ความคิดเห็นที่ 1 เอ่อ ตอนนี้มันก้อเป็นของรัฐอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ หรือว่าผมเข้าใจอะไรผิด เพราะมีหน่วยงานของรัฐถือหุ้นอยู่เกินครึ่ง (ถ้าจำไม่ผิดก้อเกือบ 70% ที่มีสิทธิออกสิทธิอกเสียงในที่ประชุม) ดังนั้นไม่ว่าเสนอนโยบายอะไร โหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเรื่องอะไร ยังไงก้อผ่านชัวร์อยู่แล้ว ที่นี้ก้อขึ้นอยู่กับรัฐบาลเอง ว่าจะมีนโยบายสั่งให้ทำอะไรบ้าง โดย ปตท ซึ่งมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก้อจะต้องสนองนโยบายนะครับ จากคุณ : nat1234 - [ 2 พ.ค. 51 15:08:16 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้า ของคุณ คงหมายถึง  ถ้าจะเป็นไปได้ยาก จากคุณ : maruman - [ 2 พ.ค. 51 15:21:58 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ใช่ครับ มันเป็นของรัฐ(เป็นรัฐวิสาหกิจแบบบริษัทจำกัด)อยู่เพียงแต่ผมอยากทราบว่าถ้ากลับไปใช้การบริหารแบบภาครัฐ คือ การ/องค์การ หรือ กระทรวง/กรม แบบเดิม มันจะเป็นอย่างไรครับ จะแย่ลง หรือดีขึ้นอย่างไร เคยได้ยินว่า มันมีปั้ม 3 ทหารเสือ คืออะไรครับ เป็นของกองทัพบกใช่ไหมครับ จากคุณ : C5 HDI - [ 2 พ.ค. 51 15:22:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 พนักงานทำงานขี้เกียจขึ้น หาช่องทางโกงได้ง่ายขึ้น จากคุณ : Hallza - [ 2 พ.ค. 51 15:47:55 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ง่ะ ผมอ่านคำถามไม่เข้าใจเองครับ แย่ลง หรือดีขึ้น มิอาจนำพาครับ (แปลว่าอะไรไม่รู้เห็นกะลังฮิต) สิ่งที่บริษัทมหาชน แตกต่างจากรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้เป็นมหาชนก้อคือ 1. ความโปร่งใส เพราะบริษัทมหาชน จะถูกบังคับให้เปิดเผยบัญชีต่างๆ ต่อสาธารณชน และมีผู้ตรวจสอบบัญชีที่ได้รับการยอมรับจากภายนอก เป็นผู้ตรวจสอบ ตัวอย่างที่เคยเป็นข่าวก้อเรื่อง งบลับ 800 ล้านที่ tot บริจาคไปซื้อเครื่องดักฟัง เหตุที่ต้องเปิดเผยว่าเอาเงิน 800 ล้านไปทำอะไร ก้อเพราะ tot เป็นบริษัทมหาชน หากไม่ลงบัญชีว่าเอา 800 ล้านไปทำอะไร ผู้ตรวจสอบบัญชีก้อคงไม่ยอมให้ผ่าน แต่หากเป็นรัฐวิสากิจแบบเดิมๆ ต่อให้เงินมากกว่านี้อีก 10 เท่า รับรองว่าจะเงียบเป็นเป่าท๊อปบู๊ต 2. การระดมทุน บริษัทมหาชน หากต้องการใช้เงิน สามารถขายหุ้นเพิ่มทุน ในราคาที่ไร้ต้นทุน หากเอามาลงทุนแล้วเจ๊งก้อไม่ต้องจ่ายเงินต้นคืน ถือว่าเจ๊งด้วยกัน กำไรก้อเจียดเศษเงินเอ้ยกำไรส่วนน้อยไปจ่ายปันผล เก็บกำไรส่วนใหญ่ไว้ลงทุนต่อ ในขณะที่รัฐวิสาหกิจ หากต้องการใช้เงิน สามารถขอการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งรัฐอาจจะใช้จากเงินภาษี หรือออกพันธบัตร หรือตราสารหนี้อื่นๆ มาช่วย ม่ายก้อกู้เงินจากต่างชาติ โดยรัฐค้ำประกันให้ สรุปว่ามีข้อดีกันคนละอย่าง 3. การบริหารงาน รวมถึงคุณภาพของการให้บริการ แน่นอนรูปแบบของเอกชน ได้รับการยอมรับและพิสูจน์ว่าประสบผลสำเร็จมากว่าแบบรัฐวิสาหกิจ ซึ่งปัจจุบันมีรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐ พยายามปรับเปลี่ยนดึงข้อดีเหล่านี้มาใช้ เช่น กรมสรรพากร เป็นต้น 4. สวัสดิการและค่าตอบแทน จริงๆ แล้วทั้งบริษัทมหาชน และรัฐวิสาหกิจ สามารถจ่ายให้ได้มากหรือน้อย ก้อขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน และนโยบายของผู้บริหาร ดังนั้น จึงไม่น่าจะเอามาเปรียบเทียบกันได้ เพราะรัฐวิสาหกิจบางแห่งขาดทุนมันทุกปี ก้อยังจ่ายโบนัสกันได้ตลอด จากคุณ : nat1234 - [ 2 พ.ค. 51 15:56:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ของที่ดีอยู่แล้ว จะกลับไปทำให้แย่ลงทำไมครับ ถ้ากลับไปเป็นวิสาหกิจ น้ำมันก็ไม่ได้ถูกลงหรอกครับ จากคุณ : PDHAHA - [ 2 พ.ค. 51 16:15:00 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าเป็นราชการ ประเทศจะเน่า กว่านี้แน่นอนครับ....เพราะ ต้องขาดทุน เหมือน รพฟ , รสพ , ทศท. ต้องเอาเงินไปอุดตรงนั้นแทน จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 2 พ.ค. 51 16:17:55 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เจ๊ง จากคุณ : แม้ว แมนซิตี้ - [ 2 พ.ค. 51 16:26:51 A:202.91.19.192 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 #5 เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด ที่นักการเมืองสันดอนเขมือบมันเป่าหูครับ 1 ความโปร่งใส ถามว่าตอนนี้รู้อะไรใน ปตท มากกว่าที่เค้าอยากจะบอกรึ เปล่า เปล่าเลยครับ เรื่องการเปิดเผยบัญชี ผู้ตรวจสอบบัญชีของ ปตท ยังคงเป็น สตง เหมือนเดิมนะครับ แล้วมันจะต่างจากเดิมได้อย่างไร แล้วเรารู้อะไรมากไปกว่าหน้างบการเงินมั้ยครับ ไม่มีเลย 2 เรื่องของการระดมทุน แต่ก่อนถ้า ปตท จะลงทุนอะไร ปตท เป็นคนไปกู้ เงินโดยมีรัฐบาลค้ำประกันเงินกู้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รัฐไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม แต่ด้วยการค้ำประกันทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มตาม แต่ถามว่า บริษัท ที่มีรายได้ 1,500,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 90,000 ล้านต่อปี เป็นบริษัท เกรด AAA มันหาเงินกู้ยากหรอครับ ดอกเบี้ยก็ถูกมากด้วยสำหรับพวกนี้ ระยะสั้นไม่เงิน 4% ระยะยาวไม่เกิน 2% แน่ๆ แล้วถ้าตอนนี้ถ้าปตท จะระดมทุนต้องออกหุ้นเพิ่มทุน ถ้ารัฐจะคง สัดส่วนการถือหุ้นให้เท่าเดิม รัฐต้องเอาเงินสดเข้าไปซื้อทันทีนะครับ ถ้าไม่มีเงินสด ก็ต้องขายหุ้นอื่น หรือไปกู้เงินมาซื้อ เหมือนที่ขายหุ้น อสมท ไปซื้อหุ้น ธนาคารทหารไทย รัฐเป็นหนี้โดยตรงทันที หรือไม่ก็ ต้องขายหุ้นที่รัฐถือที่มีศักยภาพในการทำกำไร แล้วแบบไหนมันดีกว่ากันครับ 3 การบริหารจะดีหรือเลวขึ้นอยู่กับผู้บริหารครับ ถึงแปรรูปไปแล้ว รัฐก็ส่งคนเข้าไปบริหารเหมือนเดิม แล้วมันดีกว่าเดิมยังไง TOT ก็มหาชน CAT ก็มหาชน TMB ก็มหาชน แล้วมันเจริญรุ่งเรื่องมั้ยครับ 4 ก็ตามที่ท่านเข้าใจ แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 16:30:58 จากคุณ : Dark Archon - [ 2 พ.ค. 51 16:29:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 หน่วยงานรัฐ ทุกหน่วยงาน (อย่าเพิ่งคิดถึงปตท. คิดถึงอำเภอไว้ก่อน) จะมีข้อเสียเหมือนกันคือ การทำงานตาม Job Description ที่กำหนดเป็นกฏหมายทำน้อยกว่า มากกว่าไม่ได้ผิดกฏหมาย การทำงานที่ไม่ได้เห็นประชาชนเสมือนลูกค้า แต่เหมือนผู้มาขอส่วนบุญ เมื่อเกิดปัญหาประชาชนก็ ไม่สามารถให้คุณให้โทษกับข้าราชการได้ (แต่ขึ้นป้ายว่ารับใช้ประชาชน) ส่วนใหญ่ผลงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพงาน (ขึ้นกับสายสัมพันธ์ส่วนตัวหรือเปล่า) ไม่มีเป้าหมายองค์กร ทำไปเรื่อย ๆ ข้าราชการไม่มีโบนัส ไม่มีรางวัลในผลงาน แล้วจะขยันทำงานเพื่ออะไร ขยันLearดีกว่า ทุกที่ คนล้นงาน ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเกินความจำเป็น ประชาชนเป็นผู้แบกรับผ่านเงินภาษี (คราวนี้มามองถึงปตท.) เป็นแบบนี้ถ้ารัฐทำเชื้อเพลิงขายประชาชน แข่งกับบริษัทต่างชาติ คิดหรือว่าต้นทุนการผลิต,จำหน่ายจะ แข่งกับบริษัทต่างชาติได้ ถ้าขายแพงกว่า ก็จะออกมารณรงค์ว่าช่วยชาติ ง่าย ๆ ขาดทุนก็ช่างมัน ดินพอกหางหมูไว้อย่างนั้น ไม่มีผู้รับผิดชอบ ดูอย่าง ขสมก. ขาดทุนได้ขาดทุนเอา แต่ทำไมรถร่วมมาแย่งกันวิ่ง ถนนว่างก็ซิ่งแข่งกัน บริษัทรถร่วม ไม่เคยบ่นว่าขาดทุน ถ้าขาดทุนก็เลิกประมูลสัมปะทานไปสิ ไม่ได้มีใครบังคับให้มาทำ แต่ไม่มีบริษัทไหนยอมเลิก ชนคนตาย ขสมก.ก็ได้แต่บอกว่าจะพิจารณาเลิกสัญญา แล้วก็ซิ่งต่อ แล้วถ้าสังเกตุให้ดีสายรถเมล์ที่คนเยอะมาก ๆ เยอะตลอดทั้งวัน ขสมก.ถึงรถไม่พอก็ไม่แบ่ง ให้รถร่วมช่วยวิ่ง สมัยทองคำบาทละ 1200 ตอนนั้นโทรศัพท์ครั้งละ 3 บาท วันนี้ทองคำบาทละ 13000+ ก็โทรศัพท์ครั้งละ 3 บาท อะไรทำให้ค่าโทรศัพท์ถูกลง ตอนช่วงที่ราคาน้ำมันลอยตัวใหม่ ๆ ถ้าใครจำได้ตอนนั้นราคาน้ำมัน แต่ละยี่ห้อ และแต่ละปั๊ม ราคาไม่เท่ากัน อัดโปรโมชั่นกันเต็มที่ ใครขายถูกคิวก็ยาว ปั๊มข้าง ๆ หงอย แล้วมันก็ค่อย ๆ หายไป ที่จริงเราต้องไปทำลายระบบการฮั้วราคาของแต่ละยี่ห้อมากกว่า เมื่อการแข่งขันราคากลับมา ประชาชนจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด จากคุณ : ปัญญาสาร - [ 2 พ.ค. 51 16:31:40 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้ามาถามว่าทำไมไม่เอาคืน มาถามตอนนี้มันสายไปแล้วครับ ทำได้อย่างมาก็คุยกันเรื่องได้อะไรเสียอะไรจะดีกว่า ได้อะไร 1 ทำให้ปตท ไม่ถูกจำกัดกรอบในการลงทุน จากเดิมที่เป็นรัฐวิสาหกิจ บริหารงานโดยไม่หวังผลกำไร (มาก) มาเป็นบริษัทจำกัด ทำให้บริษัทเพิ่มการลงทุนในธุรกิจโดยไม่ติดเรื่องกรอบการลงทุน ทำให้หากำไรได้มากขึ้น 2 การขายหุ้นทำให้บริษัทมีเงินสดเข้ามาในมือทันที จากการขายหุ้น 49% หรือประมาณเกือบ 1,400 ล้านหุ้น หุ้นละ 32 บาท เป็นเงิน 43,000 ล้าน สามารถนำเงินมาหมุนเวียนลงทุนทำกำไรได้ทันที 3 จบครับ เรื่องความโปร่งใส เรื่องภาระของรัฐ เป็นแค่ข้ออ้างแค่นั้นแหละ เสียอะไร 1 ดูตัวเลขของเงินที่ได้จากการขายหุ้นนะครับ 43,000 ล้าน แล้วก็กำไร (ปี 50) 97,000 ล้านก็ต้องถามว่าจริงๆมันต้องขวนขวายขายหุ้นเพื่อให้ได้ เงินจำนวนนี้มั้ย ในเมื่อปีเดียวมันก็ทำกำไรได้ 2 เท่าอยู่แล้ว แต่แน่นอน กำไรมันไม่ได้อยู่ในรูปของเงินสดอย่างเดียว มันคือมูลค่าการลง ทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าดูเงื่อนไขการจ่ายเงินปันผลขั้นต่ำคือ 25% หมายถึงยังไงอย่างช้าที่สุดไม่เกิน 2 ปี ปตท ก็มีกำไรที่เป็นเงินสด มากกว่า 43,000 ล้านแล้ว แล้วจะขายหุ้นไปทำไม ดังนั้นสิ่งที่เสียไป คือนี่แหละครับ ตกไปอยู่กับใครบ้าง ลองดูรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีคำว่า Nominee อยู่กี่ตัว เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเจ้า nominee มันคือนักการเมืองจอมเขมือบอยู่เท่าไหร่ อย่างที่เห็นๆอ่ะ เอาเงินออกนอกประเทศเงียบๆ มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ จากคุณ : Dark Archon - [ 2 พ.ค. 51 16:46:16 ]

ความคิดเห็นที่ 12 2 อย่างที่เห็นอยู่ กลไกของรัฐมันหายไป ถึงแม้ปตทกลับมาเป็นของรัฐ ราคาน้ำมันมันไม่ต่างไปเท่าไหร่ แต่เครื่องมือในการจัดการบริษัทข้ามชาติ มันยังอยู่ ตอนนี้ ปตท คือบริษัท ต้องมีกำไร เพื่อให้มีคนมาลงทุน ค่าการตลาดประกาศโครมๆว่าติดลบ "แต่ค่าการกลั่น 3-4 บาท" แปลกมั้ยครับ ราคาน้ำมันขึ้นโครมๆ แต่ค่าการตลาดเท่าเดิม หมายถึงว่า บริษัทต้องลงทุนมากขึ้นเพื่อให้ได้กำไรเท่าเดิม แต่ทำไมนักลงทุนในตลาดหุ้น หุ้นไทย หุ้นเทศ ยิ่งราคาน้ำมันขึ้น ยิ่งไล่ซื้อหุ้นพลังงาน กำไรมันแอบอยู่ตรงไหน แล้วถ้าเป็นรัฐวิสาหกิจ เต็มตัว กำไรตรงนี้มันบีบให้เป็นช่องแคบๆได้ แต่ตอนนี้บีบก็บีบได้ แต่บีบแล้วหุ้นขายไม่ออก จากคุณ : Dark Archon - [ 2 พ.ค. 51 16:54:05 ]

ความคิดเห็นที่ 13 3 จากเดิมที่บอกว่าพวกเช้าชามเย็นชามจะหมดไป เคยได้ยินข่าว ptt, cat, tot ปลดคนมั้ยครับ มีครับตอนที่บอร์ดหรือ กรรมการไม่รับคำสั่งนักการเมือง นั่นแหละถึงโดนปลด แล้วตัวเล็กๆที่เช้าชาม เย็นชามอยู่ดีกินดีมั้ยครับ แล้วก็เลยต้องถามว่า มันโปร่งใสไม่โกงกินกว่าเดิมตรงไหนเนี่ย จากคุณ : Dark Archon - [ 2 พ.ค. 51 16:59:56 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เค้าพัฒนาไปไกลมากแล้วครับ ... คุณถามช้าไป 3 ปีแล้วครับ...แล้วตอนนี้รัฐก็ถือหุ้นใหญ่อยู่ จะต่างอะไรกับเมื่อก่อน... จากคุณ : sam7 (sambayman) - [ 2 พ.ค. 51 17:05:57 ]

ความคิดเห็นที่ 15 กะลังอ่านเคลิ้มๆ มาสดุ้งตกเก้าอี้ตรง คห 11 เนี่ยแหละ เพราะมันมีข้อมูลที่ถูกต้องที่อ้างอิงได้อยู่ ไม่ทราบว่า คห 11 ไปเอาข้อมูลมาจากไหนครับ ช่วยบอกแหล่งอ้างอิงด้วย ทั้งราคาหุ้น 32 บาท เป็นไปได้ยังไงเพราะผมไปจองซื้อได้ที่ราคา 35 บาท ทั้งเรื่องขายหุ้น 49% ลองไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหม่นะครับ ทั้งคลังและวายุภักษ์ที่ได้รับโอนหุ้นมาจากคลัง ยังไม่ได้ขายหุ้น ปตท เลยซักกะหุ้นนะครับ แถมยังเอาเงินลงทุนมาเทียบกับกำไรปี 50 อีก ขืนคิดอย่างนี้ คนทำธุรกิจก้อคงไม่มีใครเจ๊งหรอกครับ มันก้อเลยทำให้ผมคิดว่า ข้อมูลในคห อื่นๆ ของคุณ Dark Archon ที่ยกขึ้นมาเนี่ย มันจะพอเชื่อถือได้มั้ยเนี่ย แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 17:21:55 แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 17:16:26 จากคุณ : nat1234 - [ 2 พ.ค. 51 17:11:43 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เอารูปเก่ามาให้ดู ใครจำได้ไหม ก่อนนี้เคยมีปั๊มน้ำมันยี่ห้อนี้ สามทหาร ขององค์การเชื้อเพลิง สำนักงานใหญ่อยู่แถวๆ ศาลหลักเมือง สนามหลวง จากคุณ : นายเก่าคนก่อน - [ 2 พ.ค. 51 17:20:34 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ^ ผมอาจจะจำผิดเรื่องราคา 32 หรือ 35 บาท แต่ที่เอามาเทียบกัน เพื่อถามว่ามันจำเป็นต้องแปรรูปเพื่อเงิน จำนวนนี้หรือไม่ ข้อมูลก็คงมาจากที่อ้างอิงเดียวกับคุณนั่นแหละครับ ที่ไม่นับ กองทุนวายุภักษ์ เข้าไปในส่วนของรัฐ เพราะ กองทุนนี้ ขายให้กับเอกชน (ช่วยบอกด้วยว่าผมเข้าใจผิด)  หมายถึงว่า ปันผลของปตท ต้องจ่ายให้กองทุน แล้วจ่ายเป็นผลตอบแทนของ ผู้ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน ไม่ได้บอกว่า คลังขายหุ้นไปนะครับ แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 17:38:07 จากคุณ : Dark Archon - [ 2 พ.ค. 51 17:30:51 ]

ความคิดเห็นที่ 18 "มันก้อเลยทำให้ผมคิดว่า ข้อมูลในคห อื่นๆ ของคุณ Dark Archon ที่ยกขึ้นมาเนี่ย มันจะพอเชื่อถือได้มั้ยเนี่ย  " เอาที่มันเขียนไว้ชัดๆแล้วกัน ชื่อผู้ตรวจสอบบัญชี จำนวนหุ้น นโยบายการจ่ายปันผล http://www.set.or.th/set/companyprofile.do;jsessionid=82879FC07B7826AC01DE73F3EF8D3743?symbol=PTT&language=th&country=TH กำไรสุทธิ http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=PTT&language=th&country=TH ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และ nomonees http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=PTT&language=th&country=TH ผมบอกแล้วทำไมไม่นับกองทุนวายุภักษ์ ถ้าผมยังไม่ reference อันไหน นอกจาก 35 เป็น 32 ช่วยบอกด้วยครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 2 พ.ค. 51 17:36:11 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อ้อเกือบลืม ค่าการกลั่นวันนี้ที่ 2.8665 บาท/ลิตรครับ http://www.eppo.go.th/retail_prices.html จากคุณ : Dark Archon - [ 2 พ.ค. 51 18:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ง่ะ คุณ Dark Archon อาจจะเข้าใจผิดนิดนึง ขออนุญาตอธิบายชี้แจงเพิ่มนะครับ เรื่องผู้ตรวจสอบบัญชี คือในเรื่องรายละเอียดลึกๆ ที่ว่ามา มันไม่มีแหล่งอ้างอิงครับ มังคงต้องคนวงในเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเค้าทำอะไรกันบ้าง เรื่องจำนวนหุ้น ที่อ้างมาใน คห 11 เนื่องจาก การขายหุ้นครั้งแรกขายให้นักลงทุนทั่วไปแค่ 30% ไม่ใช่ 49% ตัวเลขที่บอกมามันเลยไม่ค่อยจะถูกต้องนะครับ เรื่องนโยบายการจ่ายปันผลเนี่ย ป๋มป่าวแย้งนา เรื่องกำไรสุทธิ คือมันหยั่งงี้ครับ ถ้าจำไม่ผิด ปีที่ ปตทขายหุ้นนั้นคือปี 44 ดังนั้นการเอาผลกำไรสะสมจนถึงปี 50 มาเปรียบเทียบเนี่ย มันค่อนข้างจะผิดหลักการไปหน่อย เหมือนกับอาโกเข็นรถขายข้าขาหมูมานาน พอปี 44 แกอยากจะมีร้านเป็นของตัวเองก้อเลยกู้แบงค์มา 20000 บาท พอถึงปี 50 นับรวมกำไรจากอดีตสะสมมาจนถึงปี 50 ก้อไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท ถ้าไปด่าอาโกว่าโง่มาก ที่ไปกู้เงินมาน้อยกว่ากำไรสะสมที่ทำได้ มีหวังโดนอาโกเอาบังตอสับคอคาเขียง เพราะ ปีแรกๆ อาโกแกอาจจะขาดทุนก้อได้ และถ้าไม่มีเงินกู้ 20000 บาท อาโกแกอาจจะยังเข็นรถขายข้าวขาหมูอยู่ก้อเป็นได้ คงไม่มีปัญญามีร้านเป็นของตัวเอง เรื่องผู้ถือหุ้น การออกขายหุ้นครั้งแรก ไม่ใช่ขาย 49% ครับ ขายให้นักลงทุนทั่วไปแค่ 30% ที่เห็นว่าเหลือ 51กว่า% เนี่ยเป็นเพราะโอนหุ้นให้กองทุนวายุภักษ์ยืมไป และแบ่งขายให้หน่วยงานของรัฐอื่นๆ จำไม่ได้ว่ามีใครได้ไปบ้าง แถมตอนหลังมีหุ้น esop งอกขึ้นมาอีก % ก้อเลยลดลงไปอีกนิดนึง ซึ่งการไม่นับหุ้นของวายุภักษ์ด้วยเนี่ย มันจะไม่ถูกต้องนะครับ (ขออธิบายนิดนึง เพราะคุณ dark น่าจะเข้าใจผิด) คือกองทุนวายุภักษ์เนี่ย เมื่อหมดอายุ จะต้องส่งหุ้นทั้งหมดกลับคืนคลัง ซึ่งเงื่อนไขของกองทุนวายุภักดิ์เนี่ย เป็นเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ให้รัฐเต็มที่เลยครับ ชนิดที่ฝรั่งเห็นแล้วร้องจ๊ากเลย มีแต่นักลงทุนตาสีตาสาเท่านั้นที่ไปซื้อ ไม่เชื่อไปดูมูลค่าหน่วยลงทุน ของนักลงทุนประเภท ก กับนักลงทุนประเภท ข ดูได้ แถมผู้มีสิทธิออกเสียงใน ปตท ก้อเป็นของผู้บริหารกองทุน ไม่ใช่ผู้ถือหน่วยลงทุน ละก้อยังมีหน่วยงาน NVDR อีก ที่ผู้บริหาร NVDR เป็นผู้มีสิทธิออกเสียง ไม่ใช่ต่างชาติที่ซื้อหุ้น แถมด้วยเรื่องค่าการกลั่นใน คห 19 ที่ลิ้งมามันเป็นแค่ตัวเลขครับ เพราะ GRM หรือค่าการกลั่น = ราคาผลิตภัณฑ์เฉลี่ยหน้าโรงงาน (ex-refinery) - ราคาน้ำมันดิบ ดังนั้น ถ้าบอกว่าค่าการกลั่นคือกำไรทั้งหมด ดูจะไม่ถูกต้องนัก คงต้องหาผู้รู้จริงมาอธิบายว่าค่ากลั่นประกอบด้วยอะไรบ้าง ปตท เอากำไรเกินควรรึป่าว แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 18:39:47 แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 18:33:36 แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 18:32:36 จากคุณ : nat1234 - [ 2 พ.ค. 51 18:28:18 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอโทษครับ.......ข้อความซ้ำกับคห.ข้างล่าง แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 18:54:30 จากคุณ : สัมมาชน - [ 2 พ.ค. 51 18:48:20 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่ใช่แค่ปั๊ม 3 ทหารครับ องค์การทอผ้า, องค์การแบตเตอรี่, องค์การฟอกหนังฯลฯ ซึ่งทหารสมัยก่อนอ้างว่าเป็นยุทธปัจจัยสำคัญของชาติ ล้วนแล้วแต่เจ๊งเรียบครับ สมัยผมเด็กๆยังมีรถเมล์ที่กองทัพบกเป็นเจ้าของสัมปทาน (วิ่งผ่านอนุเสาวรีย์ชัยฯกับสะพานควายด้วย) ก็ถูกยุบเมื่อสมัยที่รัฐบาลคึฤทธิ์ก่อตั้งรถเมล์ฟรีให้กับคนกรุงเทพฯ ตอนแรกคนก็คิดว่าทหารยอมเพราะเห็นแก่ประชาชน แต่ที่จริงทหารรีบยกให้ต่างหาก เพราะขาดทุนมานานแล้วครับ แต่ได้งบกองทัพมาอุดหนุนจึงฝืนอยู่มาได้ ยิ่งองค์การทอผ้านั่นจริงๆแล้วมีแต่เปลือก บอกว่าเป็นยุทธปัจจัยเพื่อความมั่นคงของชาติ แต่ข้างในคือการแบ่งกันกินของ"เอกชน"ไม่กี่รายเท่านั้น กับทหารสกุลหนึ่งที่ฉลาดจนไปตั้งโรงงานรับคำสั่งซื้อที่ต่างจังหวัดด้วย มีชายคนหนึ่งที่อดีตเป็นแค่คนรับจ้างย้อมผ้าธรรมดา แต่บังเอิญเข้าหาทหารผู้มีอำนาจได้ เลยได้ส่วนแบ่งการสั่งซื้อจากกองทัพก้อนใหญ่ ภายหลังใหญ่โตจนประกาศว่าจะสร้างโรงงานที่มีแกนปั่นด้ายที่มากที่สุดในโลกขึ้นมาให้ได้ แต่เขาเคยชินกับการบริหารแบบเถ้าแก่รุ่นเก่า ตามไม่ทันกระแสการแข่งขันของตลาดโลก จึงประสบปัญหาตลอดช่วงหลังๆ ่ยิ่งเมื่อขาดเส้นสาย"ผู้ยิ่งใหญ๋"มาคุ้มหัว ธนาคารเจ้าหนี้ก็ขาดความเกรงใจ กดดันไล่ทวงหนี้จนเจ๊งปิดกิจการไปเลย กิจการใดๆที่ต้องอาศัยการปกป้องหรือถูกจำกัดขอบเขตโดยระบบราชการ ไม่มีทางอยู่รอดได้ด้วยตัวเองในกระแสที่มีแต่การแข่งขันของปัจจุบันหรอกครับ จากคุณ : สัมมาชน - [ 2 พ.ค. 51 18:52:59 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ลองยกตัวอย่างหน่วยงานของรัฐมาสักอันซิครับ ที่บริหารงานดี มีกำไรที่จะพัฒนาตนเองได้ ผู้บริหารดีให้สิทธิผู้บริหารน้อยพนักงานได้โบนัสในระดับปรกติ รถไฟ ขสมก ประปา โทรศัพท์ ไฟฟ้า การเดินเรือ บขส ไม้อัดไทย รสพ องค์การป่าไม้ กรมการพลังงานทหาร บางจาก แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 19:25:22 จากคุณ : sittisuck (sittisuck) - [ 2 พ.ค. 51 19:24:34 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ที่คุณ Dark Archon บอกมาก็ถูกครับ   เพียงแต่เป็นการมองจากอนาคตไปหาอดีต   ซึ่งเรารู้ผลลัพธ์ที่แน่นอนแล้วว่าจะเป็นอย่างไร แต่การตัดสินใจเข้าตลาดหุ้นของ ปตท. ตอนนั้น  ไม่มีใครรู้ข้อมูลในอนาคตอีก 5-10 ข้างหน้าว่าจะเป็นเช่นไร   แต่รู้ว่าในช่วงก่อนหน้านั้น 1.  น้ำมันราคาต่ำมาก  มีอยู่ช่วงนึงทีลงไปต่ำถึงบาร์เรลละ 20$ ด้วยซ้ำ 2.  ธุรกิจโรงกลั่น  ปิโตเคมี  ต้องการเงินสดเข้าไปสนับสนุนจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่พึ่งผ่านไปได้ไม่นาน   จนธุรกิจใหญ่ๆ ขนาดปูนใหญ่เองยังต้องขายกิจการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกไปหมด จากสองข้อนี้   ถ้ามีใครรู้ว่าอีกไม่นาน  น้ำมันจะราคาสูง  จนถึง 120$ ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องระดมทุน   กู้เค้ามาดีกว่า    แต่ใครจะทราบล่ะ   เอาแค่บอกว่า  น้ำมันราคาบาร์เรลละ 50$  ยังมีหลายคนบอกว่าบ้าหรือเปล่าเลยด้วยซ้ำ จากคุณ : sunsetbeach - [ 2 พ.ค. 51 19:40:51 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คห. 23 ครับ ปัจจุบันบางจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วครับ อยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างดีพอสมควร ไม่เติบโตมากนัก แต่ก็มีนวัตกรรมใหม่ๆออกมาสร้างชื่อให้ตนเองอยู่บ้าง ก่อนที่จะมาเป็นบริษัทมหาชนนั้น บางจากเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีภาพพจน์ดีในสายตาประชาชน เป็นบริษัทแรกที่ยื่นมือเข้าไปช่วยผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้ชื่อ Lemon Farm บริหารโดยอดีตวุฒิสมาชิกสายลูก...คนหนึ่ง ภาพดีแต่การเงินแย่ครับ เวลาที่อดีตวุฒิสมาชิกผู้นั้นถูกตั้งกรรมการสอบสาเหตุที่ผลประกอบการไม่ดี เขาก็ถูกสอบตามระบบราชการ ในเมื่อเอาผิดทางวินัยไม่ได้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องผลประกอบการ ในช่วงปีหลังๆขาดกระแสเงินเพื่อการบริหารอย่างรุนแรง จนถึงขนาดมหา 5 ขันต้องออกหน้ามาร้องขอเงินอุดหนุนจากอดีตนายกฯ 2-3 พันล้านบาท แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะในสายตาของผู้เข้าใจการบริหารนั้น นั่นไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ถ้าวันนี้บางจากยังคงสภาพเดิมก่อนแปรรูปเป็นบริษัทมหาชน บางจากก็ยังคงเป็นเหมือนผีดิบที่คอยสูบเลือดหรือเงินอุดหนุนจากรัฐอยู่ต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น แต่พอฝืนกระแสคัดค้าน"บางจากต้องเป็นของประชาชนไทย" ดันจนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ "ประชาชนไทย"เลยได้ปลดอีแอกหนึ่งลงจากหลังได้ครับ จากคุณ : สัมมาชน - [ 2 พ.ค. 51 19:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ก็นั้นนะซิครับ บางจาก ถ้ายังเป็นของรัฐ มันก็มีแต่เน่าทั้งนั้น จากคุณ : sittisuck - [ 2 พ.ค. 51 20:08:46 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เอาทีละเรื่องแล้วกันครับ เรื่องผู้สอบบัญชี ตาม link มันก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับว่า สตง หน้างบ ก็ สตง เรื่องจำนวนหุ้น สมมุติกระจายหุ้นไปแค่ 30% ถ้าอย่างนั้น เงินที่ปตทได้รับจากการ กระจายหุ้นยิ่งน้อยลงรึเปล่าครับ กระจายหุ้นไป 845 ล้านหุ้น ได้เงินมาลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท ที่ผมใช้ตัวเลข 51% กระจายหุ้นไป 49% เพื่อที่จะบอกว่า ปตทได้เงิน มาลงทุนเท่าไหร่ คุ้มมั้ยในเมื่อกำไรปีเดียว มันก็เกินกว่าที่ได้มาอยู่แล้ว ยิ่งกระจายหุ้นไปน้อย (30%) แสดงว่าได้เงินทุนมาหมุนน้อยนะครับ เรื่องงบการเงินปี 50 ถ้าอย่างนั้นผมใช้งบปี 44 ก็ได้ครับ ดำเนินกิจการมา 3 เดือน 1 ไตรมาส ยอดขาย 90,000 ล้านบาท กำไร 8,800 ล้านบาท ถ้าคิดเฉลี่ยเป็น 1 ปี ยอดขายก็ไม่น่าจะหนี 350,000 ล้าน กำไรก็ 35,000 ล้านบาท แล้วผมก็ถามคำถามเดิม คุ้มมั้ยกับการกระจายหุ้น ในเมื่อถ้าไม่ได้กระจายหุ้น ปตท ก็ได้เงินจำนวนนี้ มาอยู่เป็นกำไรสะสมอยู่แล้ว ในเมื่อความโปร่งใส ก็ไม่ได้มากกว่าเดิม ในเมื่อข้ออ้างเรื่องลดภาระการลงทุนของรัฐ ก็ไม่ใช่ แต่เสียเครื่องไม้เครื่องมือของรัฐไป รวมทั้งเสียเงินนำส่งเข้ารัฐ ให้กลายเป็นปันผลซะอีก แถมกระจายหุ้นไป 30% แต่มีภาระต้อง จ่ายปันผลให้เอกชน 49% เรื่องค่าการกลั่น ถูกต้องครับ มันเป็นค่าประมาณการ ยังไม่หักต้นทุน แต่ก็ไม่มีใครรู้ นอกจากคนข้างในว่าต้นทุนจริงเท่าไหร่ สมมุติกำไรจริง 1 บาท แต่ถ้าไม่แปรรูป มันจะทำให้เหลือ 0.50 บาทได้มั้ยครับ แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 23:09:17 จากคุณ : Dark Archon - [ 2 พ.ค. 51 23:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ห้องน้ำสกปรกขึ้น. แน่ๆ จากคุณ : Pickmon - [ 3 พ.ค. 51 06:56:37 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ต่อจาก #24  แต่จริงๆ แล้วเรื่องเงินทุนที่ได้มาเป็นเรื่องรองครับ   ประโยชน์ที่ได้รับจากการแปรรูปเป็น บมจ. ในตลาดหุ้น  โดยรัฐบาลถือหุ้นใหญ่นั้นคือ 1. ความคล่องตัวในการบริหาร   ถ้าจากเดิมยังเป็นการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย    การดำเนินธุรกิจจะขาดความคล่องตัว   เนื่องจากต้องอยู่ภายใต้ พรบ. ร่วมทุน    การที่จะไปเปิดบริษัทใหม่   ไปซื้อกิจการ  หรือไปดำเนินธุรกิจอะไร   ต้องออกเป็นมติ ครม.   ตอนช่วงหลังจากที่แปรรูปใหม่ๆ   ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ธุรกิจโรงกลั่นทั้งหลายกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก  เนื่องจากน้ำมันสำเร็จรูปมีราคาต่ำ  ทำให้ส่วนต่างระหว่างน้ำมันสำเร็จรูปกับค่าน้ำมันดิบน้อย  (ที่เรียกกันว่าค่าการกลั่นนั่นล่ะ   มันไม่ได้เป็นค่า fix คงที่)   ทำให้โรงกลั่นขาดทุน   ปตท. ก็เข้าไปช่วงโดยซื้อหุ้นโรงกลั่นเหล่านี้   ทั้งไทยออยล์ , RRC รวมทั้งบางจากด้วย  นี่คือที่มาทำไม ปตท. ถือหุ้นในบริษัเหล่านี้     รวมทั้งธุรกิจปิโตรเคมีอีกหลายๆ แห่งด้วย    ถ้า ปตท. ยังเป็นการปิโตรเลียม  คงทำแบบนี้ได้อย่างลำบากมากๆ ครับ 2. การระดมทุนโดยออกหุ้นกู้   แทนการออกพันธบัตรที่มีกระทรวงการคลังค้ำประกัน   ซึ่งนั่นหมายความว่า   เครดิตของการกู้เงินอยู่ที่เครติดของบริษัทเอง   ไม่ใช่ต้องให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันให้ทั้งหมด   ในกรณีที่บริษัทมีปัญหาเรื่องการชำระเงิน   ผู้ซื้อหุ้นกู้ก็ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงเอง   (ซึ่งจริงๆ  ตรงนี้เค้าจะดูจากการจัด rating ของหุ้นกู้  ซึ่งมีบริษัทคนกลางเป็นคนประเมินให้)     จะเห็นได้ว่า   ตรงนี้ทางรัฐบาลไม่ต้องมีภาระในการค้ำประกัน   ซึ่งการค้ำประกันก็คือ  การรับผิดชอบหนี้ให้   รัฐบาลรับผิดชอบเพียงแค่เงินในส่วนผู้ถือหุ้นเท่านั้นเอง จากคุณ : sunsetbeach - [ 3 พ.ค. 51 08:48:29 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คห9 .ยกตัวอย่าง tot tmb cat aot ที่เป็นมหาชน แต่การบริหารงานห่วย ผลประกอบการแย่  ลองนึกเล่น ๆ นะคะ ทั้งหมดที่ว่ามา  บริหารโดย ทหารหรือเปล่าค่ะ  ผู้มีอำนาจตัวจริงคือทหารหรือเปล่าคะ เช่น tot พอให้ทหารมาคุมแค่ปีเดียว  จากกำไรหมื่นล้าน เหลือ พันล้าน บริหารด้วยความสุจริต โดยทหาร  ถึงจะขาดทุนทุกปี ก็ไม่มีหน้าไหนออกมาด่าเลย  แต่บริหารด้วยนักการเมืองแต่งตั้งเข้าไป  ถึงจะมีกำไร ก็มีข้อหาทุจริต ตลอด  มันแปลกดีนะ   สรุป  เราดีใจที่ ปตท. อยู่ในตลาดหลักทรัพย์  แม้ว่าเราจะไม่มีหุ้นอยู่เลย จากคุณ : Kpetcharat - [ 3 พ.ค. 51 09:56:14 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สรุป เป็น บริษัทที่รัฐถือหุ้นดีกว่าเป็นการปิโตรเลียมครับ จากคุณ : C5 HDI - [ 3 พ.ค. 51 14:41:56 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 3 พ.ค. 51 17:41:53 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ต่อจาก #29 นะครับ เรื่องการลงทุน ผมเห็นด้วยครับ อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าแปลงมาเป็นบริษัท จะทำให้ไม่ติดเรื่องกรอบการลงทุน การเข้าไปทำอะไรกับบริษัทเอกชน ไม่ต้องทำเป็นสัญญาร่วมการงาน แต่เรื่องการกู้เงินยังไม่เห็นด้วยครับ เนื่องจากอย่างเกริ่นไว้ตั้งแต่แรก คือ ปตท มีศักยภาพในการทำกำไร ดังนั้นถึงกู้มาถ้าเพื่อการลงทุนธรรมดา แป๊บเดียวก็ใช้คืนหมด รัฐบาลมีภาระแค่ค้ำประกันเงินกู้ ถ้าคิดด้วยสมมุติฐานว่ามันจะเจ๊ง เจ้าหนี้ก็ฟ้องร้องได้เฉพาะที่รัฐค้ำประกัน เงินกู้มารึเปล่าครับ ส่วนถ้าจะคิดในส่วนที่มันเจ๊งจริงๆ ในรูปแบบบริษัท ในขณะที่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการกู้ในรูปของการกู้สถาบันการเงิน หรือการออกหุ้นกู้ ถ้าเจ๊งขึ้นมา ผู้ถือหุ้นมีภาระรับผิดชอบแค่ในส่วนผู้ถือหุ้น ทั้งที่เรียกชำระแล้ว และ ยังไม่เรียกชำระ แต่รัฐจะปล่อยให้เจ๊งหรือครับ สุดท้ายก็ต้องลดทุน แล้วเรียกเพิ่มทุน รัฐก็ต้องเอาเงินสด หนุนลงไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ดี หรือถ้าออกเป็นหุ้นกู้แปลงสภาพ ตอนออกหุ้นกู้ รัฐก็ต้องหาเงินไป เติมทันทีเหมือนกันหรือไม่ ไม่งั้นสัดส่วนมันก็ลดลงนะครับ สุดท้ายไม่ว่าแบบไหน มันก็ยังเป็นภาระของรัฐอยู่ดีรึเปล่าครับ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 51 18:53:40 จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 51 18:40:53 ]

ความคิดเห็นที่ 34 #30 มันเน่ามาตั้งนานแล้วครับ ถ้าเคย deal งานโปรเจคกับพวกนี้จะรู้ดี ก่อนทหารมา มันเน่ากว่านี้อีกครับ ขอบอก อย่างที่บอกไงครับ แปลงเป็นบริษัทมหาชนแล้ว มันทำให้รัฐหมดอำนาจเข้า ไปบริหารรึเปล่า ทำให้มันโกงกินน้อยลงรึเปล่า ไม่เลยครับ เป็นแค่คำอ้าง ของนักการเมือง โคตรโกงแค่นั้นเอง จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 51 18:44:08 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ปตท. มีศักยภาพในการทำกำไรแค่ไหนล่ะครับ   ถ้าราคาน้ำมันดิบไม่ขึ้นราคามาพรวดพราด ถ้าน้ำมันยังราคาอยู่แถวๆ 30$  อยู่เหมือนตอนช่วงปี 40-44  เราคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ ปตท. มีเงินลงทุนเพียงพอสำหรับการขยายกิจการ   ลองกลับไปดูงบการเงินช่วงตอนที่เข้าตลาดดูครับ   ดูว่า ปตท. มีหนี้อยู่เท่าไร   การมองจากอนาคตไปอดีดมันก็ดูง่าย  แต่ถ้าลองมองไปอนาคตสิครับ  อีก 5 ปี  คุณคิดว่าทองคำจะมีราคาบาทล่ะเท่าไร ?      ถ้าคุณมีทองคำแท่งอยู่สัก 1000 บาท   แล้วมีความจำเป็นต้องใช้เงิน  คุณคิดว่าควรเก็บทองนี้ไว้แล้วไปกู้เงินดอกร้อยละ 8  หรือขายทองเอาเงินไปใช้ดีล่ะครับ  ?? จากคุณ : sunsetbeach - [ 3 พ.ค. 51 19:14:13 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ก็ผมเอางบปี 44 มาเทียบให้ดูแล้วยังไงครับ แล้วก็ ช่วงปี 44 ค่าการกลั่นเฉลี่ย 0.7966 ปัจจุบัน ค่าการกลั่น 2.8665 แต่ถ้าเทียบสัดส่วน ผมไม่รู้ราคาน้ำมันดิบปี 44 ขออ้างอิงจาก 95 แล้วกัน เทียบเปอร์เซ็นปี 44 ได้ 5% เทียบเปอร์เซ็นปี 51 ได้ 7.8% แต่ผมเชื่อว่าตอนนั้น ค่าการตลาดมากกว่าปัจจุบัน สรุปกำไรเบื้องต้น ไม่ต่างกัน แล้วถ้าหักต้นทุนการจัดการออกไป กำไรตามหน้างบมันก็เป็นเปอร์เซ็นพอๆกัน สิ่งที่ต่างกันคือยอดขายมันเพิ่มขึ้น แน่นอนส่วนนึงมันมาจากการที่ ปตท เข้าไปลงทุนในกิจการอื่นเพิ่มขึ้น แต่อีกส่วนนึงมันก็มาจากราคาน้ำมัน ที่ปรับตัวขึ้นเป็น 2 เท่า พร้อมกับปริมาณการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นด้วย ผมขอเวลาแป๊บหาดูว่าสัดส่วนหนี้ต่อทุนเป็นเท่าไหร่ จากคุณ : dark archon (Dark Archon) - [ 3 พ.ค. 51 19:53:46 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อ้อ แล้วอีกเรื่องคือเรื่องการมองจากอนาคตไปหาอดีต ที่ผมพยายามให้ดูเผื่อในอนาคต มันจะ IPO การไฟฟ้าครับ จะได้มานั่งตรองดูว่าคุ้มมั้ย หรือถ้าดูค่าการกลั่นนะครับ มีคำตอบมั้ยว่าทำไมพอเป็นเอกชน แล้วค่าการกลั่นเทียบเป็นเปอร์เซนมันเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นของรัฐล่ะครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 51 19:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สินทรัพย์หมุนเวียน สิ้นปี 44 = 124,945,232,346 บาท สินทรัพย์ทั้งหมด สิ้นปี 44 = 291,215,998,207 บาท หนี้สินหมุนเวียน สิ้นปี 44 = 82,519,579,759 บาท หนี้สินทั้งหมด สิ้นปี 44 = 221,089,951,418 บาท สมมุติให้เงินที่ได้จาก IPO เจ้ามา เพื่อเอาไปลงทุน แล้วเป็นเงินสด เอาหักออกจาก สินทรัพย์หมุนเวียนออกไปเลยครับ สินทรัพย์หมุนเวียนสิ้นปี 44 = 94,945,242,346 บาท มีศักยภาพมั้ยครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 51 20:04:39 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ส่วนเรื่องทอง ถ้าวิเคราะห์ตามสภาพปัจจุบัน ทองระยะยาวมูลค่ามันเพิ่ม แล้วกู้แล้วสามารถทำกำไรได้มากกว่า 8% กู้ดีกว่ามั้ยครับ อ้อแล้วอีกอย่าง บริษัทพวกนี้กู้ด้วยดอกที่เห็นแล้วน่าอิจฉาเป็นที่สุดนะครับ เอาเป็นว่า 8% หารด้วย 2 จะดีกว่า จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 51 20:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สรุปสั้นๆที่ผมพูดมาทั้งหมด ผมแค่จะวิเคราะห์ให้ดูว่า ข้ออ้างที่นักการเมืองมันอ้างมานั้น ข้อไหนจริง ข้อไหนไม่จริง ผมไม่ได้ขัดว่าแปรรูปมันไม่ดี ผมแค่จะบอกว่าแปรรูปแล้วใครได้อะไร แล้วใครเสียอะไร จะได้ไม่หลงลมลิ้นนักการเมืองชั่วๆ เพราะอนาคต ถ้าเค้าแปรรูปการไฟฟ้า ผมก็จะเข้าไปต่อคิวกับเค้าด้วย ถึงมันจะไม่มีโอกาสได้ก็เถอะ แต่ถ้าเค้าจะ IPO TOT, CAT หรือ แปรรูป ขสมก, การรถไฟ ผมก็ขอบาย จากคุณ : Dark Archon - [ 3 พ.ค. 51 20:14:34 ]

ความคิดเห็นที่ 41 มีตลาดรอง คือถ้าเราไม่ได้ซื้อที่ราคาจองก็สามารถซื้อในตลาดหลักทรัพย์ได้ และมีหุ้นหลายตัวที่ในขายออกมาแล้วต่ำกว่าราคาจองด้วย ปตท.ก็เช่นกัน ipo 35 แต่ราคาตกมาอยู่ที่ 28-29 บาท ถ้ามองว่าซื้อไปก็รวย เพราะตอนนี้ มันสามร้อยกว่า แต่ใครจะรู้ว่าราคามันจะมาขนาดนี้ ตอนนัั้นคนซื้อไม่ค่อยจะมี มีแต่คนอยากจะขาย มีเรื่องตลกอย่างคือผมไปคุยกับเพื่อนมาเรื่องหุ้น เพื่อนบอกว่าปตท คนที่จองได้ตอนแรกมีแต่นักการเมืองที่ได้หุ้นไปในราคาถูก พอเราบอกว่า ราคาในตลาดมันต่ำกว่าราคาจองอีกนะเกือบปีเลยล่ะ มันก็บอกอีกว่า ก็นักการเมืองมันปั่นหุ้นไงให้ราคาถูกมันจะได้ช้อนซื้อ ดูมันคิดไปได้ จากคุณ : Big BuBu - [ 4 พ.ค. 51 05:36:54 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้ามีคนบอกว่าอีกห้าปี  ทองจะบาทละ 50,000  คุณจะเชื่อมั๊ยครับ     คุณจะกล้าขายทรัพย์สินที่มีอยู่ + กู้เงินมาซื้อทองเก็บไว้มั๊ย เช่นเดียวกัน  เมื่อตอนที่ ปตท. เข้าตลาดหุ้นใหม่ๆ   หุ้นตกไปต่ำกว่าจองตั้ง 6 เดือน   ถ้ามีใครบอกว่า อีกหาปี  หุ้น ปตท. จะขึ้นไป 300 กว่า   คุณจะเชื่อมั๊ยครับ   ถ้ามีคนบอกว่า  น้ามันดิบจะราคาขึ้นไปบาร์เรลละ 120$  จะมีใครเชื่อมั๊ย  ......   ถ้ามีใครรู้อนาคตล่วงหน้า ....  ก็ไม่ต้องมีวิชาทีว่าด้วยเรื่อง Risk Management  หรอกครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 4 พ.ค. 51 07:59:14 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ใช่เลย พวกนี้เรียกว่าจมอยู่แต่ในโลกจินตนาการครับ วันอังคารตลาดหุ้นเปิดไปซื้อหุ้น AOT เลย เพราะอีก 5 ปีจะมีคนใช้สนามปินปีละ 1,000,000,000 คน เพราะนักการมืองรู้ดีว่าจะมีคนใช้สนามบินมาก ราคาห้นจะแพงกว่าตอนนี้ 100 เท่า แล้วคุณจะกล้าซื้อไหม พวกจินตนาการย้อนหลัง   หรือไม่อย่างนั้น ขายบ้านขายรถมาซื้อ PTT ก็ได้ 340  ราคาไม่แพงหรอก  450 ก็เคยถึง แนวโน้มน้ำมันก็จะแพง ผู้ถือหุ้นกับนักการเมืองก็คอยปั่น  อีก 2 ปี ราคาน่าจะ 900 นะ จะกล้าซื้อไหมหละ  ถ้าราคาหุ้นขึ้นไปถึงแล้วไม่ได้ซื้อไว้น่าเสียดายนะ  อย่าเอาแต่ด่าซิครับ เห็นว่าดีก็ซื้อเลย แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 51 20:33:30 จากคุณ : sittisuck (sittisuck) - [ 4 พ.ค. 51 20:28:04 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ^ ^ แล้วมันอ่านมั่งมั้ย ว่าผมเขียนอะไรไปมั่ง ก็บอกแล้วว่า วิเคราะห์ให้ดู เพื่ออนาคต ถ้ามันจะ แปรรูปอย่างอื่น มองอดีตเพื่ออนาคต อย่าเอาแต่ด่า... เรื่องไหนดี ผมก็ยอมรับว่าดี เรื่องไหนมันข้ออ้างผมก็ยกให้ดู อย่างนี้เค้าเรียกเอาแต่ด่าหรือไง แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมไม่มีหุ้นครับ.... ส่วนพวกมีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถ เค้าไม่เรียกนักลงทุนครับ เค้าเรียก ผีพนัน ว่าจะไม่ตอบแล้วเชียว แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 00:04:38 จากคุณ : Dark Archon - [ 4 พ.ค. 51 23:58:39 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ส่วนเรื่อง Risk management เอามา apply กับ case นี้ยังไงครับ ผมก็พอจะงูๆปลาๆเรื่อง risk management อยู่บ้าง จะได้คุยกันต่อ Goal ของบริษัทคืออะไร Risk อยู่ตรงไหน มีอะไรมา address/mitigate risk แล้วมันจบลงที่การระดมทุนได้ยังไง แต่ถ้าไม่มีอย่างอื่นนอกจากคำว่าไม่มีใครรู้อนาคต ไม่มีใครรู้ว่าน้ำมันดิบ จะ barrel ละ $120 ผมจะได้ปิดประเด็น แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 00:07:06 จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 00:03:06 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ผมขอเพิ่มเติมอีกประเด็นนึงได้มั้ยครับ? มีอีกข้อนึงที่คนทำ (รัฐ - แปรรูป ปตท. เป็นบริษัทมหาชน เข้าตลาดหลักทรัพย์) ยกมาเป็นข้ออ้าง ก็คือ เพื่อให้ ปตท. สามารถขยายกิจการแข่งขันกับต่างชาติได้ โดยไม่ต้องมาผูกพันกับบัญชีหนี้สาธารณะของรัฐ และเพื่อเอาช่องว่างที่เหลือในบัญชีหนี้สาธารณะของรัฐ (กรอบกำหนดไว้ไม่เกิน 50% ของ GDP) เอาไปใช้ในการลงทุนระบบสาธารณูปโภคอื่นๆ เช่น ระบบขนส่งมวลชน ระบบบริหารและจัดการน้ำ ฯลฯ ช่วยให้ความเห็นหน่อยครับ จากคุณ : P_Wut - [ วันฉัตรมงคล 04:53:30 ]

ความคิดเห็นที่ 47 Risk ของ ปตท. ตอนนั้นก็คือ   มีเงินกู้ที่อยู่ในสถานะของ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยอยู่มาก   ในขณะเดียวกันยังต้องการทุนในการขยายขนาดกิจการอีกมาก  (ดูตัวอย่างจาก กฝผ.  ตอนนี้ก็ได้  พอกลับไปเป็น กฝผ.  ก็ต้องล้มโครงการผลิตไฟฟ้ากับลาวไป   เนื่องจากไม่มีเงินทุนเพียงพอ)   ในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่ระดับต่ำ  ลองดูจากงบการเงินตอนนั้นก็จะเห็นว่า  ทำไมราคาเข้าตลาดถึงแค่ 35 บาท  แถมยังตกไปถึง 29 บาทเมื่อเข้าตลาด  โจทย์ก็คือ  ทำอย่างไรจะให้องค์กรมีเงินทุนอย่างเพียงพอ  เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ 1.  รอให้น้ำมันมีราคาแพงขึ้น  เพื่อให้มีกำไรมากเพียงพอ   2.  หาช่องทางอื่น  ในการระดมทุน  โดยการเปลี่ยนสถานะจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย  เป็น บมจ. ปตท   ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร   คุณจะเลือกบริหารความเสี่ยงแบบไหนกันล่ะครับ ? จากคุณ : sunsetbeach - [ วันฉัตรมงคล 08:20:05 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คุณ P_Wut สมมุติกรอบ 50% ของ GDP นะครับ ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นอยู่ที่เท่าไหร่ แต่ลองดูง่ายๆ ปตท ระดมทุน ได้ 30,000 ล้าน เงินกู้ระยะยาว 100,000 ล้าน หุ้นกู้ 17,000 ล้าน รวมๆรัฐลดภาระการคำประกันไปได้ 150,000 ล้าน แน่นอนครับรัฐสามารถกู้เงินเอาตรงนี้ไปทำประโยชน์ หรือพัฒนาอย่างอื่นได้ แต่ผมก็ขอตั้งข้อสังเกตุเหมือนกันคือรถไฟฟ้า พัฒนาระบบน้ำ รถไฟรางคู่ พวกนี้รวมๆกันเกินกว่าล้านล้านนะครับ คือช่องว่างพวกนี้มันยังมีอยู่และใหญ่พอสมควรครับ แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นประโยชน์ แต่เมื่อเทียบกับโครงการอื่น มันยัง ไม่ใช่จำนวนเงินที่เป็นสาระสำคัญครับ #คุณ Sunset ที่ กฟผ ยังไม่ตกลงหรือตกลงไปแล้วไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้ตามข่าวเรื่องนี้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าก่อน หน้านี้ซักสองปี กฟผ ยกเลิกการก่อสร้าง โรงไฟฟ้าใหม่ เพราะว่า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าทรงตัว เพราะเศรษฐกิจ ชลอตัว ในช่วง 40-44 แล้วก็ 48-49 นะครับ ไม่ใช่เพราะขาดเงินทุน ไฟฟ้า ปั่นออกมาแล้วไม่ได้ใช้ เท่ากับเสียเปล่า ไม่สามารถเอาเข้า stock เป็นสินค้าคงคลัง พอจะขายค่อยเอามาใช้ นะครับ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 11:09:31 จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 11:01:23 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ส่วนเรื่อง risk ผมจะเรียบเรียงให้ใหม่ Risk คือ ปตท มีความเสี่ยงในสถานะทางการเงิน ในการหาทุน เพื่อนำมา ขยายกิจการ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการเจริญเติบโตที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงแล้วทำอย่างไร 1 กู้เงิน โดยรัฐค้ำประกัน ดอก 2-4 % ต่อปี แล้วนำเงินจำนวนนี้มาลงทุน 2 ระดมทุน 3 ไม่ต้องทำอะไร เด๋วน้ำมันก็ขึ้นราคา ยอดขายก็มากขึ้น ก็ได้ตังมากขึ้น แล้วจากนั้นเค้าค่อยมานั่งวิเคราะห์ครับ ข้อดีข้อเสียแต่ละแบบ เป็นอย่างไรแล้วค่อยมานั่งเลือกทำเป็นแผนงาน ข้อดีข้อเสียของ 1 กับ 2 ผมก็วิเคราะห์ให้ดูไปแล้วนะครับ จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 11:08:32 ]

ความคิดเห็นที่ 50 การกู้เงิน   ตอนนั้นผมไม่คิดว่ารัฐบาล  และ ปตท. เองจะสามารถกู้ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยนั้นนะครับ    แล้วก็รัฐบาลเองก็ไม่มีความสามารถจะค้ำประกันหนี้ให้ ปตท. ได้อีก  เนื่องจากตอนนั้นอัตราสัดส่วนหนี้ต่อ GDP เองก็สูงมากอยู่แล้ว   และรัฐบาลเองยังต้องกันเงินไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้  เช่น ขสมก.  รฟท.   อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองล่ะครับว่าจะตัดสินใจในทางไหน จากคุณ : sunsetbeach - [ วันฉัตรมงคล 12:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ครับเรื่องการวิเคราะห์ตัดสินใจว่าจะไปทางไหนใน detail ตัวเลข แผนการลงทุนในแต่ละแบบ ข้อจำกัดต่างๆ ไม่มีใครมีข้อมูลมากขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ผู้บริหาร ปตท และ รัฐบาล ในขณะนั้นผู้มีหน้าที่กำกับนโยบาย ดังนั้นผมไม่ขอลงใน รายละเอียด สิ่งที่ผมบอกไปก็ได้แค่ในมุมกว้างๆของคนภายนอกว่า จำเป็นรึเปล่า ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ย ผมเคยเห็นอัตราดอกเงินกู้ของสถาบันการเงิน ในประเทศที่ไปกู้ สถาบันต่างประเทศมา ผมยืนยันว่า อัตรานี้ครับ เงินกู้ระยะยาว ถ้าบริษัทคุณได้รับการจัดอันดับดี หรือ มั่นคง เช่นมีรัฐบาลหนุนหลัง ความเสี่ยงต่ำ ต้นทุนคือของผู้ให้กู้คือดอกเบี้ยจ่าย ค่าบริหารแทบไม่มีครับ ดังนั้นถ้าผู้ปล่อยกู้ กู้มาด้วยอัตรา 1% หรือน้อยกว่า ดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้ก็บวกเข้าไปอีกไม่เท่าไหร่ ไม่ถึง 2% ด้วยซ้ำ (ผมเห็นมากับตานะครับ) เงินกู้ระยะสั้น เหมือนกันครับ แต่มันต้องมีค่าบริหารจัดการ ค่าความเสี่ยง ที่เพิ่มขึ้น ก็จะอยู่ประมาณ 4% (ผมก็เห็นมาอีกนั่นแหละ) หรือถ้าบอกว่ารัฐเป็นผู้ปล่อยกู้ พันธบัตรรัฐบาลระยะสัก 5-10 ปี เค้าให้ดอกเท่าไหร่ครับ ผมว่าก็ไม่น่าเกิน 4% รึเปล่าครับ คือมันจะต่างจากปล่อยให้รายย่อย หรือปล่อยให้บริษัทธรรมดา เนื่องจากพวกนี้ความเสี่ยงมากกว่า รวมถึงระยะเวลาการกู้สั้นกว่า ดังนั้นต้องมีค่าบริหารจัดการที่มากขึ้นครับ สรุปทั้งหมดที่พูดมา ไม่มีใครผิดใครถูก เพราะไม่มีใครรู้ข้อมูลจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร เค้าคิดมาถี่ถ้วน หรือเป็นใบสั่ง เนื่องจากอะไรก็แล้วแต่ ก็แค่เป็นแง่คิดไว้พิจารณา ผมก็ได้ข้อมูลบางอย่างที่ไม่รู้ รวมข้อมูลบางอย่างถ้าไม่มานั่งคุย ก็ไม่เคยคิดจะเข้าไปหาเหมือนกัน จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 13:20:40 ]

ความคิดเห็นที่ 52 หาเจอแล้วครับหนังสือชี้ชวน IPO ของ ปตท. http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin2/cgi-bin/final69.php?txt%20compid=0653&txt_offerid=000402&txt_secuid=01&txt_offertypeid=01&txt_language=t&txt_countdate=2001-10-05&start_date=2001-11-15 ลองดูงบการเงินงวด 6 เดือนปี 2544 ดูนะครับ   ตอนนั้น ปตท. มีส่วนของทุน 38,561 ล้านบาท หนี้สิน  224,494 ล้านบาท เป็นหนี้สินระยะยาว 160,732 ล้านบาท ถ้ามอง D/E หนี้สินทั้งหมดก็ 5 เท่ากว่าๆ แต่ถ้าเฉพาะหนี้สินระยะยาว ก็ 4 เท่ากว่าๆ ผมว่าถ้าจะไปกู้เงิน   คงไม่ได้อัตราดอกเบี้ยที่ดีเท่าไรนะครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ วันฉัตรมงคล 19:31:49 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ทำไมไม่เอาตัวเลขสินทรัพย์มาใส่ด้วยครับ ว่าสินทรัพย์หมุนเวียน 115,160.63 ล้านบาท สิททรัพย์ ทั้งหมด 263,055.35 ล้านบาท มีส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้ระยะสั้นกว่า 50,000 ล้าน มีสินทรัพย์มากกว่า หนี้สิน กว่า 40,000 ล้าน เพราะเกิดอะไรขึ้นเจ้าหนี้บังคับขายสินทรัพย์ก่อน ค่อยไล่เบี้ยเอากับ ส่วนผู้ถือหุ้นนะครับ แล้วก็อย่าลืมว่ารัฐบาลค้ำประกันต่างหาก จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 20:15:49 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เวลาดูความสามารถในการกู้เงิน   เค้าจะดูกันที่ Dept to equity ratio ครับ เนื่องจาก สินทรัพย์  = หนี้สิน + ทุน   อยู่แล้วตามหลักบัญชี ยังไง  สินทรัพย์ก็ต้องมากกว่าหนี้สิน    แต่ถ้าสินทรัพย์น้อยกว่าหนี้สินเมื่อใด  แสดงว่าส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ  อันนี้ล้มละลายครับ กิจการที่ถือว่ามีสุขภาพทางการเงินที่ดี  DER ไม่ควรเกิน 3:1 ครับ   ถ้าเกินกว่านี้   เริ่มมีความเสี่ยงสูง  เจ้าหนี้ก็ไม่ค่อยอยากจะให้กู้   หรือถ้าให้กู้  ก็ต้อเรียกดอกเบี้ยสูงๆ หน่อย   เนื่องจากต้องมีการตั้งสำรองค่าความเสี่ยงไว้ด้วย แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 20:24:45 จากคุณ : sunsetbeach - [ วันฉัตรมงคล 20:24:15 ]

ความคิดเห็นที่ 55 แล้วก็อย่าลืมว่า แต่เดิม ปตท เป็นเป็นรัฐวิสาหกิจที่ไม่แสวงหากำไร ในการดำเนินงานนะครับ แล้วกำไรที่ได้มา ต้องส่งเข้าคลัง (ซึ่งผมว่า สูงมากพอสมควร) ดังนั้นส่วนของทุนจึงไม่น่าจะมีส่วนที่เป็นกำไรสะสม นะครับ อย่างลืมพิจารณาตรงนี้ แล้วก็กู้เงินมีรัฐบาลค้ำประกันด้วยครับ จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 20:33:39 ]

ความคิดเห็นที่ 56 พอดีตอบช้าไปหน่อย ไม่ทันได้อ่าน 54 ครับ คือเข้าใจว่าถ้าเป็นบริษัทเอกชน D/E เป็นดัชนีตัวหนึ่ง แต่อย่างที่ผมบอกใน 55 ว่า นี่เป็นรัฐวิสาหกิจ ตัวเลขเรื่อง กำไรสะสมจะไม่มีนะครับ หรือ มีก็น้อย ทำให้ส่วนของทุนมันต่ำ แต่การกู้เงิน ชดเชยด้วยการที่รัฐบาลค้ำประกันครับ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 20:36:58 จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 20:36:19 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ลองดูข้อมูลตั้งแต่ปี 47-50 ดูนะครับ http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=PTT&language=th&country=TH จะเห็นว่า ปตท. เองก็ต้องลงทุนเพิ่มเรื่อยๆ  จะเห็นว่า ณ สิ้นปี 50  มีหนี้สินสูงถึง 493,699 ล้านบาทแล้ว   แต่อย่างไรก็ตาม  ส่วนผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้นตามกำไรที่เพิ่มขึ้นเป็น 361,496 ล้านบาท   (นี่เป็นที่มาว่าทำไมกำไรต่อปีสูง   ส่วนหนึ่งมันเป็นกำไรทางบัญชีที่เกิดจากการไปลงทุนทำให้มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น  ไม่ใช่เป็นกำไรทางตัวเงิน)  DER เหลือแค่ 1.36 เท่าเองครับ  ซึ่งถือว่าเป็นกิจการที่มีความมั่นคงสูงครับ ลองดูกิจการที่มีความมั่นคงสูงๆ ดูนะครับ http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=SCC&language=th&country=TH ส่วนกิจการที่มีความเสี่ยงสูงๆ ก็ http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=TRUE&language=th&country=TH TRUE ออกหุ้นกู้ล่าสุดที่ผ่านมา  อัตราดอกเบี้ย 10% เชียวนะครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ วันฉัตรมงคล 20:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 58 รัฐบาลเองก็มีความสามารถในการกู้เงินจำกัด   อัตราหนี้สารธารณะต่อ GDP พ.ศ. 2540  ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP  35 % พ.ศ. 2541  ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP  42.6 % พ.ศ. 2542  ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP  53.9 % พ.ศ. 2543  ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP  58.1 % พ.ศ. 2544  ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP  57.16% ถ้าจะต้องค้ำประกันเงินกู้   รัฐบาลก็ควรจะนำมาค้ำประกันการลงทุนในระบบสาธารณูปโภค  เช่น  ระบบขนส่งมวลชน  รถไฟฟ้า  ดีกว่าที่จะนำมาค้ำประกันในธุรกิจที่สามารถหาเลี้ยงตัวเอง  และพึ่งพาตนเองได้ครับ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 21:05:31 จากคุณ : sunsetbeach - [ วันฉัตรมงคล 20:48:14 ]

ความคิดเห็นที่ 59 อืม ผมไม่เคยเห็นตัวเลข หนี้สาธารณะ ต่อ GDP ไปหาได้จากที่ไหนครับ ส่วนเครื่องการค้ำประกัน utility/infrastructure ผมว่าเป็นเรื่อง แรกๆที่รัฐต้องเข้าไปช่วยเลยล่ะครับ เนื่องจากหมายถึงโครงสร้าง ทางเศรษฐกิจของประเทศ และยังได้ผลตอบแทนกลับมาเร็วกว่า ซึ่งเอาไปหมุนเวียนได้เร็วกว่า จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 20:53:45 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ผมว่า คห.58 พิมพ์ผิดหรือเปล่า? "ถ้าจะต้องค้ำประกันเงินกู้   รัฐบาล ควรจะ นำมาค้ำประกันการลงทุนในระบบสาธารณูปโภค  เช่น  ระบบขนส่งมวลชน  รถไฟฟ้า   มากกว่า ที่จะนำมาค้ำประกันในธุรกิจที่สามารถหาเลี้ยงตัวเอง  และพึ่งพาตนเองได้ครับ" แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 21:07:14 จากคุณ : P_Wut - [ วันฉัตรมงคล 21:06:56 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณคุณ P_Wut  ที่แจ้ง  แก้ไขแล้วครับ #59  search จากใน web นี่ล่ะครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ วันฉัตรมงคล 21:14:53 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ผมเข้าไปดูใน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ข้อมูลช่วงปี 43-44 ไม่สมบูรณ์ครับ เลยไม่แน่ใจว่ามาจากที่ไหน จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 21:17:15 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ทีนี้กลับมาสรุปเรื่องอัตราดอกเบี้ย สิ่งที่ผมคิดคือ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เนื่องจากเป็นการค้ำประกันโดยรัฐบาล ส่วนค่ำ D/E นั้นผมว่าเป็นแค่น้ำจิ้ม เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นโดยธรรมชาติของรัฐ วิสาหกิจมันต่ำอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นบริษัทไม่แสวงหากำไร เมื่อได้ กำไรมา ก็ส่งเข้าคลัง ถ้าจะปรับเพิ่มการลงทุน ก็ทำได้ง่าย กู้เงินส่วนหนึ่ง แล้วลดการนำส่งเข้าคลัง เนื่องจากดูตัวเลขกำไรสุทธิเป็น บวกในปีนั้น ก็มากกว่า 35,000 ล้าน แต่ติดเรื่องหนี้สาธารณะต่อ GDP มันสูงกว่า 50% ซึ่งมันก็ต้องแล้วแต่ นโยบายรัฐบาลแล้วว่าจะทำอย่างไร แต่ความคิดผมอย่างที่บอก คือ utility กับ infrastructure เป็นเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แล้วได้ผลตอบแทนกลับมาเร็วครับ แล้วก็แปรรูปไปแล้ว ภาระในการค้ำประกันหนี้ของรัฐสำหรับหนี้เดิม ก็ยังอยู่นะครับ ไม่ได้ทำให้สัดส่วนมันลดลงไปเลย จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 21:28:47 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อ่านไปอ่านมา หนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ (Government debt) หรือที่เรียกว่าหนี้สาธารณะ (Public debt) ตามมาตรฐานของ Government Finance Statistics (GFS) ซึ่ง IMF ได้ กำหนดเป็นมาตรฐานการบันทึกข้อมูลสถิติการคลังของประเทศสมาชิก เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้อย่าง มีหลักเกณฑ์ โดยนิยามใหม่กำหนดให้หนี้สาธารณะ ครอบคลุมถึงหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (non-financial public sector) ทั้งที่รัฐบาลค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน (หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินเช่น เดียวกับสถาบันการเงิน อื่นๆในระบบ ซึ่งทำหน้าที่สื่อ กลางรับเงินออม มาใหกู้ต่อถือว่า่ มีความเสี่ยงของการผิดนัดชำระหนี้ และยังเป็น การจำแนกธุรกรรมด้านการเงินออกต่างหากจากการคลังอย่างชัดเจน) และ หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) http://krungsri.com/pdf/research/02_economy/02_02_economy/02_02_03_economy_econ/econ83.pdf จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 22:15:07 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ถ้าอย่างนั้นแล้ว ปตท เป็นรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่ารัฐจะค้ำประกันหรือไม่ ก็ถือว่าเป็นหนี้สาธารณะอยู่ดี ใครจะช่วย confirm ได้ล่ะนี่ จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 22:16:14 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ส่วนอันนี้ หนี้สาธารณะ จาก BOT สรุปว่า BOT บอกว่าไม่รวมหนี้รัฐวิสาหกิจครับ (ยกเว้นใช้ในไทยเองที่จะรวม) นิยามหนี้สาธารณะควรเป็นอย่างไร • ไม่มีนิยามที่ใช้เป็นสากล ว่าหนี้สาธารณะประกอบด้วยอะไรบ้าง คู่มือ GFS ก็มีเพียงหนี้รัฐบาลเท่านั้น • หนี้สาธารณะที่เผยแพร่ปัจจุบัน ผสมผสานระหว่างหนี้ทางทฤษฎี คือภาระโดยตรง คือหนี้รัฐบาล กับภาระผูกพัน ได้แก่ หนี้รัฐ วิสาหกิจ และหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ • หากต้องการรวมตัวเลขหนี้สาธารณะทุกอย่างซึ่งมีความเสี่ยงต่าง กัน อาจต้องรวมสถานะของกองทุนประกันสังคมด้วย? สรุปนิยามหนี้สาธารณะ • หนี้สาธารณะ (Public Debt) ควรเน้นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง (Government Debt) ซึ่งเป็นหนี้โดยตรงที่ประชาชนทุกคนต้องรับ ภาระจากเงินภาษีอากรของตนจริง ๆ • ส่วนหนี้รัฐวิสาหกิจ เป็นภาระผูกพัน รัฐบาลต้องชำระหนี้แทนหากรัฐ วิสาหกิจผิดนัดชำระหนี้ (Default) อย่างไรก็ดี ยังไม่เคยมีรัฐวิสาหกิจ ใด Default เลย จึงถือว่ามี Risk of Default ที่ต่ำมาก • สำหรับหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ จะรวมเป็นหนี้สาธารณะเลย (Front-load) หรือไม่ก็ได้ เนื่องจากความเสียหายจะเป็นภาระต่อผู้เสียภาษีในอนาคต อย่างแน่นอน ดังนั้น ตัวเลขหนี้สาธารณะของไทยจึง Conservative กว่า หากดิด เฉพาะหนี้รัฐบาลรวมกองทุนฟื้นฟู มีเพียง 38% สรุปนิยามหนี้สาธารณะ • หนี้สาธารณะ (Public Debt) โดยเฉพาะหนี้ต่อหัว ควรเน้นหนี้รัฐ บาล (รวมหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ) ซึ่งเป็นภาระของประชาชนจริง ๆ • หนี้สาธารณะที่เผยแพร่ในปัจจุบัน ใช้สำหรับดูภาพ หนี้ภาครัฐ (Public Sector Debt) • อนึ่ง ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับต่างประเทศ ต้องระมัดระวัง เปรียบเทียบบนพื้นฐานเดียวกัน เนื่องจาก หนี้สาธารณะของไทย รวมหนี้รัฐวิสาหกิจ ในขณะที่นานาประเทศส่วนใหญ่ หมายถึง หนี้รัฐบาลเท่านั้น http://www.bot.or.th/BOTHomepage/DataBank/Econcond/seminar/monthly/8-10-2001-Th-i-1/web_public_debt.pdf ====================================== สรุปส่งท้ายแบบมึนๆ ถ้าตัดประเด็นเรื่องหนี้สาธารณะออกไป (เพราะถ้ารวม ก็ต้องคิดทั้งที่ค้ำประกันแล้วไม่ค้ำประกัน ถ้าไม่รวม ก็ตัดออกไปหมด ทั้งที่ค้ำประกัน หรือกู้มาโดยตรง แล้วไปปล่อยกู้ให้รัฐวิสาหกิจอีกต่อนึง) ก็เหลือเฉพาะเรื่องดอกเบี้ย Scale ของรัฐบาลค้ำประกัน กับ Scale ของบริษัทอย่าง True มันต่างกัน ครับ เพราะฉะนั้นดอกเบี้ยมันต่างกัน คิดง่ายๆ เอาแค่รัฐออกพันธบัตร 3-4% แล้วไปปล่อยกู้ต่อรัฐวิสาหกิจก็เรียบร้อย แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 23:19:04 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 23:08:34 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 22:59:02 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 51 22:58:40 จากคุณ : Dark Archon - [ วันฉัตรมงคล 22:55:31 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เรื่องนิยามหนี้สาธารณะ  อันนี้เป็นภาพรวมของการกู้เงินของภาครัฐ  ซึ่งบางที่ได้ถือว่า บมจ. ที่รัฐถือหุ้นเกิน 50% ก็ถือเป็นรัฐด้วย แต่ถ้ามองในแง่ความเสี่ยงของรัฐ   หนี้ที่รัฐค้ำประกัน  กับไม่ต้องค้ำประกัน  มีความเสี่ยงต่างกันครับ    เพราะคนค้ำประกันก็คือคนที่ต้องรับผิดชอบในหนี้ก้อนนี้ด้วย   ต้องมีการตั้งสำรองไว้สำหรับจ่ายหนี้ในกรณีที่ผู้กู้อาจมีปัญหาในการชำระเงิน    แต่ถ้าผู้กู้กู้ด้วยเครดิตของตัวเอง   โดยรัฐไม่ต้องมีภาระในการค้ำประกัน     ก็ถือว่ายืนได้ด้วยขาของตัวเอง   รัฐแค่รับความเสี่ยงของกิจการในส่วนทุนจดทะเบียนเท่านั้นครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 6 พ.ค. 51 07:35:25 ]