ความคิดเห็นที่ 1 งานวิจัยแรกใช้ dynamometer ค่างกันไม่ถึง 10% Experimental determination of suitable ethanol–gasoline blend rate at high compression ratio for gasoline engine M. Bahattin Celik * Applied Thermal Engineering xxx (2007) xxx–xxx Article in press จากคุณ : Sustainable Development - [ 9 ก.พ. 51 10:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 2 งานวิจัยที่ 2 ใช้ dynamometer เช่นกัน ต่างกันไม่ถึง 10% ผลแลปกับการใช้จริงมันต่างกันแน่นอน แต่ถ้าต่างมันควรจะต่างกันที่ factors อื่นๆ เช่น การขับขี่ของแต่ละบุคคล รถยนต์แต่ละรุ่น สภาพถนน อากาศ....ไม่ใช่ "น้ำมัน" เพราะผลในแลปมันชี้ชัดว่า เมื่อตัด factors เหล่านี้ออกไปหมดแล้ว มันก็ชี้ชัดว่า "น้ำมัน" มันต่างกันได้ไม่เกิน 10% จากคุณ : Sustainable Development - [ 9 ก.พ. 51 10:25:57 ]

ความคิดเห็นที่ 3 การวัดเพื่อเปรียบเทียบน้ำมันสองชนิดหรือเปรียบเทียบอะไรก็ตามระหว่างสองสิ่งเช่นจูนเครื่องมาใหม่ใส่เทอร์โบใหม่เทียบกับอันเก่าพวกนี่ผมว่าควรอยู่ภายใต่เงื่อนไขอันเดียวกัน คือว่า dynamometer นั่นแหละครับที่ทำให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันได้ทั้งลมปะทะทั้งอากาศทั้งการเหยียบคันเร่งที่กดได้เลยไม่ต้องมาสงสัยว่ากดแล้วปลอยไหลหรือป่าวอะไรเงี้ย การขับจริงแล้วผลออกมาประหยัดกว่าถึง20%มันก็ยังต้องมาคิดอีกว่าสภาพบรรยากาศเป็นไงอากาศร้อนเย็นวิ่งตามลมมั๊ยคนขับอาจจะไม่ยอมเหยียบเบรคเลยเพื่อความประหยัดของการทดสอบเห็นไฟแดงหรือรถข้างหน้าก็ยกคันเร่งเอากะจังหวะให้ดีไม่เบรคก็ไม่ต้องเริ่มเร่งเครื่องใหม่ไอ้พวกนี้นี่แหละที่ผมว่ามันจะเหมือนกันทุกครั้งเป็นไปไม่ได้ผมว่า dynamometer นี่แหละครับเชื่อถือได้มากที่สุด ส่วนเรื่องการใช้งานจริงมันแล้วแต่บุคคลครับ จากคุณ : newjunngam999 - [ 9 ก.พ. 51 13:14:14 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ช่วยบอกชาวบ้านเขาให้หมดด้วย ว่า วัดบนไดโน นั้นวัดยังไง  ตั้งเงื่อนไขมาแบบไหน เป็นแบบคคห 1 มันก็กะโหลกกะลาไปหน่อย เอาไปใช้เหมารวมว่ารถบนถนนจะวิ่งแล้วได้แบบนั้น ก็ไม่ได้ ผลที่ได้ดีไม่ดี เป้นแค่ผล simulation ด้วย เครื่องที่ใช้มีกำลังอัดแค่ 6:1  ถามหน่อยว่ายี่ห้ออะไร  คงตอบไม่ได้เหมือนเคย แถมท้ายให้อีกหน่อยว่า  กราฟที่เอามานั้น มันไม่ใช่กราฟแสดงค่าอัตราสิ้นเปลืองจริงๆ มันเป็นแค่ค่าประสิทธิภาพการใช้เชื่อเพลิงต่อกำลังเท่านั้น ถ้าเป็นเครื่องปั่นไฟ อาจจะพอเอากราฟนี้มาอนุมานว่าเป็นอัตราสิ้นเปลืองได้ แต่ถ้าเอามาใช้กับรถ  บอกเลยว่ามันใช้ไม่ได้ แนะนำให้อ่านของ EPA เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม  ว่าเขาทดสอบอย่างไร ถึงจะทำให้พอเชื่อถือเอามาอ้างอิงกันได้ ใน คคห2 มันเป็น ข้อมูลที่ผมเอามาลงไว้ ไปตัดแปะขอใครมา  เอามาจากที่ไหน  ก็ช่วยบอกคนเขาด้วย ใน คคห2  เบนซิน กับ E20 ค่าออกเทนมันไม่เท่ากัน  ทำไมไม่บอกไปด้วย เลิกนิสัยบิดเบือนข้อมูลสักทีเถอะ เป้นนักวิชาการก็ควรมีจรรยาบรร และคุณธรรมบ้าง ผลของ auto build มันก็มีผลไปในแนวเดียวกับ คคห 2 ตัวเลขจะต่างกัน 10% 20% ก็ไม่เห็นแปลก เพราะทดสอบด้วยรถคนละรุ่นคนละคันกัน  น้ำมันก็ไม่เหมือนกัน ทำไม่ร้อนรนทำเป็นรับไม่ได้ วันเสาร์มันนอกเวลาทำงานแล้ว  หรือว่าได้ ot เลยขยันนอกเวลา จากคุณ : ton99 - [ 9 ก.พ. 51 13:45:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เอาแค่อันไหนน่าเชื่อถือกว่ากันพอ อย่าเบี่ยงประเด็นด้วย "น้ำลาย" ครับ ส่วนข้อมูลมีตามลิ้งค์ที่ให้มาอยู่แล้ว เจ้าของผลงานเขาเผยแพร่เป็นแบบ public ไม่ทราบว่าใครเสร่อ ยกเอามาเป็นของตนเอง จะใช้ต้องขอ เลิกนิสัย "แถก" เสียที จากคุณ : Sustainable Development - [ 9 ก.พ. 51 20:17:15 ]

ความคิดเห็นที่ 6 วันเสาร์มันนอกเวลาทำงานแล้ว  หรือว่าได้ ot เลยขยันนอกเวลา จากคุณ : ton99   - [ 9 ก.พ. 51 13:45:18 ] -------------------------------------------------------------------------------- เอ่อ อันนี้มันเรื่องของผม ไม่ต้องสอดก็ได้ครับ นะ... จากคุณ : Sustainable Development - [ 9 ก.พ. 51 20:36:23 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ด่าแบบไม่มีสาระอีกแล้ว มีสาระหน่อย  ท่านนักวิชาการ ตกลงเข้าไปดูผลโหวตบ้างหรือเปล่า  ว่าผลเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้บนถนน 4  ไดโน 3 สงสัยนักวิชาการจะตกงานกันบ้าง กระทู้นี้ผมไม่ได้ไปโหวตหรอกนะ บอกเอาไว้ก่อน  เดี๋ยวจะหาว่าผมขนคนมาช่วยโหวต จากคุณ : ton99 - [ 9 ก.พ. 51 20:45:33 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมชอบ Dyno ครับ ขับจริง บางวันรถติด บางวันรถไม่ติด ขับลงเขา ขับขึ้นเขา มันก็มีส่วนนะครับ พูดง่ายๆ ถ้าเปรียบเทียบของ 2 สิ่ง ถ้าเรามีตัวแปรที่เราต้องการหาอยู่แล้ว ตัวแปรอื่นๆ ก็ต้องให้มันเหมือนๆกัน เพื่อจะได้เห็นข้อเปรียบเทียบได้ชัด ไม่งั้น ทำไมการแก้สมการตัวแปรเดียวจึงง่ายกว่า 2-3 ตัวแปร จากคุณ : 3 ห่วง - [ 9 ก.พ. 51 22:20:24 A:125.25.89.16 X: TicketID:073233 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ควรวัดทั้ง 2 อย่างแหละครับอย่างละหลาย ๆ รอบ ถ้าให้ดีใช้รถสองคันขับตามกันไปเลย ผลัดกันนำผลัดกันตาม ทำหลาย ๆ รอบ สลับคันสลับน้ำมัน+ล้างถัง ดีไหมครับ จากคุณ : osame - [ 10 ก.พ. 51 11:37:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V6312557/V6312557.html ฮ่า มาแระ... เท่าที่ดูการทดสอบกระทู้ต้นเรื่อง และข้อมูลมีเท่านี้  มีข้อสังเกตุดังนี้ 1. ใช้รถยนต์ 3 คันเลย เครื่องยนต์คนละเครื่อง ตรงนี้รถยนต์ต่างกัน 1 ตัวแปร 2. คนขับคนละคน อีก 1 ตัวแปร 3. ความเร็ว ไม่ได้เป็นแบบ cruise speed แต่ขึ้นลง 100 - 140 km/h นี่ก็อีก 1 ตัวแปร 4. ลมยาง สภาพถนน อากาศ อีก 3 ตัวแปร เท่าที่เห็น ปาเข้าไป 6 ตัวแปรแล้ว นั่นแหละทำไมถึงต้องขึ้น Dyno เพื่อตัดตัวแปรเหล่านี้ออกให้หมด จากคุณ : Sustainable Development - [ 10 ก.พ. 51 12:39:27 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ควรวัดทั้ง 2 อย่างแหละครับอย่างละหลาย ๆ รอบ ถ้าให้ดีใช้รถสองคันขับตามกันไปเลย ผลัดกันนำผลัดกันตาม ทำหลาย ๆ รอบ สลับคันสลับน้ำมัน+ล้างถัง ดีไหมครับ จากคุณ : osame -------------------------------------------------------------------------------- สวัสดีครับ เท่าที่เห็น เล่นใช้ 3 คัน 3 คนขับ หรือถ้าคนขับคนเดียวกัน ก็ยังต่างที่ต่างเวลา ระยะทาง 360 กม. เป็นไปไม่ได้ที่ "คน" จะควบคุมตัวเองให้ขับเหมือนกันตลอด นั่นคือสาเหตุหลักของความไม่น่าเชื่อถือ และไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่คุณ osame ว่าไว้แน่นอนครับ จากคุณ : Sustainable Development - [ 10 ก.พ. 51 12:43:42 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ด่าแบบไม่มีสาระอีกแล้ว มีสาระหน่อย  ท่านนักวิชาการ ตกลงเข้าไปดูผลโหวตบ้างหรือเปล่า  ว่าผลเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้บนถนน 4  ไดโน 3 สงสัยนักวิชาการจะตกงานกันบ้าง กระทู้นี้ผมไม่ได้ไปโหวตหรอกนะ บอกเอาไว้ก่อน  เดี๋ยวจะหาว่าผมขนคนมาช่วยโหวต จากคุณ : ton99   - [ 9 ก.พ. 51 20:45:33 ] -------------------------------------------------------------------------------- อ้าว คนเรานะ....ตั้งกระทู้โหวต 10 ชั่วโมง เห็นคะแนนนำ เลยเข้ามาเอาชนะคะคานกันซะแระ ทำไมด่วนสรุปไปอย่างนั้นล่ะครับ ดูใหม่ก่อนไหม.. ที่สำคัญคุณ ton99 เข้าใจ "สาระ" ของกระทู้นี้ทุกอย่าง คำตอบที่ถูกต้องเค้ามีอยู่ในใจแล้ว แต่แค่ "แถ" พลิกลิ้นมาใช้คำตอบตรงข้าม เพื่อต้องการเอาชนะคะคาน นี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของคุณ ton99 ไม่เชื่อดูตามรูป!! ตัวเองเข้าใจดีว่าแม้แต่น้ำมันชนิดเดียวกัน รถยนต์ชนิดเดียวกัน ขับตามกันไป แต่ต่างคนขับยังกินน้ำมันได้ต่างกันถึง 2 km/l ผมต้องคำนวณด้วยไหมว่าเท่ากับกี่เปอร์เซ็นต์... นั่นคือสาเหตุว่าทำไมถึงต้องขึ้น Dyno เพราะสิ่งที่ควบคุมยากคือ "คนขับ" ตามที่คุณ ton99 กล่าวมา นี่ยังไม่รวมอีกหลาย factors ตาม rep. ด้านบน... คำพูดเราเป็นนายตัวเองครับ และข้อมูลมีอยู่ในเน็ต ไม่ใช่พูดแล้วปล่อยเลยไป พลิกลิ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เลิกนิสัยแบบนี้นะครับ... แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 13:43:49 จากคุณ : Sustainable Development - [ 10 ก.พ. 51 12:58:09 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เท่าที่ทราบ คุณ ton99 เป็นคนเก่ง "ในเรื่องที่ตนเองถนัด" และมีคำตอบดีๆ ให้เพื่อนสมาชิกมากมาย แต่มี ECO สูง จนเลยเถิดไปว่าตนเอง "เก่งทุกเรื่อง" นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงมีคนเกลียดอยู่เป็นจำนวน "มาก" ผมเข้ามาใหม่แต่ก็ขอบคุณเพื่อนๆ หลายคนที่ให้ข้อมูลมา จนได้ทราบว่าอะไรเป็นอะไร รวมทั้งข้อมูลด้านบนด้วย... ในเรื่องที่เป็นวิชาการ หัดเป็น "ผู้ฟังที่ดี" แล้วจะได้ความรู้จากหลายๆ ท่านมากกว่านี้ครับ จากคุณ : Sustainable Development - [ 10 ก.พ. 51 13:36:41 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมว่าเข้าประเด็นดีกว่าครับ พูดเรื่องแถไปแถมา มากกว่าเนื้อหาอีกแฮะ paper นี้ผมอ่านแล้ว แต่ทำการทดลองพวกนี้ต้องทำใจนะครับ ใน lab กับใช้จริงมันต่างกันอยู่แล้วหล่ะ แต่อย่างน้อยก็พอได้แนวทางของการหาอัตราส่วนที่เหมาะสม คำถามคือ dynamometer กับ ใช้จริงบนถนน อันไหนน่าเชื่อถือ?? คำตอบคือ ทั้ง 2 อย่างแหละ อยู่ที่จะมองในมุมไหนมากกว่า เพราะคำถามต่อมาคือ แล้วใน lab กับใช้งานจริง ที่สภาวะการทดลองใกล้กันเนี่ย มันต่างกันมากน้อยขนาดไหน ... แต่งานพวกนี้ทำใน lab ส่วนใหญ่ครับ เพราะทดสอบจริงมันตัวแปรเยอะ ทำให้มันจับความแตกต่างยากแล้วก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่มันต่างกันเนี่ย เป็นเพราะปัจจัยตัวไหน... คน กับ สภาพอากาศ นี่เอาใจยาก มันก็คล้ายๆ กับ ทดลองจริงกับใช้ finite element method แหละ มันอยู่ที่กำลังมองหาอะไรอยู่ อยากรู้แนวโน้มหรือผลการทดลองจริง มันต้องเลือกเอาซักอย่าง และไม่มีการทดลองไหนที่มัน perfect หรอกครับ ขึ้นอยู่กับว่ายอมรับได้แค่ไหน จากคุณ : B. - [ 10 ก.พ. 51 14:16:05 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ที่ผมบอกว่าให้ทำทั้งสองอย่าง คือทั้งใน lab และออกไปวิ่งจริง ถ้ามีคนจะเชื่อแต่ไอ้รถที่มันวิ่งอยู่บน dyno แล้วเอามาสรุปเลยก็ตามใจ หรือจะมีคนทึกทักว่าเคยลองขับมาหมดแล้วทั้ง 95 , E10 , E20 แล้วเอามาบอกว่าอย่างนู้นอย่างนี้ก็แล้วแต่ แต่สำหรับผมถ้าให้เลือกทำอย่างเดียวผมเลือกเอาไปขับจริงเนี่ยแหละ ขับหลายรอบในเส้นทางเดียวกัน ใครจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นอะไรเพราะผมขับเอง และผมก็คงจะไม่เอาไปบังคับใครให้เชื่อผมด้วย ส่วนการทดลองที่ให้ควบคุมอะไรหลายๆ อย่างเนี่ย หลายตัวแปรก็ไม่ได้ใกล้เคียงของจริงเลย เช่น ไอ้ full throattle ของจริงใครจะทำแบบนั้นฟะ ส่วนที่ไปทดสอบมาแล้วมีข้อมูลว่า ต่างกันถึง 20% ผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 16:53:55 แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 16:19:08 จากคุณ : osame - [ 10 ก.พ. 51 16:16:59 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เลิกนิสัยตัดแปะข้อมูล แบบเอามาไม่ครบสักทีเถอะ ไหนๆก็ตัดแปะมาแล้ว  ก็ดึงกระทู้มาให้คนเขาดูหน่อยว่า  กระทู้นั้นคุยเรื่องอะไร ไม่ใช่ไปตัดเอาคำมาแค่บางคำแล้วเอามาตีความเข้าข้างตัวเอง ถ้าจะวัดบนถนน ก็ต้องใช้คนที่มีความสามารถในการขับสูงสักหน่อย และถ้าใช้หลายคนทดสอบ  ก็ต้องหาคนที่มีความสามารถในระดับเดียวกัน การทดสอบกลุ่มบนถนน ทำได้ไม่ยาก ถ้ามีรถ 2 คัน ก็ใช้แค่คน 2 คน ขาไปขับคัน ขากลับก็สลับรถสลับคน ผลที่ได้จะเห็นความชัดเจนมากขึ้น จะลองเอาวิธีนี้ให้ทางกระทรวงพลังงาน หรือแล็บที่ไหนใช้ก็ได้ หรือถ้าหาคนขับไม่ได้ ก็ติดต่อผมมาได้  ผมจะจัดคนไปช่วยขับให้ จะทดสอบแบบไหนมันก็ทำให้น่าเชื่อถือได้ ถ้ามีความตั้งใจทำให้มันได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น กรรมวิธี มันมีเยอะแยะ  เพียงแต่ว่าใครจะเลือกมาใช้หรือเปล่าก็เท่านั้น ประเภทอ้างสาระพัด  แต่ที่มาที่ไปของรายละเอียด แจกแจงไม่ได้ มันก็ไร้สาระ ผลโหวตตอนนี้ ขับบนถนนจริง คนขับจริง (6 คน) Dynamometer (5 คน) แถมอีกหน่อย  เพราะมีคนนอกเรื่องมา มีคนชอบก็มีคนเกลียดเป็นธรรมดา  ธรรมดาของมนุษย์  ไม่เห็นต้องไปแคร์อะไรเลย คนที่เกลียดผมตอนนี้ไปอยู่ไหนบ้าง  ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คนที่ชอบผม  ผมก็ยังเห็นอยู่หลายคน อย่างคุณป๋า ที่ตอนนี้คุณกำลังด่าเขาอย่างเมามันส์ สมัยก่อนผมกับเขาก็ใช่ว่าจะถูกกัน  เจอกันก็ใส่กันตลอด แต่เชื่อไหม  วันดีคืนดีคุณป๋าส่งของใส่พัสดุมาให้ผมเฉย อีกท่านที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา แม้แต่เสียงก็ไม่เคยได้ยิน วันดีคืนดีก็ส่งของกินมาให้เหมือนกัน พูดก็พูดเถอะ  ต่อให้มีคน 100 คนเกลียดผม  แล้วมีแค่ 2 คนนี้ที่ชอบผม ผมว่าผมยังกำไรเลย จากคุณ : ton99 - [ 10 ก.พ. 51 23:02:10 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ใครมาว่า D 16 กรูวะ เด๋ว ตบกะโหลกแตก คนเขายังใช้อยุ่ เว้ย ถึง  จะเก่าก้อเหอะ  เอามาทดสอบแล้วไง เอารถ ไรก้อได้ มาทดสอบ ขอไห้ มันยังมีวิ่งจริงๆ บนถนนเหอะ จากคุณ : i-sho - [ 10 ก.พ. 51 23:27:05 ]

ความคิดเห็นที่ 18 1. ยังมานั่งนับคะแนน เจอปาก เอ้ยย หมัดตัวเองน็อคลงไปนอนเองแล้ว เพราะพูดออกมาเอง รถยนต์รุ่นเดียวกัน น้ำมันตัวเดียวกัน แค่คนขับต่างคนกัน ก็สามารถต่างกันได้ 2 km/l เป็นเรื่องปกติ 2. ทราบก็ดีแล้วครับว่าคนเกลียดเยอะ แต่ก็ดีใจด้วยที่ยังพอมีคนรัก 3. มาว่าผมตีความเข้าข้างตัวเอง ไหนลองอธิบายมาซิว่า กรอบแดงดังกล่าวหมายความว่าไงครับ แตกต่างจากที่ผมตีความตามข้อ 1 ตรงไหนบ้าง จากคุณ : Sustainable Development - [ 11 ก.พ. 51 00:41:44 ]

ความคิดเห็นที่ 19 หึหึ แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 51 01:13:04 จากคุณ : นายเอก - [ 11 ก.พ. 51 01:08:51 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คะแนนตอนนี้ ขับบนถนนจริง คนขับจริง (7 คน) Dynamometer (6 คน) ถึงท่านนักวิชาการ ยอมรับเลยว่าเก่งจริงๆ  แต่เก่งในด้านหัวหมอคอยตัดข้อมูลเป็นส่วนๆเพื่อเอามาอ้างเข้าข้างตัวเอง แต่ขอโทษเถอะ  อันที่ยกมา   ผมพูดถึงอัตราสิ้นเปลืองที่ชาวบ้านเขาขับกัน รถรุ่นเดียวกัน  ขับไปด้วยกัน 2 คัน  ได้อัตราสิ้นเปลืองต่างกัน  2km/L มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เรื่องการทดสอบ  ถ้าเอาคนที่ขับต่างกันขนาดนั้นมาทดสอบก็อย่าไปทดสอบอะไรเลย และการทดสอบขับคนละคันไปด้วยกันแบบนี้  มันต้องมีการสลับคนขับกัน ไม่ว่ากระทู้นี้หรือว่ากระทู้ไหน ข้อมูลที่เอามาตัดแปะ  กรุณาลง link เอาไว้ด้วย หรือว่ากลัวคนเขาจะรู้ข้อความทั้งหมด จากคุณ : ton99 - [ 11 ก.พ. 51 04:05:27 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ผมว่าขึ้นแท่นมันไม่สมบูรณ์ครับ เพราะ มันไม่ได้วิ่งผ่านไปในที่ต่างๆ จริงครับ มันสู้วิ่งจริงๆ ไม่ได้ครับ แต่กระนั้นเอง จะให้คนขับ แต่ละคนขับรถคันเดียวกัน เส้นทางเดียวกัน เวลาเดียวกัน มันก็ไม่ได้อัตราการใช้น้ำมันที่เท่ากันอีกนั่นแหละครับแต่ ผมเชื่อวิธีให้คนขับมากกว่านะครับ แต่ ... ผมต้องขับเอง เพราะจะได้เป็น อัตราที่ผมขับได้จริงๆ คนอื่นได้เท่าไหร่ ผมไม่ค่อยสนครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 11 ก.พ. 51 09:32:45 ]

ความคิดเห็นที่ 23 สวัสดีครับคุณ สยึมกึ๋ย ต่างคนต่างมุมมองนะครับ คงไม่ว่ากัน มุมมองเรื่องความมั่นใจที่จะขับด้วยตนเองผมเห็นด้วยครับ แต่นั่นคือความมั่นใจว่า เราสามารถควบคุมตนเองได้ ซึ่งในทางทฤษฏีนั้น คือการทำให้ความแตกต่างของ factor ในด้านคนขับเท่ากับ "ศูนย์" หรือใกล้เคียงมากที่สุด นั่นคือการตัด factor ตัวนั้นทิ้งไปเสียในเชิงการวัดในแลปครับ แต่ในความเป็นจริง ของกระทู้ต้นเรื่อง http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V6312557/V6312557.html เป็นไปไม่ได้ที่คนขับทั้ง 3 คน จะมีรูปแบบการขับขี่เหมือนกันมากจนขนาดความแตกต่างเข้าใกล้ศูนย์ นี่ยังไม่รวม facotrs อื่นๆ เช่น รถยนต์ต่างคันกัน ลมยาง .... ผมจึงท้วงว่าตัวเลขที่ 20% มันไม่น่าเชื่อถือ เพราะเท่าที่มีการทดสอบอย่างเป็นทางการ มันไม่ถึง 10% ครับ http://www.environment.gov.au/atmosphere/fuelquality/publications/biofuels-2004/index.html และที่สำคัญถ้าต้องการเทียบความแตกต่างของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่เกิดจาก "ตัวน้ำมันเอง" ไม่ใช่เกิดจากคนขับ หรือ factors อื่นๆ จึงน่าจะตัด factors เหล่านี้ไป มิเช่นนั้นแล้วเราต้องระบุให้ชัดเจนลงไปว่า "อัตราสิ้นเปลืองของน้ำมันที่เกิดจากคนขับ 3 คน รถยนต์ 3 คัน....... และน้ำมัน 3 ประเภทที่แตกต่างกัน" การทดสอบด้วยการขับจริง บนถนนจริง รถทุกคัน คนทุกคน ต่างสถานที่กัน ไม่สามารถควบคุมตัวแปรเหล่านี้ได้ ผลที่ออกมาคือความแตกต่างของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่เกิดจาก "หลายๆ ตัวแปร" มาประกอบกัน มิใช่เกิดจาก "น้ำมัน" เพียงอย่างเดียว ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 51 11:42:01 จากคุณ : Sustainable Development - [ 11 ก.พ. 51 11:40:01 ]

ความคิดเห็นที่ 24 น่าเชื่อถือทั้ง 2 กรณีน่ะครับ ทดสอบจาก lab และทดสอบจากการใช้งานจริง ถ้าผลลัพท์ไปในทิศทางเดียวกัน  คือ ลดเหมือนกัน หรือ เพิ่มเหมือนกัน ถือว่า โอเค น่ะครับ  แต่ดูเหมือนว่ากระทู้นี้น่าจะวัดอย่างอื่นน่ะ เดี๋ยวต้องดูต่อไป จากคุณ : เฉื่อยฉ่ำ (เฉื่อยฉ่ำ) - [ 11 ก.พ. 51 12:16:12 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าทั้ง 2 กรณี ไปในทิดทางเดียวกัน ข้อมูลจาก Lab เชื่อถือได้มากกว่า แต่ถ้าต่างกันเยอะ Lab ต้องปรับตัวแปรที่ใช้ในการทดสอบใหม่ครับ จากคุณ : MetMet - [ 11 ก.พ. 51 13:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ความคิดเห็นที่ 21   http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2007/11/V6045851/V6045851.html จากคุณ : Sustainable Development  - [ 11 ก.พ. 51 08:05:36 ] จากคุณ : ton99 - [ 11 ก.พ. 51 21:37:54 ]

ความคิดเห็นที่ 27 http://www.environment.gov.au/atmosphere/fuelquality/publications/biofuels-2004/index.html อันนี้แหละน่าเชื่อถือมากที่สุด ขึ้น Dyno เลย.....โหวตไม่ได้แฮะ จากคุณ : กรุ้ง - [ 11 ก.พ. 51 22:42:50 A:58.8.127.107 X: TicketID:167855 ]