ความคิดเห็นที่ 17
จากหนังสือพิมพ์ประชาติธุรกิจ วันที่ 26 พฤษภาคม 2551 ปรากฎการณ์ "Super Spike" 150 ดอลลาร์ ใกล้แค่เอื้อม เกิดอะไรขึ้น และใครได้ประโยชน์ เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากราคาผ่านระดับ 135 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไปแล้ว ปฏิกิริยาของกลุ่มประเทศ ผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่สุดของโลก หรือโอเปก ก็ตอบสนองทันที ด้วยคำกล่าวสั้นๆ จาก อับดุลลาห์ บิน ฮาหมัด อัล อัตติยาห์รัฐมนตรีน้ำมันของกาตาร์ ว่า โอเปกไม่มีแนวทาง "วิเศษ" เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงลิบลิ่ว เพราะเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ โอเปกก็ผลิตอย่างเต็มสมรรถนะของพวกเขาแล้ว
ที่สำคัญโอเปกยังไม่เห็นภาวะขาดแคลนน้ำมันในตลาดแต่อย่างใด
หากคำกล่าวของโอเปกเป็นจริงตามนั้น เกิดอะไรขึ้นกับตลาดน้ำมัน
คำอธิบายโดยหลักการซึ่งมักจะได้ยินบ่อยในตลาด คือ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจในบางส่วนของโลกเติบโต อย่างรวดเร็วมาก เอเชียเป็นหนึ่งภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ที่ระดับเฉลี่ย 10-11% และ 7-8% ตามลำดับ
ไม่เพียงเท่านี้ จอห์น อี. โลว์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายผลิตและสำรวจ บริษัทโคโนโกฟิลิปส์ ยังระบุถึงปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักในช่วงหลังๆ นั่นคือ อุปสรรคในการจัดหาน้ำมันป้อนตลาด ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสชาตินิยมในประเทศเจ้าของแหล่งพลังงาน หลายรัฐบาลเริ่มจำกัดการเข้าถึงแหล่งทรัพยากร
หากย้อนไปในช่วงทศวรรษ 1960 จะพบว่า 85% ของแหล่งน้ำมันและ ก๊าซธรรมชาติ เปิดกว้างให้บริษัทน้ำมัน ข้ามชาติสามารถเข้าไปพัฒนาได้โดยตรง แต่ปัจจุบันสถานการณ์แตกต่างกันลิบลับ มีเพียง 7% เท่านั้น แถมยังมีแรงกดดัน จากการแข่งขันเพื่อแย่งกันเข้าถึงแหล่งทรัพยากรเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่มีข้อจำกัด ดังกล่าวอยู่
แหล่งพลังงานหนึ่งที่เข้าข่ายคือ สหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งประเมินว่ามีแหล่งน้ำมันที่ยังสามารถนำออกมาใช้ได้อยู่ถึง 4 หมื่นล้านบาร์เรล และมีแหล่งก๊าซธรรมชาติอีกประมาณ 250 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
ผู้บริหารของโคโนโกฟิลิปส์ ดูเหมือนจะเห็นพ้องกับโอเปกอยู่บ้าง ตรงที่เมื่อมีการจำกัดการผลิตจากหลายประเทศ โอเปก ที่ผลิตมาเต็มกำลังการผลิตดังว่า จึงไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตไปได้มากกว่า 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งย่อมต่างจากกำลังการผลิตส่วนเกินที่โอเปกเคยมี ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ที่มีอยู่เกิน 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้อิทธิพลของโอเปกในการควบคุมตลาดลดลงโดยปริยาย
คำถามคือ อิทธิพลในการควบคุมความเป็นไปของราคาไปตกอยู่ในมือใคร
เขามองไปที่ตลาดน้ำมันล่วงหน้า เพราะปัจจุบันนักลงทุนในตลาดการเงินอื่นๆ แห่แหนกันไปลงทุนในตลาดคอมโมดิตีส์ กันมากขึ้น หลังจากที่ตลาดนี้มีแต่พุ่งขึ้น ไม่มีลด
ปริมาณน้ำมันที่ซื้อขายในตลาดล่วงหน้าในขณะนี้ มากกว่ากำลังการผลิต 36 ล้านบาร์เรลต่อวันของโอเปก ถึง 36 เท่าตัว โดยปริมาณซื้อขายผ่านตลาดเหล่านี้ทำให้เกิดปริมาณน้ำมันบนธุรกรรมกระดาษ มากถึง 1.3 พันล้านบาร์เรลต่อวัน
ยิ่งมีนักลงทุนจากตลาดการเงินมาสมทบ ย่อมหมายถึงเครื่องมือ และกองทุนหน้าตาใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีก็มีให้เห็นในตลาด อาทิ กองทุนดัชนีคอมโมดิตีส์ ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อสนองตอบนักลงทุนที่ต้องการหากำไรจากความเสี่ยงของราคาในตลาดคอมโมดิตีส์ เมื่อตลาดเหล่านี้โตสวนทางกับตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และโดยเฉพาะตลาดสินเชื่อ เม็ดเงินจำนวนมากจึงถูกถ่ายเทเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
นอกจากแรงดึงดูดจากกำไร ผลจากปัญหาในสหรัฐและค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ทำให้ "น้ำมัน" กลายเป็น "ทองคำ ชนิดใหม่" ที่นักลงทุนใช้เป็นหลุมหลบภัยจากเงินเฟ้อ ในช่วงที่ค่าเงินสหรัฐยังพาตัวพ้นหลุมดำไม่ได้
การที่กองทุนหลายกองทุนวิ่งเข้าหาตลาดน้ำมันเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากตลาดการเงินอื่นๆ เป็นที่มาของข้อกล่าวหาที่ว่า ราคาที่ถูกปั่นขึ้นไปนั้นมาจากการเก็งกำไรของพวกกองทุนต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนบริหารความเสี่ยง หรือ เฮดจ์ฟันด์ ที่บาดเจ็บจากตลาดตราสารอนุพันธ์ที่โยงกับตลาดซับไพรม
ที่น่าสนใจคือวุฒิสภาของสหรัฐ กำลัง พุ่งเป้าเล่นงานพฤติกรรมเก็งกำไรเหล่านี้อยู่ โดยมีข้อเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ที่ยอมให้มีการเก็งกำไรน้ำมันด้วยการซื้อมาร์จิ้น จ่ายเพียง 5-7% ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นที่นักลงทุนที่ซื้อขายด้วยมาร์จิ้น ต้องจ่ายถึง 50% มาเป็นซื้อขายด้วยเงินสด
อีกทั้งสภาคองเกรสของสหรัฐยังเรียกร้องให้รัฐบาลวอชิงตันระงับการจัดส่งน้ำมันหลายพันบาร์เรลในแต่ละวัน เพื่อเติมปริมาณน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ตลอดระยะเวลาที่เหลือของ ปีนี้ ถือเป็นการท้าทายนโยบายของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่ต้องการเพิ่มน้ำมันดิบสำรอง 70,000 บาร์เรลต่อวันไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
จริงหรือไม่ที่ราคาน้ำมันในปัจจุบันเป็นผลมาจากการเก็งกำไร สตีเฟน ไซมอน รองประธานอาวุโสของเอ็กซ์ซอน โมบิล เป็นคนหนึ่งที่เชื่อเช่นนั้น เขาประเมินราคาน้ำมันที่ควร
จะเป็นในปัจจุบัน ระบุระหว่างเข้าชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐว่า น่าจะอยู่ที่ระดับ 50-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
มุมมองของผู้บริหารเอ็กซ์ซอนฯ ตรงกับความเห็นของ ฟาเดล เกต นักวิเคราะห์พลังงานของ ออปเพนไฮเมอร์ แอนด์ โค
ที่ระบุว่า ในขณะนี้ยังไม่เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันอย่างแน่นอน ดังนั้นราคาน้ำมันจึงไม่ควรขึ้นไปเกิน 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล พร้อมกับเรียกตลาดน้ำมันดิบล่วงหน้าว่า เป็น "บ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลก" หรือ ไม่ต่างอะไรกับถนนไฮเวย์ที่ไม่มีตำรวจ และไม่จำกัดความเร็ว และทุกคนขับที่ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แล้วราคาน้ำมันแบบติดจรวดเหล่านี้มาได้อย่างไร
หากใครได้อ่านบทวิเคราะห์เรื่อง "บางที 60% ของราคาน้ำมันในวันนี้มาจากการเก็งกำไรล้วนๆ" ของ เอฟ.วิเลียม อิงดาห์ล ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์วิจัยโลกาภิวัตน์ (CRG) และเจ้าของผลงานเรื่อง "ศตวรรษแห่งสงคราม" (A Century of War : Anglo-American Oil Politic and the New World Order) อาจจะมองเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น
อิงดาห์ลได้ไล่เรียงบทบาทของผู้เล่นต่างๆ ตั้งแต่ตลาดการเงิน ซึ่งในกรณีของน้ำมันดิบ ตลาดที่มีบทบาทมีอยู่ 2 ราย ได้แก่ ตลาดล่วงหน้าในลอนดอน และนิวยอร์ก ซึ่งมีชื่อเรียกว่าตลาดไอซีอี ฟิวเจอร์ และตลาดไนเม็กซ์ ทั้งสองตลาดมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้กำหนดมาตรฐานราคาน้ำมันดิบโลก ส่วนตลาดดูไบ เมอร์แคนไทล์ เอ็กซ์เชนจ์ แม้จะเป็นตลาดที่ตั้งขึ้นมาเพื่อซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า แต่สินค้าหลักยังเป็นน้ำมันดิบดูไบ ประกอบกับเป็นตลาดที่ยังใหม่และเป็นเหมือนตลาดในเครือของไนเม็กซ์กลายๆ
ผู้เล่นที่อิงดาห์ลให้ความสำคัญค่อนข้างมากในบทวิเคราะห์ของเขา คือ ธนาคาร และเฮดจ์ฟันด์ โดยในส่วนของสถาบันการเงิน ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ได้กล่าวว่า โกลด์แมน แซกส์ และมอร์แกน สแตนเลย์ เป็นบริษัทซื้อขายพลังงานชั้นนำในสหรัฐ ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป และ เจ.พี. มอร์แกน เชส เป็นผู้เล่นรายใหญ่ นอกจากนี้ยังมีกองทุนบริหารความเสี่ยงอีกจำนวนมากซึ่งเป็นนักเก็งกำไร
เฮดจ์ฟันด์และธนาคารเก็งกำไร โดยผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นเครื่องมือ เพราะสัญญาซื้อน้ำมันล่วงหน้าจำนวนมากของพวกเก็งกำไร จะเป็นตัวสร้างอุปสงค์น้ำมันเพิ่มเติมจากความต้องการปกติ โดยเฉพาะเมื่อตลาดยังตกอยู่ในภาวะกังวลจึงยากจะแยกออกว่า ความต้องการที่เกิดจากการเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าไม่ใช่ความต้องการน้ำมันจริงๆ แต่กลืนไปกับความต้องการจริงของโรงกลั่น และผู้ใช้น้ำมันปิโตรเลียมอื่นๆ ที่เข้ามาทำธุรกรรมซื้อน้ำมันล่วงหน้าในตลาด
อิงดาห์ลตั้งข้อสังเกตว่า ในเดือนมิถุนายน 2549 ราคาน้ำมันดิบซึ่งซื้อขายในตลาดล่วงหน้า อยู่ที่ระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และจากการสอบสวนของวุฒิสภาประเมินว่า 25 ดอลลาร์จากราคาดังกล่าว เป็นการเก็งกำไรของสถาบันการเงิน ขณะที่นักวิเคราะห์รายหนึ่งประเมินในเดือนสิงหาคม 2548 ว่า หากพิจารณาจากระดับน้ำมันสำรองของสหรัฐราคาน้ำมันดิบ เวสต์เทกซัสน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเท่านั้น ไม่ใช่ 60 ดอลลาร์
ด้วยเหตุนี้ อิงดาห์ลสรุปว่า ในราคาน้ำมันดิบที่ประมาณ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อย่างน้อย 50-60 ดอลลาร์หรือสูงกว่า เป็นผลมาจากการเก็งกำไรล้วนๆ ของสถาบันการเงินและเฮดจ์ฟันด์
น่าสนใจว่าปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบวิ่งมาที่ 135 ดอลลาร์และกำลังจะไปที่ 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนั้น มาจากการเก็งกำไรมากน้อยเท่าใด มากกว่าหรือน้อยกว่า 60% ดังอิงดาห์ลประเมินไว้ในบทความ
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นตัวการอยู่เบื้องหลังราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด ทุกวันนี้มีผู้เล่นจำนวนหนึ่งที่ได้ประโยชน์อย่างปฏิเสธไม่ได้
สำนักงานข่าวสารพลังงานของสหรัฐคาดการณ์ว่า โอเปกจะมีรายได้จากการส่งออกน้ำมันรวมกันประมาณ 1.06 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ เพิ่มขึ้น 57% จาก 6.74 แสนล้านดอลลาร์ของปีที่แล้ว ก่อนจะลดลงเหลือประมาณ 9.90 แสนล้านดอลลาร์ใน ปีหน้าหลังจากที่ทิศทางราคาน้ำมันกลับทิศแล้ว
ตัวเลขประเมินของสหรัฐสูงกว่ายอดที่สำนักงานพลังงานสากลประเมินในช่วงต้นปี โดยคาดว่าโอเปกจะมีรายได้จากการส่งออกน้ำมัน 8.50 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2551 นั่นหมายความว่ารายได้ต่อหัวของประชากรในประเทศสมาชิกของโอเปก จะเพิ่มขึ้น 55% เป็น 1,769 ดอลลาร์ จาก 1,143 ดอลลาร์
น่าสนใจว่าตัวเลขดังกล่าวประเมินในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบยังเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 120 ดอลลาร์กว่าๆ เท่านั้น
อีกกลุ่มหนึ่งที่จะได้ประโยชน์แบบทันตาเห็นคงหนีไม่พ้นบริษัทน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นเอ็กซ์ซอน โมบิล เชลล์ บีพี เชฟรอน ตลอดจนโคโนโกฟิลิปส์ และค่ายเล็กๆ อย่างวาเลโร และมาราธอน ล้วนแต่มีกำไรสูงกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะเอ็กซ์ซอนฯผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ถือว่ามีกำไรมากเป็นประวัติการณ์ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 บริษัทนี้มีกำไรถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
หลังจากตัวเลขดังกล่าวออกมา นำมาซึ่งการประเมินที่น่าสนใจในรายงานข่าวของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นที่ว่า ทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น เอ็กซ์ซอนฯจะทำเงินได้เพิ่มอีก 125 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าในปี 2550 เอ็กซ์ซอนฯจะมีรายได้ทั้งสิ้น 3.92 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่นั่นยังน้อยกว่าสถิติ 3.95 หมื่นล้านดอลลาร์ที่บริษัทนี้ทำได้ใน ปี 2549 ซึ่งหากอิงกับตัวเลขดังกล่าวเท่ากับว่า เอ็กซ์ซอนฯทำเงินได้ประมาณ 75,000 ดอลลาร์ต่อนาที
การประเมินดังกล่าวอ้างอิงราคาใน ปี 2550 ซึ่งในช่วงดังกล่าวราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับเพียง 80 ดอลลาร์กว่าๆ เท่านั้น ราคาน้ำมันทะลุ 100 ดอลลาร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ และทำสถิติ 135 ดอลลาร์เมื่อ 21 พฤษภาคม
แค่ไตรมาสแรกปี 2551 เอ็กซ์ซอน โมบิลมีกำไร 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่บีพีกำไรพุ่ง 63% รวม 7.62 พันล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรของเชลล์อยู่ที่ 9.08 พันล้านดอลลาร์
น่าสนใจว่าเมื่อผ่านพ้นไตรมาส 2 ไปแล้ว บริษัทน้ำมันในสหรัฐจะมีกำไรพุ่งทะยานไปขนาดไหน ถ้าราคายังคงวิ่งต่อ
แต่ไม่ว่าค่ายน้ำมันจะมีกำไรมากเท่าใด ข่าวดีกลับดังซ้อนมากับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มืดมนลง อัตราว่างงานที่พุ่งสูง และเงินเฟ้อที่หนักข้อทุกวัน
จากคุณ :
Condomania
- [
26 พ.ค. 51 16:51:35
]
|
|
|