ความคิดเห็นที่ 1 ลืมรูปครับ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : จขกท (sw_intertrade) - [ 18 มิ.ย. 50 13:01:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 การเติมลมยางที่ แข็งหรือ อ่อนต่างกัน ก็เพื่อ รักษาแรงเสียด ทางที่ถูกต้อง ระหว่างผิวถนน กับหน้ายางครับ หากล้อต้องรับ น้ำหนักมาก ลมยางอ่อน แรงเสียทานที่เกิดขึ้นก็มากจนเกินไป รวมถึง เกิดความไม่มีเสถียรภาพของยางด้วย จึงต้องสูบลมให้ แข็งขึ้น แต่หากว่า เราสูบลมแข็งมากๆ ทั้งๆ ที่มีน้ำหนักน้อยก็ จะทำให้ แรงเสียดทานระหว่างหน้ายางกับผิวถนน มีน้อยจนเกิน ไป ตลอดจน ไม่มีการให้ตัวของยางเลย ทำให้ลื่น และไม่จับ ผิวถนน ดังนั้น ลมยางจะเติมเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับน้ำหนักบรรทุกครับ รวมถึง ความกว้างของหน้ายางด้วยครับ ว่า เติมไปเท่าไหร่นั้น จะทำให้ยางมีเสถียรภาพบนพื้นถนนสูงสุด ต้องค่อยๆ ไล่ดูครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 18 มิ.ย. 50 13:13:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มันน่าจะมีสูตรคำณวนได้บ้างนะครับ ทุกวันนี้เหมือนเดาๆ กันหมดอยู่ เช่น ยาง 185/65R14 น้ำหนักรถรวมคนขับและทุกๆอย่างแล้ว ได้ 1500 กก ต้องเติมลมที่ 34.5 psi อะไรประมาณนั้นนะครับ น่าจะได้สมรรถนะที่สูงสุดนะครับ แล้วมันก็เติมไม่ยากด้วย ถ้ามันมีทศนิยมแค่ 1 ตำแหน่ง จากคุณ : tonapple - [ 18 มิ.ย. 50 13:24:06 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ^ ^ มันมีสูตรคำนวณแน่ๆ แหละครับ แต่ผมไม่รู้ เหอๆ ดูอย่างรถ F-๑ สิครับ ที่เขาต้องรู้น้ำหนักของผู้ขับ เพื่อเอาไปเติมลม อิอิ ยิ่ง Nascar ยิ่งแล้วใหญ่ เติมลมล้อรถ ๔ เส้น ไม่เท่ากันเลย จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 18 มิ.ย. 50 13:34:46 ]

ความคิดเห็นที่ 5 พอดีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ใครเคยเติมลมด้วย Nitrogen บ้าง มีคนบอกว่าอัตราการขยายตัวเมื่อร้อนต่ำกว่า ลมธรรมดา(Oxygen) และมีประโยชน์อย่างอื่นอีกหรือเปล่า และ เติมได้ที่ใหน? เนื่องจากลมธรรมดานี่ขยายตัวประมาณ ๒-๓ ปอนด์ เมื่อร้อนนะครับ จากคุณ : จขกท (sw_intertrade) - [ 18 มิ.ย. 50 14:02:04 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อืมม์ ยางซี่รี่ 55 เติมลม 38psi เดาว่าน่าจะเป็นสเป๊กเมืองหนาวนะ ความดันในยางจะไม่ขยายตัวมาก ประกอบกับน้ำหนักของรถค่อนข้างมากเลยให้เติมมากๆ ไว้ ปกติในเมืองไทยถ้าเติมลม 32psi วิ่งทางไกลจนยางร้อนมันจะเพิ่มเป็น 38-40 psi ถ้าวิ่งใน กทม จะเติม 30psi ผมว่าคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าวิ่งไกลๆ แล้วน่าจะเติมซัก 34psi นะ เพราะถ้าลมยางน้อยไปแก้มยางมันจะบิดตัวจนยางร้อนมากว่าปกติ จากคุณ : nat1234 - [ 18 มิ.ย. 50 14:20:55 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สูตรไม่รู้ แต่ให้หลักการคร่าวๆ อย่างนี้ 1. ยางแก้มเตี้ย เติมแข็งกว่า ยางแก้มสูง 2. ยางแคบ เติมแข็งกว่า ยางกว้าง 3. ยางเล็ก เติมแข็งกว่า ยางใหญ่ 4. น้ำหนักบรรทุกมาก เติมแข็งกว่า น้ำหนักบรรทุกน้อย 5. วิ่งเร็ว เติมแข็งกว่า วิ่งช้า 6. พื้นเรียบ เติมแข็งกว่า พื้นขรุขระ 7. พื้นแห้ง เติมแข็งกว่า พื้นเปียก 8. ล้อขับเคลื่อน เติมแข็งกว่า ล้อที่ไม่ได้ขับเคลื่อน 9. ยางอะหลั่ย เติมแข็งที่สุด อิอิ ถ้าเปลี่ยนยาง หรือดัดแปลงรถ เช่นติดถังแก็ส ก็พิจารณาเติมลมมาก/น้อย ตามหลักการข้างต้น ทั้งนี้ต้องไม่มากกว่าค่ามาก/น้อยสุด ที่ยางรับได้ครับ จากคุณ : จั๊กกะจี๋ - [ 18 มิ.ย. 50 16:58:52 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วค่อนข้างจะเป็นปกติ ของรถยุโรป ที่มักให้สูบลมแข็ง แต่เป็นผลดีต่อการขับเร็วครับ อย่างรถเพื่อน 850 ก็สูบเข้าไป 34-36 สำหรับคนน้อย คนมากให้สูบ 40 up ยางมาตรฐาน จากคุณ : Tors (ongtor) - [ 18 มิ.ย. 50 19:55:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 18 มิ.ย. 50 22:15:17 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณสำหรับทุกๆๆ ความเห็นที่มีประโยชน์ ช่วยกันเสริมทุกๆๆ แง่มุม แต่ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคห.๖ ว่า ปัจจัยเรื่องอุณหภูมิ มีผลต่อการกำหนดลมยางค่อนข้างมาก เนื่องจากบ้านเราอุณหภูมิเฉลี่ยค่อนข้างสูง ในขณะที่ในยุโรปอุณภูมิเฉลี่ยอาจะต่ำกว่ามาก ทำ ให้ลมยางในบ้านเรามีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นมากเมื่อร้อน นอกจากนี้สภาพถนนในบ้านเรา(โดยเฉลี่ย) ก็คงจะสู้ในยุโรปไม่ได้ ดังนั้นหากยึดกฎเกณฑ์ตาม คห.๗ และ ๘ ก็ต้องเติมต่ำกว่ามาตรฐาน(ของรถที่มาจากยุโรป) ผมคงมีคำตอบในใจแล้วว่าจะเลือกเติมลมยางตามมาตรฐานของผู้ผลิตรถหรือยางดี แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 50 22:37:43 จากคุณ : จขกท (sw_intertrade) - [ 18 มิ.ย. 50 22:36:25 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เติมตามคู่มือรถก่อน แล้วค่อยเอามาปรับแก้เอาเองอีกที ผู้ผลิตยาง  เขาไม่รู้หรอกครับว่า ยางเส้นจะมันจะไปอยู่ที่รถคันไหน เขาเลยบอกเอาไว้เป็นค่ากลางๆของเขา จากคุณ : ton99 - [ 19 มิ.ย. 50 01:14:58 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คห.10 ขอทำความเข้าใจตรงนี้นิดนึงครับ "ทำให้ลมยางในบ้านเรามีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นมากเมื่อร้อน" แสดงว่า คห.10 รู้อยู่แล้วว่า "เมื่ออากาศร้อนขึ้น จะขยายตัว และมีแรงดันเพิ่มขึ้น" แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า เรา ๐วัดลมยางที่อุณหภูมิปกติ" คือเมื่อยางเย็น สมมุติเมื่องไทย อุณหภูมิปกติ 30 ํ ซ. (วัดลมยางที่นี่) พอวิ่งยางร้อนขึ้นเป็น 70 ํ แสดงว่าอุณหภูมิสูงขึ้น 40 ํ ที่เมืองหนาว อุณหภูมิปกติ 10 ํ ซ. (วัดลมยางที่นี่) พอวิ่งยางร้อนขึ้นเป็น 70 ํ แสดงว่าอุณหภูมิสูงขึ้น 60 ํ ถ้าทั้งสองเมืองเติมลมที่อุณหภูมิปกติไว้เท่ากัน พอวิ่งเต็มที่ ยางร้อนเท่ากัน "ล้อเมืองหนาวจะมีแรงดันลมสูงกว่า" เพราะอุณหภูมิเปลี่ยนไปถึง 60 ํ ในขณะที่เมืองไทยอุณหภูมิเปลี่ยนไปเพียง 40 ํ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นมากกว่า แรงดันจึงเพิ่มขึ้นมากกว่าด้วย และสังเกตว่า ถ้าวิ่งเร็ว หรือวิ่งทางไกลจะแนะนำให้เติมลมมากกว่าปกติ เพราะเมื่อเติมลมมากขึ้น แก้มยางขยับตัวน้อยลง ความร้อนที่เกิดจากแก้มยางก็ลดลง อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงน้อย แรงดันจึงเปลี่ยนแปลงน้อยตามไปด้วย ผลพลอยได้คือ แก้มยางขยับตัวน้อยลง จึงลดความเสียหายต่อโครงสร้างยาง แต่ก็แลกกับความนุ่มนวลในการขับขี่ด้วยเช่นกัน ============================ คห.11 คิดในมุมกลับนะครับ ทำไมไม่เติมตามคู่มือยางก่อน แล้วค่อยเอามาปรับแก้เอาเองอีกที เพราะผู้ผลิตรถ  เขาไม่รู้หรอกครับว่า รถคันนี้จะมันจะใส่ยางเส้นไหน เขาเลยบอกเอาไว้เป็นค่ากลางๆของเขา จากคุณ : จั๊กกะจี๋ - [ 19 มิ.ย. 50 02:28:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จริงๆ เค้ามีสูตรคำนวณอยู่แล้ว แต่พวกเราหากันไม่ได้เท่านั้นเองครับ ข้อมูลเท่าที่ผมมีนะครับ - Corolla 3 ห่วง หนัก 1040 กก. ยาง 185/65-14 เติมลม 30 ทั้ง 4 ล้อ - Camry 2.4 หนัก 1450 กก. ยาง 215/60-16 เติมลม 28 ทั้ง 4 ล้อ - Innova 2.0 หนัก 1600 กก. ยาง 205/65-15 เติมลม 33 ทั้ง 4 ล้อ - Spacewagon หนัก 1600 กก. ยาง 215/55-17 เติมลม 33 ทั้ง 4 ล้อ ข้อมูลข้างบนนั้น กรณีใช้งานปกติ (บรรทุกไม่มาก ขับไม่เร็วมาก) ครับ ถ้าตามความรู้สึกของผม  A6 ของคุณ น่าจะไม่ต่ำกว่า 1500 กก. แต่ใส่ยางแค่ 205/55-16  ต้องเติมลมไม่น้อยกว่า 34 ปอนด์ล่ะครับ  ที่คุณเติมแค่ 30 เนี่ย คิดว่าน้อยไปเยอะเลยครับ จากคุณ : P_Wut - [ 19 มิ.ย. 50 09:29:40 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อีกเรื่องนึง เกือบลืม คุณใช้มาตรวัดลมยางที่ไหนวัดครับ? ผมแนะนำให้หาปั๊มที่มีเครื่องเติมลมอัตโนมัตินะครับ เติมที่ปั๊มนึงแล้ว แล้วลองหาโอกาสไปวัดที่ปั๊มอีกปั๊มนึงด้วย (จะวันถัดไปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องวัดเทียบติดๆ กันหรอกครับ แค่วันเดียว ลมยางแทบจะเหมือนเดิม สิ่งที่มีผลมากกว่าคือ อุณหภูมิลมยาง ร้อน/เย็น  ควรวัดหลังจากจอดมานานสัก 3 ชั่วโมงไปแล้ว) ผมเดาว่า เป็นไปได้ว่า มาตรวัดที่คุณใช้ อาจแข็งเกินไป  เพราะของผมก็เป็นครับ ผมซื้อที่วัดลมยางยี่ห้อ Michelin มาใช้ตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน (เดี๋ยวนี้ก็ยังดีอยู่ครับ) ผมพบว่า มันจะวัดได้ค่าน้อยกว่าค่าที่มาตรวัดดิจิตอลตามปั๊มไป 2 ปอนด์ครับ แต่ข้อดีของมันคือ มันสม่ำเสมออย่างนี้ มาตั้งแต่ตอนซื้อใหม่ๆ จนปัจจุบันน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 50 09:38:03 จากคุณ : P_Wut - [ 19 มิ.ย. 50 09:36:44 ]

ความคิดเห็นที่ 15 โดยทั่วไปไม่แนะนำให้เติมลมต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถกำหนดไว้ เพราะอาจทำให้ความสามารถในการรับภาระนน.ประกอบกับความเร็วลดลง อาจทำให้แก้มยางร้อนเกินและระเบิดได้ ดูคำแนะนำเพิ่มเติมจากlinkข้างล่าง http://www.tiresafety.com/maint/maint_ipressure.asp# จากคุณ : akeb - [ 19 มิ.ย. 50 09:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอข้อมูล load index ยางตามspecรถ และของยางที่ใส่อยู่ หน่อยครับ เผื่อจะพอแนะนำเพิ่มเติมได้ ตย. 205/55/R16   90H   XL                           ^     ^                         load   extra load (reinforced) tire (ถ้ามี)                         index จากคุณ : akeb - [ 19 มิ.ย. 50 10:03:25 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ค่าลมที่บริษัทยางแนะนำ  ไม่ 34 ก็ 36 ส่วนที่บริษัทรถแนะนำ  อันนี้มีสารพัด บริษัทยาง คงไม่รู้ว่ายางจะถูกเอาไปใส่ในรถรุ่นอะไร แต่บริษัทรถ  รู้แน่ๆว่าจะเอายางอะไรมาใส่กับรถรุ่นอะไร จากคุณ : ton99 - [ 19 มิ.ย. 50 20:45:21 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แหมดีจังมีเพื่อนๆ มา ร่วมกัน jam ให้ความรู้ต่อยอดไปอีก ทั้งนี้ผม ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติม ตามที่เพื่อนตั้งคำถามมาดังนี้ครับ -คห.13 น้ำหนักรถผมตามคู่มือประจำรถ Gross vehicle weight=2,065kg. Kerb weight=1,590kg. (ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะใช้นน. ใหนอ้างอิง แต่น่าจะเป็น Kerb weight ที่รวมนน.คนขับ75kg.) -คห.14 ผมก็ใช้ Michelin ตัวสีดำๆๆๆ(ก็ใช้มาเป็นสิบปีแล้วเหมือนกันครับ แต่ผมเคยวัดเทียบกับพวก Digital ตามปั๊ม Jet ก็ได้ค่าใกล้าเคียงกัน) -คห.15 อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้น แรกๆๆ ผมก็มีความเชื่อหัวปักหัวปำ เลยว่าผู้ผลิตรถน่าจะคำนวนค่าลมยางเพื่อให้ จุด optimal สำหรับสุนทรีย์ในการขับรถของเขา แต่หากเติมตามคู่มือ(38psi) ผมมีความรู้สึกว่ากะดูกสันหลังผมคงทรุดเร็วกว่าที่ควรจะเป็นแน่ -คห.16 ไปจดที่ยาง  TURANZA GR80 205/55/R16 เพิ่มมาได้คือ 91V ส่วนข้อมูลที่ติดมากับรถก็คือตามรูปที่แนบมา(ซึ่งรู้สึกจะไม่มีค่า load index) จากคุณ : จขกท (sw_intertrade) - [ 19 มิ.ย. 50 23:13:21 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ถ้าตามspecรถไม่มีค่าload index โดยทั่วไปถือว่าใช้load index เท่าไรก็ได้ แต่ถ้าตามspecระบุค่าload indexไว้ก็ต้องใช้ยางที่load index ไม่น้อยกว่าค่าตามspec ถ้าใช้ยางระบบแตกต่างจากspec เช่น P-Metric/Euro-Metric หรือ ยางXL (Extra Load, Reinforced) ก็อาจจำเป็นต้องเช็คload capacity(พิกัดน้ำหนักบรรทุกของยาง)ซึ่งจะแปรกับค่า load index และ แรงดันลม โดยต้องให้load capacityไม่น้อยกว่าของยางตามspec จากคุณ : akeb - [ 20 มิ.ย. 50 08:58:20 ]

ความคิดเห็นที่ 20 จาก คห. 19 รถคุณ kerb weight = 1590 kg  พอๆ กับ Innova และ Spacewagon ใช้ยาง 205/55-16 ซึ่งขนาดเดียวกับ Innova แต่แก้มยางเตี้ยกว่า ผมว่า น่าจะเติมลมสัก 33-34 ประมาณนี้แหละครับ เติมแค่ 30 ผมว่า อ่อนไปหน่อย เสี่ยงยางร้อน-ระเบิดนะครับ จากคุณ : P_Wut - [ 20 มิ.ย. 50 15:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อ้อ อีกอย่างนึง โดยมาก รถขับเคลื่อนล้อหน้า จะมีน้ำหนักแบ่งมาลงที่ล้อหน้า-ล้อหลัง ราวๆ 65-35 % ไปจนถึง 60-40 %  ของน้ำหนักรวม ดังนั้น ล้อหลังคุณจะเติมอ่อนกว่าล้อหน้าสักหน่อยก็น่าจะได้ แต่ก็อ่อนกว่า ไม่ควรเกิน 2 ปอนด์นะครับ (เป็น 33-31 หรือ 34-32 ประมาณนี้) จากคุณ : P_Wut - [ 20 มิ.ย. 50 15:19:44 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจาก http://www.bridgestone.co.th/th/prdt/prdt_dtl.aspx?id=3 เขาให้ข้อมูลว่ารับ นน.สูงสุด ได้ 545 kg ที่ลมยาง 36Psi (แต่ไม่ทราบว่าร้อนหรือเย็นนะครับ) 545.0 36.0 จากคุณ : จขกท (sw_intertrade) - [ 20 มิ.ย. 50 15:21:16 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมมีตัวอย่างมาให้ดู จะว่าน้ำหนักมากต้องเติมลมมาก  บางทีก็อาจจะไม่ใช่ Accord2.3  กับ Civic06  ใช้ยาง 195/65R15 เหมือนกัน แต่ Accord ให้เติมลมยางเอาไว้แบบนี้   ถ้าขับช้ากว่า 160km/h  ให้เติม 29psi ทั้ง 4 ล้อ ถ้าขับเร็วกว่า 160km/h  ให้เติม 32psi ทั้ง 4 ล้อ ส่วน Civic ให้เติมเอาไว้ 30psi ทั้งสี่ล้อ โดยไม่มีการแบ่งแยก ตามปกติแล้วน้อยคนนักที่จะขับเกิน 160km/h ดังนั้นสำหรับคนทั่วไปที่ขับ Accord ก็น่าจะเติมเอาไว้ที่ 29psi แต่จากที่ผมใช้ขับตามปกติจะเติมเอาไว้ 30-31psi เคยเติม 32psi แล้วขับออกทางไกลแล้วไปไม่เป็น  รถมันร่อนชมัด จากคุณ : ton99 - [ 20 มิ.ย. 50 15:48:56 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ได้จากเวบไซด์ของ บริดสโตน อีก ก็แนะนำให้ ยึดตามคู่มือผู้ผลิตรถ http://www.bridgestone.co.th/th/trsfty/trsfty_usgmntnnc_cretr_dtl06.htm แต่ในกรณีของผมเนี่ยหากเติมตาม มาตรฐานของผู้ผลิตรถ เนี่ย ทะลุพิกัดสูงสุดของยางเลย แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 50 17:20:33 จากคุณ : จขกท (sw_intertrade) - [ 20 มิ.ย. 50 17:19:03 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คคห.22,24 ข้อมูลจากlink ยาง205/55/R16 ความสามารถในการรับน้ำหนักสูงสุด 615 กก./เส้นที่ความดันลมยาง(เย็น) 36 psi ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นแรงดันสูงสุดที่เติมได้ของยาง ดูแรงดัน(เย็น)สูงสุดที่เติมได้ของยางได้จากmax pressureข้างยาง อาจเป็น 36 หรือ 44 หรือ 51 psi ***เพิ่มตย. ข้อมูลจากbridgestone.co.th ยางTURANZA ER60 195/60R15 ความสามารถในการรับน้ำหนักสูงสุด 560 กก./เส้นที่ความดันลมยาง 36 psi ค่าmax pressure จากข้างยาง = 44 psi แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 50 18:14:33 จากคุณ : akeb - [ 20 มิ.ย. 50 19:39:23 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณครับ คห.25 (คุณ : akeb) ผมตาลาย copy มาผิดบรรทัดครับ ยืนยันที่ถูกต้องคือ 615kg. แต่ยังยืนยันว่า หากเติมตามคู่มือรถคือ 38psi(ทั้งๆที่อยากทำตามคำแนะนำผู้ผลิตรถ) นี่ นั่งไม่ได้เลยครับ สะเทือนมากๆๆๆและกลัวช่วงล่างจะพังซะก่อน (โดยเฉพาะแถวบ้านผม ย่านรามอินทรา กม.12.5 ศูนย์การค้าแฟชั่น กำลังทำถนน) กำลังทดลองลดลงมา 28-29psi แต่ก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยกับยาง อย่างไรก็ตามหากมีความคืบหน้าอย่างไรจะกลับมารายงานให้ทราบครับ แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 50 09:04:44 จากคุณ : จขกท (sw_intertrade) - [ 21 มิ.ย. 50 09:04:04 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผมมีคำแนะนำจากเวปไซด์บริดสโตนส์http://www.bridgestone.co.th/th/trsfty/trsfty_usgmntnnc_cretr_dtl06.htm การดูแลรักษายางรถยนต์ อาจมีหลายท่านที่สงสัยว่าความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถยนต์ของท่านมากที่สุดนั้น ควรจะเป็นเท่าไหร่ ควรจะยึดถือที่จำนวนแรงม้าหรือน้ำหนักรถเป็นเกณฑ์ คำตอบที่ถูกต้องก็คือ ให้สูบลมยางตามคู่มือรถที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์กำหนดมา แต่ถ้าไม่ทราบ หรือไม่ ทราบว่าจะไปหาเกณฑ์กำหนดได้ที่ไหน ด้วยความที่เป็นรถเก่าแล้ว ให้ลองโทรศัพท์สอบถามจากบริษัท ผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ ก็ได้ อาจจะมีข้อมูลให้ทราบ ส่วนวิธีสุดท้ายให้เอาลักษณะการใช้งานและ ความชอบของผู้ขับรถเป็นเกณฑ์ โดยส่วนมากแล้วค่าเฉลี่ยของความดันลมยางของรถเก๋ง จะอยู่ที่ ประมาณ 28-30 ปอนด์/ตารางนิ้ว และประมาณ 35-40 ปอนด์/ตารางนิ้ว สำหรับรถกระบะ ในสภาวะการขับขี่ ทั่วไปที่ไม่บรรทุกหนัก ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เป็นรถเก๋ง ให้ลองเติมลมที่ระดับ 28 ปอนด์/ตารางนิ้ว ทั้งสี่เส้น แล้วลองใช้รถดู สังเกตดูว่ามีความนุ่มนวลระดับใด ใช้งานไปได้สักหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นก็ลอง เติมลมที่ระดับ 30 ปอนด์/ตารางนิ้ว ทั้งสี่เส้น แล้วสังเกตดูความแตกต่างว่ามีความแข็งกระด้างในการขับขี่ มากขึ้นหรือไม่ หรือเวลาเบรกสามารถหยุดได้ดีหรือไม่ ถ้ารู้สึกว่าแข็งกระด้างไป ก็ลองลดลมยางลงมา เหลือ 29 ปอนด์/ตารางนิ้ว ทำอย่างนี้แล้วลองสังเกตดู ท่านก็จะได้ใช้ยางที่เติมลมเหมาะกับสภาพการใช้งาน อย่างไรก็ตาม ในการตรวจเช็คและปรับแต่งลมยางนั้น ให้ทำเมื่อยางยังเย็นหรือทำในตอนเช้าก่อนใช้งาน ด้วยเกจ์วัดลมที่ได้มาตรฐานอันเดียวกันเท่านั้น จึงจะได้ค่าแรงดันลมยางที่ถูกต้อง จากคุณ : จขกท (sw_intertrade) - [ 21 มิ.ย. 50 10:01:21 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณsw_intertrade ประเด็นใช้ลมยางตามผู้ผลิตรถหรือตามผู้ผลิตยางผมให้ความเห็นคคห.15ไปแล้ว ไม่ได้ต้องการโต้แย้งอะไรอีก แต่อยากแนะด้วยความหวังดีว่าก่อนจะลองใช้แรงดันลมที่อ่อนกว่าที่ผู้ผลิตรถน่าจะถามผู้ผลิตรถเขาโดยตรงให้แน่ใจก่อนจะดีกว่า ประเด็นคือการใช้แรงดันต่ำเกินไปมันอาจเกิดอันตรายได้ linkตามคคห.15ที่บอกว่า Many people ask "what air pressures do you (meaning tire companies) recommend for cars under normal conditions?" The answer is "we recommend what the vehicle manufacturer recommends." ก็เป็นของBridgestoneนั่นแหละครับ จากคุณ : akeb - [ 21 มิ.ย. 50 18:41:03 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ คห.28(akeb) ผมเห็นด้วยกับคำแนะนำของคุณฯ และก็อย่างที่ผมเกริ่นไว้แล้วว่าเดิมทีผมก็เชื่อว่าข้อมูลของผู้ผลิตรถน่าจะเชื่อถือได้มากที่สุด แต่สงสัยผมจะแก่แล้ว(45+2yr) 5555 นั่งรถกะด้างๆๆ แข็งๆๆๆ เนี่ยทนไม่ค่อยไหวครับ แต่อย่างไรก็ตามผมยอมเสี่ยงหาจุดที่ลงตัว แต่ก็เสี่ยงตามคำแนะนำของผู้ผลิตยาง(Bridgstone) นะครับ โดยผมคิดว่ามีเหตุผลสนับสนุนที่จะทำอย่างนี้เนื่องจากปัจจัยสภาพแวดล้อมในไทยและเยอรมันน่าจะแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ(โดยเฉพาะปัจจัยสำคัญคือ อุณหภูมิเฉลี่ยและสภาพถนน) และจากข้อความในคห.27 ที่ทางผู้ลิตยางให้หาจุดเหมาะสมตั้งแต่ 28psiขึ้นไ ป และแรงดันที่เหมาะสมสำหรับรถเก๋งก็อยู่ในช่วง 28-30 psiและสูงสุดที่ 36psi แต่หากขับทรงใกลผมคงต้องเติมจากปกติขึ้นมาอีกสัก 2-3 ปอนด์ แน่นอนครับ เพราะก็กังวลต่อผลเสียที่อาจเกิดกับยางหากใช้ระดับลมยางเดียวกับในเมือง ขอบพระคุณทุกๆๆ ความเห็นอีกครั้งครับ จากคุณ : จขกท (sw_intertrade) - [ 22 มิ.ย. 50 12:44:12 ]