ความคิดเห็นที่ 1 มากกว่า 70% กลับสู่องค์กรของรัฐ ก็ยังดีนะ ผมว่า จากคุณ : ATK-Almira - [ 18 พ.ค. 51 09:05:23 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าแปรรูปแล้วขาดทุนก็ด่าเค้าอีกนั่นแหละ สรุปว่ากรูจะด่าซะอย่าง ใครจะทำไม จากคุณ : E32M30+E46N42 - [ 18 พ.ค. 51 09:18:47 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ประเด็นเดิมๆ มันน่าจะเข้าใจกันได้แล้วนะครับ จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 09:25:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 กำไรจาก ปตท สผ. มีอะไรบ้างครับ จากคุณ : PalmIIIc - [ 18 พ.ค. 51 09:33:45 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ปตท. คือกระเป๋าเงินของรัฐ ขาดทุนไม่ได้ ต้องกำไรและโตตลอด ปตท. เป็นบริษัทมหาชนซึ่งรัฐถือหุ้นใหญ่ ไม่ใช่มูลนิธิการกุศล ต้องแยกได้ว่ากำไร ปตท.มาจากธุรกิจส่วนไหน ไม่ใช่ขายปลีกน้ำมัน ภารกิจความมั่นคงพลังงาน เพื่อเศรษฐกิจชาติ แต่คงไม่เป็นที่พอใจ ของผู้ใช้น้ำมันและประชาชนที่เดือดร้อน ช่วยกันประหยัดน้ำมันเถอะครับ จากคุณ : Taa - [ 18 พ.ค. 51 09:34:12 ]

ความคิดเห็นที่ 6 กำไรของโรงกลั่นไตรมาส 1  ปี 2551 (บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 09:34:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อุตสาหกรรมนี้ต้องการเงินลงทุนสูง  หากไม่มีกำไร  แล้วงบลงทุนมาจากไหน ? ภาษี ?  แล้วเมื่อไหร่ชาติจะเจริญครับ  แทนที่จะนำเงินภาษีไปใช้ในการพัฒนาประเทศ  แต่กลับนำมาใช้ให้คนในชาติใช้จ่ายเคยตัว... คนคิดเป็น   ---> หาทางเพิ่มรายได้  หรือลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น คนอีกแบบ  ---> ร้องขอจากคนอื่น จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 09:40:23 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตัวเลขของปตท.สผ. ใน #3 เป็นกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีนะครับ  มันเลยดูเยอะ ภาษีปตท.สผ. จ่ายในอัตราร้อยละ 50 ครับ กำไรสุทธิ PTTEP ไตรมาส 1 ปี 2551 8,905 ล้านบาท แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 09:51:20 จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 09:49:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คนอยากจะด่า คนอยากจะใช้ของถูก เลยวิเคราะห์ว่า ปตท.ขายน้ำมันรวยสองหมื่นกว่าล้าน โดยไม่ยอมรับรู้ข้อมูลที่ คุณ จีเอส โมบาย ให้มา ถ้าขายน้ำมันแล้วรวย ปั๊มต่างๆ คงไม่เป็นปั๊มเจ๊ง ปิด หรอกครับ ท่าน จากคุณ : จ่าแห้ว - [ 18 พ.ค. 51 10:02:43 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ต่อให้กำไรกว่านี้ 10 เท่า แต่เป็นของรัฐทั้งหมดก็ไม่บ่น ไม่ใช่แปรรูปไปปั๊บ แบ่งรัฐครึ่ง นาย ก นาย ข ครึ่ง , ผูกขาดแล้วซะขนาดนั้น แล้วใครจะมาแข่งขันได้ ไม่ว่ารัฐทำเอง หรือแปรรูป ก็โตอยู่แล้ว สัมปทาน สมบัติของทุกคน ไม่ใช่เอามาแบ่งเค้กไปคนละนิดคนละหน่อย ธุรกิจกำไรซะขนาดนั้น ไม่ต้องกลัวหรอกคุณ ว่าจะหาเงินมาลงทุนต่อไม่ได้ จะพัฒนาต่อไม่ได้ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 10:21:20 จากคุณ : RaTTeW - [ 18 พ.ค. 51 10:17:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าเป็นของรัฐ ไม่มีทางโตกว่านี้ 10 เท่า จากคุณ : installation - [ 18 พ.ค. 51 10:22:19 ]

ความคิดเห็นที่ 12 รู้สึกดีที่ไม่ขาดทุนทั้งชาติเหมือนรฟท. จากคุณ : HMOM - [ 18 พ.ค. 51 10:39:37 ]

ความคิดเห็นที่ 13 นาย ก กะ นาย ข นะ มีส่วนแบ่งยังไม่ถึง 1% เลย เขามีตังลงทุน อย่าไปอิจฉาเขาเลย เป็นผมๆก็เอามาซื้อหุ้น จากคุณ : ATK-Almira - [ 18 พ.ค. 51 11:22:59 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ข้อแก้ไขนิด ผมยังไม่เข้าใจว่า ปตท.สผ. คือ อะไรครับ ผู้รู้รบกวนด้วยเป็นความรู้ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 11:33:14 จากคุณ : หนึ่งเสียงเหมือนกัน - [ 18 พ.ค. 51 11:28:14 ]

ความคิดเห็นที่ 15 --- ให้ความเห็นระวังหน่อยนะครับ --- รายย่อยในห้องนี้เยอะครับ --- เดี๋ยวเขาจะด่าเอา --- รฟท ถึงจะขาดทุนแต่อยู่ในใจคน โดยเฉพาะคนจนนะครับ --- จะให้กำไรๆๆๆๆๆ ของรัฐก็ต้องกำไรๆๆๆๆ ถามหน่อยนะครับ ถ้าโรงพยาบาลของรัฐอยากทำกำไรกันขึ้นมาบ้าง ผมว่าจะแย่กันหมด --- รัฐบาลเค้าไม่โง่หรอกครับ กิจการใดเค้าจะเอากำไร กิจการใดเค้าต้องทรงๆไว้ ถึงจะขาดทุนก็ตาม กิจการใดจะปิดไป --- เค้าดูส่วนรวมครับ จากคุณ : ติดปีก - [ 18 พ.ค. 51 11:44:02 A:125.24.42.20 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าอิจฉาทำไมไม่ซื้อหุ้นเค้าตั้งแต่แรกเข้าตลาดละ ตอนนั้นยืนอยู่ที่30ต้นๆตั้งนานตอนนี้360กว่าแล้วมั้ง ถ้าซื้อตอนนั้น ปันผลเกินทุนตั้งนานแล้ว มัวแต่กลัวหรือไม่กล้าใช่ใหมละ ซื้อตอนนี้ก็ทันนะปันผลปีละ10กว่าบาทแน่ๆ ราคาขึ้นลงตามตลาด เสี่ยงนิดหน่อย จากคุณ : เสี่ยงเหมือนการพนัน (นายเก่าคนก่อน) - [ 18 พ.ค. 51 11:58:20 ]

ความคิดเห็นที่ 17 Transfer Pricing??? แต่คนคิดเป็นมันก็ต้องคิดด้วยนะครับ ว่าทำไปแล้วได้ประโยชน์จริงรึเปล่า หึหึ จากคุณ : Dark Archon - [ 18 พ.ค. 51 12:16:27 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ความเห็นที่14 นะครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ปตท.สผ ก็คือสำรวจพลังงานครับ คือทางปตท มีความก้าวหน้าที่ออกไปสำรวจพลังงานจากต่างแดนได้แล้วเข้าไปลงทุนในพลังงานนั้นๆ จากต่างประเทศ แล้วเอากลับมาขายหรือทำกำไรต่อไปครับหรืออาจจะสำรวจพลังงานในประเทศก็ได้ครับ   หมายความว่าเรามีศักยภาพพอที่จะสำรวจเองได้ แล้ว นั่นเอง ถ้าผิดก็ขออภัยนะครับ จากคุณ : หล่อ...แต่ไม่แสดงออก - [ 18 พ.ค. 51 12:45:34 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ปตท.สผ. ปตท. สำรวจและผลิต ปิโตรเลี่ยม จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร - [ 18 พ.ค. 51 12:52:18 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ... เข้ามาดู จากคุณ : สาวกฟิวจัง (cookiecompany) - [ 18 พ.ค. 51 13:42:28 ]

ความคิดเห็นที่ 21 งั้น  ตามมาดู  คนที่เข้ามาดู อิอิ เห็นเครียด ๆ กัน จากคุณ : Chaeh - [ 18 พ.ค. 51 14:04:51 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ดีดี ราคาขึ้นมาเยอะเลย รอ 400 จะเทขายสักครึ่ง จากคุณ : puylogin - [ 18 พ.ค. 51 14:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ถูกต้องครับ ปตท.สผ. แต่เดิมเป็นแผนกๆหนึ่งของ ปตท. แล้วแยกออกมาเป็นบริษัทเอกชนตั้งแต่ปี1985 ทำธุรกิจสำรวจพื้นที่ปิโรเลียมที่มีการขายสัมปทานของประเทศต่างๆโดยรับความเสี่ยงที่ว่าถ้าสำรวจเจอแบบคุ้มค่าที่จะผลิตก็จะกำไรดีมากๆครับ แต่ความเสี่ยงที่จะไม่เจออะไรก็สูงมากๆ การเจาะหลุมแต่ละครั้งใช้เงินอย่างตำที่สุดก็เป็นล้านเหรียญสหรัฐครับ ซึ่งถ้าเจาะไปเจอทรายหรือเจาะพลาดนี่ก็บอกลาเงินได้เลย เป็นธุรกิจแบบ Up Stream คือหาปิโตรเลียมมาให้ได้แล้วส่งขายพวก down stream เลยครับ เพิ่มเติมนิด วันก่อนเข้าประชุมกับบริษัทที่ใหญ่กว่า ปตท.มาก ขนาดอันดับ2ของโลก เค้าตอบผู้ใหญ่ของไทยว่าน้ำมันสำรองของโลกมีอีกเยอะมากไม่ต้องห่วง เพี่ยงแต่คราวนี้มันเหลือแต่ที่ที่เข้าไปเอายากๆทั้งนั้นและบางทีกระจัดกระจายไม่ค่อยคุ้มที่จะผลิต แต่มีพอแน่นอนสำหรับเทคโนโลยีการสำรวจและผลิตในอนาคตครับ จากคุณ : POR_SK116 - [ 18 พ.ค. 51 14:58:48 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แล้วมีหน้ามาบอกว่าขาดทุน พวกเหลือบไลประเทศชาติ คือถ้าเงินไม่ท่วมหัวตาย คงไม่รู้จักคำว่า "พอ" จากคุณ : 2b-rich - [ 18 พ.ค. 51 15:03:28 ]

ความคิดเห็นที่ 25 บางความเห็นนี่ได้สละเวลาอันมีค่าอ่านความเห็นบนๆบ้างมั้ยครับ จากคุณ : POR_SK116 - [ 18 พ.ค. 51 15:28:28 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ก็ผิดตั้งแต่ตอนโน้นแล้วสมบัติของชาติแท้ๆ กลับต้องไปแบ่งประโยชน์ ให้คนบางกลุ่ม ตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยคืนให้สังคมอีกมากกว่านี้เยอะๆ ได้ไหม? เช่นอยากให้ติดngvใช่ไหมติดฟรีให้ไปเลยสิ ถือซะว่าเป็นการ ทำบุญได้ไหมหล่ะ เป็นต้น(นะ) คนคิดเป็นนอกเหนือจากต้องประหยัดแล้วหารายได้เพิ่มแล้วเนี่ย ( ต้องรู้จักตอบแทนสังคมด้วยถ้ามีโอกาส เป็นหูเป็นตาให้สังคมด้วย ) จากคุณ : [kv] - [ 18 พ.ค. 51 16:48:06 ]

ความคิดเห็นที่ 27 #24-26 เคยได้อ่านข้อความข้างบนหรือเปล่า จากคุณ : กลุ้ม (นายเก่าคนก่อน) - [ 18 พ.ค. 51 17:09:35 ]

ความคิดเห็นที่ 28 สำหรับบางความเห็นปิดหูปิดตากันเข้าไป  เพราะ PTT ราคาหุ้นขึ้นมากว่า 10 เท่า เลยทำให้คิดว่าเอาเปรียบชาวบ้าน  หากอุตสาหกรรมน้ำมันไม่เป็นขาขึ้น  PTT คง มีราคาไม่เกิน 100 บาทหรอกครับ  และก็คงไม่ถูกคนที่พยายามจะไม่เข้าใจอะไร ทั้งสิ้นโจมตี ยิ่งบางคนไม่เข้าใจอีก  ไม่มีใครไปปิดกั้นความเป็นเจ้าของคนหนึ่งใน PTT ของ คุณเลยแม้แต่น้อย  วันอังคารตลาดหุ้นเปิด  คุณอยากเป็นหนึ่งในเจ้าของ PTT ก็ เคาะขวาเลยครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 17:42:42 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 17:32:10 จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 17:31:03 ]

ความคิดเห็นที่ 29 PTTEP นี่เกี่ยวข้องกับก๊าซ และน้ำมัน  ราคาหุ้นเลยโตตามอุตสาหกรรม จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 17:33:14 ]

ความคิดเห็นที่ 30 TOP ไม่ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นสูงเพียงไร  แต่ค่าการกลั่นจำกัดการขึ้น   เช่น ไม่ว่าราคาน้ำมันดิบ 60 USD หรือ 120 USD ค่าการกลั่นก็อยู่ระหว่าง ติดลบถึงบวกสิบต้นๆ   ราคาหุ้นเลยเติบโตได้จำกัด จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 17:35:52 ]

ความคิดเห็นที่ 31 PTTAR คนถือขาดทุนกันอาน  คนที่หมั่นใส่ PTT ไม่เห็นเอามาเป็นประเด็น นี่หากตัวนี้เติบโตเป็นสิบเท่า  คงโดน ? จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 17:37:28 ]

ความคิดเห็นที่ 32 หนึ่งในเครือ PTT อีกบริษัท PTTCH จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 17:38:21 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ... แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 17:40:51 จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 17:39:01 ]

ความคิดเห็นที่ 34 THAI อีกตัวที่ไม่โดน จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 17:39:42 ]

ความคิดเห็นที่ 35 AOT นี่ก็ผูกขาดยิ่งกว่า PTT แต่ราคางั้นๆ เลยไม่โดน หากเพิ่มเป็นสิบเท่า คงโดน ? จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ 18 พ.ค. 51 17:41:15 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ที่เค้าหมั่นไส้ ปตท เค้าไม่ได้เอาราคามานั่งด่านะคร้าบบบ ที่เค้ามาพูด เพราะกำไรกระฉูด แต่ชาวบ้านกระอัก อย่าเข้าใจผิด "การเจริญเติมโตของอุตสาหกรรมน้ำมัน" มีอะไรบ้าง  - ปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้น???  - ราคาที่เพิ่มขึ้น (ค่าการตลาด และค่าการกลั่นก็เพิ่มตาม)??? ส่วนที่ Thai กับ Aot ไม่โดน ก็ลองชาวบ้านต้องนั่งเครื่องบิน ใช้หนามบิน ทุกวันดิ โดนด่าเหมือนกันแหละ logic ที่ท่านใช้มันแปลกๆ เอามาเทียบกันได้ยังไงครับ ไม่ลองแปรรูป การรถไฟ กับ ขสมก ดูบ้างหรอครับ อยากนั่งรถเมล์รถไฟ เจ๋งๆ ดูบ้าง หุหุ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 19:07:25 จากคุณ : Dark Archon - [ 18 พ.ค. 51 19:06:43 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณ จีเอส โมบาย จาก นีโอ ชอป จากคุณ : โปร เทเลคอม - [ 18 พ.ค. 51 20:11:28 A:58.8.188.243 X: TicketID:125458 ]

ความคิดเห็นที่ 38 วันก่อนบ่นขาดทุน 20,000 กว่าล้าน ตอนขึ้นราคาน้ำมันช้า ตอนนี้กำไรบานๆๆๆ   งง นี่แหละ พลังไทย ปล้นไทย จากคุณ : Seawind - [ 18 พ.ค. 51 20:11:43 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอดูผล บริษัท น้ำมันอื่นได้ ไหมครับ จากคุณ : ATK-Almira - [ 18 พ.ค. 51 21:30:35 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ถ้าคนไทยเรา  ให้ความสำคัญกับการอ่าน  การหาข้อมูล  การวิเคราะห์ข้อมูล   ก็คงไม่มีกระทู้แบบนี้ ซ้ำๆ อยู่ในรัชดา   คนตอบก็หาข้อมูลมาตอบ (ก็ข้อมูลเดิมๆ นั่นล่ะ)   แต่คนอ่านหลายๆ คนก็ไม่เคยอ่าน   ใช้แต่อารมณ์  และความรู้สึก  เป็นตัวตัดสิน   ตราบใดที่คนในสังคมยังใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล   สังคมนั้นๆ  ก็ยากที่จะพัฒนา  หรือเจริญรุดหน้าขึ้นไป  นอกจากนี้ก็ยังง่ายต่อการเสื่อมสลาย  เพราะว่า  เพียงแค่มีคนที่ใช้คารม  และโวหาร  เก่งๆ  ประกอบกับการใช้จิตวิทยาในเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ  ก็สามารถโน้มน้าวให้สังคมคล้อยตามไปได้   ใครพูดเก่งก็กลายเป็นคนชี้นำสังคมไป จากคุณ : sunsetbeach - [ 18 พ.ค. 51 21:36:09 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผมมีของ ESSO แต่ว่า เป็นกระทู้เก่าที่ห้องสินธรนะ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I6536509/I6536509.html ลองหากระทู้ในห้องสินธร เกี่ยวกับ ESSO ดูครับ แล้วคุณจะรู้ว่า ธุรกิจน้ำมันในไทย ไม่ได้กำไรมากมายอย่างที่คนในห้องนี้ เข้าใจ ปตท.ผิดๆ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 21:50:06 จากคุณ : P_Wut - [ 18 พ.ค. 51 21:47:29 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อันนี้งบการเงิน Q1 ของ ESSO ที่เพิ่งเข้าตลาดไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานะครับ     ถ้าการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์มันทำให้เสียผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเดิม   ไม่รู้ ESSO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทำไม ? ถ้าดูในงบ  ซึ่ง ESSO มีเฉพาะธุรกิจน้ำมัน และปิโตร  ไม่มีก๊าซ  ส่วนสำรวจและผลิตน่าจะเป็นของ EXXON ซึ่งเป็นบริษัทแม่    ก็จะเห็นได้ชัดว่า  ธุรกิจน้ำมัน  กำไรไม่เยอะครับ  แถมยังโดนปิโตรเคมี  ดึงลงไปอีกต่างหาก จากคุณ : sunsetbeach - [ 18 พ.ค. 51 21:59:23 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เค้าไม่ได้กำไรจากน้ำมันเยอะมากมายนิครับ เท่าที่ผมเคยทำ research ตอน ป.โท ปตท นี่กำไรจากกาซธรรมชาิตินะ ถ้าจำไม่ผิด งี้ ถ้าบริษัทไหนทำกำไร จะไปโทษว่าเขาทำให้คุณลำบากหมดรึป่าว ถ้าเกิดบริษัทไหนขาดทุน คุณจะสบายใจเหรอ ยกตัวอย่าง การรถไฟ บริการห่วย บริหารห่วยแตก ทำให้ประเทศชาติล้าหลัง เพราะต้นทุน logistic เราสูงมากเทียบกับเพื่อนบ้าน (ประเทศที่การคมนาคมดี โดยเฉพาะรถไฟ ต้นทุนการ logistic อยู่ที่ 7% ของ GDP ในขณะที่ไทยเราอยู่ที่ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์) ถ้าจะด่า ไปด่าพวกองค์กรห่วย ๆ อย่างการรถไฟ การท่า ดีกว่าครับ ทำให้ชาิติล้าหลังเห็น ๆ ปตท. ผมว่าเอาภาษีเข้ารัฐปีนึงเยอะแยะด้วยซ้ำ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ปตท นี่แหละพยายามดึงให้ราคาน้ำมันไม่สูงขึ้นเ็ร็วเิิกินไป โดยการเอาราคากาซที่ได้กำไรเยอะมาโปะ ชดเชยการขาดทุนน้ำมัน ถามว่าองค์กรที่คุณทำงานอยู่ หรือตัวคุณ ทำอะไรดี ๆ ให้ประเทศแค่ไหนครับ จากคุณ : Tiger Ton - [ 18 พ.ค. 51 22:00:54 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ความคิดเห็นที่เท่าไหร่ซักอย่างข้างบนพูดถูกมาก ๆ ถ้าประเทศมีคนอย่างเจ้าของกระทู้เยอะ ๆ คงจะล้าหลังแน่ ๆ ฟังแค่ ปตท กำไรเยอะ ก็ไปว่าเขาเรื่องราคาน้ำมัน ทั้งที่มันเกี่ยวกันน้อยมาก ไ่ม่ได้วิเคราะห์เลยว่ากำไรเขามากจากส่วนไหน เขาไม่ได้มีแต่กิจการปั๋มน้ำมันนะ ถ้าเค้าทำกำไรจากปั๊มจริง ปั๊มอื่นเค้าจะกระอัก กำไรน้อย หรือขาดทุนกันขนาดนั้นเหรอ เคยไปดูงบการเงินของบริษัทน้ำมันข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 22:33:39 จากคุณ : Tiger Ton - [ 18 พ.ค. 51 22:05:38 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คุณ P_Wut ตาม link เค้าไม่ได้บอกนะครับว่าธุรกิจน้ำมันกำไรไม่มาก เนื้อหาสาระอยู่ทีว่า นักลงทุนไม่ควรตั้งความหวังไว้กับหุ้น ESSO ว่าจะพุ่งเหมือน ปตท เพราะว่า ปตท คุมเกมอยู่แบบเบ็ดเสร็จ เรื่องกำไร ตัวเลขมันจะฟ้องออกมาเองครับ แต่กับ ปตท มันต้องดูทั้ง กิจการ upstream และ downstream แค่บอกว่ากำไรหน้าปั๊มมันต่ำแล้วจบ เพราะมันมีเรื่อง transfer pricing อยู่ ปล1 ผมไม่ได้มี อคติ ใดๆกับ ปตท ทั้งสิ้น บางเรื่อง ปตท โดนด่าแบบ งงๆ ผมก็ไปแก้แทน บางเรื่องที่หมกไว้ ผมก็นำเสนอข้อมูล อีกด้านหน่ะ ปล2 อย่าลืมว่าธุรกิจที่ Stock Turnover สูง ขายยังไงก็หมด พวกนี้ Margin นิ๊ดเดียวนะครับ แต่อิ่ม แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 22:27:40 จากคุณ : Dark Archon - [ 18 พ.ค. 51 22:25:45 ]

ความคิดเห็นที่ 46 จุดมุ่งหมายของบริษัทมันไม่เหมือนกันนะครับ PTT กับ ESSO น่ะ บางบริษัทควรจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือของรัฐ เทียบกับ บริษัทเอกชนเพื่อแสวงหากำไร การแปรรูปทำให้ได้เงินมาลงทุนต่อยอด แต่ทำให้จุดประสงค์ของบริษัทเปลี่ยนไป นี่คือข้อเสีย อย่างที่ผมพูดตลอด ว่า "ได้อะไร" แล้ว "เสียอะไร" ส่วน ESSO ถ้าทำแล้วมันทำให้บริษัทมีกิจการที่ดีขึ้น มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไร ที่คนทั่วไปซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับบริษัทจะได้ไปตั้งข้อสงสัยกับบริษัท จริงมั้ยครับ อีกเรื่องนึง ผมเคยเห็นกำไรเบื้องต้น ที่เรื่องว่า Margin นั่นแหละ ของบริษัทซื้อมาขาย ไปข้ามชาติ แต่ไม่บอกแล้วกันว่าธุรกิจอะไร บริษัทพวกนี้ Stock Turnover สูงมาก ซื้อมาขายไป ไม่ต้องแบกภาระ Inventory แต่มีต้นทุน บริหารจัดการ และ logistics กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 4-6% ครับ แต่ถ้า item ไหนราคาสูงขายยาก margin ก็ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 15-20% แต่บริษัทพวกนี้อิ่มหมีพีมันครับ คุ้นๆมั้ยครับ น้ำมันกลั่นมาก็ขาย ยังไงก็ขายหมด แล้วก็หมดเร็วด้วย ลองหยุดโรงกลั่นดูสิครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 18 พ.ค. 51 22:39:46 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ถ้าตามข้อมูลของคุณ Dark Archon  จะตรงกับธุรกิจการขายน้ำมัน   เพราะไม่ต้องลงทุนเรื่องโรงกลั่น   ซึ่งต้องใช้วงเงินลงทุนสูงมาก  ทำให้มีต้นทุนทางการเงินจากการลงทุนสร้างโรงกลั่น    ดังนี้น  พวกบริษัทที่ทำน้ำมันอย่างเดียว  อย่าง Shell อย่าง Esso  ก็น่าจะมี flexibility ในการทำกำไรได้ดีกว่า  เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย  กำไรก็ไม่ต้องเอามาก  ดังนั้น  ก็น่าจะสามารถกำหนดราคาได้ต่ำ  เพื่อเป็นแรงจูงใจในการขยาย volumn ของการขาย   ทำให้ได้กำไรเพิ่มไปอีก  แต่น่าแปลก   ทำไมตอนนี้ Shell กับ Esso ถึงเป็นหัวหอกในการปรับราคาขึ้น   โดยมี ปตท. กับ บางจาก  ขายราคาต่ำกว่าสองเจ้านั้นอยู่ครับ   แถม shell บางปั๊มขายเบนซิน 95 แพงกว่าปกติอีก 1 บาทด้วยซ้ำ จากคุณ : sunsetbeach - [ 18 พ.ค. 51 22:50:06 ]

ความคิดเห็นที่ 48 shell ขายโรงกลั่นไปนานแล้วครับ เหลือแต่ธุรกิจค้าปลีก ส่วนทำไมถึงเป็น หัวหอกขึ้นราคา ก็ตาม link เลยครับ หรือตาม link คุณ p_wut ก็ได้ http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V6607331/V6607331.html สรุปคือ ปตท คุมตลาดเบ็ดเสร็จ แล้วเอากำไรไปใส่ไว้ในค่าการกลั่น หรือ transfer pricing นั่นแหละ แล้วก็รอนั่งอยู่บนภูครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 51 23:23:18 จากคุณ : Dark Archon - [ 18 พ.ค. 51 23:20:02 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คุณ Dark Archon เพื่อให้ข้อมูลน่าเชื่อถือหน่อย ผมขอตั้งคำถาม แล้วให้คุณตอบดีกว่าครับ (เพราะถ้าผมตอบเองเลยตรงๆ เดี๋ยวมีคนหาว่า ผมเข้าข้าง ปตท. อีก) 1. โรงกลั่นน้ำมันปัจจุบัน กำไรกี่ % ของรายได้ 2. ถ้าลดกำไรในข้อ 1 ลงเหลือ 0 2.1 ราคา ณ โรงกลั่น จะลดลงจากกี่บาท ลงเหลือกี่บาท 2.2 ราคาขายหน้าปั๊ม จะลดลงจากกี่บาท ลงเหลือกี่บาท (โดยกำหนดเงินภาษีสรรพสามิต เงินเข้ากองทุน เท่าเดิม ส่วน VAT 7% ให้คำนวณตามราคาขายที่ลดลง) 3. กำไรจากก๊าซธรรมชาติของ ปตท. คิดเป็นกี่ % ของรายได้ 4. ถ้าลดกำไรในข้อ 3 ลงเหลือ 0 ราคาค่าไฟตามบ้าน จะลดลงกี่ % รบกวนด้วยครับ จากคุณ : P_Wut - [ 18 พ.ค. 51 23:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 50 งั้นผมตอบคร่าว ตามแต่ข้อมูลที่ผมมีแล้วกันครับ 1 เริ่มจากกำไรเบื้องต้นจาก Margin ของโรงกลั่น  หรือ ค่าการกลั่นเฉลี่ยตอนนี้ น่าจะประมาณ 11.5% ที่ 3.09 บาท  โรงกลั่นไม่ได้ตัวนี้ไปเต็มๆแน่เพราะค่าการตลาดติดลบ เวลาขายกับ  บริษัทค้าปลีกมันก็ต้องให้ส่วนลดไป  ต่อไปก็เอาเป็น TOP แล้วกัน  หักต้นทุนการกลั่นกับค่าการจัดการมันก็ก็กลายเป็น ณ Q1/2008  EBIT = 5.72% ของรายได้ ถ้าเทียบกับ บริษัทค้าปลีกที่ผมยกตัวอย่างไป ถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูงพอตัวนะครับ (ปีที่แล้วนี่ระดับเกิน 7% ปีนี้ Q1 ลดลงมา) 2 ถ้าลดเอา EBIT มาคิดหักออกไปจากราคาหน้าโรงกลั่นก็ลดไปได้   1.5 บาท แต่คงไม่มีใครใจร้ายให้ลดไปทั้งบาทเลยจริงมั้ยครับ   (ราคานี้ ปตทก็ยังมีกำไร เพราะผมเชื่อว่าให้ส่วนลดไปแล้ว   ไม่งั้นราคาหน้างบปตท มันต้องขาดทุนจากธุรกิจค้าปลีกน้ำมันครับ)   ส่วนถ้าหักของ ปตท ไปอีกจะเหลือเท่าไหร่ อันนี้จนปัญญา   อ้อ ราคานี้ภาษี กองทุนทุกอย่างคงเดิมครับ 3กับ4 ผมไม่แน่ใจไม่มีตัวเลขครับ ตาม#3 ก็ไม่มั่นใจ เพราะไม่มีแหล่งที่มา   แต่ที่ผมรู้คือ ตอนกฟผ จะ IPO นี่ ปรับค่า FT ขึ้นกันรายเดือน   เผลอๆบางที รายอาทิตย์  แล้วผมขอถามว่า หลังจากหุ้นโดนริบคืน เคยได้ยินว่าปรับค่า FT ขึ้นกี่ครั้ง  ครับ แล้วปรับลดลงมากี่ครั้ง??? แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 00:33:37 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 00:31:04 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 00:30:29 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 00:25:38 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 00:24:53 จากคุณ : Dark Archon - [ วันวิสาขบูชา 00:23:58 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ถ้า ปตท. มีแค่ขายน้ำมันหน้าปั๊ม แบบ เจ็ท  ก็คงลงไปในรูปเดียวกันคือ เจ้งและเจ้ง คุณเห็นปั๊มยอดนิยม เจ๊ท ไหมคนแน่นตลอด แต่เจ้ง10ปีต่อเนื่อง แต่ทำไม ปตท. ได้กำไร มากเพราะเค้าทำธุรกิจ หลายหน้าแต่ไอ้หน้าที่กำไรมาก ไม่ได้อยู่ที่น้ำมัน แล้วลองอ่านว่าเงินลงทุนค้าน้ำมัน (เฉพาะน้ำมันนะ) ว่าลงทุนมหาศาลแค่ไหนแล้วกำไร จุดจู๋ขนาดนี้ มันน่าลงทุนแล้วมาให้พวกที่ไม่ยอมอ่านข้อความข้างบนด่าตลอด ผมเข้าใจว่า เวลาน้ำมันขึ้นราคา อารมณ์มันไม่ดี ก็เข้าใจความถูกต้องมันก็ต้องเข้าใจด้วยนะ จากคุณ : ศึกษาก่อนดีมะ (นายเก่าคนก่อน) - [ วันวิสาขบูชา 06:42:47 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ผมลงยอดขายเพิ่มให้อีกล่ะกันครับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 09:33:50 จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ วันวิสาขบูชา 07:39:47 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เปรียบเที่ยบกับรูปนี้อีกครั้ง จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ วันวิสาขบูชา 07:40:57 ]

ความคิดเห็นที่ 54 กำไรสุทธิ (Net profit) ของธุรกิจโรงกลั่น (บางแห่งรวมกำไรจากธุรกิจอื่นด้วย) ซึ่ง PTT ไม่ได้มีส่วนร่วมในกำไรสุทธินี้แบบ 100 %  ซึ่งขึ้นอยู่กับสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทนั้นๆ จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ วันวิสาขบูชา 07:44:14 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ที่ว่า  ปตท.  ซ่อนกำไรไว้ในธุรกิจโรงกลั่น    ลองดูคำอธิบายงบการเงินของ Thai Oil ใน Q1 ดูนะครับ หมายเหตุ (1) ในไตรมาส 1/50 ปรับปรุงผลกระทบจากการเปลี่ยนนโยบายบัญชีการบันทึกบัญชีสินทรัพย์ถาวร และ การบันทึกบัญชีเครื่องมือทาง    การเงินที่เป็นตราสารอนุพันธ์ (2) ในไตรมาส 1/51 บริษัทฯ คำนวณการใช้กำลังการกลั่น (%) จากกำลังการกลั่นน้ำมัน 275,000 บาร์เรลต่อวันหลังจากขยายกำลังการ    กลั่นของ CDU-3 ในไตรมาส 1/50 คำนวณจากกำลังการกลั่นเดิมที่ 225,000 บาร์เรลต่อวัน         ในไตรมาส 1/51 บริษัทฯมีอัตราการใช้กำลังการกลั่นที่ร้อยละ 100 (กำลังการกลั่น 275,000 บาร์เรล ต่อวัน) ทำให้บริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน 98,828 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจำนวน 36,236 ล้านบาทจากไตรมาส เดียวกันของปีก่อน ถึงแม้ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยและราคาน้ำมันดิบในไตรมาสนี้จะปรับตัว สูงขึ้น แต่จากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นซึ่งส่วนมากเป็นผลของค่าระวางเรือ (Freight) ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ ปลายปี 2550 จากภาวะตลาดเรือขนส่งที่ตึงตัว ทำให้ GRM ในไตรมาส 1/51 อยู่ที่ 6.8 เหรียญสหรัฐฯต่อ บาร์เรลลดลง 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลจากไตรมาส 1/50 มี EBITDA จำนวน 4,649 ล้านบาทลดลง 825 ล้านบาทจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้จากค่าของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้มีกำไรจากอัตรา แลกเปลี่ยนจำนวน 885 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจำนวน 111 ล้านบาทจากไตรมาส 1/50 บริษัทฯได้รับเงินปันผลจาก TP ในไตรมาสนี้จำนวน 155 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทฯมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/51 จำนวน 3,365 ล้านบาท ลดลงจำนวน 461 ล้านบาทจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากคุณ : sunsetbeach - [ วันวิสาขบูชา 07:47:54 ]

ความคิดเห็นที่ 56 สัดส่วนการถือหุ้นของ PTT SPRC ที่ว่า PTT เป็นเจ้าของทั้งหมด  จริงๆ แล้ว PTT ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 36 % ตัวนี้ถ้าจำไม่ผิด  จะถูกนำเข้ามาตลาดต่อจาก ESSO แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 07:51:25 จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ วันวิสาขบูชา 07:50:08 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ข้อมูลใน คห. 55 ของ TOP เฉพาะส่วนโรงกลั่นอย่างเดียว  เนื่องจาก TOP เองก็มีบริษัทย่อยที่ทำเรื่องพาราไซลีน น้ำมันเครื่อง  การขนส่งน้ำมัน  แล้วก็ผลิตไฟฟ้าด้วย   งบการเงินรวมจะเป็นยอด 3874  ตาม คห. 54 ของคุณจีเอส โมบาย แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 07:53:55 จากคุณ : sunsetbeach - [ วันวิสาขบูชา 07:53:27 ]

ความคิดเห็นที่ 58 อยากให้นำมันลิตละ 100 - 200 บาทเร็ว ๆ จัง ประเทศไทยเราจะได้ร่ำรวย ๆ จากคุณ : เจ้าชายไร้บัลลังก์ - [ วันวิสาขบูชา 09:39:01 A:202.57.188.3 X: TicketID:135604 ]

ความคิดเห็นที่ 59 จะตั้งกระทู้ก็ไม่หัดหาข้อมูลก่อนนะ แต่้ถ้าไม่รู้จริงๆก็ไม่ว่ากันคับ แต่เมื่อรู้แล้วก็ช่วยกันบอกต่อๆกันด้วยนะคับ คนจะไ้ด้ไม่เข้าใจผิดอีก จากคุณ : Changeless - [ วันวิสาขบูชา 10:41:58 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เพิ่มเติมข้อมูลอีกนิด จากที่ตามข่าวมาในช่วงหลายปี  บรรษัทน้ำมันข้ามชาติหลายแห่ง  มีนโยบาย หยุดการลงทุนเพิ่มในธุรกิจน้ำมันในประเทศไทย  ดังนั้นต่อไป  ภาระการจัด หาพลังงานมาตอบสนองความต้องที่เพิ่มขึ้นในอนาคตของคนในชาติ   (รวมถึงคนที่เห็นแก่ตัวอยากได้ของถูก  อยากได้ของฟรี  และใช้แบบสิ้น เปลือง  หรือแบบไม่รู้คุณค่า) เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลน  จึงตกอยู่ที่กลุ่ม บริษัทในเครือ PTT  ฉะนั้นหาก PTT อ่อนแอ่ ก็จะมีผลต่อความมั่นคงด้าน พลังงานของไทย   คนคิดเป็น  ---> มองผลระยะยาว  และคำนึงถึงส่วนรวมก่อนความสบายส่วนตัว คนอีกแบบ  ---> มองผลระยะสั้น  โดยเอาความต้องการของตัวเองเป็นหลัก แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 11:45:59 จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ วันวิสาขบูชา 11:45:12 ]

ความคิดเห็นที่ 61 #52, 53, 54 ถึงบอกไงครับว่าเค้าโยกกำไรจากขายปลีกไปที่โรงกลั่น ดูจากค้าการตลาดและค่าการกลั่นก็รู้แล้ว ถ้ากำหนดค่าการตลาดและค่าการกลั่นไว้แบบนี้ ปตท ยังกำไรจากธุรกิจ น้ำมันอีกก็ผีหลอกแล้วครับ #56 ไม่แน่ใจหมายถึง Shell รึเปล่า อันนั้น Rayong นะครับ ไม่ใช่ Star เด๋วมาต่อ #55 กับ #57 จากคุณ : Dark Archon - [ วันวิสาขบูชา 11:53:48 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คุณ Dark Archon ช่วยวิเคราะห์ดูหน่อยได้มั๊ยครับ  ทำไมถึงคิดว่าเค้าโยกกำไรจากการขายปลีกไว้ที่โรงกลั่น    ลองวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุน  และก็การลงทุนในการสร้างโรงกลั่นให้หน่อยได้มั๊ยครับ   โรงกลั่นควรจะมีโครสร้างรายได้เท่าไร   ถึงจะอยู่ได้   โดยกำไรไม่ต่ำเกินไป  และไม่สูงเกินไป จากคุณ : sunsetbeach - [ วันวิสาขบูชา 12:56:37 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ วันวิสาขบูชา 13:17:50 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ทำไมถึงบอกว่าโยกกำไรไปไว้ที่โรงกลั่น Margin (Average) - 16 May 2008 Avg Marketing Margin -0.7935 Baht/Litre Avg Gross Refinery Margin 3.0935 Baht/Litre นี่ไงครับตัวเลขมันฟ้อง แต่ก่อนค่าการตลาดกับค่าการกลั่นมันพอๆกัน แต่ตอนนี้ค่าการตลาดมันติดลบ ในขณะที่ % ค่าการกลั่นมันสูงขึ้นนะครับ คือมีการโยกเงินจากที่นึงไปอีกที่นึง จาก #55 และ #57 สิ่งที่ผมแปลได้จากข้อมูลก่อให้เกิดความสับสนกับ ผมเล็กน้อย เพราะมีหลายคนในนี้บอกว่า ค่าการกลั่นคือ ผลต่าง ของราคาน้ำมันสำเร็จรูป เมื่อเทียบกับน้ำมันดิบ แต่จาก #55 นั้น มันมีการหักค่าขนส่งและต้นทุนการผลิตออกไปแล้ว อืมมม น่าคิด ว่ามันจะมีอะไรหมกไว้อีกรึเปล่า ส่วนเรื่องโครงสร้างต้นทุน ของโรงกลั่น ขอบอกไว้ก่อนว่า ถ้าส่วนแบ่งในขณะนี้ผมไม่คิดว่ามันแพงไปหรอก แต่ถ้าพูดถึงปีที่แล้ว ผมว่ามันแพงไปครับ ซึ่งการบิดเบือนตัวเลขตัวนี้ทำให้บริษัทน้ำมัน โวยวายว่าขาดทุน แต่กำลังอิ่มอยู่หลังบ้าน ... ดูจากตัวเลขผลประกอบการ ปีที่แล้วทั้งปี กับปีนี้สิครับ ส่วนโครงสร้างราคา  - วัตถุดิบ ก็น้ำมันดิบ (แต่อันนี้มันไม่รวมอยู่ในค่าการกลั่น)  - ค่าระวางเรือ (แต่จาก #55 บอกว่าไม่รวมอยู่ใน GRM นะครับ) ดังนั้นพวกที่จะนำมาคิดเป็นต้นทุนที่หักออกจากค่าการกลั่นก็น่าจะมี  - ค่าการจัดการ เงินเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ  - เชื้อเพลิงที่ใช้ในการกลั่น  - โรงกลั่น แต่ไม่ได้หมายถึงการลงทุนทั้งก้อนครับ พวกนี้ถูกหักออกโดย การคิดค่าเสื่อมราคาของโรงกลั่น เช่น สร้างโรงกลั่น 50,000 ล้าน depre 20 ปี ก็ตกปีละ 2,500 ล้าน นี่คืนส่วนที่หักออกจากค่าการกลั่น  - ค่า maintenance โรงกลั่น ถ้า maintenance อย่างเดียวก็เป็น expense ไป แต่ถ้ามันทำให้กำลังผลิตมันมากขึ้น มันก็ต้อง book capitalize แล้วไปคิดเป็นค่าเสื่อมราคานะคร้าบ  - ดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดจากการกู้ยืมมาสร้างโรงกลั่น แล้วกำไรจริงๆควรจะเป็นเท่าไหร่ ผมก็ยกตัวเลขเปรียบเทียบกิจการ ที่ "ค่อนข้าง" จะมีลักษณะเดียวกันไว้แล้วว่า 4-6% ไงครับ ถ้าตอนนี้ ประมาณ 4% ผมว่าก็โอเค แต่ปีก่อนมันพุ่งไป 7% กว่าๆครับ จากคุณ : Dark Archon - [ วันวิสาขบูชา 13:28:37 ]

ความคิดเห็นที่ 65 แล้วค่า investment return ล่ะครับ   การสร้างโรงกลั่น  กับทำธุรกิจซื้อมาขายไป  cost of capital ไม่เท่ากันนะครับ     แถมในช่วงปี 40-45  โรงกลั่นเจอภาวะขาดทุนไปพอควร  (ที่ต้องขายหุ้นโรงกลั่นให้ ปตท. กันนั่นล่ะ)    ธุรกิจควรจะมีผลตอบแทนจากการลงทุนสร้างโรงกลั่นเท่าไรครับ  เมื่อโรงกลั่นปัจจุบันหมดอายุการใช้งาน   ถึงจะมีคนอยากลงทุนสร้างโรงกลั่นใหม่ จากคุณ : sunsetbeach - [ วันวิสาขบูชา 13:45:51 ]

ความคิดเห็นที่ 66 "โรงกลั่น แต่ไม่ได้หมายถึงการลงทุนทั้งก้อนครับ พวกนี้ถูกหักออกโดย การคิดค่าเสื่อมราคาของโรงกลั่น เช่น สร้างโรงกลั่น 50,000 ล้าน depre 20 ปี ก็ตกปีละ 2,500 ล้าน นี่คืนส่วนที่หักออกจากค่าการกลั่น" นี่ไงครับ ตัวเลขตรงนี้เป็นตัวเลขทางบัญชีหรือไม่? ถ้าใช่เงินสดตรงนี้คือ เงินที่เอาไปจ่ายหนี้เงินกู้เพื่อสร้างโรงกลั่นไงครับ EBITDA กับเท่าไหร่ หักค่าเสื่อมลงไป ก็กลายเป็น EBIT ถูกมั้ยครับ แต่จริงๆมันไม่ได้มีรายจ่ายอะไร ก็อยู่ในรูปของสินทรัพย์หรือเงินสด ถ้าเป็นเงินสดตรงนี้ก็เอาไปจ่ายหนี้เงินกู้สร้างโรงกลั่นครับ ก็ถ้าตัวเลขสมมุติก็เจ้า 2,500 ล้านอันนั้นไงครับ ปล ผมไม่ใช่นักบัญชีครับ ถ้าเข้าใจผิด รบกวนแก้ไขให้ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 14:36:51 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 14:35:36 จากคุณ : Dark Archon - [ วันวิสาขบูชา 14:23:57 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ส่วนเรื่องเทียบกับธุรกิจซื้อมาขายไป ถูกครับ แต่ผมเทียบ% กำไร ให้ไม่เท่ากันนะครับ ที่ผมยก 4-6% ของซื้อมาขายไป นั่นคือ Margin ยังไม่หัก Cost นะครับ ส่วน 4-6% ของโรงกลั่นที่ผมพูดถึงคือกำไรสุทธิครับ จากคุณ : Dark Archon - [ วันวิสาขบูชา 14:26:43 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ส่วนเรื่องกำไรเท่าไหร่ ถึงอยากจะมีคนลงทุน ผมยก case นี้แล้วกันครับ สมมุติผมเป็นเต็นท์รถมือสอง ขาย Vios ราคา 500,000 ขาย Alfa ราคา 500,000 เท่ากัน ถ้า Vios ผมขายได้เดือนละ 10 คัน ผมรับเข้ามา 450,000 กำไร 10กว่า% ก็ได้น้ำได้เนื้อใช่มั้ยครับ ส่วน Alfa 3 เดือนยังไม่รู้จะขายได้รึเปล่า ให้รับ 400,000 ผมยังไม่อยาก รับเลย ว่ากันที่ 350-380 จะดีกว่า แล้วถ้าเกิดว่า Vios มันขายดีสุดๆ ขายได้วันละ 10 คัน มีคนมาต่อแถว ลงชื่อทำสัญญาซื้อกับคุณถึงสิ้นปี ล่ะครับ คุณว่ารับเข้าที่ 475,000 กำไรที่ 5% ได้มั้ย น้ำมันนะครับ คุณไม่ใช้ได้รึเปล่า กำลังการผลิต ผมเห็นแวบๆที่หมายเหตุ ของ TOP ว่า 100% นะครับ ผลิตยังไงก็ขายหมด แถมเร็วด้วย ดังนั้นผมว่าการตั้งราคา มันไม่ได้ดูที่ % กำไรหรือ margin เงินลงทุน อย่างเดียวนะครับ มันดูหลายๆอย่างประกอบ เช่นคุณลักษณะของสินค้าด้วย แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 14:39:15 จากคุณ : Dark Archon - [ วันวิสาขบูชา 14:33:22 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ปล ที่พูดนี่ไม่ใช่ผมเข้ามาเรียกร้องให้ ลดราคาน้ำมันนะคร้าบบ ไม่เคยคิดงอมืองอเท้ารอ ความช่วยเหลือ เพราะปกติก็ไม่เห็นจะเคยได้อยู่แล้ว หลายๆทู้ผมเชียร์ให้มันลิตรละ 100 เร็วๆ เบื่อรถติดจะแย่ หุหุ ปีที่แล้ว ปิดเทอมไม่ขึ้นทางด่วน 40 นาทีถึง office ปีนี้ขึ้นทางด่วน 1 ชั่วโมงยังไม่ถึง office เลย แต่เห็นว่ามีแต่คนมาด่า ปตท แต่ไม่เห็นมีคนให้เหตุผล พอมีคนเอาข้อมูลมาเปิด ก็เงียบกริบ เลยไม่อยากให้เป็นข้อมูลด้านเดียวครับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 14:50:14 จากคุณ : Dark Archon - [ วันวิสาขบูชา 14:49:02 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ผมช๊อบ.....ชอบ อ่านแล้วประเทืองปัญญา แถมบทสรุปยังยอดเยี่ยม ยกเหตุและผล ข้อขัดแย้ง ข้อท้วงติง สุดท้ายคือเข้าใจและรับได้ไม่ค้างคาทุกฝ่าย สังคมเราคงสงบสุข อยู่กันได้แบบไม่หวาดระแวง อคติ และมีสำนึกรับผิดชอบร่วมกัน จากคุณ : weeras - [ วันวิสาขบูชา 16:09:26 ]

ความคิดเห็นที่ 71 "โรงกลั่น แต่ไม่ได้หมายถึงการลงทุนทั้งก้อนครับ พวกนี้ถูกหักออกโดย การคิดค่าเสื่อมราคาของโรงกลั่น เช่น สร้างโรงกลั่น 50,000 ล้าน depre 20 ปี ก็ตกปีละ 2,500 ล้าน นี่คืนส่วนที่หักออกจากค่าการกลั่น" ยังไม่ถูกต้องซะทีเดียวครับ ธุรกิจที่ต้องนำเงินไปลงทุนก่อน   เช่น  การสร้างโรงกลั่นนั้น   คุณจะต้องนำเงินไปใช้ทั้งก้อน  ณ วันที่ธุรกิจเริ่มดำเนินการ   เช่น  50,000 ล้าน ตามที่คุณว่า  (ตอนนี้ไม่น่าจะพอแล้วนะสำหรับการสร้างโรงกลั่น)   เงินก้อนนี้  ก็มีต้นทุน   อย่างน้อยสุด  ถ้าเป็นเงินในส่วน Equity หรือทุนที่ไม่ได้กู้มา  ต้นทุนก็เท่ากับดอกเบี้ยเงินฝาก    เพราะถ้าไม่เอาไปทำอะไร  อย่างน้อยก็ได้ return กลับมาแล้วเท่ากับดอกเบี้ย   (ฝากระยะยาว  วงเงินสูงๆ  นี่ดอกเบี้ยไม่น้อยเลยนะครับ)    แล้วยิ่งถ้าไปกู้มา   ก็มีต้นทุนเท่ากับดอกเบี้ยเงินกู้อีก   แต่ในขณะที่ธุรกิจซื้อมาขายไป   คุณใช้วงเงินน้อยกว่านั้น   อาจะแค่ 4000 ล้าน  ต่อการซื้อสินค้าเข้ามาหนึ่งครั้ง  ถ้าคุณใช้เวลาในการขายรอบละ 1 เดือน   คุณขาย 12 เดือนก็ได้ใช้วงเงิน 50000 ล้านเหมือนกัน    แต่เม็ดเงินที่ใช้ในแต่ละครั้ง  แค่ 4000 ล้านเอง   ค่าดอกเบี้ยมันน้อยกว่ากันเยอะครับ   ตรงนี้คือ cost of capital  คือเงินทุนที่คุณนำมาใช้ในการดำเนินกิจการ   ซึ่งธุรกิจซื้อมาขายไป  จะมีวงเงินลงทุนน้อยกว่า  ส่วนเรื่องการตัด depreciation เป็นหลักการทางบัญชี  เพื่อให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการลงทุนสินทรัพย์ถาวร  มาทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่าย  อันเนื่องมาจากการเสื่อมราคา หรือมูลค่าของสินทรัพย์นั้นตามระยะเวลา หรือการใช้งาน     ซึ่งตามหลักการบัญชี   สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน    เมื่อมีการด้อยค่าของสินทรัพย์  ก็นำค่าเสื่อมราคามาตัดเป็นค่าใช้จ่าย  ซึ่งจะไปกระทบในส่วนของทุนครับ      กลับมาในเรื่องการวิเคราะห์การลงทุน   ถ้ากิจการต้องใช้งบลงทุนสูงมากๆ ในปีแรกๆ   ก็ย่อมต้องการ return ในปีถัดๆ ไปสูงกว่า  กิจการที่ใช้งบลงทุนน้อยกว่า   ตามหลักของ  Net present value  (NPV) เมื่อคิดที่ Invest ment return rate (IRR)  ที่เท่าๆ กัน   ยิ่งตัว IRR ที่สูง  ซึ่งกิจการขนาดใหญ่ๆ มีความเสี่ยงเยอะ  ก็ย่อมต้องการ IRR ที่สูงตามไปด้วย  ตามหลัก  High risk high return  มิฉะนั้น  เอาเงินไปฝากแบงค์  หรือซื้อพวกหุ้นกู้  หรือพวกตราสารทางการเงินอื่นๆ  ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าดีกว่าครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ วันวิสาขบูชา 17:05:14 ]

ความคิดเห็นที่ 72 สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน เมื่อมีการตัดค่าเสื่อมของโรงกลั่น มันต้องมีผลต่ออีกด้านของ balance sheet ซึ่งก็คือหนี้สิน หรือไม่ก็ ทุน ถูกมั้ยครับ เช่นโรงกลั่นมีการบริหารทำ ให้เกิดกำไรที่สามารถ cover ค่าเสื่อมราคาได้ ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารหนี้ว่า จะเอาเงินไปจ่ายหนี้ ตัวเลขส่วนหนี้สินก็จะลดลงตามถูกมั้ยครับ หรือถ้าแผนการจัดการหนี้บอกว่ายังไม่ต้องจ่าย มันก็จะไปอยู่ส่วนของทุน หรือที่เป็นกำไรสะสม ถูกมั้ยครับ หรือไม่ก็เอาไปลงทุนเพิ่ม ดังนั้นถ้าการบริหารโรงกลั่นมันทำให้ออกมามีกำไรสุทธิ หลังจากมีการหัก ค่า depreciation ออกไปแล้ว อีกกว่า 4% ของ "รายรับ" ที่ไม่ใช่ "เงินลงทุน" ก็ไม่ถือว่าน้อยรึเปล่าครับ ส่วนเรื่อง cost of investment เอาล่ะ ตอนนี้เรากำลังเทียบ กำไรเบื้องต้น หรือจะเป็นกำไรสุทธิ ต่อ "รายรับ" ตัวเลขมันเลย ออกมาตั้งแต่ 4-11% ถ้าเทียบกับทุน ผมไม่แน่ใจว่าปกติ เค้าเทียบกับอะไรครับ กรุณาชี้แนะด้วย แต่ถ้าเทียบกับเงินลงทุน มูลค่าหุ้นของ Top ที่เรียกชำระแล้ว = 20,000 ล้าน กำไรสุทธิไตรมาส เดียว = 3,873.96 ล้าน 4 ไตรมาส ก็ประมาณ 15,000 ล้าน โอมั้ยครับ แต่เอาตัวนี้มาเทียบมันก็แปลกๆอยู่ แต่เห็นบอกว่าให้เทียบกับเงินลงทุน หรือจะเทียบกับหนี้สิน 72,151.36 ล้าน มันก็ยังหรูหราอยู่ รึเปล่าครับ หรือเอาไปเทียบกับ หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด ที่ 148,408.72 กำไรสุทธิ หลังหักภาษีแล้ว ที่ 10% นี่น่าจะใช้ได้ทีเดียว อย่างที่บอกคือ Turn over มันสูงมาก ตัวเลขมันเลยออกมาเป็นเช่นนี้ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 18:33:25 จากคุณ : Dark Archon - [ วันวิสาขบูชา 18:29:29 ]

ความคิดเห็นที่ 73 อืม กระทู้นี้ ค่อยยังชั่ว เอาข้อมูลมาดูกัน พูดกันมีเหตุมีผล   ดีกว่ากระทู้ก่อนๆ  หลับหู หลับตา ด่าอย่างเดียว ผมชอบคำนี้ของคุณ จีเอส โมบาย คนคิดเป็น  ---> มองผลระยะยาว  และคำนึงถึงส่วนรวมก่อนความสบายส่วนตัว คนอีกแบบ  ---> มองผลระยะสั้น  โดยเอาความต้องการของตัวเองเป็นหลัก   ขอเติมอีกนิด   คนอีกแบบ  ---> มองผลระยะสั้น  โดยเอาความต้องการของตัวเองเป็นหลัก  และจ้องจะผลาญพลังงานให้มันหมดสิ้นไปในชั่วอายุของตนเอง จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ วันวิสาขบูชา 19:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ผมทำตารางเปรียบเทียบให้ดูอีกชุดระหว่างไตรมาส 1 ปี 2551 กับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นมาก  แต่โรงกลั่นใหญ่ๆ กลับกำไรสุทธิลดลง   สำหรับ BCP หรือบางจากที่กำไรเพิ่มขึ้นนั้น จริงๆ แล้วผลการดำเนินงานปกติขาดทุน 300 บาท  ที่กำไรเกิดจากรายการพิเศษ  ซึ่งในไตรมาสนี้บางจากมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 810 ล้านบาท  กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 285 ล้านบาท  และกำไรจากการทำประกันความเสี่ยงอีก 57 ล้านบาท TOP ในปีนี้มีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นอีก 50,000 บาร์เรลต่อวัน  จากเดิม (ปีก่อน) 220,000 บาร์เรล  เป็น 270,000 บาร์เรลต่อวัน  แต่กำไรสุทธิกลับลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจาก GRM เฉลี่ยปีนี้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน  1.5 USD/barrel ตรงนี้เป็นการลบความเชื่อที่ว่า  โรงกลั่นสามารถกำหนด GRM เองได้  หรือตั้งราคาขายได้เองตาม #68 นั้น  ไม่เป็นความจริง  น้ำมันเป็นCommodity การขายสูงกว่า หรือต่ำกว่าราคาตลาดไม่ได้เป็นผลดีต่อบริษัทเลยแม้แต่น้อย ในครึ่งปีหลังคาดว่าค่าการกลั่นจะตกต่ำกว่าครึ่งปีแรก (อย่าเอาค่าการกลั่นไปปนเปกับราคาขายน้ำมันนะครับ  ค่าการกลั่นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกับราคาขายน้ำมัน)  เนื่องจากโรงกลั่นขนาดใหญ่ของจีน  และอินเดียจะเริ่มเดินเครื่อง สรุป  เป็นว่าราคาขายน้ำมันเพิ่มขึ้น  ไม่จำเป็นว่าโรงกลั่นจะต้องกำไรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย  และโรงกลั่นไม่สามารถกำหนด GRM ได้เอง  แต่ขึ้นอยู่กับตลาด ปล. ที่จริงจะพูดเรื่อง  ว่าทำไมจึงบังคับโรงกลั่นให้ได้รับค่าการกลั่นแบบคงที่ไม่ได้  หรือหากทำได้  แต่ก็ต้องให้เงินอุดหนุน  พอดีเห็นว่ายาวมากแล้วขี้เกียจพิมพ์ต่อแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 21:08:50 จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ วันวิสาขบูชา 21:07:38 ]

ความคิดเห็นที่ 75 สำหรับคนที่บ่นเรื่องน้ำมันแพง  ผมว่าคุณควรจะไปด่า OPEC กับกองทุนอีแร้ง  ที่ปั่นราคาน้ำมันจนสูงเกินจริง  แทนที่จะไปด่า PTT นะครับ ยิ่งตอนนี้พวก Investment banking ของมะกันขาดทุนจาก Sup-prime ไปเยอะ  เลยต้องมาหาชดเชยจากการปั่นสินค้าโภคภัณฑ์แทน  ยิ่งทำให้ชาวโลกเดือนร้อนหนังเข้าไปอีก  แต่ไม่เห็นคนไทยบ่นดังๆ ให้ได้ยินเลยครับ จากคุณ : จีเอส โมบาย - [ วันวิสาขบูชา 21:17:17 ]

ความคิดเห็นที่ 76 #74 เห็นด้วยในส่วนที่กำไรปีนี้ลดลง เพราะค่าการกลั่นมันลดลงครับ แล้วสำหรับ Q1 ก็ไม่ได้คิดว่ามันเยอะไปดังที่บอกไว้ใน #64 แต่ไม่เห็นด้วยในส่วนที่บอกว่ากำหนด GRM ไม่ได้ เพราะมันจะนำไป สู่คำถามที่ว่าทำไมต้องตั้งราคาอิงกับ สิงคโปร์ ซึ่งถกเถียงยังไง มันก็ไม่สะเด็ดน้ำซักที ถ้าสรุปสุดท้ายว่าไม่จำเป็นต้องตั้งราคาอิงกับสิงคโปร์ #68 จะเป็นจริงนะครับ ส่วน #75 เห็นด้วยครับ ดังเช่น http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V6617406/V6617406.html แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 22:15:27 จากคุณ : Dark Archon - [ วันวิสาขบูชา 22:09:57 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ถามคุณ Dark Archon ต่อนะครับ รัฐกำหนดนโยบายการตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูป ณ โรงกลั่นในไทย (ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น ซึ่งยังไม่รวมภาษีสรรพสามิต เงินเข้ากองทุน 2 กอง และ VAT รอบแรก) = ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดจรสิงคโปร์ + ค่าขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย http://www.eppo.go.th/petro/ThaiOilPrices.html ผมเห็นว่า เป็นการกำหนดราคาลอยตัวตามตลาดโลกที่เหมาะสม เพราะมันเป็นจุดสมดุลระหว่างเรื่องหลายๆ เรื่อง - ถ้ากำลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ นักลงทุน/ผู้ประกอบกิจการ เค้าจะไปคิดสะระตะเองว่า ลงทุนขยายโรงกลั่นที่สิงคโปร์แล้วส่งน้ำมันเข้ามาขายในไทย กับลงทุนในไทย ขายในไทย อันไหนคุ้มค่ากว่ากัน - ถ้ากำลังการผลิตเกินความต้องการ ต้องส่งออกบางส่วน ก็คงส่งออกไปขายที่สิงคโปร์ ราคาตลาดจรสิงคโปร์ก็จะลดลง และมีผลให้ราคาหน้าโรงกลั่นของเราลดลงด้วยเช่นกัน และในท้ายที่สุด แต่ละโรงกลั่นในสิงคโปร์กับไทย จะหาปริมาณการผลิตที่เหมาะสม สมดุลระหว่าง ราคาต้นทุนวัตถุดิบ ราคาผลิตภัณฑ์ (Optimum) - เปิดเสรีทางการค้า ผู้ค้าน้ำมันในไทย (ที่ไม่ได้มีเอี่ยวในโรงกลั่นน้ำมันในไทย) มีเสรีที่จะซื้อน้ำมันที่ผลิตในไทย - ขายในไทย หรือซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์ มาขายในไทย ซึ่งจะเลือกอันไหนก็แล้วแต่ เงื่อนไขในแต่ละสถานการณ์  การค้าขายน้ำมันสำเร็จรูป ไม่ได้ถูกผูกขาดเฉพาะรายที่มีโรงกลั่นในไทยเท่านั้น (ไม่ว่าจะเจ้าของทั้งหมด หรือแค่ถือหุ้นอยู่ก็ตาม) และ "ค่าการกลั่น" มันก็มีที่มาจากตรงนี้แหละครับ  เพราะมันคือส่วนต่างระหว่าง ราคาน้ำมันดิบ กับ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปครับ อยากทราบความเห็นคุณ Dark Archon ครับ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 51 00:29:41 จากคุณ : P_Wut - [ 20 พ.ค. 51 00:26:59 ]

ความคิดเห็นที่ 78 สำหรับผมนะ คำว่าการค้าเสรี ที่เสรีจริงๆ ปลอดจากการแทรกแซงใดๆ ไม่มีในโลกครับ รัฐบาลแต่ละประเทศ จะมีกลไกในการควบคุมไม่ว่าจะ อย่างใดอย่างนึง ไม่ว่าจะโดยทางอ้อม โดยทางตรง หรือโดยทางตรง ที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ยกตัวอย่างแล้วกัน สินค้าเกษตรครับ มี FTA ถูกมั้ยครับ แทรกแซงโดยอ้อมก็คือ รัฐส่งเสริมประสิทธิภาพในการผลิตของเกษตรกร แทรกแซงเล็กๆน้อยๆ ก็เช่นการประกันราคา หรือ การรับจำนำ แทรกแซงแบบหนักๆ ก็ตั้งกำแพงภาษี แบบเด็ดๆเลย ก็ห้ามนำเข้าส่งออก ถูกมั้ยครับ แต่สุดท้ายตลาดมันก็จะเข้าสู่จุดสมดุลของมันเองครับ คุณ P_Wut เห็นว่ายังไง ถ้าจะบอกว่าถ้ากำหนดราคาต่ำ เค้าก็หันไปขาย ตปท หมด ถ้าเอามาตรการแรง ก็ห้ามส่งออก แต่มันก็กระทบมากถูกต้อง แล้วเอามาตรการเบาหน่อย เก็บภาษีส่งออก ลิตรละบาท หรือ สองหลึง เห็นว่ายังไงครับ ตัวนี้จะกดดันให้ค่าการกลั่นลดลงมาได้ โดยไม่ได้ส่ง ผลอะไรมากนักกับโครงสร้างราคาน้ำมัน ถามว่าถ้ากำไรน้อยแล้วใคร จะมา ถ้าจากตัวเลขประกอบการผมว่ามันไม่น้อยนะครับ หรือถ้าไม่เข้ามา จริงๆ ถึงเวลาต้องนำเข้าน้ำมัน ราคามันก็จะถีบตัวสูงขึ้น จนได้ระดับ ก็จะมีคนเข้ามาลงทุนสร้างโรงกลั่นอีกที จริงมั้ยครับ ประเทศอื่นที่เค้ามีมาตรการที่เข้มงวดกว่านี้ ผมก็เห็นเค้าเฮโลกัน เข้าไปลงทุนกันอยู่ดี อย่างเวียดนามแล้วกัน คุณจะตั้งบริษัท มีการ เอาเงินเข้าไปเกินกว่า 1ล้านเหรียญ (ถ้าผมจำไม่ผิดนะ) ต้องมีการ ขอนู่นขอนี่เต็มไปหมด ต้องเป็นการร่วมทุนด้วย ก็เห็นเค้าก็ต่อแถวเข้าคิว กันอยู่เต็มไปหมดครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 20 พ.ค. 51 11:11:53 ]

ความคิดเห็นที่ 79 เสริมอีกนิดนึง จริงๆการ Fix ราคาหน้าโรงไว้กับราคาของสิงคโปร์มันก็คือการควบคุม อย่างนึงรึเปล่าครับ แล้วถามจริงๆว่าแบบนี้มันเกิดผลดีกับภาวะตลาดตอนนี้ หรือไม่ ในขณะที่กิจการ upstream รับกำไรเข้าไปเต็มๆ กิจการ downstream ก็นั่งพะงาบๆอยู่ จริงมั้ยครับ สุดท้ายถ้าบริษัทที่มีกิจการ ค้าปลีกอย่างเดียวมันก็อยู่ไม่รอด เช่น Jet และอนาคตก็ Shell แล้วอย่างนี้มันจะเกิดผลดีได้ยังไง ผู้เล่นรายเก่าอยู่ไม่ได้ รายใหม่จะเข้ามาก็เข้าไม่ได้ แล้วถ้าเชลล์ขายปั๊มไป ใครจะรับซื้อ บริษัทน้ำมันที่ถือหุ้นโรงกลั่นอยู่ก็ต้องคิดสรตะว่าเค้ามีส่วนแบ่งในโรง กลั่นเท่าไหร่ แล้วจะได้โควต้าน้ำมันมาเท่าไหร่ ถ้าซื้อมาแล้วไม่มีโควต้า น้ำมันจากโรงกลั่น เค้าก็ต้องไปซื้อตามราคาหน้าโรงกลั่น ก็อยู่ไม่ได้ ถูกมั้ยครับแบบ Jet หรืออนาคตก็ shell ส่วนคนที่จะเข้ามาตั้งโรงกลั่น ถ้ากำลังผลิตมันพออยู่เค้าก็ไม่เข้ามาตั้ง เพราะตั้งไปก็ไม่มี channel ในการจำหน่าย ถ้าจะตั้งก็คือเพื่อการส่งออกอย่างเดียวซึ่งยังไงมันก็ไม่คุ้ม ไม่ว่าจะมีการกำหนดค่าการกลั่นหรือไม่ก็ตาม จะคุ้มเมื่อไทยเป็น hub ด้านพลังงานแล้วนั่นแหละครับ แต่ไม่ว่าจะมีการควบคุมหรือไม่ สุดท้ายมันก็เข้าสู่ภาวะสมดุลอยู่ดีแหละครับ แต่จะอยู่ในรูปแบบไหน เท่านั้นเอง จากคุณ : Dark Archon - [ 20 พ.ค. 51 12:48:17 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ถ้า รัฐ กำหนดนโยบายราคาน้ำมันสำเร็จรูป เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ "ราคาหน้าโรงกลั่น ก่อนจะเก็บภาษีต่างๆ ทั้งหลายแหล่ = ราคาน้ำมันที่ตลาดสิงคโปร์+ค่าขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย ลบออกด้วย 2 บาท/ลิตร" ซึ่งจะทำให้ ค่าการกลั่น จากตย.ที่เราคุยกันตอนนี้ 3.09 บาท/ลิตร เหลือแค่ 1.09 บาท/ลิตร คุณ Dark Archon คิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นครับ? ผมก็คิดนะ แล้วก็ได้ภาพคร่าวๆ ตามนี้ครับ - ระยะสั้น ที่โรงกลั่นมีอยู่ในประเทศหลายโรง ก็จำใจรับสภาพครับ ค่าการกลั่นลดลง ก็อาจจะต้องไปเพิ่มค่าการตลาด  ณ เวลานี้ ปตท.กดค่าการตลาดให้ต่ำจนติดลบอยู่  ถึงเวลานั้น อาจเปลี่ยนแปลง เพิ่มค่าการตลาด เพื่อให้หลงจ๊งแล้ว มีกำไรพอจะดำเนินงานได้ ถ้า ปตท. ทำแบบนี้ โรงกลั่นอื่นๆ ก็เอาตามแน่นอนครับ ถ้า ปตท. ยังกดค่าการตลาดติดลบอยู่อีก โรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันรายอื่นๆ ไม่ยอมแน่นอน  ก็จะประกาศราคาน้ำมันแพงกว่า ปตท. อย่างที่เราเห็นๆ กันในระยะนี้นี่แหละ หรือแม้กระทั่ง อาจลดกำลังการผลิตด้วย  ก็ในเมื่อมันผลิตแล้วมันขาดทุน จะผลิตไปทำอะไร  ก็ลดกำลังการผลิตโรงกลั่นสาขาในไทยซะ แล้วให้สาขาที่สิงคโปร์ผลิตเพิ่มแทน แล้วรอให้รัฐบาลไทย จะโดยกระทรวงพลังงาน หรือจะให้ ปตท. เป็นตัวแทน สั่งนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์ ในราคาตลาดสิงคโปร์+ค่าขนส่ง เพราะเค้ารู้อยู่แล้วว่า ยังไงๆ มันก็ไม่พอ หรือมันทำให้ไม่พอได้ครับ (ผมไม่แน่ใจนะ แต่ไม่เคยเห็นมีกฏหมายข้อไหน มาสั่งโรงกลั่นต่างชาติได้ว่า คุณต้องกลั่นเท่านั้นเท่านี้ ไม่งั้นจะถูกลงโทษตามกฏหมาย) - ระยะยาว จะไม่มีผู้ประกอบกิจการน้ำมันต่างชาติ รายไหน อยากจะมาลงทุนในไทยต่อไป ทุกรายจะไปลงทุนที่สิงคโปร์หมด  เพราะทุกวันนี้ สิงคโปร์มีความน่าลงทุนมากกว่าไทยหลายอย่าง ทั้งปลอดภาษี Infrastructure ที่ดีกว่า รวมทั้งตามหลัก Economy of Scale อีกด้วย ภาระการกลั่นน้ำมันเพิ่มไล่ตาม Demand ของคนไทย ก็จะตกอยู่กับ โรงกลั่นสัญชาติไทยทั้งหมด รวมทั้งรัฐบาลด้วย  เพราะถ้าจะขยายกำลังการผลิต หรือจะตั้งโรงกลั่นใหม่ขึ้น 1 โรง  มันใช้เงินไม่ใช่น้อยๆ   # แล้วจะหาเงินจากที่ไหนมาทำ? ## จะกู้เงิน ผู้ให้กู้ก็ต้องดูก่อนแหละว่า กู้ไปแล้ว มีปัญญาสร้างรายได้ และผลกำไรเพื่อมาจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยคืนเค้ามั้ย? จะเป็น NPL หรือเปล่า? ## จะหาผู้ร่วมทุนทั้งในไทย และ/หรือต่างชาติ? จะมีใครสนใจมั้ย? ## จะระดมทุนจากตลาดหุ้น? ได้เหรอ?  ป่านนั้น กองทุนต่างชาติน่าจะขายหุ้นบ.น้ำมันทิ้ง ไปลงทุนตัวอื่นๆ หรือเอาเงินออกไปลงทุนเพื่อนบ้านแทนแล้ว คนไทยเองที่มีเงินเก็บ / เล่นหุ้นอยู่ อยากจะจองซื้อหุ้นตัวนี้กันมั้ย? สรุปสุดท้ายก็คือ ทำไปได้ไม่นาน ยื้อไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ไปไม่รอดครับ  ก็ต้องกลับมายึด "ราคาตลาดกลาง+ค่าขนส่ง" อีหรอบเดิมนี่แหละ จากคุณ : P_Wut - [ 20 พ.ค. 51 14:59:07 ]

ความคิดเห็นที่ 81 case ที่คุณ P_Wut ยกมาออกจะเป็น Condition ที่ Extreme เกินไปรึเปล่า ครับ ทั้งราคาที่ Fix กับสิงคโปร์ แล้วลบอีก 2 บาท และ ปตท กดค่า การตลาดติดลบ ถ้า case แบบนี้มันก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊งสิครับ ค่าการตลาด + ค่าการกลั่นที่ 2.30 บาท (-0.7935 + 3.0935) ผมว่ามัน เหมาะดีแล้ว เพราะมันคือ Margin ปัจจุบัน แต่ให้มันแบ่งกันระหว่าง โรงกลั่นกับบริษัทน้ำมัน มันจะได้ไม่มีใครโวยวายว่าค่าการตลาดติดลบ แล้วก็ขอขึ้นราคา ถ้าขึ้นก็ขึ้นแต่ให้เหตุผลตามความเป็นจริงครับ อย่างที่บอก ผมไม่ได้เคืองใครกับราคาน้ำมันขนาดนี้ ไม่ได้เรียกร้องให้ราคามันลดลง แต่กำลังชี้ให้ดูว่าธุรกิจน้ำมัน มันไม่ใช่กำไรน้อย หรือ ขาดทุน อย่างที่ มีการนำเสนอข้อมูลมา ที่ผมอดไม่ได้ต้องเข้ามาร่วมวง ก็เพราะมีคนด่าปตท แต่พอมีคนเอาข้อมูลแผ่ออกมาว่า ปตท กำไรน้อย ก็เงียบกัน แต่ข้อมูล มันยังไม่ครบทั้ง loop ครับ เพราะกำไรมันไปอยู่ที่ส่วนอื่น แล้วสุดท้าย มันก็จะวนกลับมาเป็นปันผลที่ ปตท อยู่ดี และข้อมูลที่นำเสนอก็มักจะ โชว์ตัวเลขในแง่ของกำไรเทียบกับรายได้ ซึ่ง "ดูเหมือน" จะน้อย ทั้งที่ลักษณะของสินค้ามันไม่ใช่ แต่จะแบ่งกันได้มันต้องปลดล๊อคเรื่องราคาอ้างอิงกับสิงคโปร์แล้วให้ ตลาดมันเป็นตัวกำหนดเองว่าจะให้ส่วนแบ่งใครเท่าไหร่ยังไง ซึ่งผมเชื่อว่าปัจจุบันมันก็ขายกันโดยไม่ได้ใช้ราคาหน้าโรงกลั่นตามที่ ประกาศหรอกครับ ไม่งั้น ปตท ตามหมายเหตุประกอบงบ กิจการค้าน้ำมัน มันต้องขาดทุนครับ ทีนี้ถ้าปลดล๊อคตรงนั้นแล้ว กันไม่ให้น้ำมันไหลออกยังไง ผมเชื่อว่าถ้าราคา มันต่ำกว่าราคาตลาดสิงคโปร์ซัก 50 สต มันก็ไม่มีใครอยากขายออกไป แล้วครับเพราะมันเสียค่าขนส่งอีกต่อ แล้วจะเอาชัวร์ก็ตั้งภาษีส่งออกอีก ซัก 50 สต - 1 บาท ต่อลิตร เป็นไงครับ หรือถ้าไม่ตั้งกำแพงภาษี น้ำมันไหลออกมากๆ เพราะซื้อในไทยถูกกว่า ถ้า demand มันเยอะ เผลอๆจะแข่งกันตั้งโรงกลั่นซะด้วยซ้ำ ถูกมั้ยครับ และเมื่อราคามันเป็นราคาที่ยุติธรรม สำหรับทั้งกิจการ Upstream และ Down Stream คนที่จะเข้ามาลงทุน ไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะ ครับ เพราะลงทุนแค่ ปั๊มก็ได้ หรือลงทุนโรงกลั่นก็ได้ ผลที่ได้คือ Player ในตลาดมันจะมากขึ้น มีการแข่งกันมากขึ้น ถ้า gap หรือ margin มันสูงไป มันก็จะถูกดึงลงมาเอง ในขณะที่ตอนนี้เราใช้กลไกควบคุมราคาแบบ อ้างอิงกับสิงคโปร์ ผู้ค้าปลีกก็ตายหยังเขียด คนที่จะเข้ามาลงทุนใหม่ ก็ต้องสร้างทั้งโรงกลั่น และ สร้างทั้งเครือข่ายปั๊ม คนเข้าใหม่ก็เข้าไม่ได้ คนเก่าที่มีไม่ครบก็ตายครับ ถูกรึเปล่าครับ (อ้อแล้วพูดถึงแข่งกันเสรี เพราะผมถือว่าปตท ไม่ใช่กลไกของรัฐแล้วนะครับ เพราะคิดว่า ผลประกอบการปีที่แล้วมันฟ้องอยู่) แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 51 17:01:17 จากคุณ : Dark Archon - [ 20 พ.ค. 51 16:58:14 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เอ่อ คุณ Dark Archon ครับ (1) คุณบอกว่า 2.30 ก็กำลังดี ผมบอกว่า 3.09-2 = 1.09 แล้วก็มีค่าการตลาด = 1.21 ก็เท่ากับ 2.30 บาทครับ (กรณีแรกที่ผมบอกว่า ปตท.ไม่ยอมกดค่าการตลาดต่อไป) มันก็ครือๆ กันนั่นแหละครับ (แสดงว่า คุณก็คิดว่า ปตท.จะไม่กดราคาตลาดต่อไป) (2) อัตรากำไรเทียบกับรายได้ ต่ำ แต่คุณเห็นว่า กำไรแค่นี้ ไม่ได้น้อยหรอก ไม่รู้ว่า ถ้าผมคิดแบบนี้ จะถูกมั้ย ก็คือ อัตรากำไรเทียบกับรายได้ = 5% รายได้มาจากการขายน้ำมัน (รวมกลั่นและขาย) ดังนั้น หากน้ำมันหน้าปั๊มเฉลี่ยทุกชนิด 30 บาท/ลิตร แสดงว่ากำไร 1.5 บาท/ลิตร คุณคิดว่า ถ้าจะให้กำไรเหมาะสม ไม่สูงอย่างที่คุณบอก ควรจะกำไรกี่ % คิดเป็นกี่บาท/ลิตร ? และตัวเลขที่ว่านั้น บรรทัดฐาน/วิธีคิดได้มายังไง จากอะไร? (3) เรื่องกำแพงภาษี ตอนนี้ เรายังตั้งได้อยู่อีกหรือ? ผมไม่แน่ใจนะ แต่เห็นมีแต่จะพยายามทำ FTA ทั้งแบบภูมิภาค และแบบทวิภาคี (2 ประเทศ) (4) จริงๆ เรื่องที่คุณพูดมา มันก็ถูก  ถ้าโครงสร้างราคาเป็นแบบนี้ รังแต่จะเป็นการสร้างอุปสรรคให้ผู้ค้า/ผู้จะลงทุนธุรกิจค้าน้ำมันรายใหม่ ถ้าจะให้ทำเหมือนกับส่งเสริมให้มีผู้ค้าหลายๆ ราย ก็ต้องไปลดค่าการกลั่น และเพิ่มค่าการตลาดแทน แต่ว่า ถ้าผลที่จะเกิดจากการลดค่าการกลั่นลง และเพิ่มค่าการตลาด กลายเป็นว่า โรงกลั่นใหม่ มีแต่จะสร้างที่สิงคโปร์ และผู้ค้ารายใหม่ ก็ซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์เข้ามาขายในไทย สมมติว่า ขายราคาเดียวกันกับโรงกลั่นในไทยเลยนะ แต่สัดส่วนมันเปลี่ยนไปเป็น บริโภค 100% มาจากผลิตในประเทศ 90% + นำเข้า 10% และยิ่งนานวันไป มีแต่จะนำเข้ามากขึ้น ๆ  ผมไม่แน่ใจว่า นี่เป็น "สิ่งที่ควรจะเป็น" หรือไม่? - ราคาน้ำมันแต่ละชนิด ราคาต่อหน่วยมันสูงกว่า ราคาน้ำมันดิบ เท่ากับมูลค่าการนำเข้าโดยรวมจะสูงกว่า ตอนนำเข้าเป็นน้ำมันดิบมากลั่น - เหมือนแบ่งรูจมูกหายใจตัวเอง ให้หายใจได้แค่ 90% หรือ 80% ต้องไปอาศัยจมูกคนอื่นอีก 10-20% "แต่จะแบ่งกันได้มันต้องปลดล๊อคเรื่องราคาอ้างอิงกับสิงคโปร์แล้วให้ ตลาดมันเป็นตัวกำหนดเองว่าจะให้ส่วนแบ่งใครเท่าไหร่ยังไง ซึ่งผมเชื่อว่าปัจจุบันมันก็ขายกันโดยไม่ได้ใช้ราคาหน้าโรงกลั่นตามที่ ประกาศหรอกครับ ไม่งั้น ปตท ตามหมายเหตุประกอบงบ กิจการค้าน้ำมัน มันต้องขาดทุนครับ" "ให้ตลาดเป็นตัวกำหนดเอง" เช่น ยังไงครับ?  ผมมีความรู้สึกว่า ถ้ารัฐปล่อยไปเลย ไม่คุม (ปตท. ไม่มาทำธุรกิจน้ำมัน หรือทำอยู่ แต่ไม่คุม/ชี้นำราคา) ผมคิดว่า มีแต่จะทำให้ราคาน้ำมันสูงกว่านี้ครับ ไม่มีวันถูกกว่านี้แน่ๆ "ไม่งั้น ปตท กิจการค้าน้ำมัน ต้องขาดทุนครับ" ผมไม่แน่ใจนะ แต่หุ้นที่ปตท.ถืออยู่ในโรงกลั่นน้ำมันทุกโรง แล้วแต่ละโรงเค้าประกาศกำไร ไม่รู้ว่า ในงบส่วนธุรกิจน้ำมัน มันเอากำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นตรงนั้น มาบันทึกที่ตรงนี้ หรือไปบันทึกที่บริษัทโฮลดิ้ง? แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 51 23:39:30 แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 51 23:37:54 จากคุณ : P_Wut - [ 20 พ.ค. 51 23:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 83 1) ครับ ถ้ามีการแบ่งค่าการกลั่น และค่าการตลาดอย่างยุติธรรม ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุอันใดให้ ปตท กดราคาต่อไปครับ แล้วถามว่าผมคิดยังไง ผมก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ ปตท กดราคาครับ 2) ตาม #46, #64, #67, #68, #72 เน้นที่ #46 และ #72 ครับ 3) FTA นี่เน้นไม่ให้ตั้งกำแพงภาษีนำเข้ารึเปล่าครับ หรือเค้ารวมเรื่องไม่ให้ส่งออกด้วยครับ??? แต่ถึงมี FTA ผมก็เห็นเค้าก็มีมาตรการกีดกันไม่ทางใดทางหนึ่งจนได้ จริงมั้ยครับ ถ้าผมเข้าใจผิดรบกวนแก้ให้ด้วยครับ 4) ปตท เป็น holding อยู่ครับ ดังนั้นกำไรจากบริษัทลูกๆก็บันทึกในงบของปตทตามวิธีส่วนได้ส่วนเสียนั่นแหละครับ เอางบปี 50 นะครับ หน้า 4 หมายเหตุ 28 กำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 31,080,228,158 บาทครับ ไปดูหมายเหตุประกอบงบ หน้า 108 และ 111 ครับ จะถูกแจกแจงตามประเภทธุรกิจ  แต่ถ้าดูส่วนแบ่งเทียบกับของปี 49 หน้า 113 จะเห็นว่าส่วนแบ่งรายได้จาก "การกลั่น" ถูกยุบ หรือ ซ่อน เป็น "อื่นๆ" ในงบปี 50 ครับ ทีนี้ เจ้า 31,080,228,158 บาทนี่เป็นส่วนแบ่งจากไหนบ้าง ไปดูหมายเหตุ 11.8.1 รายการสินทรัพย์สุทธิและผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมตามสัดส่วนของบริษัทฯ โดยแสดงข้อมูลตามกลุ่มธุรกิจ หน้า 70 ครับ กำไรสุทธิจากส่วนแบ่งการกลั่น = 19,701.58 ล้านครับ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 51 01:23:57 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 51 01:22:59 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 51 01:22:08 จากคุณ : Dark Archon - [ 21 พ.ค. 51 01:21:40 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ส่วนให้ตลาดเป็นตัวกำหนดเอง ผมหมายถึงว่า สัดส่วนระหว่างค่าการกลั่น และค่าการตลาดนะครับ จากที่ตอนนี้มัน Fix ไว้ที่ราคาสิงคโปร์ ถ้าไม่ต้อง กำหนดตายตัว เมื่อไม่มีควบคุมตลาดก็จะเป็นคนกำหนดเองรึเปล่าครับ ตอนนี้ค่าการกลั่นก็ 5 บาทเข้าไปแล้วนะครับ ขึ้นทั้งๆที่ค่าการกลั่นมัน 5 บาท นี่แหละ พรุ่งนี้ถ้าราคาน้ำมันดิบเท่าเดิม อัตราแลกเปลี่ยนเท่าเดิม ก็กลายเป็น 5.50 บาทครับ Margin (Average) - 20 May 2008 Avg Marketing Margin -0.8781 Baht/Litre Avg Gross Refinery Margin 4.9880 Baht/Litre Esso ขึ้น ปตท ก็ขึ้นตามซะงั้น อย่างนี้หมายถึง ปตท คุมราคารึเปล่าครับ... อย่างที่บอก ราคาถูกแพง ผมไม่ว่า เพราะตอนนี้ ปตท ก็เป็นบริษัทเอกชนไปเรียบร้อยแล้ว แต่ให้เอาความจริงมาพูดครับ ไม่ใช่บอกแค่ว่าค่าการตลาดติดลบ แล้วขึ้นราคาโลด แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 51 01:38:54 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 51 01:36:09 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 51 01:35:36 จากคุณ : Dark Archon - [ 21 พ.ค. 51 01:34:04 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ส่วนเรื่อง ROI ถ้าตาม #72 แบบหยาบๆ เปอร์เซ็นกำไรสุทธิต่อ เงินลงทุน ทั้งหมด ในที่นี้คือ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด = 10%++ น่าลงทุนใช่มั้ยครับ แต่เอาล่ะ บอกว่าแบ่งกันให้เหมาะๆแล้วกันระหว่าง โรงกลั่น กับ บริษัทค้าปลีกน่ะ ตัวเลขมันก็ต้องลดจาก 10%++ ลงมาล่ะ สมมุติว่าคุณมีเงินไว้ลงทุนอย่าง Temasek แล้วกัน เงินเหลือๆ เจียดเงินมาลงทุน แล้วได้ผลตอบแทนที่ 6-7% ยังน่าสนมั้ยครับ สูงกว่าลงทุนในพันธบัตร แต่ก็เสี่ยงกว่า ผมไม่มีเงินขนาดนั้น ก็เลย ไม่รู้ว่าน่าสนใจรึเปล่าครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 21 พ.ค. 51 01:50:38 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เพิ่งได้เข้ามาตอบ เท่าที่อ่านดู   เรื่องการลงทุนมันไม่มีถูกมีผิดหรอกครับ   เพียงแต่ว่าแนวทางแบบไหนจะก่อให้เกิดผลมากกว่ากันเท่านั้น    เหมือนเราเป็นกองเชียร์อยู่ด้านนอกจะพูดยังไงก็ได้   แต่ถ้าต้องมาลงมือทำเอง  ถึงจะรู้ครับ อย่างเรื่องลงทุน  เอาแค่ง่ายๆ  ถ้าจะประกอบธุรกิจสักอย่างเอาแค่อยู่รอดเลี้ยงตัวเองได้ไม่ขาดทุนแค่นี้ก็เก่งแล้วครับ   ยังไม่ต้องพูดถึงวงเงินร้อยล้านพันล้านหมื่นล้าน  มีปัจจัยอีกเยอะครับ   ยกตัวอย่างเทียบง่ายๆ  เหมือนกันเวลาที่เราทำงาน   ทำคนเดียว  ง่ายที่สุด  สองคน  สามคน  ก็อาจจะยังได้อยู่   คุยกันให้รู้เรื่องไม่ยาก   แต่พอต้องทำร่วมกันสัก 10-20 คน  เอาแค่การคุยกันให้ทั้งทีม  สามารถเข้าใจถึงงานที่ต้องทำ   แค่นี้ก็ต้องเสีย overhead ในการ manage เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า   ยังไม่รวมเวลาที่ต้องเสียไปในการประชุม  การพูดคุย  ทำความเข้าใจ  เพื่อให้ทั้งทีมสามารถเข้าใจงานได้เหมือนกัน   สามารถขับเคลื่อนทีมให้เงานสามารถเดินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ   ซึ่งถ้าเทียบประสิทธิภาพกับการทำงานทีมเล็กๆ แล้วอาจจะดูว่าน้อยกว่ากันเยอะ    แล้วสำหรับธุรกิจที่ต้องมีการดำเนินงานเป็นพันๆ คน  วงเงินสูงๆ  นี่  ดูเหมือนจะง่าย  แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 21 พ.ค. 51 12:09:15 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ครับ ก็เห็นด้วยครับ บริหารเงิน 1,000,000 ให้ได้กำไร 50% ใน 1 ปี มันไม่ยากเท่าไหร่ แต่บริหารเงิน 100,000,000,000 ให้ได้กำไร 10% นี่มันยากโคดๆ จากคุณ : Dark Archon - [ 21 พ.ค. 51 22:03:58 ]