ความคิดเห็นที่ 1 คลัทช์มันจับกัน แต่ไม่เกิดการสึกหรอ เพราะมันไม่ได้ slip ตัวที่ slip คือน้ำมันเกียร์ ใน torque converter ครับ หลักการของ torque converter คือเอาพัดลมสองตัวมาตั้งเข้าหากัน ตัวนึงเปิด อีกตัวจะหมุนตามแรงลมที่อีกตัวเปิด ดังนั้นคลัทช์ไม่สึกหรอแน่นอน เหมือนกับเบรคแหละครับ ถ้าผ้าเบรคไม่ได้เสียดสีกับจานเบรค กี่ชาติมันก็ไม่หมด กดเบรคกับล้อนิ่งๆ ยังไงมันก็ไม่หมดแน่นอน ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนเกียร์ ไม่ว่าจะ N>D หรือว่าชุดเกียร์เคลื่อนที่จาก 1-2-3-4 เกิดการสึกหรอแน่นอน เพราะชุดเกียร์จะเคลื่อนที่ คลัทช์จะจับ-จากกันทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนเกียร์ขึ้น ตรงนี้แหละครับที่สึกหรอมาก ที่คลัทช์พัง ส่วนมากที่พังเร็วกว่าคนอื่นเพราะอยู่ในการจราจรที่ติดขัด ชุดคลัทช์ของเกียร์ 1 และเกียร์ 2 จะรับภาระมาก นึกภาพดูแล้วกันครับ พอเกียร์ 1 พัง เกียร์ที่เหลือก็เข้าไม่ได้ตาม เพราะรถมันไม่วิ่งให้มีความเร็วพอเปลี่ยนเกียร์ เรื่องน้ำมันเกียร์เองก็มีผล ถ้าระยะเปลี่ยนคือ 6 หมื่นโล จะเกียร์เทพแค่ไหนก็พังครับ น้ำมันเกียร์มันไม่ได้ทนทานขนาดนั้น อย่างของฮอนด้าควรเปลี่ยนที่ 20000 โลเองครับ จากคุณ : athlon1400 - [ 2 มี.ค. 51 05:42:30 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อเข้า D อยู่เท่ากับคลัชจะจับตัวและล้อจะพยายามหมุน แต่คุณเหยียบเบรคเพื่อฝืนมันไว้ ผมว่ามันขัดธรรมชาตินะครับ พี่สาวผมก็ขับแบบนี้ (มิตซุบิชิ สเปซวากอน) ตอนนี้คลัชพังไปแล้ว >>>>>>>>>> เจ้าของกระทู้ยังไม่เข้าใจคลัชของเกียร์ออโต้ จึงเอาคลัชของเกียร์ธรรมดา มาคิด แนะนำให้ทำความเข้าใจก่อนเสียก่อน ดูคำอธิบายในคห. 1 ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 2 มี.ค. 51 05:58:13 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แล้วที่ช่างในศูนย์บริการบอกว่า เข้า D เหยียบเบรคนานๆ น้ำมันเกียร์จะร้อนจัด เกิดความเสียหายกับเกียร์ ขอคำแนะนำด้วยครับ บอกตรงๆ สับสนมาก ใช้อย่างไรดี จากคุณ : yott (yott) - [ 2 มี.ค. 51 06:21:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีนะครับ                                         "เหมือนกับเบรคแหละครับ ถ้าผ้าเบรคไม่ได้เสียดสีกับจานเบรค กี่ชาติมันก็ไม่หมด กดเบรคกับล้อนิ่งๆ ยังไงมันก็ไม่หมดแน่นอน"                                                                                         ล้อไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ นะครับ มันพยายามจะหมุนแต่เราฝืนมันไว้ ถ้าใส่ N แล้วยกเบรคมือ หรือเหยียบเบรค ยังงี้ครับ ล้อถึงจะอยู่นิ่ง ๆ ส่วนที่อธิบายเรื่องคลัชในเกียร์ออโต้ ผมไม่เข้าใจอย่างที่ คุณช่างกล-หนุ่ม ว่าไว้จริง  ๆ ละครับ เพราะปรกติขับแต่แมนนวล ซึ่งในกรณีที่ล้อจะวิ่งแล้วเราเหยียบเบรคไว้ไม่ให้ไปมันก็คล้าย ๆ กับการเลียคลัชดี ๆ นี่เอง อย่างงี้คลัชไม่พังเหรอครับ จากคุณ : casanova - [ 2 มี.ค. 51 06:34:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าหยุด 30 วิ เยียบเบรคคับ แต่ถ้าเป็นนาทีผม N จากคุณ : Etinity - [ 2 มี.ค. 51 07:15:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 -*- ลืมกฎไปแล้วเหรอครับ ไม่มีการ slip ไม่มีการสึกหรอ คุณพยายามลากโต๊ะบนพื้น แต่โต๊ะไม่เคลื่อนที่ มันจะสึกหรอตรงไหนเหรอครับ? คุณพยายามเข็นรถ แต่รถไม่เคลื่อนที่ อะไรมันจะสึกหรอครับ หรือว่าเหล็กมันจะบุบ? ลองประยุกต์ไปคิดดูนะครับ พยายามใส่แรง แต่มันไม่เคลื่อนที่ มันจะมีอะไรสึกหรอมั่ง? อีกอย่าง เกียร์มี oil cooler ติดอยู่ตรงหม้อน้ำครับ มันจะร้อนยังไงมันก็ไประบายที่หม้อน้ำอยู่ดี จากคุณ : athlon1400 - [ 2 มี.ค. 51 07:27:30 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ่านคห.4 แล้ว งั้นจะอธิบายเพิ่มแล้วกัน ชุดคลัทช์ในเกียร์ออโต หน้าที่ของมันเหมือนกับซิงโครเมทในเกียร์ธรรมดา แบบนี้พอเข้าใจมั้ยครับ ส่วนชุดคลัทช์ในเกียร์ธรรมดา ทำหน้าที่เหมือนกับ torque converter ในเกียร์ออโต แต่ตัว torque converter มันไม่มีอะไรให้สึกหรอ (สึกหรอก็น้อยมาก) นอกจากน้ำมันเกียร์ ดังนั้นเราจึงควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์บ่อยๆ เพราะมันรับภาระหนัก แต่ตัวชุดคลัทช์ในเกียร์ออโต (ที่ทำหน้าที่คล้ายซิงโครเมทในเกียร์ธรรมดา) หลักการทำงานมันจะต่างกับเกียร์ธรรมดาตรงที่ แทนที่จะใช้เฟืองขบกัน แล้วใช้ซิงโครเมทมาทำการล๊อคตำแหน่งเกียร์ มันจะใช้ระบบน้ำมันเกียร์ ดันให้ผ้าคลัทช์จับตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ ทีนี้พอเปลี่ยนเกียร์ ความเร็วของผ้าคลัทช์แต่ละชุดมันไม่เท่ากัน (นึกภาพตอนเบิ้ลเครื่องแล้วปล่อยคลัทช์) มันก็เกิดการสึกหรอตรงนี้แหละครับ ลองนึกภาพประกอบแล้วกัน ว่าเกียร์ธรรมดาเรายังมีคลัทช์มาให้คนกดเพื่อให้รอบเหมาะสมกับเกียร์กับความเร็ว แต่เกียร์ออโตไม่มี ผ้าคลัทช์ก็รับภาระไปเต็มๆ มันก็ย่อมสึกหรอมากอยู่แล้ว จากคุณ : athlon1400 - [ 2 มี.ค. 51 07:40:31 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ้อ คิดออกอีกตัวอย่างและ การกดเบรคตอนเข้าเกียร์ไว้ เหมือนกับเข้าเบรคมือไว้บนทางชันครับ ถ้ารถมันอยู่นิ่ง ไม่เคลื่อนที่ ต่อให้นานแค่ไหน จนรถมันผุพังเป็นซาก มันก็ไม่มีการผ้าเบรคหมดครับ แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 51 07:50:39 จากคุณ : athlon1400 - [ 2 มี.ค. 51 07:48:49 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จากคุณ : i_nam - [ 2 มี.ค. 51 07:58:13 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ระบบการทำงาน torque converter www.drive.subaru.com/Fall02_TorqueConvert.htm จากคุณ : athlon1400 - [ 2 มี.ค. 51 08:02:15 ]

ความคิดเห็นที่ 11 รูปแบบเกียร์ออโต www.technolab.org/Hako/Katalog-e/Section10.htm http://www.technolab.org/Bilder/pic-hako/Pic-cutaway/Hako1090.JPG จะเห็นว่าตัว torque converter จะอยู่ตรงตำแหน่งของชุดคลัทช์เกียร์ธรรมดา ส่วนผ้าคลัทช์ของเกียร์ออโตนั้นจะเห็นเป็นแผ่นๆซ้อนๆกันนั่นแหละครับ จากคุณ : athlon1400 - [ 2 มี.ค. 51 08:06:20 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตรงตามหลักวิชาแปะ เยี่ยมๆ ครับ จขกท หายสงสัยแลัวนะ เอามือจับจานข้าว แน่นๆ มือพองรึป่าว จากคุณ : the one peak - [ 2 มี.ค. 51 08:59:48 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จอดนานๆควรจะเข้า N ดึงเบรคมือดีกว่า เพราะ -ไม่เมื่อยเท้า -ไม่ต้องกลัวเผลอไหลไปชนคันหน้า -ถึงดึงเบรคมือเอาไว้ หากวันใดเผลอดึงไม่สุด หรือเบรคมือเริ่มเก่าไม่ค่อยจับ อาจไหลไปชนคันหน้า -ยิ่งตอนกลางคืน ไฟเบรครถเราจะได้ไม่ไปรบกวนคันหลัง -เกียร์ออโต้ออกแบบมาเพื่อความสบายเท้า ทั้งซ้าย-ขวา ควรให้เท้าขวาได้สบายด้วย มิฉะนั้น เท้าขวาต้องคอยเหยียบตลอด ไม่ว่า คันเร่ง ก็คันเบรค นานเข้าก็บ่นว่าเมื่อย มีบางคนบ่นว่าใช้เกียร์ออโต้แล้วเมื่อยจริงๆครับ เพราะเท้าขวาใช้ตลอดเลย สบายเท้าซ้ายไป -ไม่ทราบมีผลต่อยางแท่นเครื่อง - เกียร์ ด้วยหรือเปล่า เพราะเหมือนไปสร้างแรงเครียดให้ยาง แรงนึงก็จะดึง แรงนึงก็จะต้านเอาไว้ จากคุณ : นที - [ 2 มี.ค. 51 09:58:26 A:118.173.219.7 X: TicketID:072386 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รู้สึกว่าเวลาเข้าเกียร์ auto ไว้ รถผมจะฉุดรอบเครื่องเหมือนกันนะ ถึงเกียร์จะไม่พังจริง ยังไงจอดติดไฟแดง หรือ จอดนาน ๆ ผมก็ใส่ N ไว้อยู่ดี จากคุณ : ไม่ได้เป็นสมาชิก - [ 2 มี.ค. 51 10:29:13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมไม่เข้าใจอย่างที่ คุณช่างกล-หนุ่ม ว่าไว้จริง  ๆ ละครับ เพราะปรกติขับแต่แมนนวล ซึ่งในกรณีที่ล้อจะวิ่งแล้วเราเหยียบเบรคไว้ไม่ให้ไปมันก็คล้าย ๆ กับการเลียคลัชดี ๆ นี่เอง อย่างงี้คลัชไม่พังเหรอครับ >>>>>>>>>> ขอบคุณ คุณ  athlon1400 ที่พยายามอธิบายอย่างดี อยากให้ จขกท เข้าไปดูรูปตามลิ้งค์ของคุณ athlon1400  จะช่วยได้มาก สรุป ข้อแตกต่างของ คลัช เกียร์ธรรมดา กับ เกียร์ออโต้ เป็นอย่างนี้ครับ 1) เกียร์ธรรมดา ... คลัชทำหน้าที่ตัดต่อการส่งกำลังขับ ถ้าเราปล่อยคลัช คือ "คลัช-จับแน่น" เมื่อเราเหยียบเบรค"ฝืนไว้" ไม่ให้รถวิ่ง ===> จะฟรีที่คลัช 2) เกียร์ออโต้ ... คลัชไม่ได้ทำหน้าที่ตัดต่อการส่งกำลัง  ... (ตรงนี้สำคัญ ที่จขกท. ไม่เข้าใจ คือ จุดนี้) --หน้าที่ของคลัช คือ จับชุดเฟืองเกียร์แต่ละชุด เพื่อให้เกียร์นั้นทำงาน นั่นคือ -ถ้า "ปล่อยคลัช" เกียร์ชุดนั้นจะไม่ทำงาน -ถ้า"คลัชจับแน่น" ชุดเกียร์นั้นๆจะทำงาน 3) ส่วนการ "ตัดต่อการส่งกำลัง" ของเกียร์ออโต้ ใช้ Torque converter มันทำหน้าที่คล้ายคลัชของเกียร์ธรรมดา และมันทำหน้าที่ได้มากกว่าคลัชธรามดา ขออธิบายทีหลัง ดังนั้น การเข้า D และเหยียบเบรคฝืนเอาไว้ สิ่งที่ฟรี ไม่ใช่ คลัช ...... ที่ จขกท. ไม่เข้าใจคือจุดนี้ คลัช "ไม่ได้หมุนฟรี" มันยังจับแน่นเหมือนเดิม .... เมื่อมันจับแน่น มันก็ไม่มีการเสียดสี ===> จึงไม่มีการสึกหรอใดๆ ทั้งสิ้น ผมอธิบายไม่ค่อยเป็น แต่หวังว่า คงจะเข้าใจ ถ้ายังไม่เข้าใจ สงสัยอะไร เชิญซักถามให้เข้าใจ ผมยินดีจะช่วยคุณ  athlon1400  อธิบายให้คุณเข้าใจ ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 2 มี.ค. 51 11:08:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อย่าเพิ่งถามเรื่องอื่น ครับ อยากให้ จขกท ทำความเข้าใจ ความแตกต่างระหว่าง คลัชเกียร์ธรรมดา กับ คลัชเกียร์ออโต้ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 2 มี.ค. 51 11:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่รู้ล่ะ แต่แน่ๆ เมื่อย ถ้าเกิน 5 วิ ก็เบรคมือเถอะ จากคุณ : puylogin (puylogin) - [ 2 มี.ค. 51 11:46:51 ]

ความคิดเห็นที่ 18 กระทู้หลอนรัชดา มาเป็นระยะๆ ส่วนตัวผม ไม่เครียดกับมันเท่าไหร่แล้วครับ ถ้าติดไฟแดงแบบยังไม่รู้ว่านานไหม ก็เหยียบเบรคค้างไว้สักพัก   ถ้าดูว่าอีกนาน ก็ใส่ N ดึงเบรคมือ เหยียบนานๆก็มีเมื่อยขาครับ บางแยกถ้านานแน่ๆ ก็ใส่ N ดึงเบรคมือไว้เลย เอาตัวเราสบายครับ จากคุณ : Thongchai - [ 2 มี.ค. 51 11:53:59 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ทำอะไรก็ได้ครับ เวลาขับรถ เกียร์มันก็เปลี่ยนตลอดเวลาอยู่แล้ว การเปลี่ยนเป็น n ถือว่าการสึกหรอน้อยนิดมากเทียบกับการทำงานปกติ จากคุณ : SuperBlackbird - [ 2 มี.ค. 51 12:53:06 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สรุป คือ ถ้าไม่นาน ไม่กลัวเมื่อย ก็เหยียบเบรคไว้ก็ได้ แต่ถ้ากลัวเมื่อย แล้วต้องรอนาน ก็เข้าเกียร์ N ใช้เบรคมือใช่เป่าคะ ^^ จากคุณ : ~SpiZySalami~ - [ 2 มี.ค. 51 13:27:18 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าเป็นการใช้งานจริง ตามคห. 20 เลยครับ เพียงแต่ว่า ผมอยากให้คนที่ไม่รู้ด้านเครื่องยนต์กลไก ได้รู้ด้านทฤษฎี และการปฏิบัติที่ถูกต้อง จะได้นำไปแก้ไขความคิดเห็นที่ผิดๆของคนอื่น ที่ได้รับจากการฟังจากการบอกต่อๆกันมา และสามารถนำไปต่อยอดในการศึกษาให้ความรู้แตกฉานได้มากขึ้นครับ จากคุณ : athlon1400 - [ 2 มี.ค. 51 13:44:54 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอถามอีกหน่อยนะครับ 1. ถ้าติดไฟแดงแล้วผมเข้า P ไปเลยจะเป็นอะไรมั้ยครับ ? ชุดเกียร์จะสึกหรอมั้ย ? 2. ถ้าติดไฟแดงแล้วเข้า D ไว้ แล้วเหยียบเบรค จะทำให้กินน้ำมันมากกว่าเข้า N แล้วเหยียบเบรคหรือเข้า P หรือเปล่าครับ เพราะว่าเครื่องยนต์มันยังทำงานอยู่ แต่เราไปเบรคมันเอาไว้ไม่ให้มันไป 3. การเปลี่ยนเกียร์บ่อย ๆ  ทำให้ชุดเกียร์สึกจริงเหรอ ? แล้วการเปลี่ยนจากเกียร์ไหนไปเกียร์ไหนที่จะทำให้เกียร์สึกหรอมากที่สุด ? ขอบคุณครับ ไว้นึกออกแล้วจะถามใหม่ ^^~ จากคุณ : ตอนคุณมองตะวัน ผมมองเจอแต่จัน - [ 2 มี.ค. 51 15:58:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 1. ก็สึกหรอตรงชุดเกียร์ถอยหลัง เพราะมันต้องผ่าน R ยกเว้นว่าจะเข้าเกียร์เร็วมากจนชุดคลัทช์ไม่ทันจับ แต่มันก็ไม่ดีหรอกครับ เพราะมันมีโอกาสที่เกียร์จะเข้าพลาดไปอยู่ R สูง แล้วมันก็จะไหลถอยหลังไปชน แล้วก็หากโดนชนตอนอยู่เกียร์ P สลักล๊อคอาจเสียหายได้ 2. ตามหลักการทำงาน ไม่มีผลครับ เพราะมันก็จ่ายน้ำมันเท่าเดิม สังเกตได้จากรอบที่ตกลงจากปกติ ถ้ามันชดเชยให้จริง รอบก็ต้องไม่ลดลง 3. เกียร์ N>D ครับ เพราะชุดเกียร์นึงอยู่นิ่ง อีกชุดเคลื่อนที่ จะสึกหรอมากสุด ส่วนเกียร์อื่นๆตอนที่เกียร์กำลังจะเปลี่ยน ชุดเกียร์อีกชุดจะหมุนมารอครับ จากคุณ : athlon1400 - [ 2 มี.ค. 51 17:42:50 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณคุณ athlon1400 มากนะครับ ^^~ จากคุณ : ตอนคุณมองตะวัน ผมมองเจอแต่จัน - [ 2 มี.ค. 51 18:12:01 ]

ความคิดเห็นที่ 25 สงสัียอีกนิดครับ ทำไมเค้าไม่ทำเกียร์แบบว่าเข้า P โดยไม่ต้องผ่าน R ล่ะครับ ยกตัวอย่างเช่น อยู่ที่ N จะเข้า R ก็ผลักไปทางซ้าย จะเข้า P ก็ผลักไปทางขวา หรือว่ามีแบบนี้แล้ว แต่ผมไม่รู้ จากคุณ : rojodent - [ 2 มี.ค. 51 18:17:37 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณทั้งคุณช่างกลหนุ่มและคุณathlon1400 มากครับ ผมพอจะเข้าใจลาง ๆ ล่ะ จากรูปที่เอามาลง คือระบบ torque converter ใบพัดข้างซ้ายคือ impeller ต่อเชื่อมกับเครื่องยนต์ ข้างขวาคือ turbine ต่อเชื่อมกับเกียร์และระบบขับเคลื่อน ใบพัดตรงกลางเรียก stator ทำหน้าที่เพิ่มแรงบิดในรอบต่ำ ทั้งสามใบพัดนี้จะประกบอยู่ใน housing และมีน้ำมันเกียร์อยู่ข้างใน เมื่อเหยียบคันเร่ง ใบพัด impeller ก็จะหมุนปั่นให้น้ำมันเกียร์ไหลไปหมุนใบพัด turbine ให้ระบบเกียร์และระบบขับเคลื่อนทำงาน ดังนั้นจะเห็นว่าใบพัดทั้งสามใบนี้ไม่ได้มีการสัมผัสกันเลย ก็เลยไม่มีการเสียดสี อย่างงี้ผมเข้าใจถูกต้องใช่ไหมครับ ในการใช้งานจริง เราไม่จำเป็นต้องปลดเกียร์ไปที่ N หรือ P ทุกครั้งที่รถหยุด แต่ถ้าหยุดเป็นเวลานาน ๆ การปลดเกียร์ไป N จะช่วยลดแรงตึงที่เบรคและระบบขับเคลื่อน รวมถึงมีผลต่อการประหยัดน้ำมันด้วย แต่การเปลี่ยนเกียร์บ่อย ๆ ก็มีผลเสียต่อระบบเกียร์เหมือนกัน (อันนี้มาจากลิงค์ http://www.wikihow.com/Drive-a-Car-With-an-Automatic-Transmission) จากคุณ : casanova - [ 3 มี.ค. 51 01:00:13 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ดังนั้นจะเห็นว่าใบพัดทั้งสามใบนี้ไม่ได้มีการสัมผัสกันเลย ก็เลยไม่มีการเสียดสี อย่างงี้ผมเข้าใจถูกต้องใช่ไหมครับ >>>>>>>>>>> ถูกต้องครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 3 มี.ค. 51 05:06:09 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ใบพัดตรงกลางเรียก stator ทำหน้าที่เพิ่มแรงบิดในรอบต่ำ >>>>>>>> เยี่ยมครับ เข้าใจเจาะลึกในรายละเอียด Torque converter ทำหน้าที่ 2 อย่าง 1) เริ่มต้นทำหน้าที่เป็น fluid transmission คือ เป็นเกียร์ทด ตัวหนึ่ง ซึ่งมีอัตราทดแปรผัน ระหว่าง 3:1 ถึง (เกือบๆ) 1:1   อัตราทดสูงสุด เมื่อ rpm ต่ำสุด หรือตอนที่เราเบรคเอาไว้ ดังนั้น เมื่อเราเข้า D + brake  ===> TC จะมีอัตราทด=สูงสุด เท่ากับมีแรงออกตัวสูงมาก เราจึงรู้สึกว่า รถพยายามจะวิ่งฝืนต้านแรงเบรค  ทั้งๆที่เราไม่ได้เหยียบคันเร่ง 2) fluid coupling ทำหน้าที่เป็นคลัช คือ ตัดต่อการส่งกำลัง ทำงานเหมือนคลัชของเกียร์ธรรมดา จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 3 มี.ค. 51 05:30:36 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เนื่องจาก Torque converter มันทำหน้าที่เป็นเกียร์ทด ที่มีอัตราทดสูงสุด เมื่อรอบต่ำสุด ดังนั้น รถเกียร์ออโต้ สามารถออกตัวบนเนินชันได้ดีกว่า ถ้าจอดคาบนเนิน เช่น ขับขึ้นเขาชัน เกียร์ออโต้ จะออกตัวได้ องศา ที่ชันกว่า ถ้าดูสเปค ค่านี้ เรียกว่า incline take off เช่น เกียร์ธรรมดา ทำได้ 17% เกียร์ออโต้ ทำได้ 22% แสดงให้เห็นว่า เกียร์ออโต้ ขับขึ้นเขาดีกว่า ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 3 มี.ค. 51 05:39:13 ]

ความคิดเห็นที่ 30 incline take off เช่น เกียร์ธรรมดา ทำได้ 17% เกียร์ออโต้ ทำได้ 22% >>>>>>> ค่าข้างบนจากคู่มือของเบนซ์  ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 3 มี.ค. 51 06:06:29 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ก่อนที่คลัชจะจับแน่น จะต้องเกิดการเสียดสีทุกครั้ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รูปแสดงคลัช ของเกียร์ธรรมดา คลัชในเกียร์ออโต้ มีหลักการเดียวกัน แต่ใช้คลัชหลายแผ่นซ้อนกัน และแช่ในน้ำมัน เพื่อพยายามลดการสึกหรอ ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 3 มี.ค. 51 07:21:09 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คลัชเกียร์ออโต้ เป็นแบบ multi-disc มีหลายแผ่นซ้อนกัน จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 3 มี.ค. 51 07:36:36 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ลูกสูบไฮโดรลิคในเกียร์ออโต้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง=ใหญ่ เมื่อเราเข้าเกียร์น้ำมันไฮโดรลิคกว่าจะเข้าไปสร้างแรงดันได้ จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ไม่ใช่ว่า "เปิดปุ๊ป ติดปุ๊ป" กว่าที่แรงดันน้ำมันจะจับคลัชแน่น ก็ต้องเสียเวลานิดหนึ่ง .... นี่เป็นข้อเท็จจริง   ดังนั้น ตอนจอดติดไฟแดง พอได้ไฟเขียว ปุ๊ป คันหลังกดแตรไล่ ... เจอบ่อยใช่ไหม ? คนขับมักจะลนลาน ตาเหลือก รีบเข้าเกียร์ เพราะเสียงแตรคันหลังมันเร่ง   * คลัชยังไม่ทันจับแน่น * คนขับก็รีบเร่งเครื่องออกรถโดยเร็ว **จะเห็นได้ว่า คลัชยังไม่ทันจับแน่น เร่งเครื่องออกรถ อาการเดียวกับขับรถเกียร์ธรรมดา เร่งเครื่องโดยปล่อยคลัชไม่หมด= "เลี้ยงคลัช" นั่นเอง คลัชก็สึกหรอมากกว่าปกติ ผมเคยเจอรถหลายคัน เกียร์ธรรมดา ขับขึ้นดอยอินทนนท์ แล้วคลัชไหม้ เพราะเลี้ยงคลัชนี่แหละ ที่ตีนดอยมีร้านซ่อมอยู่ร้านหนึ่ง ช่างเขายกคลัชจนเก่ง ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 3 มี.ค. 51 07:51:19 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คห 23 2. ตามหลักการทำงาน ไม่มีผลครับ เพราะมันก็จ่ายน้ำมันเท่าเดิม สังเกตได้จากรอบที่ตกลงจากปกติ ถ้ามันชดเชยให้จริง รอบก็ต้องไม่ลดลง >>>>>>>>>>> คนส่วนมากเข้าใจผิดว่า เข้า D+เบรค รถจะกินน้ำมันมากขึ้น ความจริง "เข้า D+เบรค" ไม่กินน้ำมันเพิ่ม ครับ คห. 23 อธิบายไว้แล้ว จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 3 มี.ค. 51 07:56:28 ]

ความคิดเห็นที่ 35 แล้วที่ช่างในศูนย์บริการบอกว่า เข้า D เหยียบเบรคนานๆ น้ำมันเกียร์จะร้อนจัด เกิดความเสียหายกับเกียร์ >>>>>>>> เข้า D + เบรค นานๆ น้ำมันเบรคจะร้อนจัด นี่ก็ "เข้าใจผิด คิดเอาเอง" ครับ ความจริง เป็นอย่างนี้ ถ้าเราอัดน้ำมัน ===> แรงอัดจะทำให้ร้อนขึ้น ... อันนี้จริง แต่ความร้อนมันจะไม่เพิ่มขึ้น ต่อให้คุณเข้า D+เหยียบเบรค นานๆจนน้ำมันหมดถัง หรือนานเป็นปี ความร้อนก็ไม่เพิ่มขึ้น ผมพิสูจน์ให้เห็นกับตาง่ายๆ ลองเอาอะไรไปอัดที่แท่นอัดไฮโดรลิค อัดให้แรงเต็มที่ เท่าที่คุณจะมีแรงเอาให้แน่ใจว่า แรงอัดนี้มากพอๆกับแรงอัดโฮโดรลิคในเกียร์ออโต้ หรือ ผมเกทับให้แบนว่า ต่อให้คุณอัดด้วยแรง 100 เท่าก็ตาม อัดเสร็จ ก็ไปนอนเล่น เดินเล่น เดินห้าง กลับมาดูซิครับ ว่า น้ำมันร้อนจัด ไหม ?? เมื่อเห็นของจริงแล้ว ขอให้ช่วยกันไปเรียกช่างศูนย์คนนั้น มาดูด้วย .. เขาจะได้มีความรู้และเข้าใจอะไรให้ถูกต้อง เอาไว้อธิบายให้ลูกค้าต่อไป ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 3 มี.ค. 51 08:05:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เสริมนิดแล้วกัน ทุกวันนี้ เรามีเรื่องสองเรื่องที่คาบเกี่ยวกันอยู่เสมอ คือเรื่อง ความจริง กับความเชื่อ คนเราเมื่อปักใจเชื่อแล้ว พอเจอความจริง มักจะเถียง หรือกว่าจะรับได้ ก็จะใช้เวลานาน ยอ่งเป็นความจริงที่พิสูจน์ยากๆ แบบเรื่องเกียร์ออโต้เนี่ย ผมเห้นเป็นประเด็นกันมานานแล้ว ช่าง... ผมเน้นนะครับว่า ช่างจริงๆ ที่แกะ ซ่อม หรือโมดิฟาย ไม่ใช่ผู้ถูกอบรมขั้นต้นให้สามารถไขน๊อต เปลี่ยนอะไหล่ ถ่ายน้ำมันเครื่อง แล้วอีกพวกนอกจากช่างคือ นักแข่ง... ก็เน้นว่านักแข่งจริงๆ ไม่ใช่แค่ Teen ผี ช่าง... จริงๆ นี่แหละ จะเข้าใจว่า การทำงานของรถ ชิ้นส่วนแต่ละชิ้น มันจะเคลื่อนตัวเมื่อไหร่ เพื่ออะไร เกียร์ออโต้เนี่ย การเปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้ง อะไรเคลื่อนตัวบ้าง บอกให้เลยครับ เป็นร้อยๆ ชิ้น แต่พอเราเหยียบเบรค Torque Converter มันจะเปลี่ยนแรงตรงนี้โดยหลักการใช้น้ำมันเป็นตัวดันแยกจากกัน ผลหรือครับ มันก็สึกหรอน้อยกว่าการให้ชิ้นส่วนเป็นร้อยๆ ขยับเข้าออกแน่นอน แต่นพิสูจน์ไม่ได้ เพราะทำแบบไหน เกียร์นก็พังเร็ว พังช้า อาจจะแตกต่าง หรือไม่แตกต่าง มันมีปัจจัยอีกเยอะ ไม่ใช่ทำแบบรี้แล้วจะพังทันทีซะที่ไหน เรื่องอุณหภูมิของน้ำมันเกียร์มันก็เช่นกัน ร้อนไหม มันก็ร้อนแน่ๆ แต่จะร้อนขึ้น หรือน้อยลงนั้น ผมว่าองค์ประกอบมันมีหลายอย่าง ซึ่งมันมีผลมากกว่าเรื่องการใส่เกียร์ค้างซะอีก ทำไมไม่ถามกันหล่ะครับว่า เวลาพัดลมหม้อน้ำทำงาน มันระบายความร้อนออกจาก Oil Cooller ได้มากกว่าที่ห้องเกียร์มันสร้างความร้อนหรือเปล่า บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า รถมี Oil Cooller หรือมีอยู่ตรงไหน ทำงานอย่างไร ระบบมันมีออกมารองรับอยู่แล้วครับ ที่มันต้องมี Oil Cooller รู้ไหมครับว่าทำไม เพราะน้อมันเกียร์มันวิ่งวนๆ อยู่แถวๆ ห้องเครื่องที่มันร้อนจัด ทำให้มันต้องรู้จักการระบายความร้อนออกจากห้องเกียร์บ้าง ผมว่า ความร้อนที่มันโดดข้ามกำแพงจากห้องเครื่อง เกิดมากกว่าความร้อนที่เกิดจากในห้องเกียร์ซะด้วยซ้ำ ข้อสรุปของคำถามนี้คืออะไรครับ ขับไปตามความเชื่อก็ได้ครับเรื่องเกียร์ ขอให้ดูแลเอาใจใส่ หมั่นถ่ายน้ำมัน ใช้น้ำมันเกรดที่เหมาะสม และอย่ากระชากเกียร์ หรือเหยียบคันเร่งแล้วใส่เกียร์ออกไปตามแบบที่คห. 33 ว่าไว้ แค่นี้ก็ทำให้อายุยืนครับ ส่วนติดไฟแดงจะเหยียบ จะ D หรือจะอะไรค้างไว้ เอาตามถนัดครับ ไม่งั้นอาจจะเกิดกรณี อุปปาทานหมู่ได้ครับ จากคุณ : BigA - [ 3 มี.ค. 51 10:50:34 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ^ ^ เขาพูดถึงน้ำมันเกียร์อ่ะครับ แต่ก็เหอะ น้ำมันเกียร์อาจจะร้อนขึ้นบ้าง จากการเสียดสี แต่เพราะเราไม่ได้ใช้รอบสูงเวลาติดไฟแดง น้ำมันเกียร์ก็ไม่ได้วิ่งเร็วมาก ความร้อนระดับชิวๆ ระบายออกได้อยู่แล้ว ในทางเทคนิค เข้า D + เบรคไม่มีผลเสียอะไรกับรถมากพอที่จะนำมาคิดให้ปวดหัว แต่ทำให้เมื่อยขานิดหน่อย บางคนทนได้ชิวๆ แต่บางคนอย่างผมคิดว่า"ไม่รู้จะทนไปทำไม" ที่จริงการเปลี่ยนเกียร์  D---> N----> D ยังเปลืองคลัชมากกว่าอีก อิ อิ จากคุณ : Ontjung - [ 3 มี.ค. 51 10:51:42 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อ่าว กว่าจะ อ่าน + พิมพ์จบ คุณ BigA เข้ามาคั่นพอดี ลูกศรชี้ขึ้นใน คคห.37 หมายถึง ชี้ไปที่ คคห. 35 ครับ จากคุณ : Ontjung - [ 3 มี.ค. 51 10:54:01 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เพิ่มเติมให้อีกหน่อยนะครับ การรับฟังอะไรบางอย่างจากช่างในศูนย์บริการ ก็ต้องใช้วิจารณญาณนะครับ ผมเคยเจอช่างศูนย์ใหญ่ๆ ของยี่ห้อนึง ออกมากำชับลูกค้า ก็คือพี่ผมเองว่า แบตแบบนี้ อย่าเติมน้ำกลั่นนะครับพี่ มันเติมไม่ได้ กลับไปบ้าย ผมก็สงสัย ก็เลยเปิดดู ..... แบตมันเป็น Maintenance Free ก็จริงอยู่ครับ แต่ในความหมาย ง่ายๆ มันก็คือ แบตฝาแบน กินน้ำกลั่นน้อย แวมันก็มี Sticker เหลืองๆ คาดไว้บนฝาแบตครับ เขียนไว้ชัดเจนครับว่า 'แบตเตอรรี่ชนิดกินน้ำกลั่นน้อย ไม่จำเป็นต้องเปิดตรวจบ่อยๆ หากจะเติมน้ำกลั่น ให้แกะสติกเกอร์นี้ออกก่อน เพื่อเติมน้ำกลั่น' ผมก็เลยวงสัยว่า ช่างผิด หรือ แบตมันติดสติ๊กเกอร์ผิดกันแน่ครับ เรื่องน้ำมันเกียร์จะร้อนจัดนี่ก็เช่นกัน เกิดมายังไม่เจอครับ จากคุณ : BigA - [ 3 มี.ค. 51 11:04:50 ]

ความคิดเห็นที่ 40 #35 น่าจะไปเขียนตำราขึ้นมาใหม่นะ แล้วไปกวาดตำราที่มีขายเอามา เผาทิ้ง มาอีกแล้ว "น้ำมันเกียร์ไม่ร้อน" ผมเชื่อตำราครับ ผมไม่เชื่อคุณ จากคุณ : JoeRazz - [ 3 มี.ค. 51 11:07:18 ]

ความคิดเห็นที่ 41 วันนั้นไปเถียงกับหัวหน้าช่างศูนย์HONDA ที่เชียงใหม่ (ขอไม่บอกชื่อศูนย์นะครับ) ผมบอกว่ารถcivic FDของผมเวลาเข้าเกียร์DหรือRแล้วเหยียบเบรคแช่ไว้ จะได้ยินเสียงดังตั๊กๆๆในห้องเครื่อง กับอีกอาการเวลาขับรอบสูงๆประมาณ5000-6000รอบ จะได้ยินเสียงหอนวู้ๆมาจากเครื่อง ซึ่งเมื่อก่อนไม่เป็น ซึ่งเสียงนั้นไม่ได้เป็นเสียงยาง เพราะเวลาเกียร์มันเปลี่ยนรอบมันตกลงเสียงนี้ก็เงียบไป พอรอบขึ้นมาที่5000-6000ก็ดังอีก ช่างก็บอกว่าเสียงนั้นเป็นเสียงที่เครื่องยนต์มันตัดการทำงานเนื่องจากรอบมันเกิน มีการบอกว่าที่5000รอบเครื่องก็ตัดแล้ว ผมก็บอกว่ามันจะตัดที่เกิน6000รอบ เถียงกันไปเถียงกันมา จากแค่ถามปัญหาเสียงหอนวู้ๆ กลายเป็นว่าเถียงเรื่องรอบเครื่องตัด ผมก็เลยหยุด ไม่ต่อละ แสดงว่าช่างไม่รู้จริง อาการนี้ผมให้ศูนย์อื่นเช็คเค้าบอกว่าเป็นที่ลูกรอกสายพาน แต่ที่ศูนย์นี้ยังไม่ยอมเปลี่ยน บอกว่าไม่เป็นไร เค้าจะปรับความตึงสายพานให้ หลังจากรับรถมาเสียงนั้นมันก็เบาลง แต่ยังไม่หาย แสดงว่ายังแก้ปัญหาไม่ถูกที่ จากคุณ : thana_int (thana_int) - [ 4 มี.ค. 51 18:12:12 ]