ความคิดเห็นที่ 1 ที่แน่นๆการที่เหยีบเบรคค้างไว้ มันทำให้คนหลังแสบตากับไฟเบรคของคุณครับ ความคิดนะครับ ทำทั้งสองอย่างมันก็จะเปลี่ยนจุดสึกหรอต่างกันไป แต่ก็ไม่ได้มีผลว่าทำอย่างไรจะทำให้รถสึกหรอจนรู้สึกได้  เพื่อผมเป็น Sale ใช้รถปีและ 7-8หมื่นกิโล ไฟแดงปุ๊บก็รีบเปลี่ยนเป็น N หรือ P เลย มันบอกว่าจะเหยีบเบรคให้เหนื่อยทำไม ซื้อรถมาเพื่อซื้อความสบาย  คิดแค่นี้ก็กินขาดแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 50 16:51:50 จากคุณ : dir/w - [ 24 ต.ค. 50 14:45:19 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ของผม รถติดแป๊บเดียวก้อเหยียบเบรคเอา ติดไฟแดงนานก้อเข้า N ไม่เห็นต้องไปแคร์รถข้างหลังเลย ไฟเบรคจะแสบตาอะไรนักหนา ไม่ใช่ไฟตัดหมอกนิ ถูกอย่างที่ว่า ซื้อรถมาเพื่อความสบาย จากคุณ : เด็ก ป.สี่ (นามสมมุติ) - [ 24 ต.ค. 50 15:08:32 ]

ความคิดเห็นที่ 3 untrue and step on the brake pedal in D while waiting red light is no harm at all..............it's mean you are doing like an ordinary people did...........................................bye จากคุณ : yogibear - [ 24 ต.ค. 50 15:18:20 A:124.121.12.154 X: TicketID:157474 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนมากผมจะเลื่อนมา N ครับ ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ว่าแบบไหนพังเร็วกว่ากันอะ จากคุณ : เงินเดือนสามพันขับวอลโว่ - [ 24 ต.ค. 50 15:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 5 D ถ้าเห็นว่าไม่น่าจะจอดนาน จากคุณ : falsi - [ 24 ต.ค. 50 16:09:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เพื่อนคุณ คห.1 ใช้รถน้อยจัง 555+ จากคุณ : ไม่มีอมยิ้มเป็นของตัวเอง...... - [ 24 ต.ค. 50 16:21:36 A:124.121.241.181 X: TicketID:137731 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เปลี่ยนเป็น N จากคุณ : moc - [ 24 ต.ค. 50 16:29:06 ]

ความคิดเห็นที่ 8 รถผมออกจากโชว์รูมก็วิ่งเกิน 7-8 กิโลอีก ส่วนตัวเลือกความสบายครับ จากคุณ : จะเด่น ณ ปานนั้น - [ 24 ต.ค. 50 16:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตามสะดวกครับ จากคุณ : ton_sakura - [ 24 ต.ค. 50 16:55:07 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ความคิดเห็นที่ 2   ...ไม่เห็นต้องไปแคร์รถข้างหลังเลย ไฟเบรคจะแสบตาอะไรนักหนา ไม่ใช่ไฟตัดหมอกนิ... --------------------------------------------------------------------------- โอ้ว...มีคนคิดแบบคุณมากๆนี่ บ้านเมืองคงวุ่นวายพิลึก เคยรถติดอยู่หลังรถบางรุ่น  เช่น แคมรี่ โฉมปัจจุบัน  ไฟเบรกนี่โคตรเจิดจ้า หลับตาก็แล้ว  มันก็ยังสว่างเข้ามาในตาอีก  ถ้าจะให้หลับตาตลอด เดี๋ยวออกตัวไม่ทัน พอหันหลบไปทางอื่นนานๆ เข้าก็เมื่อยคอ   จะหลบไปทางอื่นก็ไม่ได้เพราะรถมันติดแหง่ก พอตัดสินใจจะลงไปบอกว่าแสบตา  รถข้างหน้าก็เคลื่อนตัวซะแล้ว เซ็งโคตร... จากคุณ : เด็กข้างห้างฯ - [ 24 ต.ค. 50 17:23:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 รถรุ่นไหม่บางคันมีระบบตัดการทำงานก็ไม่เป็นไร รถที่ไม่มีก็ทำให้น้ำมันร้อน ถ้าเปลี่ยนเกียร N-D , D-Nบ่อยๆ ครัชก็จะหมดเร็วขึ้น ไม่รู้ว่ารถคุณเป็นแบบไหนลองศึกษาดูครับ จากคุณ : Oh!_Bo_BaBy - [ 24 ต.ค. 50 18:30:14 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เข้ามาดูแทน Mr.Fusion จากคุณ : Mr.Fuyao - [ 24 ต.ค. 50 18:53:00 A:222.123.154.114 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 เข้าใจผิดครับ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 50 19:41:08 จากคุณ : KhunGong - [ 24 ต.ค. 50 19:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมทำมันสองแบบเลย เป็นกลางๆเข้าไว้ ถ้ารู้ว่าแยกนี้ติดนานก็เปลี่ยนเป็น N ถ้าติดแป๊บๆ รอให้รถกลับรถ หรือ ว่าแยกที่ติดไม่นาน ก็เหยียบเบรคค้าง จากคุณ : Ushuaia - [ 24 ต.ค. 50 20:03:43 ]

ความคิดเห็นที่ 15 บอกว่าการเหยียบเบรคที่เกียร์ D เวลาติดไฟแดง จะทำให้น้ำมันเกียร์ร้อน เกียร์สึกหรอยิ่งกว่าการเลื่อนไปที่ N >>>>>>>>> ผิด ครับ ผิดมากเสียด้วยที่เขียนอย่างนั้น 1) ความร้อน มันจะมาจากไหน ครับ เกียร์ไม่ใช่แหล่งผลิตความร้อนนะครับ 2)  เรื่องการสึกหรอมาก ผมไม่เข้าใจว่าจะสึกหรอมากได้อย่างไร การเข้าเกียร์ออโต้ คือการสั่งให้ "แผ่นคลัชจับแน่น" ===> แผ่นคลัชจับแน่น มันจะมีอะไรให้สึกหรอ การสึกหรอของแผ่นคลัช จะเกิดขึ้นตอนที่ "กำลังจะจับ" ช่วงจังหวะนี้ (about to engage) แผ่นคลัชจะต้องเกิดการเสียดสีกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ....หลับตานึกภาพ คลัชของเกียร์ธรรมดา นะครับ จังหวะที่เราปล่อยคลัช แผ่นคลัช ค่อยๆจับแน่น ==> เกิดการเสียดสี ... ใช่ไหม ?? ถ้าไม่เชื่อ ลองไปออกตัวบนเนิน เร่งเครื่องค่อยๆ เลียคลัช ดูซิครับ จะขึ้นเนินได้สักกี่เนิน ก่อนที่คลัชจะไหม้ ผมขับไปดอยอินทนนท์ เจอคลัชไหม้บ่อยๆ ร้านซ่อมที่ตีนเนิน ช่างเขาชำนาญเรื่องเปลี่ยนคลัช ไม่เชื่อไปถามดู วันๆ มีรถไปตามเขามาซ่อมกี่คัน จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 24 ต.ค. 50 20:13:58 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องไฟเบรคแยงตา ขอเถอะครับ ถ้าขี้เกียจเหยียบเบรค ก็ไม่ต้องเหยียบ มันเรื่องของคุณ ไม่ต้องหาเหตุผลบ้าๆ ประเภทอ้างเกรงใจคันหลัง อะไรเทือกนี้ ถ้าจะอ้างมั่วซั่วอย่างนั้น มันอ้างได้ทั้งนั้น จริงอยู่ ความเกรงใจ เป็นเรื่องดี แต่ควรจะเกรงใจให้ถูกเรื่อง ถึงจะถือเป็นคนมีวัฒนธรรม พูดอย่างนี้ ไม่รู้จะเข้าใจไหม จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 24 ต.ค. 50 20:18:55 ]

ความคิดเห็นที่ 17 น้ำมันเกียร์ร้อน ผมว่า เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะน้ำมันเกียร์วิ่งผ่านรังผึ้งส่วนนึงอยู่แล้ว น้ำมันอาจจะร้อนกว่า ตอนวิ่งมีความเร็วหน่อย แต่น่าจะร้อนอยู่ใน range ที่รับได้ ส่วนเหตุผลอื่นๆ ไม่ทราบครับ จากคุณ : ถัง - [ 24 ต.ค. 50 21:02:02 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมชอบเข้า N นะถ้าเป็นทางราบ .. ทางชันจะดึงเบรคมือด้วย กลัวเท้าลื่นเวลาเหยียบเบรคค้างนานๆ จากคุณ : Bombe - [ 24 ต.ค. 50 21:55:44 ]

ความคิดเห็นที่ 19 น้ำมันเกียร์ร้อน ไม่มีผลจนสังเกตได้ เพราะน้ำมันเกียร์ต้องไประบายความร้อนที่หม้อน้ำอยู่แล้ว การเข้าเกียร์จาก D>N และ N>D ต่างหากที่ทำให้แผ่นคลัทช์ต้องเคลื่อนตัว เสียดสีกันก่อนที่จะ "จับแน่น" ซึ่งตรงนี้จะสึกหรอ จากคุณ : athlon1400 - [ 25 ต.ค. 50 02:00:50 ]

ความคิดเห็นที่ 20 พูดถึงการสึกหรอจากการเข้า N ไป D ผมยอมรับว่า สึกหรอไม่มากเท่าไร แต่มันจะสึกหรอมาก เมื่อคุณอยู่คันหน้า พอไฟเขียวปุ๊ป โดนคันหลังบีบแตรไล่ คุณเข้า D เกียร์ยังไม่ทันจับดี และ รีบออกตัว คลัชจะสึกหรอมากกว่าปกติ เพราะจังหวะนี้ คลัชทำหน้าที่ส่งผ่านแรงบิดมากกว่า คือ แผ่นคลัชยังไม่จับแน่น และใช้แรงขับเคลื่อนรถด้วย ลักษณะการขับรถเช่นนี้ คล้ายๆกับที่เราเลียคลัช ออกแรงขับขึ้นเนิน ครับ ด้วยเหตุนี้ เขาถึงแนะนำให้ "เหยียบเบรคเอาไว้" ก่อนที่จะเข้า D เมื่อเกียร์จับตัวแล้ว ค่อยปล่อยเบรค ออกรถ ในทางปฏิบัติมีบางคน ไม่เข้าใจ เขาเถียงว่า ไปเหยียบเบรคให้มันต้านทำไม ??? เขาชอบปล่อยเบรค แล้วเข้า D   การทำอย่างนี้คลัชจะสึกหรอมาก แต่ความสึกหรอ มันไม่ส่งผลทันทีทันใด เกียร์ไม่พังคาที่หรอกครับ แต่มันสึกหรอมากแน่นอน ทำนองเดียวกับการออกรถกระชากให้ล้อเอียดอ้าด สะใจดี แล้วก็...คุยโม้ว่า เขาทำอย่างนั้นเป็นปีแล้ว และยางก็ยังไม่พังสักที ... จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 25 ต.ค. 50 06:19:57 ]

ความคิดเห็นที่ 21 พูดถึงการสึกหรอจากการเข้า N ไป D ผมยอมรับว่า สึกหรอไม่มากเท่าไร >>>>>>> สึกหรอมากแค่ไหน เผื่อคุณต้น ยอดนักทดลองประจำห้องนี้ สนใจ ก็เอาน้ำมันเกียร์ส่งแล็บ ให้เขาทำ partical count หาค่าเศษสึกหรอ พวก Metal and Non Metal ออกมาดูได้ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 25 ต.ค. 50 06:24:04 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เรื่องไฟเบรคแยงตา ขอเถอะครับ ถ้าขี้เกียจเหยียบเบรค ก็ไม่ต้องเหยียบ มันเรื่องของคุณ ไม่ต้องหาเหตุผลบ้าๆ ประเภทอ้างเกรงใจคันหลัง อะไรเทือกนี้ ถ้าจะอ้างมั่วซั่วอย่างนั้น มันอ้างได้ทั้งนั้น จริงอยู่ ความเกรงใจ เป็นเรื่องดี แต่ควรจะเกรงใจให้ถูกเรื่อง ถึงจะถือเป็นคนมีวัฒนธรรม พูดอย่างนี้ ไม่รู้จะเข้าใจไหม   จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม   - [ 24 ต.ค. 50 20:18:55 ] คือว่าผมไม่ได้ร่ำเรียนมาทางด้านนี้นะ แต่อ่านหนังสือเรื่องรถมาบ้าง ทุกเล่มจะบอกว่าไม่ให้เข้า D เหยียบเบรคค้างทั้งนั้น บางเล่มบอกด้วยว่า 10 วินาที เท่าที่รู้ใน BMW ถ้าเหยียบเบรคค้างเวลาติดไฟแดงมันจะสับเกียร์ N ให้อัตโนมัติ ผมว่าเค้าคงไม่ทำมาโก้ๆมั้ง ส่วนเรื่องแสบตา ผมโคตรเกลียดพวกนี้มากๆเลย บางคันแสบสุดๆ ต้องเอาที่บังแดดลงมา ทั้งที่เป็นกลางคืน ยิ่งพวกรถสูงๆนี่ไฟมาพอดีตาตลอด เจอมานานได้แต่ทนๆไป พอมาเจอว่าอยู่ในนี้มีคนคิดอย่างนี้อยู๋ ถือว่าขอด่าในตัวเลยว่า โคตรรำคาญ&เกลียดเลย -*- ไม่ต้องอธิบายว่าแสงมันกระจายแสง วิ่งไปโน่นไปนี่อะไรให้วุ่นวาย ที่พูดคือผมเจอมามันแสบตา ความรู้สึกล้วนๆ จากคุณ : Raphin - [ 25 ต.ค. 50 09:27:36 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คือว่าผมไม่ได้ร่ำเรียนมาทางด้านนี้นะ แต่อ่านหนังสือเรื่องรถมาบ้าง ทุกเล่มจะบอกว่าไม่ให้เข้า D เหยียบเบรคค้างทั้งนั้น บางเล่มบอกด้วยว่า 10 วินาที เท่าที่รู้ใน BMW ถ้าเหยียบเบรคค้างเวลาติดไฟแดงมันจะสับเกียร์ N ให้อัตโนมัติ ผมว่าเค้าคงไม่ทำมาโก้ๆมั้ง >>>>>>>>>> ก่อนอื่นต้องรู้ว่า เรากำลังคุยกันประเด็น "น้ำมันเกียร์ร้อน" นะครับ กลัวจะหลงประเด็นนะ แล้วอีกอย่างที่อยากให้เข้าใจ ง่าๆๆ คือว่า เยอรมันทำเกียร์ออโต้ ==  ไม่เก่ง เหตุที่เป็นอย่างนี้ เพราะคนในประเทศนี้ไม่นิยมเกียร์ออโต้ เชื่อไหม เกียร์รถเบนซ์ สุดยอดรถเยอรมันนะนี่ ยังเอาเกียร์ญี่ปุ่นมาใช้ ครับ เกียร์ ZF พอเข้า D แล้วเบรคนานๆ มันไม่ได้สับ N อย่างที่เข้าใจหรอกครับ ชุดคลัชทั้งหลายยัง "จับแน่น"  (ตรงนี้ อยากให้เข้าใจ เพราะการจับและปล่อยบ่อยๆ ทำให้แผ่นคลัชสึกหรอ) เกียร์ ZF เพียงแต่ปลด"ชุดขับ" ออกเท่านั้น ทำให้คนขับรู้สึกว่า "เกียร์ว่าง" ที่ ZF ทำอย่างนี้ เพราะว่า โครงสร้างการออกแบบเกียร์ของเขา ไม่เหมือนชาวบ้าน ระบบเกียร์ ZF ไม่เหมือนเกียร์ Borg Warner (ต้นตำรับเกียร์ออโต้ที่ใช้ทั่วไป) ครับ ZF ทำอย่างนี้ทำไม ไม่ใช่ทำโก้ๆ แน่นอน แล้วทำไมคุณถึงไม่ถามหนังสือรถที่คุณอ่านเล่าครับ ถ้าถามแล้วเขาตอบไม่ได้ ผมแนะนำให้คุณเขียนไปถาม ZF โดยตรง ผมเขียนไปถามได้รับคำตอบ ในรายละเอียดแล้ว แต่ผมไม่บอกคุณ เพราะรู้สึกว่า คุณถามโก้ๆ   จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 25 ต.ค. 50 10:25:06 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ผมเชื่อตามคู่มือรถที่ใช่แนะนำ บอกว่าถ้าติดไฟแดงนานให้เข้า N ....แต่เรื่องไฟเบรคแยงตานี่ใช่เลย space wagon, c class นี่ชัดเลย ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน จากคุณ : .... - [ 25 ต.ค. 50 14:08:35 A:210.246.64.79 X: TicketID:131513 ]

ความคิดเห็นที่ 25 นานจิง ก็ต้องเข้า N ไม่นานใช้ D รถวิ่งเหมือนๆ กัน 2 คัน ไอ้คันที่วิ่ง สลับ N ไป D บ่อยๆ คลัทสึกกว่า พวก ติดไฟแล้วเหยียบเบรคคาอยู่แล้ว เข้า D เหยียบเบรคคาก็ไม่ต้องกลัวความร้อนขึ้น torque converter มัน มี Stall speed เป็นรอบเดินเบาราว 1500 -2000 รอบ อยู่แล้ว จากคุณ : . (เสี่ยวจับกัง) - [ 25 ต.ค. 50 15:09:10 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 25 ต.ค. 50 15:43:08 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาดูอีกรอบ  Mr. Fusion มาช้าจังเลย.... ขอแก้ไขคำตอบ 1 (แก้ไปแล้ว) ผิมตกครับ 7-8หมื่นกิโลครับ แต่ที่แน่นๆกลายเป็นกระทู้ร้อนไปเลย เห็นกระทู้นี้ที่ไรตอบกันเต็มไปหมดเลย... จากคุณ : dir/w - [ 25 ต.ค. 50 17:02:25 ]

ความคิดเห็นที่ 28 สำหรับโตโยต้า การเข้าเกียร์ออโต้ คือการสั่งให้ "แผ่นคลัชจับแน่น" ===> แผ่นคลัชจับแน่น มันจะมีอะไรให้สึกหรอ การเข้าเกียร์ D (และเบรค)โดยไม่เหยียบคันเร่งคลัชจับไม่แน่น ครับ และเกิดการสึกหรอ คลัชจับตำแหน่งเกียร์2(หรือ3) เพื่อไม่ให้แรงฉุดมากไป พอปล่อยเบรคแล้วเหยียนคันเร่งจะเปลี่ยนเป็นเกียร์1 จากคุณ : ป๋า - [ 25 ต.ค. 50 18:25:45 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านได้ใน http://www.autoshop101.com/ Technical Articles Toyota Series - Automatic Transmissions AT01 Fundamentals of Automatic Transmissions.pdf 144KB AT02 Torque Converter.pdf 478KB AT03 Simpson Planetary Gear Unit.pdf 380KB AT04 Gear Selection and Function.pdf 20KB AT05 Power Flow.pdf 1211KB AT06 Automatic Transmission Fluid.pdf 27KB AT07 Transmission Oil Pump.pdf 136KB AT08 valve Body Circuits.pdf 963KB AT09 A340H Transfer.pdf 60KB AT10 Electrical Control.pdf 308KB AT11 Transmission Check, Adjustments and Diagnosis.pdf 170KB AT12 Shift Lock System.pdf 186KB AT13 Appendix.pdf 1290KB จากคุณ : ป๋า - [ 25 ต.ค. 50 18:35:44 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 30 http://www.autoshop101.com/ สำหรับU-Series Technical Articles Toyota Series - Automatic Transmissions AT21 Automatic Transmission Basics.pdf 1723KB AT22 U-Series Transaxle.pdf 947KB AT23 Valve Body Circuits.pdf 610KB AT24 Electronic Control System.Pdf 860KB AT25 Diagnostic Procedures.pdf 621KB AT26 Diagnostic Tester.pdf 485KB AT27 Remanufactured Transmission.pdf 186KB AT28 Appendix.pdf 339KB จากคุณ : ป๋า - [ 25 ต.ค. 50 18:46:12 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 31 http://www.autoshop101.com/forms/AT08.pdf http://www.autoshop101.com/forms/AT23.pdf จากคุณ : ป๋า - [ 25 ต.ค. 50 18:48:07 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 32 "น้ำมันเกียร์ร้อน" เกิดจากเข้าเกียร์ D (และเบรค) 1 เครื่องเร่งน้ำมันเพิ่ม 2 พลังงานจากเครื่องพยายามพารถเดินหน้า จึงเกิดความร้อน(heat dissipate) ทอร์ค และคลัชที่จับไม่แน่น มีนักจัดรายการวิทยุหัวโบราณ เช่นนายวรพล แนะนำการเข้าเกียร์ D และเบรคไว้ แต่นักจัดรายการวิทยุหัวทันสมัย(เช่นน้าตั๋ม) ไม่แนะนำการเข้าเกียร์ D และเบรคไว้ จากคุณ : ป๋า - [ 25 ต.ค. 50 18:56:59 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คงถกเถียงกันไปอีกนาน เอาเป็นว่า ในฐานะของคนข้างหลัง เจอบ่อยๆ พวกรถติดไฟแดงเวลากลางคืนแล้วเหยีบเบรคแช่ไว้ (จะเกียร์อะไรก็เหอะ) ไฟเบรคแสบตามากๆ ที่จำติดตาเลยคือ - Chev Optra 1.6 ไฟโดนัท 4 วง + ไฟเบรคดวงที่สาม - Toyota Camry ตัวปัจจุบัน ไฟโดนัท+ไฟเบรคดวงที่สาม นี่ก็ LED ทั้งชุด - Toyota Wish, Harier นี่ก็ LED ทั้งชุด ช่วยๆ เปลี่ยนเป็น N หน่อยเหอะ แล้วจะดึงเบรคมืออะไรก็ช่าง ตามใจ ไฟเบรคจะได้ไม่รบกวนคันหลัง ส่วนตอนกลางวันก็แล้วแต่คุณ ไม่ยุ่งด้วย ปล.เคยสังเกตรถยุโรปที่ใช้ไฟ LED ทั้งชุด เวลาเค้าเหยียบเบรคกลับไม่รู้สึกแสบตาเท่าไหร่ เช่น BMW M3, MB E-Class จากคุณ : lookkaew_lechery - [ 25 ต.ค. 50 19:53:16 ]

ความคิดเห็นที่ 34 จาก คห. 28 การเข้าเกียร์ D (และเบรค)โดยไม่เหยียบคันเร่งคลัชจับไม่แน่น ครับ และเกิดการสึกหรอ >>>>>>>>> พูดมั่วซั่วอย่างนี้ เป็นอันตราย เกียร์อะไรที่เข้าแล้ว "คลัชจับไม่แน่น" เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครบ้าดีไซด์อย่างนั้น จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 25 ต.ค. 50 21:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 35 "น้ำมันเกียร์ร้อน" เกิดจากเข้าเกียร์ D (และเบรค) 1 เครื่องเร่งน้ำมันเพิ่ม 2 พลังงานจากเครื่องพยายามพารถเดินหน้า จึงเกิดความร้อน(heat dissipate) ทอร์ค และคลัชที่จับไม่แน่น >>>>>>>>> เอาเป็นว่า ตรูจะให้มันร้อนก็ต้องหาเหตุมาอ้างจนได้ นอกจากไม่มีความรู้แล้ว ยังไม่มีความคิดเอาเสียเลย เข้า D และเบรคเอาไว้ เครื่องมันจะเร่งน้ำมันให้เปลืองเล่น ทำไม ?? ความร้อนจาก "คลัชจับไม่แน่น" .....ยิ่งโง่เข้าไปใหญ่ รถที่ไหนจะออกแบบให้คลัชจับไม่แน่น จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 25 ต.ค. 50 22:02:32 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมแค่มาบอกว่า Civic06 ทั้ง 1.8 และ 2.0 พวกผมพยายามส่องหาท่อน้ำมันเกียร์ที่ต่อไประบายความร้อนที่หม้อน้ำ  แต่หาไม่พบนะครับ ของ 1.8  ไม่มีท่อน้ำมันเกียร์โผล่มาให้เห็นเลย ของ 2.0  มันมีท่อต่อออกมาที่กระปุกทรงกระบอก ซึ่งเข้าใจว่าเป็นกรองน้ำมันเกียร์ แล้วก็วกกลับไปที่เกียร์เลย จากคุณ : ton99 - [ วันออกพรรษา 01:04:08 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ร้อนซิ ง่ายๆๆ  พลังงานมันไม่ได้ใช้ก็แปรรูปเป็นความร้อน ตามกฎพิสิกก์ เมื่อล้อไม่หมุน น้ำมันก็จะไหลวนอยุ่ในทอร์ค เสียดสีกัน จากคุณ : kero100 - [ วันออกพรรษา 02:23:45 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เข้ามาอ่านหาความรู้ครับ จากคุณ : neo-freeman - [ วันออกพรรษา 07:31:47 ]

ความคิดเห็นที่ 39 จาก คห. 28 การเข้าเกียร์ D (และเบรค)โดยไม่เหยียบคันเร่งคลัชจับไม่แน่น ครับ และเกิดการสึกหรอ >>>>>>>>> พูดมั่วซั่วอย่างนี้ เป็นอันตราย เกียร์อะไรที่เข้าแล้ว "คลัชจับไม่แน่น" เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครบ้าดีไซด์อย่างนั้น เชิญอ่านได้ใน http://www.autoshop101.com/forms/AT01.pdf ถึง http://www.autoshop101.com/forms/AT28.pdf หรือถาม เจ้หน้าที่เทคนิค โตโยต้าก็ได้ ความคิดเห็นที่ 17 น้ำมันเกียร์ร้อน ผมว่า เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะน้ำมันเกียร์วิ่งผ่านรังผึ้งส่วนนึงอยู่แล้ว น้ำมันอาจจะร้อนกว่า ตอนวิ่งมีความเร็วหน่อย แต่น่าจะร้อนอยู่ใน range ที่รับได้ เหตุผลอื่นๆ เป็นการใช้พลังงานอย่างไม่ฉลาด เพิ่มมลพิษ โลกร้อน รถคันหลังด่า จากคุณ : ป๋า - [ วันออกพรรษา 08:08:46 A:10.212.212.129 X:202.44.210.43 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 40 จะทำอย่างไรกับรถตัวเองไม่ว่า แต่น่ารังเกียจกับคนบางคนที่ไม่เกรงใจคน ทั้งๆที่การลดไฟเบรคเพื่อคนข้างหลังง่ายๆก็ไม่ทำ แล้วสารพัดหาเรื่องมาอ้างความชอบธรรมในการไม่เกรงใจใคร จากคุณ : นายรำคาญ - [ วันออกพรรษา 08:10:06 A:unknown X:203.149.16.36 TicketID:088622 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เข้า N + เบรกมือ เพราะขี้เกียจเหยียบเบรกค้าง จากคุณ : pinestand - [ วันออกพรรษา 09:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 42 กำลังสนุกครับ ช่วยถกกันต่อ กรุณา "งดคำเสียดสี ส่อเสียด เปรียบเปรย" ในทางไม่สร้างสรร จะเป็นวิทยาทานแก่คนเข้ามาอ่านทั่วไปครับ จากคุณ : นที - [ วันออกพรรษา 10:07:27 A:125.27.118.6 X: TicketID:072386 ]

ความคิดเห็นที่ 43 น้ำมันเกียร์จะร้อนหรือเปล่า  อันนี้ไม่รู้ แต่ที่รู้คือเวลาเข้าเกียร์ D แล้วเหยียบเบรคไว้   จะกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าที่เข้าเกียร์ N สังเกตุจากรอบเครื่องและการสั่นของเครื่อง จากคุณ : เสือปลาขี้เมา - [ วันออกพรรษา 12:40:13 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เข้ามาดูอย่างเดียว ไม่กล้าออกความเห็นแม้แต่น้อยเลยครับ   เรื่องนี้ ไม่มีความรู้แม้แต่นิดเดียว  แม้แต่ฟังก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ   แต่ต้องขอบคุณคุณช่างกล ที่พยายามอธิบายให้เห็นภาพครับ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ วันออกพรรษา 13:07:11 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เกียร์ ZF พอเข้า D แล้วเบรค มันไม่ได้สับ N ครับ แต่จะปลดคลัทช์ตัวแรกที่อยู่ใกล้ทอร์คฯ จากคุณ : ป๋า - [ วันออกพรรษา 13:15:15 A:unknown X:203.149.16.34 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ความคิดเห็นที่ 2   ของผม รถติดแป๊บเดียวก้อเหยียบเบรคเอา ติดไฟแดงนานก้อเข้า N ไม่เห็นต้องไปแคร์รถข้างหลังเลย ไฟเบรคจะแสบตาอะไรนักหนา ไม่ใช่ไฟตัดหมอกนิ ถูกอย่างที่ว่า ซื้อรถมาเพื่อความสบาย จากคุณ : เด็ก ป.สี่ (นามสมมุติ)  - [ 24 ต.ค. 50 15:08:32 ] ................................................... ลองไปตามก้นยาริสดูนะครับ จากคุณ : Mr.Patriot - [ วันออกพรรษา 13:53:48 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ป๋า มาพร้อมข้อมูลเลย ...ดีครับ ส่วนผมทำตามคู่มือรถบอกให้เข้า N เมื่อไฟแดง ไม่เข้า D ค้าง รถยี่ห้อที่ไม่ใช่โตต้าก็บอกแบบนั้นครับ จากคุณ : ... - [ วันออกพรรษา 14:09:01 A:210.246.64.244 X: TicketID:131513 ]

ความคิดเห็นที่ 48 http://www.sae.org/automag/techbriefs/10-2001/page2.htm สำหรับเกียร์ ZF ที่มีฟังชั่น Stand-by-Control (SBC). SBC is an electronic control system that essentially controls the input clutch in the transmission so that the engine is disconnected from the driveline when the vehicle is stationary, even when in gear. จากคุณ : ป๋า - [ วันออกพรรษา 14:48:21 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 49 สำหรับโตโยต้า การเข้าเกียร์ D (และเบรค)โดยไม่เหยียบคันเร่งคลัชจับไม่แน่น ครับ และเกิดการสึกหรอ คลัชจับแน่นเมื่อเหยียบคันเร่งไปแล้ว ออกแบบอย่างนี้ เอาไว้ดัดสันดานพวกมักง่ายเห็นแก่ตัว และลดการกระตุกตอนโยกคันเกียร์ จากคุณ : ป๋า - [ วันออกพรรษา 14:54:25 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 50 http://www.volvo.com/NR/rdonlyres/32F1263A-C6E1-4904-B196-41E3A6BD2F93/0/b7r.pdf โวลโวรุ่นนี้ก็มีฟังชั่น Stand-by-Control (แต่ใช้ข้อความผิดไปหน่อย อ่อนภาษาอังกฤษ) จากคุณ : ป๋า - [ วันออกพรรษา 15:06:15 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ป๋าแน่นมากเลย แจ่มครับ มารอช่างกล หนุ่มมาตอบต่อว่ายังไงกันเอ่ย แล้วผมไม่จำเป็นต้องถามหนังสือที่ผมอ่านเหมือนที่คุณบอกนะ เพราะอ่านตั้งหลายเล่มมันบอกเหมือนกัน มีแต่คุณที่บอกไม่เหมือนหนังสือ ยังไงก็เชื่อหนังสือมีประวัติผู้แต่ง ดูมีดีกรีกว่าอ่ะ คุณเป็นใครผมไม่รู้จัก แล้วเมื่อคิดง่ายๆว่าเมื่อรถเข้าเกียร์ D มีแรงพยายามจะขับเคลื่อนรถไปข้างหน้า แต่เรากดเบรคไว้ พลังงานที่เกิดมันจะไปไหนล่ะ มันก็น่าจะออกมารูปความร้อนนี่แหละ หรือไม่ก็การสึกหรอ ไม่มีหลักฐานหรอกนะ เข้าใจตามหลักฟิสิกส์พื้นฐาน มาตอบแบบโก้ๆเหมือนเดิม 555+ จากคุณ : Raphin - [ วันออกพรรษา 16:16:37 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ป๋าแล้ว Honda พวกที่ไม่ใช่ CVT ล่ะ  ติดไฟแดงต้องเข้าอะไร พวก CVT นี่ครัชมันอยู่ที่ปลายเกียร์  ติดไฟแดงควรต้องปลดมาเป็น N อยู่แล้ว จากคุณ : ton99 - [ วันออกพรรษา 19:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 53 น้ำมันเกียร์ไม่ร้อนธรรมดาครับ "ร้อนจัด" พวกซีลต่าง ๆ ในเกียร์จะไปก่อน แนะนำอีกว่าไม่ควรเหยียบ D นานเกิน 10 วินาทีด้วยซ้ำ เห็นตาม #37 ใครว่าไม่ร้อนก็ไม่ต้อง N เหยียบเบรกต่อไป จากคุณ : JoeRazz - [ วันออกพรรษา 23:30:38 ]

ความคิดเห็นที่ 54 แนะนำอีกว่าไม่ควรเหยียบ D นานเกิน 10 วินาทีด้วยซ้ำ เห็นตาม #37 >>>>>>>>> ไม่ให้เหยียบนานเกิน 10 วิ ..... อย่างนั้นเหรอ คุณข้างบนนี้ ^  มีความคิดเหมือนคนขับรถน้องชายผม ตาลุงคนนี้ พอเหยียบเบรคทีไร แกต้องรีบสับ N ทันที ผมนั่งดูแกขับแล้ว อมยิ้มกลั้นหัวเราะไว้ แล้วกลั้นไม่อยู่ ... ปล่อยก๊ากออกมาทันที เมื่อแกอธิบายว่า "กลัวเครื่องดับ" เชื่อไหม ขับออกจากซอย จะเข้าถนนใหญ่ หยุดรอรถว่างแกก็ N ชลอๆ รถติด หยุดทีไร ก็ N ทุกที รถคันนี้เอาเข้าอู่ ซ่อมเกียร์เสียเงินไปแล้ว มีใบเสร็จเก็บไว้ เผื่อใครจะดู จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 06:52:48 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เห็นตาม #37 ใครว่าไม่ร้อนก็ไม่ต้อง N เหยียบเบรกต่อไป >>>>>>>>>> เขาว่าอย่างไร อ้างหลักฐาน .... น่าเชื่อถือใช่ไหม ผมจะย้อนขึ้นบนไปค้นดู จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 06:54:53 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ความคิดเห็นที่ 37   ร้อนซิ ง่ายๆๆ  พลังงานมันไม่ได้ใช้ก็แปรรูปเป็นความร้อน ตามกฎพิสิกก์ เมื่อล้อไม่หมุน น้ำมันก็จะไหลวนอยุ่ในทอร์ค เสียดสีกัน จากคุณ : kero100  - [ วันออกพรรษา 02:23:45 ] >>>>>>>>>>>> ROFL ====>>> แปลว่า หัวเราะงอหงายกลิ้งไปกลิ้งมา ผมนึกแล้ว พอใครอ้างกฏฯ อ้างหลักวิชาอะไรขึ้นมา แถมอ้าง "ฟิสิกก์" ให้เห็นขลังเข้าหน่อย พ่อหนุ่มข้างบน มาเห็นเข้า ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผลประกอบว่า ที่เขาอ้างนั้น มันถูกหลักหรือเปล่า พูดง่ายๆ พอโยนหนังสือ โครม ให้เห็น ก็รีบเชื่อทันที แถมยังอวดว่า "หนังสือน่าเชื่อถือ" "คนแต่งมีดีกรี" ว่าไปโน่น ...... อย่างที่ผมกำลังพูดนี้ ..... ร้อน ไหม ???  เสียดสี  ....   จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 07:03:56 ]

ความคิดเห็นที่ 57 พลังงานมันไม่ได้ใช้ก็แปรรูปเป็นความร้อน ตามกฎพิสิกก์ >>>>>>>> ตัวอย่าง กฏฟิสิกส์เรื่องเบรค   เราเปลี่ยนพลังงานวิ่ง(จลน์) ให้ผ้าเบรคเสียดสีกับจานเบรค==> เปลี่ยนพลังงานอย่างหนึ่ง ไปเป็น "ความร้อน" ....... ใช่ ครับ พอเกิดความร้อนขึ้นถึงจนถึง จุด last-stage (แปลว่า สุดท้าย)  ===> รถก็หยุด ........ นึกภาพออกนะครับ พอ "รถหยุดนิ่งแล้ว" แต่เรายัง "เหยียบเบรคคาไว้" เด็กนักเรียนที่นั่งรถมาด้วย เห็นดังนั้น ก็บอกลุงว่า "เหยียบเบรคไว้ ไม่ดี" ลุงถามว่า "ทำไม" เด็กตอบว่า ครูสอนฟิสิกส์ท่านสอนว่า "เหยียบเบรค ทำให้มันร้อนๆๆๆ" ....."เพราะพลังงานไม่ได้ใช้ก็แปรรูปเป็นความร้อน "   จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 07:15:14 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ^ ^ (ต่อ)   "พลังงานไม่ได้ใช้" .... เมื่อล้อไม่หมุน น้ำมันก็จะไหลวนอยุ่ในทอร์ค เสียดสีกัน >>>>>>>> การเข้า D + เบรค ===> ใช่ครับ เท่ากับเราจับด้าน Output ของ Torque converter ให้หยุด จะอธิบายให้เข้าใจจริงๆ จะต้องลงลึกถึงการทำงานอย่างละเอียดของ Torque converter  ว่า มันทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ Fluid Transmission และ Fluid coupling 1) ทำหน้าที่เป็น Fluid Transmission แปลว่า "เกียร์น้ำมัน" เกียร์ตัวนี้ทำงานแบบ variable ratio อัตราทดเปลี่ยนแปลงได้ จาก Max-Min โดยที่อัตราทด= max เมื่อด้าน output= หยุดนิ่ง อัตราทดค่อยๆลดลงจนเหลือ "เกือบ"  1 ต่อ 1 เมื่อ rpm เร็วขึ้น (สังเกตผมบอกว่า "เกือบ" 1 ต่อ 1 นะครับ เพราะ อัตราทด 1 ต่อ 1 ทำไม่ได้) เข้า D+เบรค เราจะได้ อัตราทด = สูงสุด  ก็เท่ากับเกียร์ต่ำสุด นึกออกนะครับ ดังนั้น จึงไม่ใช่ของแปลก ที่เรารู้สึกว่า ถ้าเบรคเอาไว้ รถออโต้ มีแรงอยากจะออกวิ่ง เพราะเกียร์ต่ำสุด มีแรงบิดออกตัวสูงสุด หาใช่ว่า รถเราฉีดน้ำมันเพิ่ม แต่อย่างใด ( ECU มันจะไปเร่งเครื่องทำ หอก อะไร ครับ) 2) พอรอบเร็วขึ้น ก็ทำหน้าที่เป็น fluid coupling คือเป็นคลัชน้ำมัน สมมติว่า IFF ....    Torque converter เป็น Fluid coupling คือ คลัชน้ำมัน ....แล้วเราไปจับ output ให้มันหยุด ===> น้ำมันก็จะอัดตัว อั้นอยู่ตรงใบขับ คล้ายเราอัดไฮโดรลิคเข้าถัง หรือ สูบลมเข้าถัง สูบเข้าๆๆๆๆ พลังงานสูบอัดเข้าไป น้ำมันไม่หมุนเวียน ==> อัดตัว ก็ร้อน .... ใช่ ครับ ถูกกกก ต้องงงง แต่การเข้า D+ เบรค ไม่ใช่ ข้อ 2 ) ครับ ..... จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 07:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 59 แต่การเข้า D+ เบรค ไม่ใช่ ข้อ 2 >>>>>>> ขณะที่เราเข้า D+เบรค Torque converter ทำหน้าที่เป็น Fluid Transmission "น้ำมันเกียร์ไม่ได้หยุดไหล" พลังงานเอาไปใช้ขับน้ำมันเกียร์ให้ไหลเวียน ====> แน่นอน ครับ ทฤษฏีความร้อน ... การเคลื่อนไหวของโมเลกุลใดๆ (อะตอม) จะเป็น "ความร้อน" .....จะให้ absolute ไม่ร้อนจริงๆ ก็ต้องทำให้มันหยุดนิ่ง จึงจะได้ 0 Kelvin ครับ เรื่องความร้อนน้ำมันเกียร์ จะเถียงกันด้วยทฤษฏีฟิสิกส์บทไหน ก็เลือกเอา แต่ถ้าอยากจะอ้างฟิสิกส์ ขอให้รู้จริงๆ อธิบายได้ ไม่ใช่เอาตำรามาอ้างเลอะเทอะ เสียชื่อครูผู้สอน เปล่าๆ ..... ว่าไหม ? ใบปรับน้ำมัน (stater) ที่อยู่ภายใน Torque converter ทำหน้าที่ "ปรับการไหล" ของน้ำมันเพื่อให้ ความเร็วรอบหมุนด้าน input กับ output ==> หมุนด้วยความเร็ว rpm ไม่เท่ากัน ลักษณะที่  input-rpm กับ output-rpm หมุนเร็วไม่เท่ากัน นี่แหละ คือ ลักษณะการทำงานของ transmission หรือ "เกียร์ทด" ผมถึงบอกว่า เป็น fluid transmission ไงครับ อ๋อ อยากจะอ่านที่ฝา-หรั่ง เขาอธิบายเรื่องพวกนี้ ก็ได้ครับ ลองเข้าไปดูที่ howstuffwork ก็แล้วกัน แล้วอย่าลืมดูด้วยว่า "คนเขียน" เขาอ้างดีกรี หรือเปล่า ? แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 50 07:54:18 จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 07:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 60 พวก CVT นี่ครัชมันอยู่ที่ปลายเกียร์  ติดไฟแดงควรต้องปลดมาเป็น N อยู่แล้ว >>>>>>>>>> เกียร์ตัวนี้ Honda ทำแปลก เอา starting clutch ไว้ที่ปลายเกียร์ ไม่เหมือนชาวบ้าน จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 07:56:46 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ป๋าแน่นมากเลย แจ่มครับ มารอช่างกล หนุ่มมาตอบต่อว่ายังไงกันเอ่ย >>>>>>>>>> จะเสี้ยมเขาควายให้ขวิด ช่างกลหรือครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 07:58:50 ]

ความคิดเห็นที่ 62 จากคห. 48 สำหรับเกียร์ ZF ที่มีฟังชั่น Stand-by-Control (SBC). SBC is an electronic control system that essentially controls the input clutch in the transmission so that the engine is disconnected from the driveline when the vehicle is stationary, even when in gear. >>>>>>>>>>>>> เห็นไหมครับ คนนี้อุตส่าห์ไปค้นรายละเอียดเกียร์ ZF มาช่วยยืนยันคำพูดของผม ที่ว่า "ไม่ได้สับ N คลัชอื่นๆยังจับแน่น(even when in gear) " กรุณาย้อนไปดู คห. 23 ของผมที่ผมอธิบายไว้แล้ว ดังนี้ .....เกียร์ ZF พอเข้า D แล้วเบรคนานๆ มันไม่ได้สับ N อย่างที่เข้าใจหรอกครับ ชุดคลัชทั้งหลายยัง "จับแน่น"  (ตรงนี้ อยากให้เข้าใจ เพราะการจับและปล่อยบ่อยๆ ทำให้แผ่นคลัชสึกหรอ) เกียร์ ZF เพียงแต่ปลด"ชุดขับ" ออกเท่านั้น ทำให้คนขับรู้สึกว่า "เกียร์ว่าง" จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 08:05:17 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ส่วนผมทำตามคู่มือรถบอกให้เข้า N เมื่อไฟแดง ไม่เข้า D ค้าง รถยี่ห้อที่ไม่ใช่โตต้าก็บอกแบบนั้นครับ >>>>>>>>> ยี่ห้ออื่นเขาบอกดังนี้ ... when stopped at traffic lights, leave the selector lever in the D-position and hold the vehicle with the service brake.... แปลว่า ให้เข้า N  เมื่อติดไฟแดง หรือครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 08:12:03 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ผมเห็นเขียนถามเรื่องเข้า D+ brake กันบ่อยๆ เข้าขั้น FAQ จึงอยากจะให้เข้าใจเหตุผล ถ้าไม่ขี้เกียจคิด ก็ไม่ต้องอธิบายกันมาก แค่บอกว่า "ก่อนที่คลัชจะจับแน่น" คลัชต้องเสียดสีกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การสึกหรอ ตรงจุดนี้เขาพยายามหลีกเลี่ยง โดยวิธีต่างๆ เช่น ทำให้แผ่นคลัชแช่ในน้ำมัน และ กลไกร้อยแปด ส่งผลให้ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 08:16:58 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ต่อ 64 (เขียนไม่ทันจบ) ส่งผลให้... การสึกหรอของแผ่นคลัช ค่อยๆลดน้อยลง สึกหรอเท่าไร ?? ผมก็บอกวิธีวัด วิธีทดสอบให้แล้ว อยากจะรู้จริงๆ ก็ทำอย่างที่ผมบอกซิครับ จะได้เห็นของจริงๆ ไม่ต้องอ้างตำรา อ้างดีกรีผู้เขียน ให้เมื่อยตุ้ม จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ต.ค. 50 08:26:50 ]

ความคิดเห็นที่ 66 กลัวอะไรนักหนากับเรื่องคลัทช์สึกตอนเปลี่ยน N > D เราไม่โยก N > D คลัทช์มันก็ต้องเปลี่ยนจากเกียร์อื่นมาจับที่เกียร์ 1 อยู่ดึ พูดอย่างกับว่ามันจับอยู่ที่เกียร์ 1 ตลอดเวลา ไม่ปลดไม่สึก มันก็ต้องย้ายการจับจากเกียร์อื่นมาจับที่เกียร์ 1 เหมือนกัน สึกพอกันแหละ จากคุณ : . . . - [ 27 ต.ค. 50 20:36:10 A:125.25.158.58 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ถ้ากลัวคลัทช์สึกจากเหตุแค่ N > D อย่าไปขับเกียร์ออโต้เลย เพราะถึงไม่ใช่ N > D คลัทช์มันก็ จับ-ปล่อย จับ-ปล่อย แบบนี้ไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว ขับย่องๆรถติดๆมันก็เปลี่ยน 2-1-2-1 ไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้ว กับอีแค่ N > D อีกวันละไม่กี่ครั้ง มันจะอะไรกันนักหนา จากคุณ : . . . - [ 27 ต.ค. 50 20:38:45 A:125.25.158.58 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ความคิดเห็นที่ 63 ส่วนผมทำตามคู่มือรถบอกให้เข้า N เมื่อไฟแดง ไม่เข้า D ค้าง รถยี่ห้อที่ไม่ใช่โตต้าก็บอกแบบนั้นครับ >>>>>>>>> ยี่ห้ออื่นเขาบอกดังนี้ ... when stopped at traffic lights, leave the selector lever in the D-position and hold the vehicle with the service brake.... แปลว่า ให้เข้า N เมื่อติดไฟแดง หรือครับ รถยี่ห้อ อะไร วะ จะค้นหาข้อมูลให้ จากคุณ : ป๋า - [ 27 ต.ค. 50 22:18:35 A:202.44.210.31 X: TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ความคิดเห็นที่ 52 ป๋าแล้ว Honda พวกที่ไม่ใช่ CVT ล่ะ ติดไฟแดงต้องเข้าอะไร พวก CVT นี่ครัชมันอยู่ที่ปลายเกียร์ ติดไฟแดงควรต้องปลดมาเป็น N อยู่แล้ว Honda พวกที่ไม่ใช่ CVT พอดีข้อมูลที่เก็บไว้ไม่อยู่ในบ้าน วันหลังจะค้นให้ เท่าที่ทราบ accord ปี96 และ civic ปี07 ติดไฟแดงควรเข้า N มีแรงคืบคลานค่อนข้างมาก มีเกียร์รุ่นใหม่บางรุ๋นใช้โซลินอยด์ วาวล์ลดแรงดันจับคลัชท์เมื่อเหยียบเบรคและจังหวะเปลี่ยนเกียร์ติดไฟแดงควรเข้า N รุ่นอื่นๆ download ข้อมูลจาก http://spoonhonda.com/index_ie.htm จากคุณ : ป๋า - [ 27 ต.ค. 50 22:53:47 A:202.44.210.31 X: TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เออ...ป๋า ผมผิดตรงไหนหรือเปล่า คู่มือรถบอกให้ติดไฟแดงเข้า N นะครับ ฮอนด้าเหมือนกัน จากคุณ : ..... - [ 28 ต.ค. 50 00:08:53 A:125.25.140.254 X: TicketID:131513 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เอางี้มั้ยละ พ่อคนแก่ เข้า D แล้วเหยียบเบรกไว้ซักครึ่งชั่วโมงดูซิ เกียร์จะพังมั้ย รถท่านใดมีเกจ์ วัดอุณหภูมิช่วยดูให้ทีครับ ว่าเหยียบเบรกขณะ D นาน ๆ ความร้อนน้ำมันเกียร์เพิ่มสูงเกินอุณภูมิทำงานปกติที่ 50-80 องศาเซลเซียสหรือไม่ แล้วถ้ามันเป็น 110 องศาภายในกี่วินาที แล้วถ้ามันเป็น 150 องศามันจะพัง มั้ย???? ถ้าผมเชื่อ ช่าง(เล่น)กลแก่ ผมก็คงต้องเผาตำราทิ้งไปซะ ผมถึงบอกว่าใครเชื่ออย่างไรก็ทำไปตามนั้น มันเรื่องของคุณ รถของคุณ จะ N หรือจะ D ยังงัย N และเบรกมือปลอดภัยที่สุด จากคุณ : JoeRazz - [ 28 ต.ค. 50 12:27:52 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ... when stopped at traffic lights, leave the selector lever in the D-position and hold the vehicle with the service brake.... ประโยคนี้ไม่รู้ไปเอามาจากไหน โปรดยกมาให้จบด้วยครับ มันต้องมีบอกต่อ แน่ ๆ ว่า ถ้าหยุดเป็นเวลานานให้เปลี่ยนเป็น N หรือ P ไปเลย เช่น However, if you are stopping for a considerable amount of time, you may want to put the transmission into Neutral (N) or Park (P). จากคุณ : JoeRazz - [ 28 ต.ค. 50 13:48:11 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ประโยคนี้ไม่รู้ไปเอามาจากไหน โปรดยกมาให้จบด้วยครับ มันต้องมีบอกต่อ แน่ ๆ ว่า ถ้าหยุดเป็นเวลานานให้เปลี่ยนเป็น N หรือ P ไปเลย >>>>>>>> เราคุยกันเรื่องหยุดรอไฟแดง ควรเข้าเกียร์ไหน ถ้าหยุดนานๆ  พวกเราคงไม่โง่ ....ถึงขนาดต้องรอ ให้หนังสือบอก ..... ไม่ใช่หรือ ? จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 ต.ค. 50 05:32:32 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เข้า D แล้วเหยียบเบรกไว้ซักครึ่งชั่วโมงดูซิ เกียร์จะพังมั้ย รถท่านใดมีเกจ์ วัดอุณหภูมิช่วยดูให้ทีครับ ว่าเหยียบเบรกขณะ D นาน ๆ ความร้อนน้ำมันเกียร์เพิ่มสูงเกินอุณภูมิทำงานปกติที่ 50-80 องศาเซลเซียสหรือไม่ แล้วถ้ามันเป็น 110 องศาภายในกี่วินาที แล้วถ้ามันเป็น 150 องศามันจะพัง มั้ย???? >>>>>>>>>>>>>> ......ตกหลุม แล้ว เอาซิครับ ผมต่อให้เข้า D เบรคไว้ทั้งวัน   เอาไหม  อยากลองไม่ใช่หรือ  ? ผมใช้ cooler แบบ Oil to Air คือ ไม่ใช่ฝังในหม้อน้ำ ทำง่ายๆ ไม่สงวนสิทธ์ ใครจะลอกเลียนได้เลย ผมใช้ oil cooler ตัวเล็กๆ ของ ISuzu พัดลมอะไรๆ ก็ไม่ได้ติด เอาไปแปะไว้หน้ารถเฉยๆ ..... แต่นี้แหละ อยากรู้ว่า น้ำมันร้อน และร้อนแค่ไหน ก็ต้องวัดให้เห็นจริงๆ   หาซื้อเทอร์โมมิเตอร์ที่ กรุงไทย??? (สวนจตุจักร ไม่รู้ตอนนี้ยังอยู่ไหม ) ราคาไม่แพง ถูกมาก ... เทียบกับความรู้ที่จะเอาไว้ตอบ FAQ   ที่ผมพยายามอธิบาย เรื่องน้ำมันเกียร์ ไม่ร้อน ผมพยายามจะชักชวน ส่งเสริมให้รู้จักคิดเสียบ้าง พยายามฝึกหัดเถอะครับ อ่านอะไรก็ตาม อ่านแล้วควรจะอ่านให้เข้าใจ จริงๆ ไม่อยากให้เรียนแบบ "นกแก้ว" คือ อ่านหนังสือแล้ว ก็ท่องมาอ้าง อย่างที่ยกมาอ้าง หรือ เรียกร้องให้อ้างหนังสือ .... พวกนี้นกแก้ว นกขุนทอง นะครับ หรือ.... คนที่ชอบยกตำราเป็นโหล ทำตัวเป็นเต่าแบกตำรา ขนมาโยนโครม หนังสือทั้งกอง เพื่อจะบอกเพื่อนว่า "หนังสือบอก"  การเรียนรู้อย่างนั้น ยุคก่อนนะ ใช่ แต่ยุคนี้ .... ไม่ใช่ ครับ เพราะ เรา คนไทยทั้งประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ "ยุคแห่งภูมิปัญญา"  .... ไม่ใช่หรือ  ? จำได้ไหม ไอส์ไตย์ พูดว่า "the true sing of intelligence is not knowledge but imagination" พยายามหน่อยเถอะ อย่าเอาแต่อ้างตำรา .... โดยไม่รู้จักคิดเอง เพราะ ตำราเป็นเรื่องราวในอดีต ที่คนเขียนบันทึกไว้ ไม่มีตำราเล่มไหนหรอกครับ ที่จะเขียนบันทึกเรื่องราวใหม่ๆ แม้แต่ผลงานวิจัยวิทยาศาสตร์ ... ฉบับล่าสุด ก็เป็นเรื่องอดีต imagine ความคิดซิครับ ทีเป็นบ่อเกิด wisdom ขึ้นมาได้ ไม่ใช่  ได้มาด้วยการท่องจำ knowledge   เลืกเสียทีเถอะ อย่ามัวแต่อ้างตำรา  อ่านตำราเยอะๆ แล้วไม่เข้าใจ จะมีประโยชน์หรือ ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 ต.ค. 50 06:05:33 ]

ความคิดเห็นที่ 75 อ่านได้ใน http://www.autoshop101.com/ Technical Articles Toyota Series - Automatic Transmissions AT01 Fundamentals of Automatic Transmissions.pdf 144KB AT02 Torque Converter.pdf 478KB AT03 Simpson Planetary Gear Unit.pdf 380KB AT04 Gear Selection and Function.pdf 20KB AT05 Power Flow.pdf 1211KB AT06 Automatic Transmission Fluid.pdf 27KB AT07 Transmission Oil Pump.pdf 136KB AT08 valve Body Circuits.pdf 963KB AT09 A340H Transfer.pdf 60KB AT10 Electrical Control.pdf 308KB AT11 Transmission Check, Adjustments and Diagnosis.pdf 170KB AT12 Shift Lock System.pdf 186KB AT13 Appendix.pdf 1290KB จากคุณ : ป๋า - [ 25 ต.ค. 50 18:35:44 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]       ความคิดเห็นที่ 30   http://www.autoshop101.com/ สำหรับU-Series Technical Articles Toyota Series - Automatic Transmissions AT21 Automatic Transmission Basics.pdf 1723KB AT22 U-Series Transaxle.pdf 947KB AT23 Valve Body Circuits.pdf 610KB AT24 Electronic Control System.Pdf 860KB AT25 Diagnostic Procedures.pdf 621KB AT26 Diagnostic Tester.pdf 485KB AT27 Remanufactured Transmission.pdf 186KB AT28 Appendix.pdf 339KB จากคุณ : ป๋า - [ 25 ต.ค. 50 18:46:12 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ] >>>>>>>>>>>>>>>>> นี่เป็นตัวอย่าง เต่าแบกตำรา ครับ อ่านตำราเยอะแยะ แต่อ่านแล้วไม่เข้าใจ อธิบายให้เพื่อนเข้าใจผิดๆ เช่น 1) เข้า D แล้วฉีดน้ำมันเพิ่ม ==> กินน้ำมัน 2) เข้า D สึกหรอ เพราะ "คลัชจับไม่แน่น" ถามจริงๆ เถอะครับ เพื่อนๆ เชื่อว่ามีใครอุตริ ดีไซด์แบบนั้น ???? จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 ต.ค. 50 06:15:16 ]

ความคิดเห็นที่ 76 แต่ต้องขอบคุณคุณช่างกล ที่พยายามอธิบายให้เห็นภาพครับ จากคุณ : ลูกแม่โดม  - [ วันออกพรรษา 13:07:11 ] ขอบคุณ คุณลูกแม่โดม ที่เข้าใจความพยายามของผม จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 ต.ค. 50 06:17:34 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ทั้งหลายทั้งหมด ที่ผมพยายามอธิบาย เพื่อจะให้เห็นภาพว่า 1) เข้า D เอาไว้ คลัชมันจับแน่นแล้ว ==> ไม่มีการสึกหรอ 2) แต่คลัชจะสึกหรออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในจังหวะที่ about to engage 3) การสึกหรอตรงนี้ "เขา" พยายามจะลดให้มากที่สุด โดยวิธีต่างๆ ส่งผลให้ความสึกหรอลดลง เรื่อยๆ รู้ได้ยังไง ? ผมได้บอกวิธีตรวจสอบ ได้ตัวเลข "สึกหรอ" ให้เห็นกับตา จริงๆ 4) เรื่องความร้อน อธิบายไปแล้ว ว่าเกียร์แบบนี้ไม่ใช่แหล่งผลิตความร้อน เข้าเกียร์นานๆ ไม่ได้ทำให้ร้อนขึ้น "เฟืองเกียร์หนอน" เท่านั้นที่ทำงานแล้วมีความร้อน ความร้อนเกิดจากการเสียดสีของเฟืองชนิดนี้ 5) เรื่อง torque converter เป็นเรื่องเข้าใจยาก ยิ่งยากขึ้น ถ้าไม่เคยเห็นชิ้นส่วนภายใน .... จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนเข้าใจว่า Torque converter ทำหน้าที่ส่งกำลัง เหมือนพัดลม 2 ตัว เป่ากัน ... ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกเพียง ครึ่งเดียว ตรงนี้ คือ ปัญหาสำคัญ เพราะน้อยคนมาก ที่จะเคยเห็นชิ้นส่วนภายใน Torque converter และเนื่องจาก TC ของรถเก๋งทั่วๆไป "ถอดไม่ได้" ดังนั้น ช่างประจำศูนย์รถยนต์น้อยคน ที่จะเคยทะลึ่ง "ผ่าออกมาดู" แม้ถอดแยกชิ้นแล้ว  ช่างที่สนใจจริงๆเท่านั้น จึงจะดูออกว่า 1) Stator ตัวที่เห็นตรงหน้า "ลักษณะใบแบบนี้"  มันเป็นแบบ High -Stall-Speed หรือ Low-Stall-Speed หรือ 2) ผ้าเบรค กับ ผ้าคลัช สองตัวนี้มันต่างกัน อย่างไร ? ดังนั้น ขอให้ลองถามคำถามง่ายๆ 2 ข้อข้างบน แล้วคุณจะรู้ว่า คนๆนั้นเขา รู้จริง หรือ นั่งเทียน ? จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 ต.ค. 50 06:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 78 แนะนำให้อ่าน ครับ ไม่ใช่เดา จากคุณ : ป๋า - [ 30 ต.ค. 50 16:01:57 A:10.212.212.129 X:203.146.104.41 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ความคิดเห็นที่ 70 เออ...ป๋า ผมผิดตรงไหนหรือเปล่า คู่มือรถบอกให้ติดไฟแดงเข้า N นะครับ ฮอนด้าเหมือนกัน ไม่ผิด ครับ คู่มือมีเตือนไว้ จากคุณ : ป๋า - [ 30 ต.ค. 50 16:04:52 A:10.212.212.129 X:203.146.104.41 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 80 1) เข้า D แล้วฉีดน้ำมันเพิ่ม ==> กินน้ำมัน อ่านได้ใน http://www.autoshop101.com/forms/h26.pdf อิ อิ จากคุณ : ป๋า - [ 30 ต.ค. 50 16:16:21 A:10.212.212.129 X:203.146.104.41 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เข้า D เอาไว้ ปล่อยคันเร่ง คลัชมันไม่จับแน่น http://www.autoshop101.com/forms/AT08.pdf http://www.autoshop101.com/forms/AT23.pdf เรื่อง primary regulator valve อิ อิ จากคุณ : ป๋า - [ 30 ต.ค. 50 16:42:38 A:10.212.212.129 X:202.44.210.43 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เรื่อง torque converter http://www.autoshop101.com/forms/AT02.pdf จากคุณ : ป๋า - [ 30 ต.ค. 50 16:59:51 A:10.212.212.129 X:202.44.210.43 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 83 @74 //ผมต่อให้เข้า D เบรคไว้ทั้งวัน เอาไหม อยากลองไม่ใช่หรือ ? ผมใช้ cooler แบบ Oil to Air คือ ไม่ใช่ฝังในหม้อน้ำ ทำง่ายๆ ไม่สงวนสิทธ์ ใครจะลอกเลียนได้เลย ผมใช้ oil cooler ตัวเล็กๆ ของ ISuzu พัดลมอะไรๆ ก็ไม่ได้ติด เอาไปแปะไว้หน้ารถเฉยๆ ..... แต่นี้แหละ // ถ้าจะทดลอง ไม่เอาให้ง่ายกว่านั้นหละครับ . . . ต่อท่อวนตรงไม่ต้องติด Oil Cooler เลยดีกว่า ไม่ต้องมีอะไรมาช่วยระบายเลย . . . เอาท่อโลหะอะไรตรงๆสั้นๆมาใส่แทนก็ได้จะได้ตรวจอุณหภูมิได้ง่ายๆ ตื่นมาเช้าๆ น้ำมันเกียร์ยังเย็นๆ ไม่ต้องวิ่งเดี๋ยวมันจะร้อนด้วยเหตุอื่นๆ สตาร์ทเครื่องเสร็จ . . เข้า D แล้วเหยียบเบรคหรือดังเบรคมือไว้เลย แล้วทำแบบนี้ทิ้งไว้ทั้งวันดู ว่าน้ำมันเกียร์จะมันร้อนขึ้นไหม ถ้า D+Brake ไม่มีความร้อนเกิดขึ้นอย่างที่ว่าไว้ . . . จับที่ท่อโลหะที่ต่อตรงแทน Cooler จับยังไงก็ต้องไม่ร้อนขึ้นจนรู้สึกได้ วิธีนี้ไม่ต้องพึ่งเทอร์โมมิเตอร์ใดๆ เอาเทอร์โมนิ้วก็น่าจะพอบอกได้แล้วว่าร้อนขึ้นไหม ยังไม่ได้ลองเอง . . . แต่ถ้าปราศจาก Cooler ใดๆมาช่วย . . . ผมเชื่อว่า เอานิ้วแตะที่ท่อ ก็น่าจะบอกได้ว่าร้อนขึ้นหรือเปล่า ปล. บังเอิญตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด รถที่ใช้มีแต่ MT . . . วิธีนี้ไม่ยาก ถ้ามีเวลาและหารถ AT ได้ จะลองต่อตรงแบบนี้ลองวัดดูเหมือนกัน . . . จะได้จบปัญหา FAQ (หรือจะรบกวนนักทดลอง Ton99 ช่วยลองให้ดูหน่อยก็ได้ ไม่ยากเกินความขยันของคุณต้นแน่ๆ . . . จะได้เคลีย์ไปเลยว่า "เกียร์ไม่ใช่แหล่งผลิตความร้อน" จริงหรือเปล่า ลองตอนจอดนิ่งๆอย่างเดียวนะครับ อย่าเผลอไปวิ่งหละ เดี๋ยวเดี้ยง ) จากคุณ : A-Z - [ 30 ต.ค. 50 23:22:16 A:203.146.63.182 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 84 @58 // เข้า D แล้วฉีดน้ำมันเพิ่ม ==> กินน้ำมัน จึงไม่ใช่ของแปลก ที่เรารู้สึกว่า ถ้าเบรคเอาไว้ รถออโต้ มีแรงอยากจะออกวิ่ง เพราะเกียร์ต่ำสุด มีแรงบิดออกตัวสูงสุด หาใช่ว่า รถเราฉีดน้ำมันเพิ่ม แต่อย่างใด ( ECU มันจะไปเร่งเครื่องทำ หอก อะไร ครับ) // ที่พูดมาหมายความว่า การเข้า D เครื่องไม่มีโหลดเพิ่มใช่ไหม ? เครื่องโบราณใช้คาร์บูโง่ๆหน่อย . . ถ้าไม่มีระบบ Compensate ใดๆ เข้า D รอบตกลงไหม ? . . . . ผลคือ รอบตก เครื่องสั่น ขนาดคอมแอร์ต่อ หรือเปิดไฟหน้า รอบมันยังตกเลยเพราะมีโหลดเพิ่ม . . แล้วเข้า D ที่มีแรงพร้อมจะขับเคลื่อนรถได้ มันจะไม่มีโหลดกับเครื่องเลยหรือไง . . เข้า D ทิ้งไว้ ปั๊มที่มันสร้างแรงดันไปกดคลัทช์เอาไว้ มันได้มาฟรีๆหรือไง ไม่ต้องใช้พลังงานเลยหรือไง เครื่องสมัยใหม่มันฉลาด เข้า D รอบตก . . . มันก็ต้องสั่งเปิดวาล์วรอบเดินเบา ฉีดน้ำมันช่วย เพื่อเร่งรอบขึ้นไปหา Target Idle . . . ซึ่งระบบคุมรอบเดินเบาของเครื่องที่ใช้เกียร์ AT ทุกยี่ห้อ ก็ต้องมี AT Load เป็น Parameter ที่เกี่ยวข้องกันทั้งนั้น เรื่องรถไหลได้เพราะมี TC เป็น Torque Multiplier มีแรงช่วยขับมันก็เรื่องนึง . . . ที่รอบเดินเบาถึงมันจะมี Torque จากเครื่องน้อยก็จริง . . . . แต่ลืมไปหรือเปล่า ว่าแรงบิดจะสร้างขึ้นมาเมื่อมีโหลด . เดินเบา 800 รอบเหมือนกัน เดินตัวเปล่าไม่มีโหลดเครื่องไม่ต้องสร้าง Torque มากมาย ใช้น้ำมันนิดเดียว . . แต่พอเข้า D มีโหลด บังคับให้เครื่องต้องสร้างแรงบิดที่จะขับเคลื่อนได้ มันก็ต้องฉีดน้ำมันเพิ่มแม้จะใช้รอบเดินเบาเท่าเดิมก็เถอะ . . . ไปจับสัญญาณหัวฉีดได้เลยว่า Duty Cycle ในการยกหัวฉีดมันยาวขึ้นไหม จริงๆเหตุผลมันง่ายจะตายไปครับ รู้มากขนาดนี้น่าจะรู้ว่า "ECU มันเร่งเครื่องไปทำ หอก อะไร" . . . ไม่น่าถาม จากคุณ : A-Z - [ 30 ต.ค. 50 23:23:55 A:203.146.63.182 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ผมยังนึกไม่ออกว่าจะวัดยังไง แบบที่ไม่ให้มีข้อกังขา ถ้าจะลอง  คงต้องติดเครื่องเดินเบาทิ้งไว้ให้มันร้อนจนคงที่เลย หลังจากนั้นคงต้องเข้า D แล้ว เบรคเอาไว้ดู ปัญหาคือ จะวัดความร้อนของท่อน้ำมันเกียร์ยังไง เอา Thermo ไปแปะ  คงจะลำบาก เอากล้องยิงวัด Temp  ก็กลัวจะยิงเพี้ยนอีก ปกติติดเครื่องเข้า P หรือ N ไว้ TC มันก็หมุนน้ำมันอยู่แล้วหนิครับ จับเข้า D แล้วเบรคไว้  ก็คงร้อนขึ้นอีกหน่อยแล้วก็หยุดแค่นั้น   คงไม่ร้อนมากขึ้นๆจนน่ากลัว จากคุณ : ton99 - [ 31 ต.ค. 50 16:31:50 ]

ความคิดเห็นที่ 86 จริงๆแล้ว ท่อนนี้เขียนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เน็ตมันดันส่งไม่ไป . . . เอามาลงต่อ - - - - - - - - - - - - - ส่วนเข้า D แล้วคลัทช์จับแน่น หรือไม่แน่นนั้น เข้า D แล้วคลัทช์จับแน่นครับ แน่นแค่พอที่จะไม่เกิด Slip จากแรงบิดแค่รอบเดินเบา . . . . แต่ยังไม่แน่นที่สุด ไม่จำเป็นต้องจับแน่นมากๆ เพราะต้องใช้แรงดันเยอะ . . . สร้างแรงดันเยอะก็เกิดความร้อนมาก กินแรงเครื่องมาก . . . ก็สร้างแรงดันแค่ระดับพอเพียงที่จะไม่เกิด Slip พอ ไว้เครื่องมีอัตราเร่ง มีแรงบิดเพิ่มขึ้น ก็ปรับแรงดันเพื่อเพิ่มแรงกดตามไป เข้า D ไว้ มีโหลด มีการสร้างแรงดัน . . . ยังไงก็มีการสร้างความร้อนเกิดขึ้น . . . ไม่ได้ร้อนเพราะแค่ . .@59> " "น้ำมันเกียร์ไม่ได้หยุดไหล" พลังงานเอาไปใช้ขับน้ำมันเกียร์ให้ไหลเวียน . แต่มันที่ต้องสร้างแรงดันด้วย . . . . แล้วแรงดันที่ไหนสร้างได้โดยไม่เกิดความร้อนครับ เขายังต้องมีวาล์วมาระบายแรงดันส่วนเกินทิ้ง เพื่อลดความร้อนที่จะเกิดขึ้นเลย เข้า D น้ำมันมันจะไม่ร้อนได้ยังไง . . . เพียงแต่มันมี Oil Cooler มาช่วย มันก็เก็บความร้อนที่เกิดขึ้นในระดับเอาอยู่ แต่อย่างที่ให้ทดลองข้างบนแหละครับ ลองไม่มี Cooler เลยดูซิ . . . ลองดูว่าเข้า D แล้วเบรคไว้นิ่งๆ . . เกียร์มันจะผลิตความร้อนเองได้มั้ย จากคุณ : A-Z - [ 31 ต.ค. 50 21:31:04 A:203.146.63.183 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 87 มาต่อเรื่องการทดลอง เผื่อคุณต้นจะลองทำจริงๆ จะวัดยังไงให้แม่น ? . . . ตามวิธีต่อท่อแบบที่ผมบอก ผมว่าวัดได้นะ ถอดท่อทั้งเข้าและออก จาก Cooler ที่หม้อน้ำออก ต่อท่อตรงๆสั้นๆระหว่างสายเข้าออกไปเลย . . . ถ้าจะวัด วัดที่ผิวท่อก็น่าจะพอบอกได้ว่าร้อนขึ้นไหม . . . เอากล้องยิงวัดไปที่ท่อโลหะนี้ก็ได้ เพราะหย่อนสายนี้ให้ห้อยลงมาข้างล่าง ท่อโลหะนี้มันก็น่าจะรับความร้อนจากน้ำมันเกียร์อย่างเดียว ไม่น่าจะรับความร้อนจากแหล่งอื่นจนเพี้ยนไปมากนักครับ แต่ถ้ากลัวเพี้ยน เอาให้แม่นยำขึ้น . . . ตรงท่อต่อนี้ทำเป็นเกลียว 3 ทางไว้เป็น Adaptor สำหรับใส่ Temp Sensor ทั้งหลายไปเลย ต่อพวก Oil Temp หรือ Water Temp เข้าไป ก็น่าจะอ่านได้ตรงพอสมควรแล้ว แต่จริงๆ เราไม่ได้ต้องการพิสูจน์อะไรที่แม่นยำนัก . . . เอาแค่ให้รู้ว่าร้อนขึ้นหรือเปล่าก็พอ เพื่อเอามาตอบโจทย์ที่บอกไว้ว่า . . "เกียร์ไม่ใช่แหล่งผลิตความร้อน" . . ไม่ต้องการตัวเลขที่แม่นยำมากนัก เอาแค่ร้อนขึ้นหรือเปล่า เรื่องน้ำมันไหลใน TC ตอน N มันร้อนขึ้นบ้างอยู่แล้ว แต่แกบอกไว้ว่า . . . เข้า D น้ำมันก็ยังไหลเวียนอยู่ ไม่ได้ไปอัดตรงใบขับ ไม่ร้อน แต่แกคงลืมไปว่าเข้า D ปั๊มมันต้องสร้างแรงดันแล้ว เพื่อไปกดคลัทช์ ไม่ใช่แค่ไหลผ่านใน TC . . . มีการสร้างแรงดันแบบไหนที่ไม่เกิดความร้อนหละครับ มี Oil Cooler อยู่ . . มันก็เอาความร้อนที่เพิ่มขึ้นนั้นอยู่ได้ เพราะมันน้อยกว่าตอนเกียร์ทำงานรถวิ่งตั้งเยอะ (จริงๆ เอาให้ชัด เร่งเครื่องขึ้นอีกหน่อยน่าจะเห็นชัดเพราะต้องสร้างแรงดันมากดคลัทช์หนักขึ้นร้อนเร็วขึ้น . . . . ซึ่งในเงื่อนไขของแก การเร่งเครื่องก็ไม่น่าจะน่ากลัวอะไร เพราะถึงอย่างไร น้ำมันมันก็แค่ไหลผ่านครีบใบพัดเท่านั้นอยู่ดี แกว่าไม่มีแรงดันใดๆ จะหมุนช้าหมุนเร็วขึ้หนหน่อย ก็ไม่น่าจะเป็นเงื่อนไขให้น้ำมันร้อนขึ้นมาก อย่างมากก็ร้อนขึ้นหน่อยเพราะแค่ไหลผ่านครีบเร็วขึ้นแค่นั้น) แต่ถ้าไม่มี Cooler เลยหละ . . น้ำมันมันร้อนขึ้นแน่ ทีนี้มันก็อยู่ที่มีปริมาณน้ำมันที่ไหลเวียนมีมากเท่าไร มีเยอะก็นานหน่อยกว่าความร้อนสะสมจะขึ้นเยอะ ถ้าน้อยหน่อยก็น่าจะเห็นเร็วหน่อย แต่คนท้าเขาท้าไว้ว่าเข้า D ทิ้งไว้ทั้งวัน มันก็ไม่มีร้อนไปกว่านั้นแล้ว . . . ก็ลองดูว่า เข้า D ไว้ตอนเริ่ม กับ ตอนเลิกมันจะยังอุณหภูมิเท่าเดิมไหม . . . ก็อยากให้ลองดูว่าไม่มี Cooler ช่วยเลย มันจะร้อนขึ้นไหม ผมยังเชื่อว่าร้อนขึ้นแน่ๆ . . . แต่ยังไม่ได้ลองพิสูจน์ ปล. หวังว่าคนท้า คงไม่เบี่ยงประเด็นเป็น ร้อนในระดับที่ไม่เป็นอันตราย Cooler เอาอยู่นะ เพราะเรื่องนั้นเขารู้อยุ่พูดไปก่อนหน้านี้ก็หลายคนแล้ว . . . . เพราะประเด็นคือ เข้า D ความร้อนเท่าเดิม เกียร์ไม่สร้างความร้อนใหม่ขึ้นมา ถ้ามีความร้อน ก็เอาแบบมีนัยครับ ไม่ต้องกลัวประเภทร้อนขึ้น 2-3 องศาแล้วผมจะมาค้านว่ามันร้อนขึ้น เอาแบบร้อนขึ้นเห็นๆว่ามันร้อนขึ้นจริง จากคุณ : A-Z - [ 31 ต.ค. 50 22:37:30 A:203.146.63.189 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ความคิดเห็นที่ 52 ป๋าแล้ว Honda พวกที่ไม่ใช่ CVT ล่ะ ติดไฟแดงต้องเข้าอะไร พวก CVT นี่ครัชมันอยู่ที่ปลายเกียร์ ติดไฟแดงควรต้องปลดมาเป็น N อยู่แล้ว รุ่นอื่นๆ download ข้อมูลจาก http://spoonhonda.com/index_ie.htm CVT นครัชมันอยู่ที่ต้นเกียร์(Forward Reward)และปลายเกียร์ ถ้าไม่เข้าเกียร์ NหรือP คลัทช์ที่ปลายเกียร์แรงดันที่จับคลัทช์แปรผันตามคันเร่ง CVT มีคูมืออยู่ใน Civic 96-98 รุ่นอื่นแรงดันที่จับคลัทช์แปรผันตามคันเร่งและstator reaction hydralic pressure control Prelude V 1997+ Chapter 14 Automatic Transmission เริ่มใช้ AT clutch pressure control แทนแบบเดิมที่ใช้สาบคันเร่งสั่ง Throttle valve จากคุณ : ป๋า - [ 1 พ.ย. 50 17:05:31 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 89 สรุป ฮอนด้า ติดไฟแดงควรเปลี่ยน N เหมือนโตโยต้า จากคุณ : ป๋า - [ 1 พ.ย. 50 17:10:33 A:unknown X:203.146.104.35 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 90 Civic รุ่นใหม่ทั้ง 1.8 2.0 มันไม่มี ATF Oil cooler แล้วนะครับ ของ R18 นี่ไม่มีท่อน้ำมันเกียร์ออกมาจากเกียร์เลย ของ K20 มีท่อน้ำมันเกียร์มาต่อที่กระปุกเหมือนกรอง แล้ววนกลับเข้าเกียร์ไป แบบนี่แสดงว่าน้ำมันเกียร์ Honda รุ่นใหม่ๆ ไม่ร้อนแล้วหรือเปล่าครับ ส่วนที่ป๋าบอกมา  เดี๋ยวผมจะไปอ่านอีกที ตอนนี้ผมติดหนังจีนชุดอยู่ดูเพลินเลย จากคุณ : ton99 - [ 2 พ.ย. 50 00:23:56 ]

ความคิดเห็นที่ 91 // Civic รุ่นใหม่ทั้ง 1.8 2.0 มันไม่มี ATF Oil cooler แล้วนะครับ // ผมเดาเอาว่าน่าจยังะมีนะครับ . . . แต่อาจจะใช้ต่อน้ำวนมาที่ระบบ Cooler ที่ฝังหรือติตั้งอยู่ที่เสื้อเกียร์เลย เหมือนกับระบบ Oil Cooler ของเครื่อง B ที่ใต้กรองจะมีชุด Cooler Adaptor ติดตั้งอยุ่ แต่แทนที่จะเอาน้ำมันต่อท่อไปวนข้างนอก เขาก็เอาน้ำมาวนที่ใต้กรองเลย ดีตรงที่ลดโอกาสรั่วจากข้อต่อต่างๆได้และน้ำมันไม่ต้องเดินทางไกลให้แรงดันตก และลดปริมาณน้ำมันที่จะต้องใช้ด้วย จากคุณ : A-Z - [ 2 พ.ย. 50 13:39:19 A:203.146.63.182 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ผมดูรถผม  มองไม่เห็นท่อน้ำมันเกียร์ที่ไปรังผึ้ง เจอแต่ท่อยาง ไปที่กระปุกโลหะเล็กๆ เท่ากำปั้นเด็ก  แล้วก็กลับมาเกียร์ เจอไปอยู่กับ Civic 2.0 อีกคันนึง ที่เพิ่งชนกำแพง หมาดๆ หน้าย่น หม้อน้ำแตก แต่ไม่ถึงเครื่อง+เกียร์ ผมเอามือไปลูบ น้ำที่กระจายออกมาอยู่บนถนน  พบว่า เป็น coolant ไม่มีน้ำมันเกียร์ซึมออกมา ส่วน รุ่น 1.8 ก็เคยได้ยินมา ว่า คนขับ  ขับไปชนสุนัข ชน แรงเอาเรื่อง .. หม้อน้ำแตก  แต่เจ้าของก็ยังขับถูไถ มา จน รถวิ่งไม่ออก เขาบอกว่า เร่งแล้วมันวืดๆ ขึ้นแต่รอบ เหมือนเกียร์ส่งกำลังไม่ไป   เกจ์ water temp ขึ้นมาจากปกติบ้าง แต่ไม่ถึงกับ overheat อาจจะเป็นไปได้ ว่า ใช้ coolant วนเข้ามาที่เกียร์ อย่างที่ พี่ A-Z บอก ตอนนี้ รถผมส่งไปเปลี่ยนกระจกหน้า อยู่  เลยไม่มีให้มุดดู จากคุณ : ถัง - [ 2 พ.ย. 50 15:35:41 ]

ความคิดเห็นที่ 93 เอ้อ  ว่าจะถามพี่ A-Z นานแล้ว เครื่อง K เวลาถอดฝาสูบ  ต้องถอดเครื่องออกมานอกรถเลยเหรอครับ ไม่งั้นจะแกะ ฝาครอบโซ่ ถอดโซ่ไม่ได้ ผมเห็นหนังสือรถ เขาพูดกัน   เลยสงสัยว่า  ทำไมมันยุ่งยากขนาดนั้น ใน Shop Manual ของ Civic 06 ผมเปิดดูผ่านๆ  จำได้ว่า มีวิธีแกะได้  ไม่ต้องยกเครื่องออกมา แต่ต้องรื้ออุปกรณ์ใกล้เคียง เยอะเหมือนกัน จากคุณ : ถัง - [ 2 พ.ย. 50 15:41:41 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ^ . แฮะๆ จำรายละเอียดขนาดนั้นไม่ได้จริงๆครับ คือถ้าเกิดไม่มีวิธีอื่น เกิดมันต้องถอดฝาหน้าจริงๆ มันถอดในรถไม่ได้แน่ๆครับเพราะฝาหน้ามันแทบติดคานแล้ว ถ้ามันสามารถปลดโซ่แคมออกโดยไม่ต้องถอดฝาหน้าได้ มันก็ควรจะถอดฝาออกจากด้านบนในรถได้เลย . . . แต่จำรายละเอียดการรื้อขนาดนั้นไม่ไดด้อะครับ มันนานแล้ว ตอนถอดก็ถอดประกอบนอกรถมันเลยจำไม่ได้ว่ามันน่าจะติดอะไรไหม พอดีตอนนี้ไม่ได้อยุ่ กทม . ไม่งั้นจะวิ่งไปดู K ใน Accord ให้เลย ถ้าได้เห็นเดี๋ยวคงฟื้นความจำการถอดประกอบได้บ้าง แต่ไม่เห็นอะไรมันนึกไม่ออกจริงๆครับ จากคุณ : A-Z - [ 2 พ.ย. 50 22:11:31 A:203.146.63.185 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 95 เข้ามาเก็บเกี่ยวครับ แต่ดูมันค้างๆ คาๆ ยังไงไม่รู้ จากคุณ : จั๊กกะจี๋ - [ 18 ธ.ค. 50 01:37:37 ]