Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า รถยนต์ที่เราซื้อไปแต่ละคันนั้น เราได้จ่ายภาษีต่างๆ ที่รวมอยู่ในราคารถยนต์นั้นเป็นจำนวนเท่าไร

    เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า รถยนต์ที่เราซื้อไปแต่ละคันนั้น เราได้จ่ายภาษีต่างๆ ที่รวมอยู่ในราคารถยนต์นั้นเป็นจำนวนเท่าไร คราวนี้เรามีข้อมูลการเก็บภาษีของภาครัฐที่จัดเก็บจากสินค้าประเภทรถยนต์(เฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคล)มานำเสนอ ซึ่งเมื่อดูแล้วจะทราบถึงสาเหตุที่เราต้องซื้อรถยนต์ที่ราคาสูงกว่าประเทศอื่นเขา

    โครงสร้างการคิดภาษีรถยนต์ในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

    กรณีที่ 1 รถนำเข้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศ

    การคิดภาษีสำหรับรถนำเข้านั้น จะคิดจากราคา CIF (Cost + Insurance + Freight) ซึ่งก็คือ ราคาขายของรถ บวกด้วยค่าอากร ค่าประกันภัย และค่าขนส่งจากต่างประเทศ มาถึงที่ท่าเรื่อที่ประเทศไทย ราคา CIF นี้จะถูกระบุไว้ในเอกสารการนำเข้า ในที่นี้สมมติให้ราคา CIF เท่ากับ 100 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายจะประกอบไปด้วย

    1. อากรขาเข้า ภาษีแรกที่ผู้นำเข้าต้องจ่าย ณ ท่าเรือก่อนนำรถออกจากท่าเรือเข้ามาในประเทศในอัตรา 80% ของราคา CIF ซึ่งเท่ากับ 80 บาท
    2. ภาษีสรรพสามิต ซึ่งกรมศุลกากรจะทำการเก็บภาษีนี้ พร้อมกับอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตนี้จะถูกเก็บในอัตราต่างกันตั้งแต่ 30-50% ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ หรือขนาดเครื่องยนต์ (ดูตารางการคำนวณภาษีประกอบ) เช่น รถยนต์ขนาดไม่เกิน 2000 ซีซี ที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 30%ของราคา CIF รวมกับภาษีอากรขาเข้า โดยใช้สูตรการคำนวณการจัดเก็บที่เรียกว่า “ฝังใน” คือ
          = {(100+80)x30%}
                1 – (1.1?30%)

    3. ภาษีมหาดไทย ชื่อภาษีมีที่มาจากภาษีที่เก็บได้นี้ถูกนำไปบริหารประเทศโดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งภาษีมหาดไทยจะคิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย

    4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตรา 7% ของราคา CIF + อากรขาเข้า + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีมหาดไทย    

    ซึ่งเมื่อรวมภาษีทั้ง 4 ชนิดเข้าด้วยกันแล้ว จากราคารถสมมุติที่ 100 บาทจะกลายเป็น 287.5-428.0 บาท(ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ) ซึ่งมูลค่าดังกล่าวนี้ยังไม่รวมอัตรากำไร และค่าดำเนินการอื่นๆ ของบริษัทผู้จำหน่าย ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะเห็นรถราคา 1 ล้านในเมืองนอกมาขายที่บ้านเราในราคา 3-4 ล้านบาท เพราะภาระภาษีมันสูงเช่นนี้นี่เอง

    กรณีที่ 2 รถที่ผลิตในประเทศไทย

    ผู้ผลิตจะนำชิ้นส่วนรถยนต์เข้ามาจากต่างประเทศเป็นบางรายการ ซึ่งปริมาณและสัดส่วนการนำเข้า มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทผู้ผลิต โดยรถแต่ละรุ่นภาระภาษีของผู้ผลิตจะมีความแตกต่างจากการนำเข้ารถทั้งคัน ดังนี้

    1. อากรขาเข้า จะถูกจัดเก็บตามอัตราที่กรมศุลกากรกำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิด หรือพิกัดของชิ้นส่วนนั้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคา CIF ถ้าใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศทั้งหมดก็จะไม่เสียภาษีในส่วนนี้

    2. ภาษีสรรพสามิต จะถูกจัดเก็บอัตราเดียวกับการนำเข้ารถทั้งคันจากต่างประเทศ โดยคำนวณจากราคาหน้าโรงงาน และกรมสรรพสามิตจะพิจารณารับราคาหน้าโรงงานนี้ไม่ต่ำกว่า 76% ของราคาขายปลีกที่ขายให้กับผู้บริโภค คือ ถ้าราคาขายปลีกอยู่ที่ 100 บาท (รถยนต์ไม่เกิน 2000 ซีซี) ก็จะใช้ราคาหน้าโรงงานที่ 76 บาท มาคำนวณตามสูตร “ฝังใน” เพื่อให้ได้ภาษีสรรพสามิต

    3. ภาษีมหาดไทย คิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย

    4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% กรมสรรพากรเป็น ผู้จัดเก็บ เหมือนกรณีที่ 1

    สมมุติให้รถขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี ราคารถหน้าโรงงานอยู่ที่ 100 บาท ภาษีสรรพสามิตก็จะอยู่ที่ 80.60 บาท บวกด้วยภาษีมหาดไทย 8.1 บาทและภาษีมูลค่าเพิ่ม 13.2 บาท ก็จะได้ราคาขายปลีกเท่ากับ 201.9 บาท หรือถ้าคิดในมุมกลับภาษีรวมของรถที่ผลิตในประเทศจะมีมูลค่าประมาณ 40-70% ของราคาขายปลีก ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องยนต์ ยิ่งปริมาตรกระบอกสูบมาก มูลค่าภาษีก็จะสูงตาม

    ตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อรถที่ผลิตในประเทศ เครื่องยนต์ 1800 ซีซี ในราคา 7 แสนบาท หมายความว่า เราได้จ่ายภาษีให้รัฐประมาณ 2.8-3 แสนบาท

    ในขณะที่ภาษีรวมของรถนำเข้าจะคิดจากราคาขายปลีกไม่ได้เพราะยังไม่ได้รวมกำไรและค่าดำเนินการของผู้นำเข้า ฉะนั้นต้องคิดจากราคาทุน ซึ่งจะมูลค่าภาษีอยู่ที่ประมาณ 200-300 % ของราคาต้นทุน ตัวอย่าง เช่น ถ้ารถราคา 1 ล้านบาทในต่างประเทศ เมื่อนำเข้ามาขายที่เมืองไทย ต้องเสียภาษีรวมประมาณ 2 ล้านบาท ดังนั้น ผู้นำเข้าจึงต้องขายที่ราคา 3 ล้านขึ้นไปเพราะต้นทุนภาระภาษีที่สูงนี่เอง เพียงเท่านี้พอจะทำให้เข้าใจกันได้ว่า ทำไมเราถึงต้องซื้อรถที่แพงกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมากมาย

    แล้วภาษีทั้งหมดเป็นจำนวนเท่าไหร่?

    ตัวเลขแท้จริงเราไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อมองถึงมูลค่าตลาดรวมเฉพาะที่รถขายในประเทศ สมมุติยอดขายรถทั้งปีที่ 600,000 คัน (ในความจริงขายมากกว่านี้) ทุกคันราคาคันละ 500,000 บาท (ห้าแสนบาท ราคาสมมุติ) มูลค่าตลาดจะเท่ากับ 300,000,000,000 บาท (สามแสนล้านบาท ยอดสมมติแต่ยอดจริงมากกว่านี้) และคิดภาษีที่ยอดต่ำสุดที่ 40% ของราคาขายปลีกเท่ากับว่ารัฐจะได้ภาษีจากประชาชนที่ซื้อรถไปทั้งสิ้น 120,000,000,000 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาท)

    ขณะที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี49อยู่ที่ 1.36 ล้านล้านบาทดังนั้นแล้วประมาณ 10% ของรายได้ภาษีที่จะนำมาจ่ายในงบประมาณมาจากเงินที่ประชาชนซื้อรถ แล้วรัฐเอาเงินภาษีของเราไปทำอะไรหว่า ประเทศถึงได้เจริญ ฮวบ ฮวบ อย่างนี้?

    โดย ผู้จัดการออนไลน์




    ..........เนื่องด้วย .....


    ด้วย สภาวะการปัจจุบัน กอรปกับขนส่งมวลชนที่ล้มเหลว ไม่ชอบพัฒนาปรับปรุงเสียที  มีแต่เรียกร้องขึ้นค่าโดยสารอย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกันดี

     เพื่อตอบสนองต่อ ภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และ ประเทศไทยต้องปรับตัวเพื่อการแข่งขัน(1)  ดังนั้นเพื่อกดดันให้เกิดการแข่งขันและการปรับตัวมากขึ้น
    กระผมในฐานะผู้บริโภค ขอเรียนเชิญทุกท่าน ช่วยกันเรียกร้องให้ ปรับเปลี่ยนการเก็บภาษีของสินค้าที่จะเป็นสำหรับการครองชีพ อย่างเช่น รถยนต์ เสียใหม่
    อาจจะกำหนดเป้นระดับขั้นไป เพื่อให้เป็นธรรมกับ ....ประชาชนคนกินเงินเดือนอย่างผม มากขึ้น และ อีกหลายๆ คนที่.ยอมทนอด กัดฟัน ผ่อนรถ เพื่อ...
    ... ให้ภริยาสุดที่รักไม่ต้องไปเบียดเสียดบนรถเมล์
    ... ครอบครัวได้มีรถไว้วิ่งไปไหนมาไหนยามฉุกเฉิน
    ... การผักผ่อน จากการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย
    ... การทำงานจนดึกแล้วไม่มีรถเข้าบ้าน
    ... เบื่อพวกเเท็กซี่ที่ชอบทำเหลี่ยม หลายๆ อย่าง  ...ไม่ทอนเศษ   ห้าบาทสิบบาท ต้องให้คอยถาม...ทำเป็นไม่รู้ทางแล้วพาไปผิดทาง
    ... เบื่อเเท็กซี่ที่โบก จอดแล้วต้องถามก่อนว่า จะไปหรือไม่ ซอยบ้านผม
    ... เบื่อที่จะเสี่ยงกับการนั่งวินมอไซค์ ซิ่งวิ่งฉิว
    ... ขี้เกียจช่วยคนขับรถตู้เข็นรถตู้โดยสาร ยามเครื่องดับ กลางทาง
    ... เบื่อรถตู่เก่าๆ แอร์ไม่เย็น รถผุ   วิ่งได้ไม่เกิน 80
    ... เบื่อการนั่งรอในรถตุ้จนกว่าผู้โดยสารเต็ม
    ... รำคาญพวก คนขับกับประเป๋าผัวเมียที่ชอบทะเลาะกัน ขณะที่มีผู้โดยสาร
    ... เบื่อการซิ่งแข่งกันของรถเมล์เล็ก
    ... เบื่อการจอดแช่นานๆ เพื่อรอผู้โดยสาร
    ... เบื่อพนักงานขับรถ ขับช้าๆ   แล้วด่า คนอื่น ว่ารีบไปตายที่ไหนกัน
    ... เบื่อที่จะออกมาก่อนคนข้างบ้านสิบนาที แต่ ขึ้น บีทีเอส พร้อมกัน ไปเที่ยวเดียวกัน
    ...


     


    ......... ขอร้องได้โปรดอย่ายก ประโยคที่ว่า "ถ้ารถถูกลง ก็จะไม่มีถนนวิ่ง" .....




    (1)http://www.thaiengineer.com/news/news_main.php?screen=12&n_id=71

    ศ.พอร์เตอร์ ชี้ว่า รัฐบาลจะต้องปฏิรูปการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจ เปิดทางให้กับภาคเอกชนด้วยการลดกำแพงภาษี เช่น แก้กฎหมายเพื่อขจัดการผูกขาด เร่งเปิดเสรีโทรคมนาคมก่อนกำหนด เสริมสร้างประสิทธิภาพในการแข่งขัน ลดปัญหาคอรัปชั่น ยกระดับเทคโนโลยี และใช้ยุทธศาสตร์ไร้พรมแดนกับเพื่อนบ้าน

    จากคุณ : ไม้กล้า - [ 12 ต.ค. 50 08:33:36 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom