรงม้า (เร่งเท่านั้น) น่าจะมีผลต่อการกินน้ำมันน้อยกว่า ปัจจัยเรื่องความกลมของยางค่อนข้างมาก คุณโอ๊ะเอ๊ะครับ ผมขออภัยจริงๆเรื่องประเด็นของคุณโอ๊ะเอ๊ะ ผมตอบไม่ได้เพราะผมไม่ทราบครับ กรณีของคุณโอ๊ะเอ๊ะนี่ คงต้องทดลองวัดอัตราสิ้นเปลืองดูครับ เพราะมันขึ้นกับลักษณะการใช้งาน และนิสัยการขับของผู้ขับด้วย เนื่องจากอัตราทดมันเปลี่ยนครับ จากคุณ : Ontjung - [ 16 พ.ค. 50 20:09:42 ]

ความคิดเห็นที่ 24 "ในกรณีที่ความเร็วคงที่ การสูญเสียในเนื้อของยางหน้ากว้างอาจน้อยกว่ายางหน้าแคบเพราะว่ายางแบนน้อยกว่า มีความกลมมากกว่า การเสียพลังงานจากการยืดหดของยางย่อมน้อยกว่า นี่อาจเป็นกรณีเดียวที่ยางหน้ากว้างได้เปรียบ รวมไปถึงยางแก้มเตี้ยด้วยครับ จะเสียพลังงานน้อยกว่ายางแก้มสูง" ถ้าการคำนวณของคุณ Num...na ที่คุณต้นเอามาฝากถูกต้อง ก็น่าจะไปในทิศทางเดียวกันกับที่ผมเขียนไว้ข้างต้นนะว่า ยางหน้ากว้างจะสูญเสียน้อยกว่า ที่ความเร็วคงที่และวิ่งในแนวตรง คำว่าความเร็วคงที่หมายถึงไม่มีแรงมากระทำต่อยาง การเบรค การเร่ง ถือว่ามีแรงกระทำบนยาง การปล่อยรถให้ไหลไปเฉยๆ ไม่มีแรงเกิดขึ้นบนยาง แม้ความเร็วของรถจะลดลงก็ตาม พยายามตอบคุณต้นเรื่องวอกแวก อันนี้ผมว่าคงต้องคิดกันต่อแล้วหละครับว่า อาการวอกแวกมันมาจากสาเหตุใดได้บ้าง ไม่ได้คิดไว้ครับ คิดไว้แต่เรื่องความคงที่ของแนวแรงครับ แต่ถ้าคิดแบบลวกๆ ตรงนี้ ผมว่ายางหน้าแคบจะวอกแวกน้อยกว่า ถ้าปริมาณการบิดตัวของหน้ายางเท่ากัน แต่มักไม่เท่าเพราะยางหน้ากว้างมีแนวโน้มที่จะบิดตัวได้น้อยกว่าอยู่แล้ว ปัญหาของยางหน้ากว้างหลายประการจะไม่เกิดขึ้น ถ้าแรงกดในแนวขวางและความเร็วเชิงเส้นเทียบกับถนน เท่ากันตลอดหน้ายางในแนวขวาง พยายามตอบคุณ Outjung ข้อ 1 ผมว่าการทดสอบด้วยการนำยางสองเส้นมากลิ้งในอ่างครึ่งวงกลมก็น่าจะได้ เพราะเกิดอัตราเร่งในเนื้อยางในจังหวะขึ้นและลง แต่แรงตรงนี้อาจน้อยเกินไปที่จะแสดงให้เห็นความแตกต่างนะครับผมว่า ข้อ 2 ความกลมมีผลมากครับ แต่อย่าลืมเรื่องของลักษณะร่องและดอกยางด้วยครับ ว่าเป็นแบบแนวยาวหรือขวาง ยิ่งมีร่องขวางมากเท่าใด ยิ่งไม่กลมครับ ข้อ 3 ครับ MOI ก็สำคัญครับ เมื่อมีแรงมากระทำบนยางให้เปลี่ยนความเร็ว ข้อ 4 แน่นอนครับว่า ความกลมของยางมีผลมากกว่า แต่ต้องมองด้วยว่ากลมกว่าแค่ไหนหละครับ ระหว่างยางหน้ากว้างและแคบที่ต่างกันไม่มาก ผมอาจเอายางหน้าแคบมาสูบลมให้แข็งกว่าเพื่อเพิ่มความกลม ให้เท่าหน้ากว้าง และยังได้เปรียบจากเรื่องอื่นๆ ด้วย อันนี้ตอบไม่ได้ฟันธงว่าตรงไหนพอดี ไม่มีใครคำนวณได้แม่นขนาดนั้น แต่ประสบการณ์และความรู้สึกจะช่วยบอกได้บางส่วนครับ ขอบคุณทุกๆ ท่านที่ร่วมให้ความรู้ครับ คุณ ต้น เดี๋ยวผมกลับมาคุยเพิ่มนะครับ มีเรื่องอื่นๆ อีก หรือคุณต้นช่วย e-mail มาที่ golf072001@yahoo.com ก็ได้ครับ จากคุณ : ม้า - [ 17 พ.ค. 50 07:45:46 A:124.121.160.51 X: TicketID:076491 ]

ความคิดเห็นที่ 25 "คำว่าความเร็วคงที่หมายถึงไม่มีแรงมากระทำต่อยาง การเบรค การเร่ง ถือว่ามีแรงกระทำบนยาง การปล่อยรถให้ไหลไปเฉยๆ ไม่มีแรงเกิดขึ้นบนยาง แม้ความเร็วของรถจะลดลงก็ตาม" จริงๆ ยังมีอยู่นะครับแต่น้อยมากเมื่อเทียบกับ แรงเบรค หรือแรงเร่งจากเคลื่องยนต์ สำหรับการทดสอบยางให้กลิ้งในอ่างครึ่งวงกลม ผมว่าก็คงต้องใส่โหลอใส่น้ำหนักลงไปด้วย อาจเอารถทั้งคันใส่ยางขึ้นไปวิ่งในอ่างด้วยเลย น่าจะเห็นผลชัดเจนกว่าการเอายางเปล่าๆ ขึ้นไปกลิ้งแบบที่บางยี่ห้อเอามาโฆษณา จะติดเครื่องวัดแบบแขวนวางตัวแนวนอนคงจะได้แค่วัด MOI ของยางนะผมว่า แต่ถ้าลองบน Dyno เลยจะดีกว่ามั๊ยครับ แต่ก็ตงจะยากอีก เพราะตัวแปรควบคุมมากเหลือเกิน ช่วยกันคิดละกันครับว่าจะ Life Test อย่างไร ผมเองก็อยากรู้ว่า ทฤษฎี กับ ปฏิบัตืมันห่างกันแค่ไหน จากคุณ : ม้า - [ 17 พ.ค. 50 08:34:46 A:124.121.159.30 X: TicketID:076491 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ในชีวิตจริง ผมกลับเติมลมยางหน้ากว้างให้มากกว่ายางหน้าแคบเพื่อรักษาแก้มยางครับ (หลังจากเติมเท่ากันมาก่อนนะครับ พอดีแก้มยางพังไปเส้นนึงตอนนี้เลยอัดซะ 36 psi) วัดโดยใช้เครื่องชั่งแขวนวางตัวแนวนอนนี่ วัดตอนความเร็วคงที่อ่ะครับ วัด Rolling resistance อย่างเดียว ผมเกรงว่าค่าแรงมันจะแตกต่างกันน้อยมากระหว่างยางสองแบบจนไม่นัยสำคัญน่ะสิครับ อิ อิ แต่ความแตกต่างน่าจะมากขึ้นตามความเร็วที่ลาก... ...น่าจะส่งเคสนี้ไปให้รายการ The Myth busters จริงๆ อิ อิ จะได้รู้กันว่า ที่ท่องกันมาว่ายางหน้ากว้างมันต้องฝืดกว่ายางหน้าแคบเสมอ มันมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญถึงขนาดต้องบ่นกันหรือไม่ สำหรับผมแล้ว กินน้ำมันเพิ่ม 5 เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่ามากแล้ว ต้องถอดออก แล้วเปลี่ยนคืน อิ อิ จากคุณ : Ontjung - [ 17 พ.ค. 50 11:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ยางแก้มเต็ยมี Rolling Resistance ต่ำกว่ายางแก้มสูงอยู่แล้วครับ ถ้าใส่ยางหน้ากว้างและแก้มเตี้ยกว่าเดิมมาก ผมว่าลื่นกว่าหน้าแคบแก้มสูงชัดเจนครับ ทั้งนี้การคำนวณที่เกี่ยวกับยางมักมี Assumption ว่า พื้นถนนและหน้ายางมีความเรียบสัมบูรณ์ ซึ่งในความจริงไม่ใช่เลย การคำนวณที่รวมเอาความไม่เรียบของพื้นถนนและหน้ายางเข้าไปด้วย ยังไม่มีใครทำสำเร็จครับ ก็คงต้องทดลองกันเอง แต่จากโจทย์ของเจ้าของกระทู้ บอกว่า แก้มสูงเท่ากันแต่หน้ากว้างกว่าตามขนาดที่บอกคือ 235 และ 265 ผมมั่นใจว่า 265 กินกว่าชัดเจนแน่นอนครับ จากคุณ : ม้า - [ 18 พ.ค. 50 11:18:44 A:124.121.159.223 X: TicketID:076491 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบพระคุณครับ ที่ให้ความรู้ เป็นประโยชน์มากเลยครับ จากคุณ : Ontjung - [ 19 พ.ค. 50 23:46:02 ]