ความคิดเห็นที่ 2
ในช่วงต้นยุค1980 มีการแต่งหน้าทาปากครั้งใหญ่สุดก็ตอนปลายปี93 ยังไงๆดีไซน์ของมันโดยรวมนั้นก็ประมาณ2ทศวรรษแล้ว ผมมักไม่ค่อยเห็นสาวที่ไหนถวิลหาอยากขับ124นัก ถ้ามีก็คงเป็นคนที่รสนิยมแปลกดี
สำหรับ124นั้นมีเครื่องเบนซินที่ไม่ได้ใช้หัวฉีดจ่ายน้ำมัน(ใช้คาร์บู)มีรุ่นเดียวคือ "200" ซึ่งในไทยผมไม่เคยเจอ แต่ถ้าใครไปสิงค์โปร์เมื่อ18ปีที่แล้วบ่อยๆจะเจอ ส่วนรุ่นที่ขายในไทยอย่างเป็นทางการจริงๆก็จะมี 230E,300E พวกนี้เหยียบ สยามตั้งแต่ประมาณปี88 เครื่องยนต์เป็นหัวฉีด แต่หม้อกรองอากาศจะบานโตเหมือนเครื่องคาร์บู หัวฉีดแบบกลไกกึ่งไฟฟ้า ทนทานมากไม่ค่อยมีอะไรเสียง่ายๆแต่ถ้าเข้าศูนย์ก็มักจะโดนหลอกเปลี่ยนหัวฉีดประจำ
230Eและ300EมาแรกๆในลักษณะของรถCode Aไม่มีกาบ ซึ่งถูกมากและเก่าที่สุด ถ้าเป็นรถปี90ขึ้นมาจะมีกาบข้าง ไฟหน้าจะเปลี่ยนจากสีเทาเป็นสีเงินออกขาว มือจับเปิดประตูมีโครเมียมคาด ภายในมีลายไม้ตรงแผงประตู ที่เท้าแขนบนเบาะหลังจะไม่เว้าหลบหัวเสียบเข็มขัด พวกนี้นักเลงเบนซ์เรียกว่ารถมีกาบ หรือรถ Code B (รถCode AกับBนี้รวมกันทั้งสองพวกเรียกว่าพวกอีหลัง เพราะตัวEอยู่ข้างหลังเลขรุ่น)
ปี92 ตั้งแต่เดือนกันยายนมาพวกเครื่องยนต์เดิมที่มีสองวาล์วต่อสูบและหัวฉีดกลไกกึ่งไฟฟ้า มันเริ่มล้าสมัย เค้าก็เอาเครื่องตัวใหม่ที่เป็นทวินแค็ม 4วาล์วต่อสูบที่ทันสมัยกว่ามาใส่ โดยจะมีรุ่น200E, 220E,และ280E รถพวกนี้จะมีลักษณะเหมือนรถ Code Bเดิมทุกประการยกเว้นพวงมาลัยที่มีถุงลมนิรภัยแล้ว และกระจกส่องข้างทั้งสองด้านจะปรับด้วยไฟฟ้า ของเดิมจะไฟฟ้าด้านคนนั่ง แต่ด้านคนขับต้องยกมือปรับเองตรงก้านข้างในรถ
ปี93 เค้าก็เปลี่ยนเอาตัวEมาไว้ข้างหน้าตัวเลข3ตัว แล้วก็เปลี่ยนไฟหน้า กระโปรงหน้า กระัจังหน้า กันชนหน้า(ต่างกันที่วัสดุบางส่วน)กันชนหลัง(แถบกันกระแทกจะยาวมาจรดบังโคลนหลัง) ไฟเลี้ยวหน้า ไฟท้ายทั้งกะบิ ฝากระโปรงหลัง ส่วนภายในจะเหมือนCode Bที่เป็นเครื่องทวินแค็ม เจ้ารถปี93นี่เค้าเรียก Code C และมีอีกชื่อนึงว่าพวก E หน้า
การเลือกซื้อนั้น ตัดพวกCode Aออกไปดีกว่าเพราะตอนนี้ส่วนมากต้องรอการบูรณะกันพอสมควร เหมาะกับคนที่ไม่เบื่ออู่ง่าย เช่นพวกนักเลงรถที่ซื้อไปแต่งต่อหรือวางเครื่องญี่ปุ่นแรงๆ
จากนั้นก็คงเหลือ Code Bไม่ก็ C ก็ให้เลือกตามระดับความแรงที่ต้องการว่าจะเอาแบบไหน
กลุ่มวิ่งเรื่อยๆ ไม่กินจุมากนักก็คือ
E200 - ราคาไม่แรง ได้รถใหม่ เครื่อง136ม้า ขับก็งั้นๆ แต่ระวังพวกรถfleetที่มาจากบริษัทหรือโรงแรมที่ใช้งานมาอย่างหนักหน่วง มีไม่มากเท่าพวกE200Dieselสนามบิน แต่ก็มี ก็จงระวัง
230E - รถจะปีเก่า และเครื่องก็จะเป็นเทคโนโลยีเก่า กินน้ำมันกว่า220 แต่มีข้อดีคือราคาไม่แรงและความหรูเอาเข้าจริงก็ไม่ต่างจาก300E
E220 - ปีจะใหม่กว่า เครื่องยนต์เล็กกว่า230Eอยู่100cc แต่มี16วาล์วและมีระบบที่คล้ายVVTi ของโตโยต้านี่แหละ เลยเร่งดีด้วย และกินน้ำมันน้อยกว่ารถญี่ปุ่นหลายคันที่เครื่องเล็กกว่าแต่ตัวเท่าๆกัน
และถ้าเป็นกลุ่มเท้าหนัก เน้นแรง
300E - ราคาทุกวันนี้ถูกลงมาก เพราะอะไหล่เครื่องบางส่วนเริ่มหายากแล้ว ่เครื่องส่วนมากมักจะโทรมแค่รายละเอียดภายนอก แต่ไส้ในเครื่องนั้นใช้งานได้นานปีชนิดที่ว่าถ้าใช้รถปีละ20,000โล และ่ใช้รักษาเป็น กว่าจะยกเครื่องออกมาเปิดทำภายในใหม่ อาจจะต้องรอ10ปี
E280 - เครื่องเคราทันสมัยกว่า ใช้กล่องคุมแบบไฟฟ้าคุมเครื่องแบบเต็มขั้นเหมือนรถญี่ปุ่นสมัยใหม่ แรงดีถูกใจคนเท้าหนักแน่ๆ แต่6กิโลลิตรกับการขับแบบเค้นๆก็เป็นเรื่องปรกติ บางคันที่เซ็นเซอร์จุดต่างๆที่เครื่องยนต์เริ่มเสื่อม อาจจะหนีไม่พ้น5โลลิตร ไม่ต่างอะไรกับ300Eเลย บทไม่สมบูรณ์ก็จะกินชนิดกะดูดบ่อน้ำมันหมด
ถ้าไม่ได้ขับรถเร็วมากนัก หรือขับเร็วแต่เร็วแบบค่อยๆไล่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ใจร้อนชอบเอาเข็มวัดรอบฟาดเกิน5000ประจำ E220 ถือว่าเพียงพอ
ถ้าเทียบกับViosใหม่ ยังไงพูดถึงความคล่องViosเหนือกว่าแน่ถ้าเป็นในเมือง คันเร่งและเบรคเบากว่ากันแบบคนละเรื่อง พวงมาลัยเบนซ์จะหนักกว่า ฉะนั้นการขับในเมืองเบนซ์จะไม่เบาสบายมือและเท้าเท่า แต่ถ้าออกเดินทางต่างจังหวัดโดยเฉพาะถ้าคอสะพานห่วยๆเยอะ เบนซ์จะให้ความรุ่นสึกที่มั่นคงกว่า นั่งแล้วเมาน้อยกว่า
ถ้าสนใจมากเรื่องความสบายในการนั่ง เบาะใหญ่ๆของ124กับความกว้าง1740mmก็เห็นผลได้ชัดจากเนื้อที่เบาะหน้าสบายเหลือๆ คอนโซลหน้าไม่ใหญ่เบียดบังที่เหมือนรถขับหลังบางยี่ห้อ และที่เท้าแขนที่ใช้งานได้จริง คือใช้เท้าแขนได้จริง ไม่ใช่เอาไว้คอยทิ่มข้อศอก
การใช้124 สมมติว่าถ้าซื้อมาใช้ กรุณาระวังเรื่องกระจกส่องข้าง เพราะมุมมองนั้นเป็นมุมที่แคบมากและจุดบอดเยอะ ถ้ามีรถอยู่ข้างขวาและค่อนๆไปทางหลังเวลาเปลี่ยนเลน ถ้าไม่หันมามองก่อน ชนแน่
และคันเกียร์ขั้นบันไดของมัน ก็ควรระวังเพราะไม่มีปุ่มใดๆในการล็อคหรือปลดล็อคเพื่อเลื่อนคันเกียร์ และคันเกียร์สามารถเลื่อนไปมาได้โดยที่เท้าไม่ต้องเหยียบเบรค ต้องระวังมือไม่ให้ไปโดน
เท่าที่ยังจำได้นะครับ ผมให้เป็นข้อมูล เนื่องจากขายรถไปนานแล้วดังนั้นอาจจะต้องตรวจสอบ ราคาใหม่ เดิมที่ใช้อยู่เป็น e220 ตัว code c ปี 93
ค่าของสิ้นเปลือง 1. กรองน้ำมันเครื่อง (ยี่ห้อ knetch) ราคา 150 บาท เปลี่ยนทุกๆ 10,000ก.ม. พร้อมน้ำมันเครื่อง (ใช้ไม่เกิน 7 ลิตร ซื้อของ PTT แบบ semi-syn) 2. กรองอากาศ (ยี่ห้อ knetch) ราคา 450 บาท เปลี่ยนทุกๆ 10,000ก.ม. เพราะทางวิ่งมีแต่ฝุ่น 3. หัวเทียน (ยี่ห้อ bosch) ราคาหัวละไม่เกิน 50 บาท เปลี่ยนทุกๆ 20,000ก.ม. 4. กรองน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ราคา 120 บาท เปลี่ยนทุกๆ 20,000ก.ม. พร้อมน้ำมันเพาเวอร์ตอนนั้น ใช้ caltrex เกรด dexron III ใช้ไม่เกิน 1 ลิตร 5. กรองเกียร์และประเก็นอ่านน้ำมันเกียร์ ราคา 800 บาท เปลี่ยนทุกๆ 20,000ก.ม. พร้อมน้ำมันเกียรเป็นเกรด dexron III ปริมาณไม่เกิน 7 ลิตร 6. กรองน้ำมันเบนซิน (ยี่ห้อ knetch) ราคา 450 บาท เปลี่ยนทุก 40,000ก.ม. 7. น้ำมันเบรกเป็นเกรด dot 4 ใช้ไล่และเติมระบบไม่เกิน 1 ลิตร ราคาพร้อมค่าแรงเปลี่ยนที่B-quik ไม่เกิน 500 บาท เปลี่ยนทุกปี หลังหน้าฝน 8. สายพานเครื่อง (ยี่ห้อ continental) ราคา 450บาท ดูสภาพแต่เปลี่ยนเพราะต้องการความมั่นใจทุก 40,000ก.ม. 9. ผ้าเบรกหน้า (ยี่ห้อ textar) ราคา 1,500 บาท 10. ผ้าเบรกหลัง (ยี่ห้อ textar) ราคา 1,000 บาท 11. สายไฟเตือนผ้าเบรกหมดเส้นละ 50 บาทมีสองเส้น 12. น้ำมันเฟืองท้าย (ต้องยี่ห้อ Benz เท่านั้น) ใช้ไม่เกิน 2 ลิตร ราคาจำไม่ได้อะ
ค่าของที่เปลี่ยนเมื่อคราวมีเคราะห์ 1. shock absorber (ยี่ห้อ บินกระจาย) 4ต้น เบอร์ 2 ราคาไม่เกิน 9,000 บาท 2. ลูกลอยถังน้ำมัน (ยี่ห้อ vdo) ราคา ไม่เกิน 2,500 บาท 3. air mass sensor (ยี่ห้อ bosch) ราคาไม่เกิน 9,000 บาท 4. Oxygen sensor (ยี่ห้อ bosch) ไม่เกิน 3,500 บาท 5. ผ้าบุหลังคา ราคาซ่อมไม่เกิน 3,000 บาท 6. ยางหูช้าง(กระจกมองข้าง) คู่ละไม่เกิน 700 บาท 7. ยางรองแท่นเครื่องฝั้งใกล้ท่อไอเสียมักจะกลับ เยอรมันก่อนอีกฝั่ง แต่ราคาตัวละไม่เกิน 2,000 บาท 8. ไดชาร์ต (ยี่ห้อ bosch) ขนาด 90 แอมป์ ของใหม่ ราคาไม่เกิน 9,500 บาท ของซ่อมไม่เกิน 3,500 บาท
ถามว่าจุกจิกไหม
ไม่เลยโคตรทนตีนเลย อัตราเร่งดีไม่เหนื่อยในการขับ ไม่วอกแวกเวลาใช้ความเร็วสูง เบรกมั่นใจว่าไม่พาไปมิด พี่เขามีแรงวิ่งสูงสุดไม่เกิน 210กม. ตาม specของโรงงาน
ซดไหม
ตอนนั้นใช้ gasohol 95 ก็ทำได้ไม่ต่ำกว่า 13โลต่อลิตร ในความเร็วต่ำกว่า 120ก.ม. ต่อ ช.ม. ตอนออกต่างเมือง
แล้วทำไมขายอะ
ก็มันผุอะพี่ เวลาไปซื้อดูที่ซุ้มล้อหลังดีๆ นะ และถ้าพี่โชคดี ซุ้มล้อหลังสด ก็อาจจะหมดโชคที่ซุ้มล้อหน้าได้ พยายาม หารถประกอบนอกนะพี่
เทียบกับพี่ยุ่นเป็นอย่างไร
หากกลับไปได้จะเอาพี่ w124 ไปพ่นกันสนิมอะจะได้อยู่ กันนานกว่านี้ ตอนนี้ขับ wish อยู่
โอ้โห อะไหล่บางอย่างแพงกว่ามากๆ เช่น สายพานเครื่อง ราคา wish ประมาณ ไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท อาจจะมีคน เถียงว่าก็ toyota เบิกห้าง benz ไปซื้อหลังวัดโสม
พี่ๆ คนรู้จักที่ยังเอา 124 เข้าห้างนะสายพานเขาคิดราคา แค่ 920 บาทเอง
แต่จริงๆ อาจจะมีถูกแพงสลับกันไป แต่เท่าที่กลับมาใช้รถพี่ยุ่นตอบเลยว่าไม่โดนใจเท่า 124 ทั้งค่าดูแลและการขับ
จากคุณ :
copy มา2
- [
9 ก.ค. 50 22:27:58
A:203.113.70.8 X: TicketID:149721
]
|
|
|