ความคิดเห็นที่ 15
คุณเห็นโฆษณาแกสโซฯ ทุกวันไหม
เพระนายต้นและหลายคนรู้กันผิดๆ
จนทำให้ต้องเอาเงินภาษีมาละเลงเล่น
ลองดูบทบรรยาย
GASOHOL = GASOLINE + ALCOHOL (GASO + HOL) E10 = ETHANOL 10% YEAR 2008 up E20 >>> E85 E100 เราจะคุยเรื่องไร้สาระ ให้มีสาระ !!! เพราะอี10 ในไทย มีค่าความร้อนใกล้เคียงเดิม และมีออกเทนเท่าเดิม จะมีอะไรคุยอีกเหรอ ? คนกลัว ไม่กล้าใช้ เพราะกลัวรถพังหรือโทรม รถในไทยแพง จึงรักเหมือนลูก ไม่ใช่กลัวกินหรือแรงตก ปัญหาคน...กลัว เพราะเริ่มต้นประกาศว่ามีรถอะไรใช้ได้บ้าง แสดงว่ามีรถที่ใช้ไม่ได้ แต่ตอนนั้นไม่มีใครชัดเจนว่า...ใช้ไม่ได้เพราะอะไร ? ต่อมาจะยกเลิกเบนซิน และตอนนี้บอกว่าใช้ได้ทุกคัน-ไม่พัง คนงงกับความกลับกลอก ! คนกลัวไม่แรง เพราะเห็นเบนซินไฟลุกพรึ่บแรงกว่า แต่ลืมไปว่าแอลกอฮอล์ก็จุดไฟติด ลวกคนได้เละ และดื่มลงคอก็ร้อนวาบ-บาดคอ การดูดน้ำ พิสูจน์ง่ายๆ ใส่แก้ววางไว้ แต่ถังน้ำมันไม่ได้เปิดโล่ง และนี่คือแค่อี10 ไม่ใช่อี100 สมมุติถึงจะมีปน เครื่องก็ไม่พัง เผาน้ำหมดได้ (อี100 บริสุทธิ์ 99.5%) การระเหย คนคุ้นเคยกับการทาแผล แต่อย่าลืมว่าเวลาใช้เบนซินล้างชิ้นส่วน หรือโดนมือก็แห้งเร็ว หรือดูจากตอนเติม หัวจ่ายไทยไม่มียางกลมปิด ส่องดีๆ จะเห็นไอขึ้นแรงมาก และอย่าลืมนี่คืออี10 ไม่ใช่อี100 มลพิษ ใช้เอธานอล-แก๊สโซฮอล์ ไอเสียโดยรวมสะอาดกว่า แต่คนมองข้าม เพราะไกลตัว สนใจแต่ราคาถูก A/F AIR /FUEL RATIO อากาศ/เชื้อเพลิง โดยน้ำหนัก (LAMBDA 1 = พอดี-ขับปกติ หรือ 0.82-.092 เร่ง) เบนซิน 14.7 ต่อ 1, เบนซิน + เอ็มทีบีอี 14.5 ต่อ 1, อี10 (แก๊สโซฮอล์) 14.2 ต่อ 1 เบนซิน 91-95 ปริมาตร 1 ลิตร หนัก 0.74 กิโลกรัม / แก๊สโซฮอล์ 91-95 หนัก 0.75 กิโลกรัม (เบนซินล้วน 1 ลิตรหนัก 0.72-0.74 กิโลกรัม เอธานอลหนัก 0.79 กิโลกรัม) อากาศ 100 กรัม ใช้เบนซิน+เอ็มทีบีอี 6.90 กรัม, แก๊สโซฮอล์ 6.90 กรัม x 14.2 (ค่าเอ/เอฟ) = ใช้อากาศ 98 กรัม เหลืออากาศ 2 กรัม หาร 14.2 จะต้องใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่ม 0.14 กรัม เทียบกับฉีดเดิม 6.90 กรัม การเพิ่ม + 0.14 กรัม คือ + 2 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก แต่โดยซีซีจะลดการเพิ่มลงไปอีกนิด HEAT CONTENT / VALUE ค่าความร้อน ผลต่อแรงถีบลูกสูบ = พลังงาน จริงๆ แล้วอี100-เอธานอล ทำได้แรงกว่าเบนซิน ถ้าทำเครื่องรองรับ ถ้าใช้เอธานอลล้วน เทียบโดยเบนซินล้วนๆ ร้อน 18,000 บีทียูต่อปอนด์ เอ/เอฟ 12.5 (ตอนเร่ง) จึงใช้อากาศ 12.5 ปอนด์ ดังนั้นเอธานอล เอ/เอฟ 7.65 จะต้องใช้ 1.63 ปอนด์ (ร้อนปอนด์ละ11,500 บีทียู) ได้ค่าความร้อนรวม 18,790 บีทียู ร้อนและแรงกว่าเบนซิน และเมื่อทำอัตราส่วนการอัดได้มากกว่า เพราะออกเทน108 ก็จะแรงกว่าเบนซิน เบนซิน 95 = 43.16 MJ/KG แก๊สโซฮอล์ 95 = 43.50 MJ/KG เบนซิน 91 = 44.49 MJ/KG แก๊สโซฮอล์ 91 = 43.15 MJ/KG ค่าความร้อนต่อปอนด์ (สากล-BTU) เบนซิน 18,000-19,000 / เอธานอล 11,500 / เอ็มทีบีอี 15,100 / แอลพีจี-โพรเพน 19,800 บริษัทน้ำมันมีกรอบกำหนดการผลิตด้านค่าความร้อน จึงมีลูกเล่นได้บ้าง น้ำมันเบนซินทุกวันนี้ก็คุณภาพไม่เท่ากันเป๊ะ แต่อยู่ในข้อกำหนด ล้วนพยายามทำเบนซินให้ได้กำไรสูงสุด โดยไม่หลุดขอบข้อกำหนด คุณภาพดิ้นได้ แต่เป็นไปตามกรอบและได้กำไรดี หาทางเอาไปทำกิจการปิโตรเคมีให้ได้กำไรมากๆ OCTANE 85 -120 ok ผล = ชิงจุดยาก ถ้าออกเทนสูง / อัตราส่วนการอัด CR สูงได้ ถ้าออกเทนสูง / หากออกเทนสูง จะลามช้า / ผลต่อวาล์วไทม์มิ่งของวาล์วไอเสีย ไม่พังภายนอก / บรรจุ - ไหลผ่าน แค่ E10 ทนได้ ถ้ากัดก็แผ่วๆ (ในบางชิ้นเท่านั้น) ถ้ากลัวพัง เปลี่ยนท่อยางใหม่แท้ หรือทดแทนเป็นแบบ 2 ชั้น เมตรละ 100-200 บาท รถเก่าอยากใช้ ดูแล เปลี่ยนท่อยาง ไม่กี่ร้อยบาท หาสเปคไม่ได้ทดสอบเองได้ แช่-อัดแรงดัน เร่งน่าจะดี เพราะเอ/เอฟเดิมตอนเร่งมักหนาเกิน เนื่องจากอากาศที่เข้าได้น้อยลง ไม่พังภายใน (เผาไหม้) ในเมื่อออกเทนเท่าเดิม ไม่เขก ไม่ลามช้า ก็ไม่เผาวาล์วไอเสียและบ่า ไม่มีลูกสูบ แหวน วาล์วสำหรับเชื้อเพลิงแต่ละชนิด เห็นแต่มีของดีกว่า ที่ทนแรงดันได้ดีกว่า เพราะจุดระเบิดแรงจากเทอร์โบ-ซูเปอร์ชาร์จ ไม่มีสำหรับเอธานอลหรืออื่น กินเพิ่มแน่ แต่ 1-2% เพราะต้องฉีดเพิ่ม จากเอ/เอฟที่เอธานอลกินอากาศ (ออกซิเจน) น้อยกว่า ออกซิเจนเหลือเยอะขึ้นเล็กน้อย อีซียูสั่งฉีดเพิ่มแน่ แต่นิดเดียว ดูจากโอบีดีทูในรถบางรุ่นได้ แรงอาจไม่ตก-แรงขึ้น เพราะค่าความร้อนพอๆ เดิม ซีซีที่ฉีดเท่าเดิม ส่วนใหญ่เครื่องเดิมๆ เร่งแล้วหนาเกินไป อี10 ใช้อออกซิเจนน้อย แสดงว่าเอ/เอฟจากหนาน้อยลง ใกล้จุดพอดีมากขึ้น อี10 ราคาถูกกว่าลิตรละ 3 บาท ไม่ใช่เพราะถูกกว่า เพราะเก็บเงินเข้ากองทุนฯ น้อยมาก แก๊สโซฮอล์ 95 เก็บแค่ 0.8 บาท และ 91 เก็บแค่ 0.3 บาทต่อลิตร ส่วนเบนซิน 95 เก็บ 3.9 บาทต่อลิตร 91 เก็บ 3.6 บาทต่อลิตร น้ำมันดิบ คือ รางวัลของมนุษย์ชาติที่ให้ก้าวหน้าเร็ว เพราะนำมาใช้ง่าย เสียพลังงานในการนำมาใช้-น้อย คนจึงชื่นชอบและลุ่มหลงในการใช้ การหาอะไรทดแทน ยากและต้องอดทนในการพัฒนา อี100 เสียพลังงานมากในสารพัดขั้นตอน แต่ดีที่ได้พึ่งพาตนเอง ได้ผลเร็วและชัดเจน ไม่ต้องรอล้านปี ไม่ต้องทนกับคนปั่นราคา คนไทย มีโครงการทำรถแข่ง วิ่งอี10, อี100 และแอลพีจี หัวฉีด 2 ชุดๆ แรกสำหรับ อี10และอี100 อีกชุดสำหรับแอลพีจี (หรือซีเอ็นจี) กล่องอีซียูใบเดียว แต่หลายโปรแกรมสั่งจ่าย และไฟอ่อน-แก่ต่างกัน การแข่งรถ แนวทางการเลือกเชื้อเพลิง อาจต้องยอมร้อนต่อหน่วยน้อย แต่มีค่าเอ/เอฟต่ำ ใส่เชื้อเพลิงเข้าไปได้เยอะจนกว่าออกซิเจนจะหมด และมีออกเทนสูง ทำกำลังอัดได้สูง รวมแล้วมักดีกว่าพวกค่าความร้อนเยอะ แต่เอ/เอฟบาง วิ่งอี100 เอธานอลล้วน ถ้าเครื่องกำลังอัดสูง จ่ายได้พอดี ไฟแก่ รับออกเทน 108 ได้ เมื่อทำเอ/เอฟแถวๆ 7.5- 8 ต่อ 1 จะได้ค่าความร้อนรวมมากกว่าวิ่งเบนซิน+เอ็มทีบีอี ที่มีออกเทน 95 ซึ่งกำลังอัดเครื่องต้องต่ำกว่า และมีค่าความร้อนรวมน้อยกว่า (ทั้งที่ต่อซีซีร้อนมากกว่า) เพราะเบนซิน+เอ็มทีบีอี ใส่ได้เต็มที่แค่เอ/เอฟ 12.5 13.0 ต่อ 1 www.lambdajet.com กล่องอีซียูแต่ง โดยคนไทย พ่วง-พิกกี้แบ็คก็ได้ สแตนอโลนก็ได้ A/F เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ เพราะเครื่องไม่ปฏิเสธเชื้อเพลิงต่างชนิด ที่ต้องการเอ/เอฟต่างกัน และต่อไปจะต้องมีสารพัดเชื้อเพลิง เพราะคนหนีน้ำมันดิบที่แพงขึ้ง และราคาขึ้นกับการปั่น ไม่ใช่แพงเพราะกำลังผลิตจริง A/F METER WIDEBAND อ่านได้เอ/เอฟ 10 ต่อ 1 ถึง 20 ต่อ 1 ตัวละหมื่นกว่าบาท ดีกว่าเครื่องวัดซีโอ (www.plxdevices.com / www.tuneyourengine.com) เอธานอลมายืดอายุตลาดเครื่องสันดาปภายใน โดยบริษัทรถชื่นชอบพลังงานทดแทน ที่ยังใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในหรือแก๊สโซลีน เพราะใช้พื้นฐานเดิมมาปรับปรุง ไม่เสียเงิน-เวลาพัฒนาแบบไฮบริดหรือรถไฟฟ้า เอาธานอล เอ็นจีวี แอลพีจี ล้วนใช้กับเครื่องยนต์ได้ ต่างแค่เอ/เอฟ, จังหวะไฟจุดระเบิด หรืออัตราส่วนการอัดเท่านั้น ถ้าทำได้พอดี ไม่มีอะไรเสี่ยง ไม่มีคำว่าแห้ง แนวโน้มรถ 15 ปีข้างหน้า เครื่องสันดาปภายใน ใช้กับสารพัดเชื้อเพลิง ต่างเอ/เอฟ ต่างค่าความร้อน ต่อด้วยไฮบริด และสุดปลายทางที่รถไฟฟ้า ช่างควรสนใจเรื่องเอ/เอฟ เพราะคนเลี่ยงและลดการใช้น้ำมัน จะมีสารพัดเชื้อเพลิงสารพัดเอ/เอฟ แค่หลากค่าความร้อน สหรัฐอเมริกา หลายมลรัฐใช้มานาน ใช้มาตั้งแต่ปี 1979 หลายมลรัฐ ปัจจุบันมีอี5-อี 10 กว่าๆ ผสมปนเปกัน ขายเรื่อยเปื่อย เน้นค่าออกเทนเท่านั้น ค่าความร้อนน้อยลงบ้างไม่สน ผู้คนเลือกเติมตามค่าออกเทน โดยไม่สนหรือไม่รู้ว่าผสมเอธานอลกี่เปอร์เซ็นต์ แม้แต่คนไทยที่ทำอู่อยู่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยสนและไม่เคยทราบว่าปั้มไหนวันไหนเติมอีเท่าไร สนใจแต่ค่าออกเทน และคนในสหรัฐอเมริกาหลาย 10 เปอร์เซ็นต์ ดื้อเติมน้ำมันออกเทนต่ำกว่ากำหนด ยอมเขก บ้าง หรือไม่รู้เรื่องเขก แล้วก็ไม่เห็นพัง ปี 2015 รถทุกคันที่เริ่มขายในสหรัฐฯ ต้องวิ่ง อี85 ได้ ส่วนในไทยปี 2008 จะเริ่มมีรถวิ่งอี20 ได้ มีอัตราภาษีต่างๆ ต่ำลง อนาคตหนีไม่พ้น อี85-อี100 แบบชาวโลก เราใช้น้ำมันเบนซิน ไม่ใช่แก๊สโซลีนแท้ แต่เป็นรีฟอร์มูเลท-แก๊สโซลีนมานานแล้ว แต่ละวันก็ไม่เป๊ะในค่าความร้อน แต่ออกเทนได้และอยู่ในเรนจ์ความร้อนที่กำหนด ทุกวันนี้คุณแน่ใจว่า จะไม่มีปั๊มน้ำมันไหนเลยที่ไม่ผสมโซลเวนท์เอง เพื่อหากำไรเพิ่มอย่างผิดกฎหมายเหรอ ? คุณอาจได้เติมน้ำมันที่ปั๊มผสมเอง ที่มีค่าออกเทนไม่ตรงและค่าความร้อนน้อยกว่า โดยไม่รู้สึกก็เป็นได้ ? การทดสอบเปรียบเทียบเบนซิน+เอ็มทีบีอี กับ อี10 ไม่จำเป็นเลย ถ้าคุมตัวแปรไม่ได้เป๊ะสุดๆ เพราะความแตกต่างมีน้อยมาก การทดสอบเรื่องความสิ้นเปลือง ฉีดเพิ่มน้อยมาก มิลลิเซคของอินเจคชั่นไทม์เพิ่มน้อยมาก ส่วนเรื่องความแรงในเมื่อค่าความร้อนพอกัน ก็ต้องไม่แตกต่าง และการทดสอบต้องวัดก่อนว่าค่าเอ/เอฟ ตอนเร่งของเครื่องยนต์นั้น หนาพอดีหรือไม่ก่อนจะดูว่าใช้อี10 แล้วแรงม้าลดหรือไม่ อย่าบอกว่าทั้งหมดนี่คือ การคำนวนบนกระดาษหรือไกลความจริง เพราะเรื่องค่าความร้อน, ค่าเอ/เอฟ ของแต่ละเชื้อเพลิง มีคนพิสูจน์มากและนานแล้ว เหมือนกับรถมี 4 ล้อ เหมือนเบนซินเอ/เอฟ 14.7, เอ็มทีบีอี 11.7 และเอธานอล 9 ต่อ 1 ก็ไม่ต้องเสียเวลาทดลองหรือสงสัย ถ้าอี10 อี20 ราคาเท่าเบนซิน แต่วิ่งได้เหมือนกัน แรงพอกัน แต่ระยะทางสั้นลงแทบไม่ต่าง คุณจะเติมหรือแนะนำไหม ถ้ารู้ว่าไอเสียสะอาดขึ้น และเงินหมุนเวียนในประเทศ สนับสุนการเกษตร เพิ่มออกซิเจน และลดภาวะโลกร้อน
จากคุณ :
LAMBDAJET
- [
15 ก.ย. 50 22:31:56
]
|
|
|