ความคิดเห็นที่ 1 ไฟล์แรก หน้าแรก จากคุณ : P_Wut - [ 16 มิ.ย. 51 23:36:20 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไฟล์แรก หน้าสอง จากคุณ : P_Wut - [ 16 มิ.ย. 51 23:37:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไฟล์ที่สอง หน้าแรก จากคุณ : P_Wut - [ 16 มิ.ย. 51 23:38:00 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไฟล์ที่สอง หน้าสอง จากคุณ : P_Wut - [ 16 มิ.ย. 51 23:43:51 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไฟล์ที่สาม หน้าแรก จากคุณ : P_Wut - [ 16 มิ.ย. 51 23:44:35 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไฟล์ที่สาม หน้าสอง จากคุณ : P_Wut - [ 16 มิ.ย. 51 23:45:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไฟล์ที่สี่ มีหน้าเดียว จากคุณ : P_Wut - [ 16 มิ.ย. 51 23:46:34 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ไฟล์ที่ห้า ก็มีหน้าเดียว ไม่ทราบว่า มีใครในนี้ เคยเห็นเคยอ่านกันแล้วบ้างหรือเปล่า? จากคุณ : P_Wut - [ 16 มิ.ย. 51 23:47:49 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่น่าเสียดายคือ ดันไม่มีการลงชื่อว่า เอกสารนี้ ใครเป็นคนทำ เลยทำให้ความน่าเชื่อถือลดน้อยลง ข้อมูลในไฟล์ที่ 4 และ 5 ผมยังไม่ได้รีเช็ค เพราะรายการ "ตาสว่างเพราะถูกแหก" คืนแรก ผมก็ไม่ได้ดูเสียด้วย แต่ 3 ไฟล์แรกเนี่ย (6 ภาพแรกในคห. 1 - 6) ผมยืนยันตามนั้นเลยครับ แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 51 23:51:55 แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 51 23:50:52 จากคุณ : P_Wut - [ 16 มิ.ย. 51 23:49:38 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยครับว่าไม่มีความน่าเชื่อถือ 3 ไฟล์แรกตามนั้นครับ แต่คิดๆดู เหมือนแก้ตัวด้วย forward mail รึเปล่า เพราะ forward mail ส่วนใหญ่ไม่เป็นความจริง จากคุณ : 4GetDePass - [ 17 มิ.ย. 51 00:15:03 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ผมรู้เรื่องใน 3 ไฟล์แรกนั้น มาปีกว่าแล้วครับ ไปหาอ่านเอาได้ในเว็บ http://www.eppo.go.th ครับ ปล. จัดชิดขวาครั้งแรกเลยนะเนี่ย กลัวชี้ไม่ตรง จากคุณ : P_Wut - [ 17 มิ.ย. 51 00:34:25 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อ่านแล้วก็วิเคราะห์ตามด้วย ข้อมูลพวกนี้ หาได้อยู่แล้ว เพราะ ปตท. เกือบทุกอัน เป็นบริษัทมหาชน ดังนั้นเค้าจะมีรายงานประจำปี ให้กับผู้ถือหุ้น อย่างข้อมูลเรื่องกำไรสุทธิ ก็ใกล้กับที่แจ้งไว้กับตลาดหลักทรัพย์ ปีนี้ ไตรมาสแรก กำไร 5.3% ใครเป็นเจ้าของบริษัท ชีช้ำแน่ ทำบริษัทได้กำไร ไม่ถึง 6% จากคุณ : EITHER - [ 17 มิ.ย. 51 00:43:03 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จาก ไฟล์ที่สอง หน้าแรก สมมุติว่าเป็นความจริงนะครับ "ราคาเฉลี่ยของน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิดได้" เอาอะไรมาเป็นราคาน้ำมันสำเร็จรูปละครับ ราคาน้ำมันสิงค์โปร์หรอ เหมือนคุณเอาราคาขายมาได้ ทั้งที่ไม่ดูต้นทุนตัวเอง ถ้าผมเทียบแบบ ผมอยู่ไทยซื้อไข่ 1 ฟอง 3บาท ทอดไข่ดาวขาย 15 บาท เพราะคนทอดไข่ประเทศสิงค์โปร์ขาย 15 บาท แล้วผมก็บอกว่า"ค่าทอด 10 บาท" หรอครับ แล้วผมก็บอกว่าต้องคิดค่าน้ำมันพืชอีก ไม่รวยพุงแตกเลยหรอครับ ผมทำได้แบบนี้ก็รวย ถ้าผมเป็นเดียวในประเทศไทยที่ขาย เหมือนใครหว่า ถ้าผิดรบกวนแก้ไขหน่อยครับ งงมานานล่ะ จากคุณ : pete (n_pete) - [ 17 มิ.ย. 51 00:44:10 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ^ เป็นตามนั้น ราคาวัตถุดิบ ก็อิงราคาตลาดโลก เพราะนำเข้ามา 90% ราคาขาย ก็อิงตลาดโลก แล้วมันแปลกตรงไหนล่ะ? ที่คุณตั้งคำถามน่ะ ไข่ เราผลิตได้เองครับ เป็นส่วนใหญ่ เหลือพอที่จะส่งออกด้วยซ้ำ แต่น้ำมันดิบเราผลิตได้น้อยมาก แล้วใครให้ข้อมูลคุณว่า ปตท. ผูกขาดกิจการน้ำมันในไทย? ESSO เป็นเครือ ExxonMobil ของ USA มีทั้งโรงกลั่นและปั๊มน้ำมันในไทย Caltex อยู่ในเครือ Chevron ของ USA มีทั้งโรงกลั่นและปั๊มน้ำมันในไทย Shell ถ้าไม่ขายหุ้นในโรงกลั่น RRC ให้ ปตท. เมื่อปี 2547 ก็คงยังมีทั้งโรงกลั่นและปั๊มน้ำมันในไทย แต่ยักษ์ใหญ่ขนาด Shell ทำไมขายหุ้นให้ ปตท.ก็ไม่รู้ ถ้ามีคนมาบอกผมว่า เพราะ ปตท. มันบีบไง  ผมคงเชื่อล่ะ ยักษ์ใหญ่ขนาดนั้น ให้บริษัทเล็กๆ บนโลกนี้อย่าง ปตท.มาบีบ ขนาด Petronas ของมาเลย์ เครือปตท.ยังใหญ่ไม่เท่าเค้าเลย จากคุณ : P_Wut - [ 17 มิ.ย. 51 00:54:51 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อ้อ อีกอย่างนะ ปตท. ไปซื้อน้ำมันดิบมาในราคาตลาดโลก มากลั่นได้น้ำมันสำเร็จรูปแล้วขายคนไทย ได้กำไรแค่ต่อเดียว คุณคิดว่า วงจรนี้ เกิดขึ้นกับยักษ์ใหญ่ข้ามโลก แบบ Shell Chevron Exxon มะ? คุณคิดว่า ยักษ์ใหญ่พวกนั้น เค้าไม่มีธุรกิจฝั่งสำรวจและผลิตน้ำมันดิบขายให้โรงกลั่น (Downstream) เหรอครับ คุณรู้ไว้ซะด้วยว่า ยักษ์ต่างชาติพวกนั้นน่ะ กำไรอย่างต่ำ 2 ต่อครับ - ขายน้ำมันดิบได้ราคาแพงเว่อๆ - กลั่นน้ำมันสำเร็จรูปแล้วขายแพงกว่าหรือเท่า ปตท. ไม่เคยขายถูกกว่า - บางเครือมีกิจการฟากปิโตรเคมีครบวงจร เอา By product จากโรงกลั่นไปทำปิโตรเคมีขายได้กำไรอีกต่างหาก เพียงแต่เค้าไม่มาตั้งโรงปิโตรเคมีในไทยเท่านั้น จากคุณ : P_Wut - [ 17 มิ.ย. 51 01:00:40 ]

ความคิดเห็นที่ 16 บริษัทยักษ์ฝรั่งที่ P_Wีut อ้างมาน่ะ ขายน้ำมันเบนซินหน้าปั๊มที่เมกาแกลลอนละ4เหรียญ คือลิตรละ 33บาท ดันไปกล่าวหาหาว่าเค้ากำไร2ต่อ ทั้งๆที่เงินเดือน+เงินลงทุนพวกฝรั่งในธุรกิจนี้มหาโหด รับเงินเดือนกันเป็นแสนเป็นล้าน แล้วไหง บ.พลังงานบ้านเราเจือกขายน้ำมันราคาเท่าเค้าหรือสูงกว่า ทั้งๆที่ไม่ได้ลงทุนมากมายมหาศาลอย่างเค้าเลย รึว่าตุกติกรับค่าจ้างนอกกติกากันจนค่าแรงแพงกว่าฝรั่งรึไง จากคุณ : x - [ 17 มิ.ย. 51 01:35:05 A:210.246.64.170 X: TicketID:052378 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สงสัยอย่างเดียวครับ สมมุติว่าน้ำมันกลั่นแล้วที่สิงคโปร์ขายลิตรละ 100 บาท กลั่นในเมืองไทยราคา 96 บาท ส่งไปขายสิงคโปร์ + ค่าขนส่งลิตรละ 4 บาท รวมเป็น 100 บาท เพื่อให้ขายเท่าราคาตลาดโลก แต่เวลานำมันกลั่นแล้วขายในไทย ทำไมมันเป็นราคา สิงคโปร์ + ค่าขนส่งมาไทย 4 บาท รวม เป็น 104 บาทครับ  ทั้งๆที่ราคาสำหรับส่งออกไปมันแค่ 96 บาท ผมสงสัยเรื่องนี้เรื่องเดียวเอง เราขาย 96 บาทไม่ได้หรือครับ จากคุณ : คุณหน่อง - [ 17 มิ.ย. 51 01:44:24 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ข้างบนครับ  ใครบอกคุณว่าลิตรละ 33 บาทครับที่เมกา  ไปดูใหม่ดีไหม จากคุณ : jobbabys - [ 17 มิ.ย. 51 02:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ x คุณไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งทำไม่รู้ ข้างบนนั้นเค้าก็เขียนอยู่โทนโท่อยู่แล้ว 1. ราคาน้ำมันสำเร็จรูป อ้างอิงตามตลาดสิงคโปร์ 2. ราคาในข้อ 1 เป็น "ราคาหน้าโรงกลั่น" ยังไม่รวม ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล เงินเข้ากองทุนน้ำมัน เงินเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน และ VAT เมื่อรวม 6 อย่างนี้เข้าด้วยกัน จะได้เป็น "ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น" 3. ราคาในข้อ 2 บวกค่าการตลาด และ VAT ของค่าการตลาด ได้เป็น "ราคาขายปลีกหน้าปั๊ม" เวลาคุณจะเปรียบเทียบ คุณต้องเปรียบเทียบ ราคาที่อเมริกา กับ "ราคาหน้าโรงกลั่น" ครับ ทุกวันนี้ "ราคาหน้าโรงกลั่น" ในบ้านเรา น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 28-29 บาทต่อลิตรเท่านั้น อีกอย่างนะ ถึงราคาที่สิงคโปร์มันจะแพงกว่าราคาที่อเมริกา มันก็เรื่องของมัน ยังไงๆ ซะ เมื่อหลักการเป็นแบบนี้ ก็ต้องคิดแบบนี้ หลักการนี้ เค้าประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2544 ขนาดว่า ก่อน Shell ขายหุ้นคืนให้ ปตท. ถึง 3 ปี แสดงว่า หลักการนี้ใช้แล้ว ไม่ได้ทำให้โรงกลั่นได้กำไรมากขึ้น ไม่งั้น Shell คงไม่ขายให้ จริงมั้ยครับ อ้อ แล้วที่คุณไปตอบกระทู้อื่นว่า Shell ในไทยไม่มีแล้ว ผมขอย้ำเหมือนเดิมว่า Shell ในไทยยังมีอยู่ ทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมันอย่างเดียว จากคุณ : P_Wut - [ 17 มิ.ย. 51 06:53:34 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบคุณหน่อง ทำไมราคาในไทย ต้องเป็นสูตร ราคาตลาดสิงคโปร์+ค่าขนส่ง รบกวนอ่านกระทู้นี้ดูครับ http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V6655783/V6655783.html แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 51 06:55:53 จากคุณ : P_Wut - [ 17 มิ.ย. 51 06:55:05 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ P_WUT ระวังจะมีคนหาว่าคุณเป็นคนของ PTT นะครับ :) จากคุณ : Super Angulon - [ 17 มิ.ย. 51 07:13:08 ]

ความคิดเห็นที่ 22 กระทู้นี้ขอเป็นผู้ชมเฉยๆละกัน .... พอดีช่วงนี้ผมกำลังตามเรื่อง LPG อยู่ว่าจะมีการใช้กำลังภายในอะไรกันอีกหรือเปล่า จากคุณ : บอย@สาธร - [ 17 มิ.ย. 51 08:21:26 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ชอบครับกระทู้นี้ได้ความรู้ดี จากคุณ : Created - [ 17 มิ.ย. 51 08:27:10 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าอย่างนั้นเราน่าจะต้องอิงฐานเงินเดือนเรากับสิงคโปร์บ้างแล้วหล่ะ เพราะน้ำมันที่โน่นลิตรละเท่านี้เท่าไทย แต่เงินเดือนสตาร์ทปริญญาตรีบ้านเขาอยู่ที่ 5 หมื่นบาท (ขณะที่เรา 1 หมื่นบาท) เราอิงทุกอย่างให้เหมือนเขาซะเลย ทั้งค่าครองชีพ เงินเดือน ทีนี้ก็จะไม่มีคนบ่นว่าทำไมต้องอิงกับสิงคโปร์ แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 51 08:55:12 จากคุณ : Urban_Park - [ 17 มิ.ย. 51 08:54:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ชอบเหมือนกันอ่านแล้วรอยหยักในสมองลดลง เอ๊ะ! จากคุณ : แจกันช่างฝัน (แจกันช่างฝัน) - [ 17 มิ.ย. 51 08:54:44 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่รู้จะเชื่อใครแล้ว.................. ตอกันไป......ตอกันมา................ จากคุณ : sagurahi - [ 17 มิ.ย. 51 08:57:13 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อ่านๆ ไปเริ่มคล้อยตาม คุณ P_Wut สะแล้ว ... แต่ถึงจะคล้อยตาม ผมก็อยากใช้น้ำมันราคาถูกอยู่ดี ... เรื่อง ปตท เอากำไรจากค่ากลั่น หรือ ค่าบริหารงาน ผมไม่สนหรอกครับ เพราะมันสมเหตุ สมผล ... ถามจริงๆ ถ้าน้ำมันดิบ ขึ้นไปถึง 250 US$ และ ปตท ลดค่าการกลั่นลง ลิตรละ 10 บาท(เอาแบบว่า บริษัท แทบเจ้ง ไปเลย) คิดว่าราคาน้ำมันมันจะอยู่ที่เท่าไร??? ใครได้ผลประโยชน์กันแน่ ปตท, คนไทย, บ่อน้ำมัน(น้ำมันดิบ), หรือ นักเก็งกำไร??? ปัญหาที่ผมคิดก็คือ ทำไมน้ำมันดิบ มันถึงต้องแพงขนาดนี้??? ไม่มีอะไรมาควบคุมราคาน้ำมันดิบเหรอ??? นึกจะปั่นราคาให้ขึ้นไปเท่าไรก็ได้เหรอ??? ปตท(ผู้ถือหุ้น) มีส่วนทำให้น้ำมันดิบขึ้นราคาหรือเปล่า??? ถ้าควบคุมราคาน้ำมันดิบไม่ได้ เราต้องหาพลังงานทดแทน แต่ทำไมรัฐบาลมุ่งเน้นไปที่ ไบโอดีเชล, แก๊สโซฮอล, LPG และ NGV พลังงานพวกนี้ผู้ค้าน้ำมัน ก็ยังได้ผลประโยชน์อยู่ดี จากคุณ : Pisa - [ 17 มิ.ย. 51 09:05:13 A:58.8.151.80 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 จาก #1ย่อหน้าที่3 บอกว่าต้องอ้างอิงราคาสิงคโปร์เพราะถ้าราคาน้ำมันในประเทศตั้งต่ำกว่าของสิงค์โปร โรงกลั่นจะส่งน้ำมันออกขาย ทำให้เกิดการขาดแคลน ตรงนี้ผมไม่เห็นด้วยนะ ปตท.ถือหุ้นใหญ่โดยรัฐบาลไม่ใช่หรือครับ ทำไมรัฐไม่สั่งโรงกลั่นในเครือไม่ให้ส่งออก หรือจำกัดการส่งออก ล่ะครับ ลดกำไรของ ปตท ลงเล็กน้อย แต่ลดปัญหาให้ทั้งประเทศได้ ไม่คุ้มหรือครับ แล้วเราจะมี ปตท.ไปทำไม แล้วเราจะมีโรงกลั่นในประเทศไปทำไม ในเมื่อมีโรงกลั่นแปรรูปจากน้ำมันดิบเอง แล้วยังต้องซื้อกันที่ราคาเดียวกับที่เค้าขายกันนอกประเทศ  เหมือนคุณมีหม้อหุงข้าว หุงข้างกินเองได้ แต่เก็บ เงินจากสมาชิกในบ้านราคาเดียวกับร้านข้าวแกงปากซอย ลดค่าน้ำมันลงเท่าที่เป็นไปได้  -> ลดต้นทุนขนส่ง -> ลดการขึ้นราคาสินค้า -> ลดเงินเฟ้อ -> ลดค่าครองชีพ เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศก็ยังพอประคับประคองให้ผ่านวิกฤตน้ำมันแพงไปได้ ทำไมไม่วางนโยบายคุมราคาน้ำมันให้พอเหมาะกับเศรฐกิจกระเป๋าเงินของประชาชน ในเมื่อระบบขนส่ง มวลชนเรายังไม่พร้อม ประชาชนไม่มีทางเลือก หมู่บ้านกระจายตัวไปจนเต็มรอบชานเมืองกรุงเทพแต่ระบบ ขนส่งมวลชนยังกระจุกตัวแค่ใจกลางเมืองกรุง จากคุณ : no time to lose - [ 17 มิ.ย. 51 09:13:20 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คห.18 ดูตามลิงค์นี่ครับ...น้ำมันอเมริกา ราคาขายสูงสุดที่ แคลิฟอเนีย แกลลอนละ 458 เซ็นต์(เฉลี่ยลิตรละ 116 เซ็นต์ หรือ 1.16 เหรียญสหรัฐ = 33 บาทไทย) นี่เป็นราคาหน้าปั้มแล้วนะครับ ไม่ใช่ราคาโรงกลั่น.... http://tonto.eia.doe.gov/oog/info/gdu/gasdiesel.asp จริงๆ ผมว่า น้ำมันราคาก็ไปตามตลาดโลกนั่นแหละ..แต่ปัญหาคือ รายได้ประเทศเรามันต่ำครับ...เลยรู้สึกว่าน้ำมันแพง อเมริกา ยุโรป ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ประมาณ 4 - 6 หมื่นบาทไทย เขาจะเติมน้ำมันลิตละ 35-60 บาท ก็ไม่เท่าไหร่(แต่มันก็ยังประท้วงเลย -*- ) แต่รายได้ขั้นต่ำประเทศเราอยู่ที่ 6 พันบาทเท่านั้นเอง แล้วเติมน้ำมันเท่ากับอเมริกา ....ตายห่านสิครับ.... ประเทศเจริญแล้ว รายได้ไม่ห่างกันมาก เช่น บ้านเรา ยามได้ 6 พัน ผู้จัดการบริษัทได้ 6 หมื่น(ห่างกันสิบเท่า) แต่อเมริกา ยามได้ 6 หมื่น ผู้จัดการได้ 2.4 แสน(ห่างกัน 4 เท่า) จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 17 มิ.ย. 51 09:21:39 ]

ความคิดเห็นที่ 30 จาก #7 สัดส่วนกำไรจากโรงกลั่น 20% ของ ปตท.ถือว่าไม่น้อยนะครับ คิดกำไรหลังจากหักต้นทุนแล้ว สมมุติว่า ปตท ปีนี้กำไร 180000 ล้านบาท เฉพาะในส่วนโรงกลั่นจะกำไร 20% หรือ 36000 ล้านบาท เลยนะครับ  ลดกำไรลงมาสักครึ่งนึงเหลือกำไร 18000 ล้านบาท โรงกลั่นก็น่าจะอยู่ได้ไม่ใช่หรือครับ จากคุณ : no time to lose - [ 17 มิ.ย. 51 09:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ แม้จะไม่ทราบแหล่งอ้างอิง จากคุณ : ผมใช้ชื่อนี้ (ผมใช้ชื่อนี้) - [ 17 มิ.ย. 51 09:38:24 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ P_Wut ผมจะไปหาซื้อน้ำมันดิบมากลั่นใช้เองได้จากที่ไหนบ้างครับ จากคุณ : . - [ 17 มิ.ย. 51 09:41:49 A:58.64.62.23 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 คิดเหมือนความเห็น 38 ครับ  ทรัพยากรของบ้านเรา แต่ขายราคาสิงคโปร์ ถ้าขายต่ำจะส่งออกหมด รัฐทำอะไรอยู่ครับ ขายต่ำกว่าไม่ใช่ถูกเกินจริง ทุกคนในประเทศได้ประโยชน์จากตนทุนที่ไม่สูงเกินไป สินค้าแข่งกับต่างชาติได้  ทุกคนรับประโยชน์  แต่ถ้าขายเท่าที่สิงคโปร์ ทุกคนในประเทศรับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น  ปตท.กำไรมากขึ้นแต่รัฐถือบางส่วน อีกส่วนนักลงทุนรวมต่างชาติด้วย ก็รับกำไรออกนอกประเทศไป  (ประชาชนส่วนใหญ่ทั้วไปก็รับผลตอบแทนแค่ 51 % ตามที่รัฐถือ)    อย่าไปดูแค่โรงกลั่น ค่าการกลั่นครับ  ค่าการกลั่นก็เถอะตัวเลขกำไรต่อหน่วยน้อยอย่า ลืมเรื่องปริมาณด้วยครับ  ส่วนเรื่องค่าการกลั่น ลองมองดูภาพรวมครับ ไม่ใช่ส่วนโรงกลั่นอย่างเดียว  ส่วนที่สำรวจผลิตมาขายโรงกลั่น ตัวนั้นก็มีกำไรนะครับ(น้ำมันดิบ ก๊าซ ) ส่วนที่เหลือจากน้ำมัน ก็ขายได้เอามาร่วมกันซิครับ แล้วคิดราคาที่มันไม่สูงเกินไป ถ้าคุณทำกำไรเยอะก็ส่งออกนอกเยอะนะครับ จากที่มีต่างชาติถือหุ้นอยู่ ทรัพยากรของบ้านเรานะครับ     อยากให้หาหนังสือ " ทาสความคิด " มาลองอ่านดูครับ อาจได้แนวคิดบางอย่างครับ หรือประสบการณ์จากประเทศต่างๆ บราซิล อาร์เจนติน่า มาอ่านดูครับ จากคุณ : don't panic (RoAdSidE) - [ 17 มิ.ย. 51 09:51:45 ]

ความคิดเห็นที่ 34 555 เข้ามาขำ คห.บน ^^^ แล้ว E100 เมืองไทยจะเกิดมั้ยครับ เพราะเชื่อว่า ปตท. ไม่ไดำกำไรจากส่วนนี้ แล้วมันจะเกิดได้มั้ยเนี่ย !!! จากคุณ : idEA** - [ 17 มิ.ย. 51 09:52:20 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ตอบ คห.28 ปตท. มีหุ้นใหญ่ในโรงกลั่น 7 โรง เท่านั้นครับ โรงกลั่นโรงอื่น เป็นของบริษัทเอกชนอื่นๆ ซึ่งถ้า ราคาที่สิงโปร์ดีกว่า เค้าก็เอาไปขายที่สิงค์โปร์ น้ำมันในประเทศขาดแคลนครับ จากคุณ : mr_toy - [ 17 มิ.ย. 51 10:07:20 ]

ความคิดเห็นที่ 36 แล้วอย่าลืมนะครับ 51% ที่ได้ผลประโยชน์นั้น เป็นของ คนไทย(บางคน) ไม่ใช้ของคนไทย(ทุกคน) ถ้ามันเป็นผลประโยชน์ของทุกคนจริง คนอย่างผมหรืออย่างหลายๆคนคงไม่เดือดร้อนค่าน้ำมันมากขนาดนี้ บ้านผมทำธุรกิจส่งของนะ ได้รับผลกระทบเต็มๆ น้าผมทำเกี่ยวกับประมง ก็ไม่ต้องทำกินกันแล้วตอนนี้ ออกเรือขาดทุนเข้าเนื้อ อยู่บ้านเฉยๆ ไม่เจ็บตัว จากคุณ : sine - [ 17 มิ.ย. 51 10:14:42 A:222.123.241.181 X: TicketID:172759 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อ่าน คห คุณ X แล้ว นึกอยากพูดอะไรซักอย่างครับ จริงอยู่ พวกทำงาน ปตท หรือ บริษัท น้ำมันต่างๆ บนดลกนี้เงินเดือนแต่ละท่านไม่ใช่น้อย ผมถามคุณ X กลับ นะครับ คุณรู้ไหมว่าคนเหล่านั้นกว่าจะเข้าไปทำงานในองค์กรแบบนั้นได้ เค้าต้องจบขนาดไหน เพื่อนผมคนนึงทำงานที่ Exxon โอเคครับไม่เถียงเงินเดือนเป็นแสน แต่ผมก็ไม่เคยอิจฉามัน เพราะ มันเรียนได้ระดับเกียรตินิยมอันดับ 1 ทุกเทอม แถมดีกรีมาสเตอร์จากมหาลัย NYU เค้าก็สมควรได้รับค่าจ้างระดับนั้นอยู่แล้วนิครับ อ้อ มาตรฐาน บริษัท พวกนี้เค้าคัดเกรดคนทำงานครับ ต้องระดับ A++ ถ้าคุณอยากได้เงินเท่าเค้าคุณก็ลองดูสิครับว่าคุณระดับเดียวกับเค้ารึเปล่า ถ้าระดับเดียวกันก็ลองไปสมัครดูสิครับ จากคุณ : Vincent Vega - [ 17 มิ.ย. 51 10:16:16 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ผมสงสัยเรื่องค่าการกลั่น อ่านเจอที่ไหนไม่รู้บอกว่าตอนนี้ได้ 13$ ทั้งที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8$ ตามเอกสาร แสดงว่าเรียกว่าฟันกำไรกันพุงปลิ้นเลย แล้วโรงกลั่นส่วนใหญ่เป็นของใคร ปตท? พลังไทย เพื่อไทย? จากคุณ : BeastGuy - [ 17 มิ.ย. 51 10:24:13 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อยากให้ทุกท่านเมื่อได้รับฟัง  ได้อ่าน  หรืออะไรก็แล้วแต่  ลองตรวจสอบข้อมูลกันดูครับ   ในห้องรัชดา  แต่ไหนแต่ไร  เป็นห้องที่เราคุยกันอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล  ใครเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย  ก็ยกข้อมูล  ข้อเท็จจริง ขึ้นมาโต้แย้งกัน    เมื่อทุกคนได้เห็นข้อมูลแล้ว  จะตัดสินอย่างไร  ก็คงเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลครับ ดังนั้น  ขอร้องสำหรับท่านที่จะเข้ามา post กระทู้  โปรดทำใจให้เป็นกลาง  แล้วลองตรวจสอบ  ค้นหาข้อมูลต่างๆ ด้วย   สังคมจะน่าอยู่   ถ้าพวกเราทุกคนช่วยกันครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 17 มิ.ย. 51 10:33:32 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เฮ้อ.....!!! จากคุณ : natty_luck - [ 17 มิ.ย. 51 11:06:06 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าเป็นตาม คห.35 จริงๆ แล้วผมเป็นนายกรัฐมนตรี จะสั่งเฉียบขาดเลย โรงกลั่นไหนที่ลักลอบ หรือกระทำการส่งน้ำมันออกขายไปต่างประเทศ รัฐจะทำการยึดกิจการโรงกลั่นให้หมด ต้องลงโทษมันให้รู้ลึก ผมจะออกกฏห้ามไม่ให้โรงกลั่นทุกโรงขายน้ำมันให้ต่างประเทศ และสั่งให้ขายในระดับราคาที่ควรจะเป็น จากคุณ : . - [ 17 มิ.ย. 51 11:16:13 A:58.64.62.23 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 ตอบ. 35 ครับ ใช่ครับมีโรงกลั่นอื่นอีกที่ ปตท.ไม่ได้ถือ แต่เอาแค่ Top ตัวเดียวปริมาณ ก็เกือบ 70 % ของตลาดแล้วครับ นอกนั้นก็เล็กๆครับ อย่างesso ก็ประมาณ 16 % ครับ จากคุณ : don't panic (RoAdSidE) - [ 17 มิ.ย. 51 11:26:53 ]

ความคิดเห็นที่ 43 สมมติ ปตท. ลดค่าการกลั่น ค่านู่นนี่ลงไปให้  ราคาน้ำมันลงไป 5 บาท แล้ววันดี คืนดี ราคาน้ำมันโลกขึ้นไปเรื่อยๆ จนมันแพงเท่าเดิม หรือแพงกว่าเดิม แล้วจะทำไงกัน ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ ปตท. อย่างเดียวแล้ว ปัญหาคือ น้ำมันในตลาดโลก มันแพง จะเพราะปั่น เพราะมันจะหมด ก็ไม่รู้ แต่มันแพงขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศให้มันดีขึ้น ให้คนไทยมีเงินมากขึ้น ต้องทำระบบขนส่งมวลชน  ไม่ใช่มัวขัดแข้งขัดขา จะประมูลทีก็จับผิด ประมูลเสร็จก็จับผิด โครงการมันก็ไม่เกิดซะที  ค่าก่อสร้าง ค่าเหล็ก ค่าเสียเวลาที่เสร็จช้า ช้าไปปี 1 คิดดูว่าผลาญน้ำมันไปอีกเท่าไหร่ ตอนนี้คือต้องช่วยกันผลักให้มันเกิด จากคุณ : EITHER - [ 17 มิ.ย. 51 11:26:54 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อ้าว คห.41 ประเทศไทยไม่ใช่พม่านะครับ จากคุณ : mr_toy - [ 17 มิ.ย. 51 11:28:11 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เห็นด้วยกับคุณ no time to lose ความคิดเห็นที่ 28 กับท่านอื่นๆเกี่ยวกับการอ้างอิงราคาน้ำมันดิบที่สิงคโปร์ หาก ปตท. ประกาศตัวออกมาชัดเจนเลยว่าท่านเป็นบริษัทมหาชน ประกอบกิจการก็เพื่อผลกำไรขององค์กร และผู้ถือหุ้น คนไทยอย่างดิฉันจะทำใจก้มหน้ารับกรรมกับภาวะน้ำมันแพงได้มากกว่านี้ค่ะ ถ้าจะพูดว่าพลังไทยเพื่อไทย ก็ช่วยวงเล็บด้วยว่า (บางคน) อย่าที่คุณ shine ว่าไว้ในความเห็นที่ 36 จากคุณ : ป้าแซม - [ 17 มิ.ย. 51 11:55:05 A:172.29.16.125 X:202.151.4.101 ]

ความคิดเห็นที่ 46 แค่ไปแทรกแซง 7 โรง ที่มีอยู่ ก็โดน ประนามแล้วครับ เมื่อต้นเดือนนี่เอง จากคุณ : mr_toy - [ 17 มิ.ย. 51 11:55:33 ]

ความคิดเห็นที่ 47 น่าจะมีข้อมูลอีกด้าน (ที่ไม่ได้มีแต่ข้อมูล บริษัทพลังงานของไทย) มาชี้แจงแก้ต่างบ้าง  เพราะเห็นแต่จะมีข้อมูลอยู่ด้านเดียว ที่แสดงให้เห็นโน้มน้าวไปทางบริษัทพลังงานของไทย  ไม่รู้ว่าเพราะหน่วยงานที่ให้ข้อมูล มีผลประโยชน์ร่วมกันหรือปล่าว  (ไม่รู้ว่าหน่วยงาน กับ บริษัทพลังงาน เกี่ยวข้องกันมากน้อยขนาดไหน)    ใครพอจะมีข้อมูลอีกด้านมาชี้แจงแก้ต่างบ้าง รบกวนด้วยครับ  ตอนนี้เห็นจะมีแต่ฟังความข้างเดียวมาตลอด แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 51 12:01:17 จากคุณ : Chaeh - [ 17 มิ.ย. 51 11:59:31 ]

ความคิดเห็นที่ 48 จะเริ่มจากไหนดีครับ เอา cost + กับ reference price ก่อนแล้วกัน มันมักถูกใช้เป็นข้ออ้าง ของนักลงทุนมาตลอด แต่จริงๆการบริหารประเทศในฐานะรัฐบาล ถ้ามันมองเชิงการลงทุนอย่างเดียวโดยไม่มองด้านรัฐศาสตร์ ก็ออกไปเถอะ ถือว่ามันไม่มีปัญญาบริหารน่ะ ถ้าเอาตามที่บอกในหน้าแรก คือใช้ reference price มันเหมาะกับ ตลาดเสรีแบบ ideal จริง คือรัฐบาลไม่มีปัญญาทำอะไร หรือมีแต่ไม่อยาก จะทำ หมายความว่ายังไง ถ้าทำเป็น Cost+ ได้แล้วมันเกิดประโยชน์ แล้วทำไมไม่ทำครับ ทำได้อย่างไร ผมก็พูดไปหลายครั้งแล้ว แล้ว paper นี่ยังงี่เง่าเอาไปเทียบกับราคาสินค้าเกษตรอีก เหมือนกับ เอาศัพท์นายทุนมาหลอกคนอ่านไปวันๆ ดูถูกว่าเค้าไม่มีสมองคิด สินค้าเกษตรมันคำนวนต้นทุนยากมากนะครับ โดยเฉพาะถ้าไม่มี ระบบการจัดการที่ดี แล้วอีกอย่างนึง สินค้าเกษตร ราคาไม่ดี เล่นตัวไม่ขายไม่ได้ เพราะมันจะเน่า พ่อค้าคนกลางกำหนดราคามา เท่าไหร่ก็ต้องขายดังนั้นมันเลยโดนบีบให้ใช้ระบบ reference price ไปโดบปริยาย ในขณะที่น้ำมัน ลักษณะสินค้ามันจะกำหนดราคาขาย แบบใดก็ได้ ถ้ารัฐบาลมีปัญญาควบคุม (ซึ่งดูที่มันนั่งหัวโด่อยู่ ออกจะหนัก ไปทางไม่ค่อยมีซะมากกว่า tool ที่มีก็ทำให้มันไม่มีซะ แถมยัง ฉลาดน้อยโดนนั่งเป่าหูอยู่อีก) เอาเรื่องถัดมา ค่าการกลั่นที่เหมาะสมอยู่ที่ 1.6 บาทต่อลิตร ตอนนี้มัน 2 เท่านะครับ 3.2 บาทกว่า กำไรจากโรงกลั่นที่ผมเคยบอกไป ว่าหลายหมื่นล้านอยู่ก็ไปหมกอยู่ใน 57000 ล้านนั่นแหละ แล้วค่อยมาบอกว่ากำไรจากน้ำมันน้อย ว่าก็ว่าเถอะ กระทู้ที่แล้วที่ไปขุดมาให้ดู ถูกมือดีที่ไหนดอดลบไปก็ไม่รู้ จากคุณ : dark archon (Dark Archon) - [ 17 มิ.ย. 51 12:14:37 ]

ความคิดเห็นที่ 49 http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V6617892/V6617892.html มือดีที่ไหนมันลบไปเนี่ย อ้ออีกเรื่องนึงครับ ที่มันจะพูดว่า margin มันน้อยอ่ะ จริงๆมันควรจะเทียบ ค่าการกลั่น 3.2 บาท กับราคาหน้าโรงกลั่นที่ 26-28 บาทนะครับ เพราะ 11 บาท น่ะภาษี เก็บมาเท่าไหร่ ก็จ่ายเข้าหลวงไปเท่านั้น โดยไม่ต้องลงทุนอะไร margin ค่าการกลั่นจริงๆมันทะลุ 10% ขึ้นไป หลายอยู่ จากคุณ : Dark Archon - [ 17 มิ.ย. 51 12:21:38 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เรื่องราคา + ค่าขนส่งนี่ก็อีกเรื่องนึง มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลซักเท่าไหร่ ถ้าเราไม่มีโรงกลั่น จะตั้งราคาแบบนั้นก็ตั้งไป แต่ถ้าเรามีโรงกลั่น ทำไมต้อง ตั้งราคา reference + ค่าขนส่งครับ เราไม่ใช่กัมพูชานะครับ ที่ไม่มีโรงกลั่นน่ะ แล้วขอบอกว่าถ้าใช้การกำหนดราคาแบบ cost + ปัญหานี้มันก็จะหมดไป ถ้าน้ำมันในประเทศมันผลิตได้ไม่พอ ต้องนำเข้า มันก็เป็น factor นึง ใน cost ทำบัญชีชัดเจน แล้วก็ + mark up เข้าไป ก็แค่นั้นเอง เด๋วนี้มันลามไปถึง ethanol แล้วนะ มันสมเหตุสมผลรึเปล่า ที่เอาราคา บราซิล + ค่าขนส่งจาก บราซิล มาไทย เป็นราคา reference น่ะ บ้าชะมัด จากคุณ : Dark Archon - [ 17 มิ.ย. 51 12:27:58 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ลองไปช่วยดูความเห็นคนนี้ประกอบด้วยละกันนะครับ   นายอัมมารกล่าวว่า ปัญหาที่สองคือ ราคาน้ำมัน รัฐบาลดำเนินการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับที่พอใช้ได้ โดยให้เกรดบีลบ เพราะมีประสบการณ์จากรัฐบาลที่แล้ว ที่ไปอุดหนุนราคาน้ำมันจนเป็นภาระหนี้ กว่าจะลดหนี้ได้ก็มาถึงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ การทำแบบนั้นไม่ได้เกิดประโยชน์ และรัฐบาลนี้มีนโยบายที่ดี เช่น การอุดหนุนรถเมล์ ซึ่งเป็นนโยบายที่เล็ก แต่ดี แต่ส่วนตัวไม่ชอบนโยบายที่ทำต่อบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งทางการถือหุ้นส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งก็ถือหุ้นโดยเอกชนไปแล้ว การไปบอกให้ ปตท.ปรับลดราคา เหมือนกับผู้ถือหุ้นใหญ่กำลังขูดรีดผู้ถือหุ้นรายย่อย เป็นบทบาทที่ขัดแย้งกัน จากคุณ : sunsetbeach - [ 17 มิ.ย. 51 12:29:49 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ^ ^ เค้าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ หรือ รัฐศาสตร์ ครับ วันก่อนดูข่าวที่ประท้วงราคาน้ำมันในประเทศอื่น ถึงได้รู้ว่าที่อื่น เค้าก็อุดหนุนราคาน้ำมันกันเหมือนกัน แต่จำไม่ได้ว่าประเทศไหนบ้าง แต่อยู่ในยุโรปทั้งนั้นแหละ แต่ผมไม่หนับหนุนเรื่องการอุดหนุนราคาหรอก แต่อยากให้มี กลไกมาควบคุม ไม่ใช่นั่งฟังเจ้าของโรงกลั่นไม่กี่คน มาเป่าหูไปวันๆ ฟังแล้วอยากไปเป็นคนซักซะเจงๆ จากคุณ : Dark Archon - [ 17 มิ.ย. 51 12:47:16 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ผมเชื่อว่า ธุรกิจทุกชนิด มี "หมกเม็ด" ครับ.... ขนาดไปถามแม่ค้าส้มตำว่า "รายได้วันละเท่าไหร่" ...สมมุติว่าขายได้กำไร 1000 บาท จากยอดขาย 1600 บาท(ทุน 600 บาท) มีคนจะบอกไหมครับว่า "ฉันขายได้กำไร 1000 บาท ทุน 600 บาท" ......-*-.....มีแต่คนโง่ล่ะมั้ง.... มีแต่จะบอกว่า "กำไรก็พอได้" ถ้าคาดคั้น ก็จะบอกว่า "ประมาณ 3-400 แหละ วันนึงหักต้นทุนไปแล้วกกำไรประมาณนี้" ..... ผมไม่เชื่อจริงๆครับว่าจะมีกำไรตามที่ว่าจริงๆ หรือ ต้นทุนตามที่ว่ามาจริงๆ....ต่อให้เป็นบริษัทมหาชนหรืออะไรก็ตาม บัญชี มันเปลี่ยนกันได้ จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 17 มิ.ย. 51 13:24:50 ]

ความคิดเห็นที่ 54 อ่านแล้ว ฟัง     ไม่        ขึ้น นะ เจ้า    คน ไทย  สมอง  เมือง   ขึ้น จากคุณ : KU_EE - [ 17 มิ.ย. 51 13:25:16 ]

ความคิดเห็นที่ 55 อืมม คราวนี้ สนุกแน่ น้ำมัน อ้างอิง สิงค์โป ก แกส อิงตลาดโลก ต่อไป แรงงานประท้วงเอาแรงงานขั้นต่ำเทา สิงค์โป ก มั่ง ชาวนาประท้วง ขายข้าวราคาตลาดโลกมั่ง หลังจาก 2 ชนขั้นนี้ โดนกดขี่ จาก เจ๊กพ่อค้าเมืองไทยมานาน ต่อไป สนุกแน่ๆ จากคุณ : ก้นกบ - [ 17 มิ.ย. 51 13:58:01 ]

ความคิดเห็นที่ 56 จริงๆ ก็ทำกันได้นะครับ   มันเป็นตลาดเสรี ถ้าชาวนาร่วมมือกันไม่ขายข้าวออกไป  จนกว่าจะได้ราคาที่ต้องการ   ข้าวมันก็ราคาขึ้นเอง   แล้วก็เช่นเดียวกัน   ภาคแรงงาน  ถ้าคุณบอกว่า  ถ้าไม่ได้เงินเดือนตามที่คุณต้องการ  คุณก็ไม่ไปทำ   เป็นสิทธิของคุณเลยนะครับ  ที่จะทำได้   เพียงแต่ว่า  ถ้ามีคนอื่นยอมไปทำแทนคุณ   คุณก็ตกงานเท่านั้นเอง แต่ขอบ่นเรื่องข้าวหน่อยเถอะ   ตอนข้าวราคาข้าวขึ้นไปสูง   ใครกันที่ออกมาเรียกร้องว่า ข้าวแพง    พวกคุณๆ ไม่ใช่เหรอ   พอรัฐบาลเข้าไปแทรกแซงให้ราคาข้าวต่ำลง  ชาวนาก็ประท้วงอีก   มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ   ที่ชาวนาจะขายข้าวเปลือกได้แพง  แต่ข้าวสารราคาถูก   ยกเว้นจะมีคนไป subsidize ส่วนต่าง   แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 51 14:10:03 จากคุณ : sunsetbeach - [ 17 มิ.ย. 51 14:05:40 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ความคิดเห็นที่ 51   ลองไปช่วยดูความเห็นคนนี้ประกอบด้วยละกันนะครับ   นายอัมมารกล่าวว่า ปัญหาที่สองคือ ราคาน้ำมัน รัฐบาล ดำเนินการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับที่พอใช้ได้ โดยให้ เกรดบีลบ เพราะมีประสบการณ์จากรัฐบาลที่แล้ว ที่ไปอุด หนุนราคาน้ำมันจนเป็นภาระหนี้ กว่าจะลดหนี้ได้ก็มาถึง รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ การทำแบบนั้นไม่ได้เกิด ประโยชน์ และรัฐบาลนี้มีนโยบายที่ดี เช่น การอุดหนุนรถ เมล์ ซึ่งเป็นนโยบายที่เล็ก แต่ดี แต่ส่วนตัวไม่ชอบ นโยบายที่ทำต่อบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งทางการ ถือหุ้นส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งก็ถือหุ้นโดยเอกชนไปแล้ว การไปบอกให้ ปตท.ปรับลดราคา เหมือนกับ  ผู้ถือหุ้น ใหญ่กำลังขูดรีดผู้ถือหุ้นรายย่อย  เป็นบทบาทที่ขัด แย้งกัน จากคุณ : sunsetbeach ^ ^ ^ ^ ^ ^ ที่เน้นตัวหนาไว้ ขอรายละเอียดด้วยครับ ว่าใครเป็นใคร ผมจะได้ช่วยประ นามด้วยคน ทำไมมาขูดรีดกันแบบนี้ ต้องประนามกันหน่อย จากคุณ : SONGHONG - [ 17 มิ.ย. 51 14:27:27 ]

ความคิดเห็นที่ 58 นายอัมมารกล่าวว่า ปัญหาที่สองคือ ราคาน้ำมัน รัฐบาลดำเนินการกับปัญหา ที่เกิดขึ้นในระดับที่พอใช้ได้ โดยให้เกรดบีลบ เพราะมีประสบการณ์จากรัฐบาลที่แล้ว ที่ไปอุดหนุนราคาน้ำมันจนเป็นภาระหนี้ ทำไม ลองนึกดูดีๆเป็นสเตป เอาเงินภาษีของคนทุกคนในประเทศไปจ่ายเพิ่มให้กับราคาน้ำมัน เพื่อให้บริษัทมีกำไร แล้วก็แบ่งกำไรแค่ 51 % กลับคืนมา อีก 41 % เป็นของนักลงทุนและต่างชาติ ลองนึกดูคิดแบบคราวๆ ตีเป็นกำไรอย่างเดียว เงินก็หายไปเกือบ 50 %แล้ว กว่าจะลดหนี้ได้ก็มาถึงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ การทำแบบนั้นไม่ได้เกิดประโยชน์ กว่าจะลดได้นี่ประชาชนทุกคนต้องรับผิดชอบนะครับ คื่อจ่ายแพงเพื่อเอาไปลดหนี้ นั่นคือรับต้นทุนแพงกันหมด ไม่ใช่ใครมาจ่ายให้นะครับ ทำไม ไม่มีใคร มาแตะตรงนี้เลย กำไร กำไรของบริษัทพลังงานเพื่อคนไทย ก็ไม่ต้องเอาภาษีไปแบ่งเป็นกำไร ให้มันน้อยลงด้วย เหมือนกับผู้ถือหุ้นใหญ่กำลังขูดรีดผู้ถือหุ้นรายย่อย เป็นบทบาทที่ขัดแย้งกัน ในโลกเสรีถ้าคุณ ไม่ชอบวิธีบริหารคุณก็ไม่ต้องไปถือหุ้นบริษัทนั้นซิ ถ้าผลตอบแทนมันน้อยกว่าแหล่งอื่นก็ขายแล้วเอาไปทำหรือลงทุนบริษัทอื่นที่ผลตอบแทนมันมากกว่า ค้าเสรีจริงมันก็แค่คำพูดเวลา ฝรั่งจะเข้ามาหาประโยชน์ในบ้านเรา แต่เวลาเรา มั้งเค้าก็มีข้อจำกัดกีดกันเรา ไม่ว่าจะเรื่องมาตฐานต่างๆ เงินอุตหนุนหรือจิปาถะ ถ้ายังจำได้นะครับ ช่วงแปรรูป ปตท. เป็นกิจการที่มีกำไรมีผลตอบแทนดีครับ แต่เจ้าของ ปตท.คือประเทศไทย (ผ่านกระทรวงการคลัง) มีปัญหาครับ ถ้าจำกันได้นะครับ หรือกลับไปค้นดู ต้องเข้าโครงการของ IMF (กู้เงินนั่นแหละ) ฝรั่งก็บังคับ(ขั้นตอนการกู้เงินก็ต้องทำหนังสือ ว่าต้องทำอะไรบ้างนั่นแหละ ให้ขายทรัพย์สินเพื่อมาชำระนี้ นึกดูทรัพย์สินที่จะขายได้ เวลาเรามีปัญหาการเงิน ก็คือทรัพย์สินที่ดีอยู่ และมีคนต้องการ และเน้นๆ ว่าฝรั่งเองก็ต้องการเข้ามาลงทุนด้วยเพราะมันเป็นธุรกิจผูกขาดเดิมเป็นของรัฐ ลองไล่ดูซิที่ฝรั่งให้เราแปรรูป(ขาย)เพื่อที่ต้องการเข้ามาซื้อประเภทใหนบ้าง และในข้อตกลงยังห้ามเข้าไปควบคุมราคาด้วยเพราะเป็นเสรี (จริงๆเพื่อป้องกันหรือรัปประกัน ผลตอบแทนของตัวเองที่เข้ามาลงทุน) และก็กลายเป็นมีคนบางส่วนที่เห็นดีเห็นงามไปด้วยเพื่อตัวเองจะได้ผลประโยชน์ ในช่วงแปรรูป(รูปเศษเสี้ยว) กลายเป็นว่าตอนนี้ กำไรบางส่วนต้องส่งออกนอกประเทศจากเงินลงทุนของต่างชาติ ลองดูไล่ดูอาร์เจนติน่า บลาซิล แถวๆนั้นดูครับ ปัจจุบันเป็นอย่างไร ทุกอย่างแพงหมด ไฟฟ้า น้ำประปา ทรัพยากรของชาติตกอยู่ในมือต่างชาติหมด ต้นทุนแพงหมด แล้วก็ไปแข่งกับใครไม่ได้ แล้วสภาพสังคมเป็นไงบ้าง หรืออยากเป็นแบบนั้น จากคุณ : don't panic (RoAdSidE) - [ 17 มิ.ย. 51 16:04:05 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ไม่ได้เข้ามาเกือบ 1 วัน กระทู้วิ่งดีจริงๆ ข้อมูลต่อไปนี้ ผมจะให้เพื่อเป็นการตอบ หรือแก้ไขข้อมูล ที่บางคห. ถาม หรือมาตอบไว้ แต่ผิด นะครับ คห. 18 คุณ jobbabys น้ำมันในเมกา ลิตรละ 33 บาท ประมาณนั้น ถูกต้องแล้วครับ เมื่อไม่กี่วันนี้ มีคนเอาราคามาให้ดู เห็นว่า ราคา"เฉลี่ย" ของเบนซินหลายๆ เกรด อยู่ที่ 3.86 (หรือ 3.68 นี่แหละ) US$/Gallon ทีนี้ เอามาคำนวณเปลี่ยนหน่วยเป็น บาท/ลิตร จะได้ว่า = 3.86x33/3.785 = 33.65 บาทต่อลิตรครับ ตอบหลาย คห. เรื่อง โรงกลั่นในเครือ ปตท. ผมขอให้ไปดูที่กระทู้นี้ครับ http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V6677266/V6677266.html แม้ว่า ปตท. จะมีหุ้นอยู่ในโรงกลั่นถึง 5 โรง คือ ไทยออยล์ บางจาก PTTAR IRPC SPRC แต่ที่บริหาร สั่งการโดย ปตท.นั้น แค่ 4 โรงเท่านั้น คือ ไทยออยล์ บางจาก PTTAR  และ IRPC (ตรงตามข่าว 4 โรงกลั่น ที่ ก.พลังงานขอให้อุดหนุนน้ำมันดีเซล ลิตรละ 3 บาทให้แก่ภาคขนส่งมวลชนใน กทม. เป็นเวลา 6 เดือน) ทำไมถึงจะสั่งให้ขายราคาถูกกว่าไม่ได้? จะทำก็ทำได้ครับ แต่คนสั่งต้องเป็นรัฐบาลครับ เหมือนอย่างกรณีที่ ขอน้ำมันราคาถูกกว่าปกติ 3 บาทนี่แหละ แต่โรงกลั่นอื่นๆ เช่น ESSO , SPRC , ระยองเพียวฯ รัฐบาลสั่งไม่ได้ครับ ถามว่า แล้วถ้าสั่งแค่ 4 โรง อีก 3 โรงไม่ต้องสนใจ  น้ำมันที่ 4 โรงนี้ผลิต ไม่พอให้คนไทยใช้ครับ ESSO และ SPRC มีกำลังการกลั่นรวมกัน ราวๆ 30% ของกำลังการผลิตทั้งหมดในไทย ส่วนระยองเพียวฯ ไม่ต้องนับก็ได้ แค่ 1% เท่านั้น อีก 3 โรงจะส่งออกไปสิงคโปร์ หรือลูกค้าอื่นที่เค้าสั่งซื้อมา เช่น เวียตนาม กัมพูชา   แล้วรัฐบาลไทยก็ต้องไปสั่งซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์มา  ในราคาตลาดสิงคโปร์ + ค่าขนส่ง อีกที ที่คุณ no time to lose บอกว่า เอากำไรจากโรงกลั่นจำนวน 20% ของกำไรรวม 9.7 หมื่นล้าน ซึ่งก็ประมาณ 2 หมื่นล้าน  คุณรู้มั้ยว่า จะลดราคาน้ำมันลงได้กี่บาทต่อลิตร ? ทุกวันนี้ ยอดขายน้ำมันเฉพาะเบนซิน และดีเซลในไทย  ข้อมูลสถิติจากเว็บ http://www.doeb.go.th/th/information/information.html - เบนซิน 32 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 11,680 ล้านลิตรต่อปี - ดีเซล 50 ล้านลิตรต่อปี หรือ 18,250 ล้านลิตรต่อปี รวมแล้ว 72 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 29,930 ล้านลิตรต่อปี ให้เอากำไร 20,000 ล้านบาท เอาไปลดราคาน้ำมันให้หมด  ราคาน้ำมันทุกชนิดจะลดลงได้ลิตรละ 1.50 บาท   ลดได้เยอะมากๆ เลยครับท่าน ถ้าทำจริง ก็ไม่ต่างจากตอนอุ้มราคาน้ำมันปี 47 นั่นแหละ แค่ชะลอการขึ้นราคาน้ำมันได้ 7-10 วันเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 51 18:55:01 จากคุณ : P_Wut - [ 17 มิ.ย. 51 18:40:36 ]

ความคิดเห็นที่ 60 #57  ที่ผมเอามาให้ดูเพื่อบอกว่า  ขนาดรัฐบาลพยายามช่วยเหลือประชาชน   ยังมีคนมาบอกว่ารัฐบาลทำไม่ถูกเลย     แล้วยังใช้ประโคมข่าวเพื่อด่ารัฐบาลอีกต่างหาก จากคุณ : sunsetbeach - [ 17 มิ.ย. 51 18:52:17 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ต่อจาก คห. 59 ของผม เรื่องค่าการกลั่น จริงครับ ช่วงตั้งแต่เดือน ก.พ.ถึงปัจจุบันที่ผ่านมา ค่าการกลั่นมันขึ้นผิดปกติ อย่างในตารางโครงสร้างราคาน้ำมันรายวัน ในเว็บ http://www.eppo.go.th/retail_prices.html ค่า Average Refinery Margin มันจะโดดขึ้นมาแถวๆ 3 บาทต่อลิตร ซึ่งพอคิดเป็น US$/Barrel แล้วจะได้ = 3x158.9/32 = 14.90 US$/Barrel แต่ว่า มันก็ไม่ได้สูงแบบนี้ทุกวัน มันจะขึ้นๆ ลงๆ แต่เฉลี่ยแล้ว อยู่ 2.5 - 3 บาทต่อลิตรนี่แหละ เหตุที่มันสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันดีเซลมันถีบตัวแพงขึ้นจนผิดปกติครับ แล้วเป็นแบบนี้กันทั้งโลกด้วย สมัยปี 2006-2007 ช่วงกลางปี ราคาดีเซลกับเบนซิน 95 ที่ตลาดสิงคโปร์ มันจะพอๆ กันอยู่เลย หรือถ้าจะห่างกันก็ไม่เกิน 10% แต่ ณ วันนี้ เบนซิน 95 แค่ 135-140 แต่ดีเซล ล่อไป 165 US$/Barrel หรือจะ 20% อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่เป็นช่วงกลางปี ตอบคุณ Dark Archon โดยเฉพาะ เรื่องกระทู้ที่คุณบ่นว่าถูกลบ ผมไปไล่เปิดหน้ารัชดาแล้ว พบว่า หน้าสุดท้าย (หน้า 10) เลขกระทู้มันก็แถวๆ 661xxxx แล้วครับ แสดงว่า กระทู้คุณ น่าจะไม่ได้ถูกลบ แต่เพราะมันตกไปจนหลุดจากหน้ากระทู้รัชดาจำนวน 10 หน้าแล้วครับ (หน้าสุดท้าย ที่เห็นมีกระทู้เก่าๆ อยู่ด้วย เข้าใจว่า เป็นกระทู้ที่มีคนกดปุ่ม "เก็บเข้าคลังกระทู้" ไว้ และรอเอาเข้าคลัง หรือไม่ก็ เป็นกระทู้ที่มีคนโหวตเยอะๆ จนมันยังไม่หล่นไปจากหน้ารัชดาครับ) ผมเสียดาย ข้อมูลกระทู้นั้นใน history ของผม เพราะผมดันไปกด link ที่คุณโพสต์ไว้ แล้วมันก็เลยไปทับซะแล้ว เรียบร้อย ส่วนเรื่อง คห. Cost Plus ของคุณ  ผมก็ตอบไม่ได้ครับว่า ทำไมรัฐไม่เลือกวิธีนั้น รู้แค่ว่า รัฐประกาศใช้วิธีนี้ ตั้งแต่ 11 มิ.ย. 44 โน่น และวิธีที่ว่านี้ ก็ทำให้คนไทยซื้อน้ำมันได้ราคาถูก เพราะค่าการกลั่นสมัยนั้น มันยังถูกๆ อยู่ แค่ 3-4 เหรียญต่อบาร์เรล ถูกซะจน Shell ยอมตัดใจขายหุ้นใน RRC ให้ ปตท. ไปซะ ตอบคุณ น้ำปลาเดือนห้า เรื่อง "หมกเม็ด" จริงอย่างที่คุณว่าครับ ทุกกิจการที่ทำธุรกิจแล้วเน้นให้ได้ผลกำไร มีเรื่องหมกเม็ดอยู่ ผมจึงเห็นด้วยว่า ให้ราคาน้ำมัน อ้างอิงตลาดกลางใหญ่ๆ ในเอเซียอย่างสิงคโปร์ ผมไม่สนใจว่า โรงกลั่นไหนจะกำไรมากน้อยแค่ไหน  เพราะคนที่ควรสนใจ คือ รัฐบาล / กรมสรรพากร ที่มีหน้าที่รีดภาษีจากกำไรสุทธิก่อนหักภาษี จากธุรกิจเหล่านั้น ผมสนแค่ว่า ผมจะหาน้ำมันราคาที่ถูกที่สุด ที่หาได้ในตลาด ด้วยราคาเท่าไหร่ คล้ายๆ กับ เวลาผมจะซื้อรถ ผมก็เปรียบเทียบกับ รถที่มีจำหน่ายอยู่ในตลาด เท่าที่มีให้เลือก รุ่นไหนคุ้มค่าสุดสำหรับผม ก็เลือกรุ่นนั้น จากคุณ : P_Wut - [ 17 มิ.ย. 51 19:06:51 ]

ความคิดเห็นที่ 62 พลังงาน ควรจัดอยู่ในกลุ่ม น้ำปะปาไหม? จากคุณ : Spirited Away - [ 17 มิ.ย. 51 20:34:45 ]

ความคิดเห็นที่ 63 สรุปว่ารัฐบาลจะทำเพื่อผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือเพื่อคนไทยทั้งประเทศ ก็ต้องชั่งน้ำหนักดูแล้วล่ะครับ เพราะตอนจะเอาหุ้นเข้าตลาด ที่ปรึกษาฝรั่งก็บอกไว้แล้วว่าเพื่อเอาผู้ถือหุ้นรายย่อยมาเป็นฉากหน้า หนังหน้าไฟในการเอากำไรทางธุรกิจ ส่วน P_Wut ถ้าจะโต้แย้ง ต้องหาข้อมูลที่เชื่อถือได้มาอ้างอิงน่ะครับ ไม่ใช่ข้างๆคูๆ แบบคห.19 จนคห.29ต้องเข้ามาบอกให้ว่าผิด อีกอย่าง " ถึงราคาที่สิงคโปร์มันจะแพงกว่าราคาที่อเมริกา มันก็เรื่องของมัน ยังไงๆ ซะ เมื่อหลักการเป็นแบบนี้ ก็ต้องคิดแบบนี้ " ตรรกะกำปั้นทุบดินแบบนี้ใช้ไม่ได้นาคับคห เถียงด้วยอารรมณ์ เดี๋ยวไปอ้างน้ำมันเดนมาร์กลิตรละ70แบบนี้ก็เลยใช้แบบนี้ เดี๋ยวไปกันใหญ่ คห.37 เค้ากำลังพูดเรื่องราคาน้ำมัน คุณไปพูดเรื่องเพื่อนคุณ อะไรก็ไม่รู้น่ะครับ เพื่อนคุณทำงานบ.ฝรั่ง ฝรั่งมันจะจ่ายเงินเดือนให้เพื่อนคุณเท่าไหร่ มันไปเกี่ยวอะไรกับใครเค้าล่ะครับ งงจริงๆ จากคุณ : x - [ 17 มิ.ย. 51 21:02:24 A:210.246.64.183 X: TicketID:052378 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ครับ ผมก็เสียดายข้อมูลในกระทู้นั้นเหมือนกัน มันเป็นกระทู้แรกและกระทู้ เดียวที่ผมย้อนกลับเข้าไปกดเก็บเข้าคลังครับ แต่มันก็หายไปเรียบร้อย งั้นขอถามต่อจาก #59 หน่อยได้มั้ยครับ เมื่อ 10 มีค 51 DoEB ได้ออกประกาศห้ามส่งออก LPG ออกนอกประเทศ (จริงๆก็ไม่เชิงห้ามหรอก แต่ต้องมาขอก่อน แต่จะอนุญาตรึเปล่าอีกเรื่องนึง) ก็เลยอยากถามว่า DoEB สามารถออกประกาศห้ามส่งออกน้ำมันได้หรือไม่ ในกรณีที่ราคาในไทยถูกกว่าสิงคโปร์ครับ http://www.doeb.go.th/th/law/data/lpg.pdf แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 51 21:20:31 จากคุณ : Dark Archon - [ 17 มิ.ย. 51 21:15:35 ]

ความคิดเห็นที่ 65 คุณ X เอาใหม่ ฟังให้ดีๆ นะครับ ใน link ของคุณน้ำปลาเดือนห้า คห. 29 น้ำมันเบนซิน แกลลอนละ 3.46 US$ โดยเป็น Tax 11% ที่เหลือเป็นต้นทุน ผมคำนวณออกมาได้ว่า จาก 3.46$/Gallon = 3.46x32/3.785 = 29.25 บาท/ลิตร หักภาษี 11% ออก ก็เหลือ = 29.25x0.89 = 26.03 บาท/ลิตร --> ราคานี้คือ ราคาน้ำมันก่อนรวม Tax แล้ว ส่วนน้ำมันดีเซล แกลลอนละ 4.08 US$ โดยเป็น Tax 11% เช่นกัน ผมคำนวณออกมาได้ว่า จาก 4.08$/Gallon = 4.08x32/3.785 = 34.49 บาท/ลิตร หักภาษี 11% ออก ก็เหลือ = 34.49x0.89 = 30.70 บาท/ลิตร --> ราคานี้คือ ราคาน้ำมันก่อนรวม Tax แล้ว แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 51 22:16:35 จากคุณ : P_Wut - [ 17 มิ.ย. 51 22:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ราคาน้ำมันในไทย ตลอดเดือน เม.ย. 51 ที่ผ่านมา ผมเอามาจาก www.eppo.go.th โครงสร้างราคารายวัน ที่เป็นไฟล์ .xls ผมสุ่มเอามา 4 วันดังนี้  3 , 10 , 18 , 29 (จริงๆ ผมเซฟเก็บไว้ใน Harddisk อยู่แล้ว เลือกเอาทีมันห่างกันทุกๆ 1 สัปดาห์) ราคาน้ำมันเบนซิน 95 (หน้าโรงกลั่น + ค่าการตลาด) 3 Apr 08    21.9674+2.1062  =  24.0736 10 Apr 08 23.6317+0.9092  =  24.5409 18 Apr 08 24.0168+0.5241  =  24.5409 29 Apr 08 24.6057+0.8698  =  25.4755 Avg  =  24.6577 ราคาน้ำมันดีเซล 0.035%S (หน้าโรงกลั่น + ค่าการตลาด) 3 Apr 08 25.6700+1.2277  =  26.8977 10 Apr 08 27.7799-0.4150   =  27.3649 18 Apr 08 29.0755-1.7105   =  27.3650 29 Apr 08 29.2492-0.9496   =  28.2996 Avg  =  27.4818 แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 51 22:20:59 จากคุณ : P_Wut - [ 17 มิ.ย. 51 22:18:59 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ชัดเจนมั้ยครับ?  ตกลงมันต่างกันมั้ย?  ใครแพงกว่าใครกันแน่? จากคุณ : P_Wut - [ 17 มิ.ย. 51 22:20:07 ]

ความคิดเห็นที่ 68 คห #59 ขอแลกเปลี่ยนมุมมองกันต่อนะครับ จากความรู้สึกของคนเใช้รถธรรมดาคนนึง ถ้าลดกำไรจากโรงกลั่นได้จริง อย่าว่าแต่ 1.50 บาทเลยครับ ขอแค่บาทเดียว อีก 0.5 คืนให้โรงกลั่นไป คนเติมก็ยิ้มรับแล้ว ในวันก่อนจะปรับขึ้นราคาน้ำมันทีละ 0.40 บาทรถถึงแน่นปั๊มไงครับ ขนาดประหยัด ได้แค่ถังเดียวเค้ายังเอาเลยครับ  ถ้ามีสองปั๊มติดกันราคาต่างกันบาทนึงรับรองปั๊มที่แพงกว่าคนน้อยแน่ๆ ลองดูว่าโรงกลั่นในเครือ ปตท. ลดสุดๆ แล้วได้เท่าไหร่ เอาต้นทุนมาแบกันบนโต๊ะไปเลยได้ไหม คิดกัน แบบตรงไปตรงมาว่าต้องได้อย่างต่ำที่สุดเท่าไหร่โรงกลั่นถึงจะอยู่ได้ แล้วขายให้ถูกที่สุดเท่าที่ทำได้ เผลอๆ อาจจะได้เกิน 1.50 บาทก็ได้ ถ้าโรงกลั่นในเครือ ปตท.ซึ่งผลิตได้ 70% ของทั้งหมด ผลิตได้ไม่พอของความต้องการใช้ในประเทศ เป็นไปได้ไหมที่เราจะยอมจ่ายส่วนต่างในราคาสิงคโปร์เฉพาะแค่ 30 % ของที่เราขาดกับโรงกลั่นที่เรา คุมไม่ได้ ( น่าจะได้ถูกกว่าราคาที่สิงคโปร์ด้วยซ้ำเพราะไม่มีค่าขนส่งน้ำมันออก ) แล้วเอาส่วนต่างในส่วน ของน้ำมัน 30% นั้นมาถัวเฉลี่ยเป็นราคาน้ำมันที่ขายทั้งระบบ เราไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงด้วยราคาตลาดสิงคโปร์ จากน้ำมันทุกโรงกลั่นที่เราผลิตในประเทศไม่ใช่หรือครับ โดยเฉพาะในส่วนโรงกลั่นที่เราคุมได้เอง เมื่อลดค่าการกลั่นได้ ก็มาลองลดตัวอื่นดู ไม่ว่าจะเป็นภาษีที่ซ้ำซ้อน หรือกำไรต่อหน่วย หรืออะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่การใส่เงินอุดหนุนเข้าไปตรงๆ แต่น่าจะเป็นการควบคุมราคาทั้งระบบมากกว่า ผมมองว่าน้ำมันน่าจะเป็นสินค้าควบคุมตัวนึง เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการดำรงชีวิตทุกวันนี้ การแสวงกำไรจากน้ำมันน่าจะถูกควบคุมในระดับที่พอเหมาะ ถ้าเกิดวิกฤติพลังงานแล้ว รัฐไม่สามารถทำให้ การถือหุ้น 51% มีประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวมได้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร เราไม่ได้ต้องการราคาน้ำมันที่ถูกเกินจริง เราไม่ต้องการที่จะถูกสปอยด้วยราคาน้ำมันที่ถูกแล้วเอาไปใช้ฟุ่มเฟือย มันแพงเกินจะฟุ่มเฟือยตั้งแต่มันเกิน 20 กว่าบาทมาแล้ว เราแค่ต้องการราคาน้ำมันที่ช่วยเรามากที่สุดเท่าที่ทำได้ ถ้าน้ำมันโลกขึ้น น้ำมันบ้านเรามันก็ต้องขึ้น อันนี้ทุกคนเข้าใจ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่ารัฐควบคุมกลไกทุกอย่าง และทำเต็มที่แล้ว ราคามันได้เท่านี้จริงๆ  คำถามคือ...วันนี้รัฐทำเรื่องนี้กันเต็มที่หรือยัง? แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 51 08:58:24 แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 51 08:55:54 จากคุณ : no time to lose - [ 18 มิ.ย. 51 08:54:51 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ยังงง เรื่องกำไรครับ ถ้าจาก (* แก้ไขพิมพ์ผิดครับ 20,0000 ตกล้านบาท ) - เบนซิน 32 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 11,680 ล้านลิตรต่อปี - ดีเซล 50 ล้านลิตรต่อปี หรือ 18,250 ล้านลิตรต่อปี รวมแล้ว 72 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 29,930 ล้านลิตรต่อปี ให้เอากำไร 20,000 ล้านบาท เอาไปลดราคาน้ำมันให้หมด ราคาน้ำมันทุกชนิดจะลดลงได้ลิตรละ 1.50 บาท ลดได้เยอะมากๆ เลยครับท่าน ถ้าทำจริง ก็ไม่ต่างจากตอนอุ้มราคาน้ำมันปี 47 นั่นแหละ แค่ชะลอการขึ้นราคาน้ำมันได้ 7-10 วันเท่านั้น ถ้าเอากำไร มาลองคิดดูจริงๆ 20,000 ล้านบาท* ช่วยได้ลิตรละ 1.50 บาท นี่ได้ทั้งหมดกี่ลิตร ครับ ได้ตั้งเกือบครั้งปีหรือปล่าวครับ (หมายถึงน้ำมันถูกกว่าหลักเกณท์ การตั้งราคาปัจจุบัน ไม่เกี่ยวราคาน้ำมัน สูงขึ้นหรือต่ำลง) แต่..แต่.... แต่ที่เราคุยกัน เราไม่ได้ให้เค้าเอากำไร ในอดีตมาช่วยซื้อน้ำมันราคาสูง (เอาเงินก้อนหนึ่ง มาช่วย เงินมีจำกัด มันก็หมดซิครับ) แต่เราอยากให้เค้าลดการทำกำไร ในปัจจุบัน-อนาคตครับ อย่างเช่นภาพรวม(ตีเป็นตัวเลขแล้วกันเห็นชัด) เดิมกำไร 10 % เหลือสัก 5 % ได้ไหม แบบนี้ครับ แล้วมันไม่เหมือนการอุ้มราคาน้ำมันที่ว่านั้นนะครับ เพราะนั้นเอาเงินอีกก้อนใส่ลงไป(กองทุนน้ำมัน) เพื่อที่กำไรบริษัทยังคงเท่าเดิม ( และทำให้หุ้นที่ตัวเอง มีบัญชีลงทุนใว้ในต่างประเทศ ยังได้รับผลประโยขน์เหมือนเดิม เพราะถ้าลดราคา ราคาหุ้นก็ลงหรือเปล่า ) แต่แบบนี้ไม่ต้องเอาเงิน อีกก้อนใส่เข้าไปครับ บริษัทยังมีกำไร แต่น้อยลง แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 51 09:14:59 จากคุณ : don't panic (RoAdSidE) - [ 18 มิ.ย. 51 09:11:39 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เอ่อ.. เวรแล้วมั้ยล่ะ ผมขอแก้ไขตัวเลขหน่อย กำไร 20,000 ล้านบาท เอาไปลดราคาน้ำมันให้หมด ราคาน้ำมันทุกชนิดจะลดลงได้ลิตรละ = 20,000 / 29,930 = 0.668 บาท/ลิตร หรือ ลิตรละ 66.8 สต. ครับ  ไม่ใช่ 1.50 บาท/ลิตร (ผมตั้งหารผิด เอา 29,930 / 20,000 แทน) คุณ Roadside งงเองหรือเปล่า? กำไรจากทุกธุรกิจทุกวันนี้นั้น ก็มาจาก รายได้ - ต้นทุน ไงครับ ในเมื่อ น้ำมันจำนวน 29,930 ล้านลิตรต่อปี ทำให้เกิดกำไร 20,000 ล้านบาท ถ้าจะไม่ให้กำไร ก็คือ ลดราคาน้ำมันลงไป (ซึ่งจะไปการลดรายได้ลงไป) จนเท่าต้นทุน  กำไรก็เท่ากับศูนย์ ถ้าดูทั้งระบบ (เพราะน้ำมัน 29,930 ล้านลิตร เป็นน้ำมันที่ขายอยู่ในทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะเครือ ปตท.) จากภาพในคห. 8 กำไรธุรกิจน้ำมันทั้งระบบรวมกัน 54,043 ล้านบาท แสดงว่า โดยเฉลี่ยแล้ว น้ำมันทุกชนิด ลิตรนึง กำไร = 54,043 / 29,930 = 1.80 บาท/ลิตร จากคุณ : P_Wut - [ 18 มิ.ย. 51 09:44:37 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ^ ขอท้วงว่าอย่าใช้คำว่ากำไรธุรกิจน้ำมันทั้งระบบเลยครับ เพราะมันเฉพาะแค่กำไรของโรงกลั่น มันยังมีกำไรจาก  - ธุรกิจค้าปลีก (ซึ่งน่าจะน้อยมากอยู่)  - กำไรจากธุรกิจสำรวจ (ราคาเพิ่มจาก $80 เป็น $139) กำไรเกือบสอง เท่าโดยไม่ต้องทำอะไร (แต่ก็คงไม่เยอะ เพราะปริมาณสัดส่วนน้ำมันดิบมัน นิดเดียว)  - กำไรจาก by product ต่างๆที่เอาไปทำกำไรอีกต่อ #68 ครับ ถ้าโรงกลั่นในประเทศมีกำลังพอ และตราบใดที่ค่าการกลั่นยังคุ้มค่ากับ ต้นทุนการกลั่น ยังไงก็ไม่ต้องนำเข้าจากสิงคโปร์ครับ ดูอย่าง LPG เฉพาะแค่ค่าการตลาด (ยังไม่รวมค่าการกลั่น) ที่ 3.2566 บาท ต้นทุนหน้าโรงกลั่นที่ 11 บาท ถ้าส่งออกได้ด้วยราคา 3 เท่า เท่ากับ โรงกลั่นจะได้กำไรเพิ่มมาอีก 22 บาทฟรีๆ เท่ากับว่ากำไรพุ่งกระฉูด ขึ้นไปอีกกว่า 700% ฟรีๆ โรงกลั่นยังไม่มีปัญญาส่งออกเลยครับ เพราะ โดนกฏหมายห้ามส่งออก ดังนั้นถ้าตราบใดที่โรงกลั่นยังได้รับ กำไรที่คุ้มต่อต้นทุนการกลั่น ถึงแม้มันจะต่ำกว่าสิงคโปร์ซัก 50 สต ยังไงเค้าก็กลั่น ยังไงก็พอต่อความต้องการครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 18 มิ.ย. 51 10:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 72 อ้าวคนละความหมายกัน ให้เอากำไร 20,000 ล้านบาท เอาไปลดราคาน้ำมันให้หมด ราคาน้ำมันทุกชนิดจะลดลงได้ลิตรละ 1.50 บาท   ผมเค้าใจเป็นเอากำไรที่ได้ 20,000 ล้าน ไปช่วยจ่าย ลิตรละ 1.50 บาท แต่ถ้าความหมายตาม คห.70 นี่ หมายถึง กำไรจริงๆ(หักทุกอย่างแล้ว) ต่อลิตร = 0.668 บาท ถูกไหมครับ ลดให้ตายก็ได้แค่นี้ 0.668 บาท    ถ้างั้นดูดีๆครับ อันนี้มันเฉพาะส่วนโรงกลั่นหรือปล่าวครับ แล้วส่วนที่บริษัทแม่ ขายน้ำมันดิบให้โรงกลั่น ขายก๊าซ ละครับ ถึงบอกว่าให้มองภาพรวมครับไม่ให้มองเฉพาะโรงกลั่น ( ผมละงง ที่ผู้บริหารชอบออกมาบอกว่า ค่าการกลั่นมันน้อยแล้ว แทบจะไม่มีกำไร แต่ส่วนอื่นไม่เคยพูดถึง )ดังนั้นถ้ากรณีจะเอาเฉพาะ 20,000 ล้านบาท มาคำนวณไม่ได้ครับ ต้องมองกำไรรวมของ ปตท ครับ ถ้าคิดว่าจะลดกำไรลงได้แค่ใหนครับ จากคุณ : don't panic (RoAdSidE) - [ 18 มิ.ย. 51 10:38:57 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ไม่ต้องพูดถึงการลดค่าการกลั่นหรอกครับ แค่ค่าขนส่ง(ที่ไม่มีการส่งจริง)เค้ายังไม่ลดให้เลยครัีบ ถ้าเราซื้อที่หน้าโรงกลั่นน่าจะซื้อที่ ราคาสิงค์โปร์ - ค่่าขนส่งด้วยซ้ำเพราะไม่มีค่าขนส่งจริง แต่ไหนๆ ถ้ากลัวโรงกลั่นต่างๆจะขนส่งไปขาย อย่างน้อยราคาก็น่าจะเท่าราคาที่สิงค์โปร์ เพราะ  สมมุติ ให้ราคาที่ สิงค์โปร์ เป็น 100  ค่าขนส่ง 10 โรงกลั่นได้้เงิน            ปัจจุบัน           ขายในประเทศ           100+10     ขายที่สิงค์โปร์            100-10 ส่วนต่างที่จะให้โรงกลั่นขายในประเทศมีมากถึง 20 นะครับ แต่ถ้ารัฐกำหนดราคาใหม่เป็นแบบนี้ล่ะครับ โรงกลั่นได้้เงิน            เปลี่ยนการคำนวณใหม่           ขายในประเทศ           100(ไม่มีค่าขนส่งจากสิงค์โปร์มาไทย)     ขายที่สิงค์โปร์            100-10 ส่วนต่างที่จะให้โรงกลั่นขายในประเทศก็ยังมี 10 นะครับ ยังสามารถจูงใจไม่ให้โรงกลั่นเอาน้ำมันไปขายให้กับต่างประเทศ จากคุณ : doungair - [ 18 มิ.ย. 51 11:06:57 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ตอบคุณ doungair ลองเข้าไปอ่านกระทู้นี้ดูครับ ผมตอบไว้หมดแล้ว ที่คุณโพสต์ในคห. 73 http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V6655783/V6655783.html - คุณอย่าลืมว่า เราอยากให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำมันในบ้านเรา มากกว่า เอาแต่ไปซื้อน้ำมันสำเร็จรูปจากนอกประเทศแล้วนำเข้าอย่างเดียว - คุณอย่าลืมว่า น้ำมันดิบ 100 ลิตร กลั่นได้น้ำมันเบนซิน/ดีเซลรวมกันราว 60-70 ลิตร ที่เหลือเป็น by product ที่มีราคาถูกกว่าเนื้อน้ำมันดิบทั้งสิ้น ค่าขนส่งส่งจากแหล่งมายังไทย แพงกว่าส่งไปสิงคโปร์ ทั้งเรื่องระยะทาง และเรื่องปริมาณ (อีก 40-50 ลิตร ที่ได้เป็น by product) แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 51 11:25:54 จากคุณ : P_Wut - [ 18 มิ.ย. 51 11:24:03 ]

ความคิดเห็นที่ 75 #71 ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ  ขออธิบายเพิ่มเติมนิดนึงครับ ขั้นตอนที่ผมเขียนใน #68เป็นแบบนี้ครับ - ค้นหาต้นทุนที่แท้จริงของโรงกลั่นที่รัฐสามารถคุมได้ ให้มีกำไรพอดำเนินกิจการได้ ไม่ใช่กำไรจนอ้วน แล้วเอากำไรส่วนเกินมาลดค่าน้ำมัน - ถ้าโรงกลั่นในมือ ปตท. สามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันให้พอใช้ทั้งประเทศได้ทั้งหมด ก็ไม่จำเป็นต้อง ไปซื้อส่วนที่ขาดในราคาตลาดครับ - ถ้ากำลังการผลิตไม่พอ อย่างแย่ที่สุดก็ไปซื้อส่วนที่ขาดจากโรงกลั่นในประเทศที่รัฐควบคุมไม่ได้ ในราคา ตลาดสิงคโปร์ลบด้วยค่าขนส่ง ( เป็นการซื้อในประเทศ ) ซึ่งอาจจะต่อรองให้ต่ำกว่านั้นได้อีก โดยอาจแลก กับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเล็กๆน้อยๆหรืออะไรก็ว่ากันเป็นเรื่องๆไป ถ้าทำสำเร็จราก็น่าจะปลดแอกจากราคาน้ำมันสิงคโปร์ได้ จากนั้นก็มาค้นหาจุดอื่นเพื่อที่จะลดราคาลงมาอีก เพื่อช่วยให้ได้ราคาน้ำมันต่ำที่สุดเท่าที่รัฐจะทำได้ ( และธุรกิจน้ำมันอยู่ได้ ) โดยไม่มีการใช้เงินในคลังไป อุดหนุนหรือแทรกแซงใดๆ และถ้าทำทั้งหมดนี้ได้ น้ำมันน่าจะถูกลงมาแน่ๆครับ จากคุณ : no time to lose - [ 18 มิ.ย. 51 12:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 76 - ค้นหาต้นทุนที่แท้จริงของโรงกลั่นที่รัฐสามารถคุมได้ ให้มีกำไรพอดำเนินกิจการได้ ไม่ใช่กำไรจนอ้วน  แล้วเอากำไรส่วนเกินมาลดค่าน้ำมัน >> ในประเทศที่การลงทุนเสรี   ตลาดเสรี  กลไกตลาดมันควบคุมตัวเองอยู่แล้วครับ    คุณลองทำวิจัยศึกษาดูก็ได้  ตั้งแต่เปิดโรงกลั่นช่วงก่อนปี 40  จนถึงปัจจุบัน   ดูเงินลงทุน  รายรับ  รายจ่าย  กำไรที่ได้แต่ละปี  ดูว่าผลตอบแทนลงทุนคุ้มค่ามั๊ย      ตลาดไหนมีกำไรคุ้มค่าการลงทุนมีคนกระโดดลงมาเล่นอยู่แล้วครับ    ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ   ค้าส่ง-ค้าปลีกในเมืองไทย  ทำไมต่างชาติลงมาเล่น  แถมมากันไม่รู้ต่อกี่เจ้าต่อกี่เจ้า     - ถ้าโรงกลั่นในมือ ปตท. สามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันให้พอใช้ทั้งประเทศได้ทั้งหมด ก็ไม่จำเป็นต้องไปซื้อส่วนที่ขาดในราคาตลาดครับ >> การขยายกำลังการผลิตไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ นะครับ  ตอนนี้ก็เต็มที่อยู่แล้ว   นอกจากนี้การกลั่นน้ำมัน  ไม่ใช่สักแต่ว่ากลั่นๆ ออกมานะครับ   ต้อง balance ผลพลอยได้ที่ออกมาทั้งหมดด้วย   เพราะไม่ใช่ทุกตัวขายได้ราคาทั้งหมด - - ถ้ากำลังการผลิตไม่พอ อย่างแย่ที่สุดก็ไปซื้อส่วนที่ขาดจากโรงกลั่นในประเทศที่รัฐควบคุมไม่ได้ ในราคา ตลาดสิงคโปร์ลบด้วยค่าขนส่ง ( เป็นการซื้อในประเทศ ) ซึ่งอาจจะต่อรองให้ต่ำกว่านั้นได้อีก โดยอาจแลก กับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเล็กๆน้อยๆหรืออะไรก็ว่ากันเป็นเรื่องๆไป >>  คุณลองไปหาดูสิครับ  ว่าเงื่อนไขนี้มีใครจะยอมรับบ้าง  ถ้าหาได้  มีคนสั่งเข้ามาขายแล้วครับ     อย่าลืมนะครับ  น้ำมันประเทศไทยที่แพงอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะ "ภาษี" ครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 18 มิ.ย. 51 14:58:14 ]

ความคิดเห็นที่ 77 #76 ขอตอบเรื่องการค้าเสรีก่อนนะครับ ตอบหมดเดี๋ยวจะยาวไปครับ ทุกประเทศที่เค้าได้ชื่อว่าค้าเสรีนั้น มันเป็นการค้าเสรีแบบมีเงื่อนไขทั้งนั้นแหละครับ เงื่อนไขง่ายๆคือ ต้องเป็นการค้าเสรีที่ส่งผลดีต่อประเทศของเค้าเท่านั้น อะไรเป็นการค้าเสรีที่สร้างปัญหาเค้าจะไม่ทำ มีหลายวิธีที่ประเทศค้าเสรีเลือกใช้ในการค้าขาย ที่เราเรียกกันว่ามาตรการกีดกันทางการค้า คงพอที่ จะได้ยินเรื่องอเมริกาจะตัดโควต้าโน่นบ้างนี่บ้างของไทยใช่ไหมครับ ไม่ใช่มีของอยากจะขายก็ขายได้ ถ้าปล่อยให้กลไกตลาดเสรีในอุตสาหกรรมน้ำมันมาทำให้เสถียรภาพของประเทศเสียหาย ส่งผลกระทบ ต่อทุกภาคส่วน ส่งผลต่อราคาสินค้าทุกชนิด เกิดภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองทำมาค้าขายลำบาก อัตราเงินเฟ้อ สูงจนจะเป็นเลข 2 หลักแล้ว สุดท้ายแล้วคนในประเทศนี้จะอยู่กันอย่างไรครับ ปัญหาสังคมก็จะตามมา นายกอังกฤษถึงกับบอกว่าราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นครั้งนี้ถือเป็นสถานะการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่สุดในโลกครับ ระดับนายกอังกฤษพูดชัดๆขนาดนี้แล้ว เราก็น่าจะคิดได้แล้วนะครับว่ามันไม่ใช่สถานะการณ์ปรกติ แต่มันคือวิกฤติน้ำมันระดับโลก ถ้าคุณเป็นรัฐบาล คุณจะไม่ลงมือควบคุมปัจจัยที่ส่งผลกระทบรุนแรงระดับประเทศขนาดนี้หรือครับ คงต้องถามรัฐว่าทำดีที่สุดหรือยัง ถ้าปล่อยเสรีแล้วบ้านพังจะทำไปทำไมครับ จากคุณ : no time to lose - [ 18 มิ.ย. 51 17:41:05 ]

ความคิดเห็นที่ 78 #77 ที่ผมต้องการจะสื่อให้เห็นใน #76 ก็คือ  กำไรที่โรงกลั่นได้มาตอนนี้มันไม่ได้มากมาย over อะไรเลย  ถ้าเทียบกับใน cycle ของการสร้างโรงกลั่นขึ้นมา   ถ้ามันกำไรมากมาย  ป่านนี้มีคนมาแย่งลงทุนกันสร้างโรงกลั่นกันเต็มไปหมดแล้ว    ไม่ต้องรอให้รัฐไปบังคับให้ตัดกำไรออกหรอก   สิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น  หรืออาจจะไม่ยอมมอง  ก็คือต้นทุนความเสี่ยง  ซึ่งไม่ถูกนำมารวมในงบการเงิน  จึงทำให้ธุรกิจดูเหมือนมีกำไรเยอะ    เช่น  คุณลงทุน 100,000 ล้าน  คุณคิดว่าคุณควรจะได้กำไรเท่าไร  ถึงจะคุ้มค่ากับการบริหารความเสี่ยงของเงินนี้ครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 18 มิ.ย. 51 18:08:06 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ก่อนอื่นผมขอย้ำอีกครั้งว่า ค่าการกลั่นเป็นแค่ "ปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อราคาน้ำมัน"เราต้องมานั่งดูและชั่ง น้ำหนักกันทุกส่วนครับ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยนั้นก็มี "ภาษี" อยู่ด้วย ซึ่งผมได้เขียนไว้แล้วใน #68 ซึ่งจุดนี้ คุณsunsetbeach กับอีกหลายท่านรวมทั้งผม ก็เห็นตรงกันข้อนึงล่ะ ว่า"ภาษี" โดยเฉพาะ การเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อนคือปัญหานึงที่ทำให้น้ำมันแพงเกินจริง ดูตารางนี้ไปเล่นๆก่อนนะครับ สอนการบ้านลูก-เคลียงาน ถ้าไม่ดึกเกินไปเดี๋ยวกลับมาคุยกันต่อเรื่องโรงกลั่นครับ จากคุณ : no time to lose - [ 18 มิ.ย. 51 20:23:38 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ลองสังเกตเรื่อง VAT นะ VAT เก็บในอัตรา 7% ตอนที่น้ำมันหน้าปั๊ม ราคาราว 20 บาท รัฐเก็บ VAT ได้ 1.4 บาท/ลิตร ตอนนี้ที่น้ำมันราว 40 บาท/ลิตร รัฐเก็บ VAT ได้เพิ่มเป็น 2.8 บาท/ลิตร เก็บได้มากเป็น 2 เท่าเลย แต่..ก็ไม่ลดซักกะบาท จากคุณ : P_Wut - [ 18 มิ.ย. 51 21:50:02 ]

ความคิดเห็นที่ 81 #77 เห็นด้วยอย่างแรงครับ พูดมาหลายครั้งแล้วด้วย #78 คุณ Sunset ครับ ที่เคยโชว์ไป ถ้าลงทุน 100,000 ล้าน ทำกำไรได้ 10,000 ล้าน 10% นี่ยอดเยี่ยมเลยใช่มั้ยครับ จริงๆอยากจะบอกว่ากำไรจริงอาจจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ สมมุติว่าผมมีเงินแสนล้าน เอา 20,000 ล้านมาเป็นจดทะเบียน แล้วปล่อยกู้ให้บริษัทโรงกลั่นที่จดทะเบียนมาใหม่ 80,000 ล้าน กินดอกเบี้ย ส่วนเงินสด 100,000 ล้านก็ สร้างโรงกลั่น แล้วบริหารไป ได้กำไรเน็ตๆ หลังหักภาษีทั้งสิ้นอีก 10,000 ล้าน แต่คิดแบบนี้ออกจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหน่อยอ่ะ แต่มันก็เป็น วิธีหนึ่งที่บริษัทต่างชาติเค้าใช้กันอยู่นะครับ ส่วนเรื่องแย่งกันสร้างโรงกลั่น ถ้า demand มันยังไม่มี สร้างไปแล้วขายให้ใคร ครับ สร้างโรงกลั่นใหม่ตอนนี้ กำลังการกลั่นซัก 200,000 บาเรลล์แล้วกัน แต่ปริมาณการใช้มันมีอยู่เท่าเดิม แถม channel ในการขายก็มีอยู่เท่าเดิม ถ้าอยากขายได้เพิ่มก็ต้องสร้างปั๊มเอง แล้วอัดโฆษณาอีก แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 51 22:39:29 จากคุณ : Dark Archon - [ 18 มิ.ย. 51 22:35:38 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ส่วนเรื่อง VAT มันบังคับใช้กับสินค้าและบริการอย่างยุติธรรม คือบังคับ ใช้กับสินค้าและบริการทุกอย่างทุกประเภท (ยกเว้นพวกที่อยู่นอกระบบ) ถ้ายกเลิกหรือ แก้ไขเพื่อสินค้าตัวใดตัวหนึ่งก็บรรลัยทั้งหมด (จริงๆผมก็อยากให้ยกเลิกนะ ไม่รู้จะให้นักการเมืองมันเอาเงินผมไปผลาญ เล่นทำไม) แต่เรื่องการตั้งราคาน้ำมัน โดยเฉพาะการอ้างอิงราคา โดยไม่ดูต้นทุน ยังไงผมก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าเป็นการตั้งราคาอย่าง ยุติธรรมครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 18 มิ.ย. 51 22:45:50 ]

ความคิดเห็นที่ 83 #76 #78 มาว่าเรื่องโรงกลั่นกันต่อนะครับ ตามที่สัญญาไว้ การทำกำไรของโรงกลั่นมีมากกว่าแค่ค่าการกลั่นนะครับ ขอยกตัวอย่างโรงกลั่นที่เล็กที่สุดนะครับ เพราะ มันเห็นภาพง่ายดี ไม่ซับซ้อนพันกันเหมือนบริษัทใหญ่ๆ RPC งวดปี 2550 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 400.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น119%จากงวดปีก่อน นี่ขนาดโรงกลั่นเล็กที่สุดนะครับ เป็นโรงที่ค่าการกลั่น fix ด้วยการทำสัญญารับจ้างเป็นผู้กลั่นน้ำมันให้กับ ปตท. อายุสัญญา 15 ปี ( ซึ่งยังเหลืออยู่ 4 ปี ) โดยคิดค่าการกลั่น "คงที่" 2.50 เหรียญต่อบาร์เรล หรือ 51 สตางค์ต่อลิตร ในขณะที่ค่าการกลั่นในตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 9 เหรียญต่อบาร์เรล ถามกลับไปว่าถ้า RPC สามารถรับจ้างกลั่นให้ ปตท.โดยคิดค่าการกลั่นแค่นี้ ทำไมถึงทำได้ ถ้าขาดทุน เค้าคงไม่ทำใช่ไหมครับ  แล้วโรงกลั่นในมือ ปตท.เองคิดค่าการกลั่นเท่าไหร่ครับ แล้วราคาหน้าโรงกลั่น เท่าไหร่ครับ แล้วสงสัยไหมว่า RPC เอากำไรเยอะแยะมาจากไหนครับ ? RPC มีธุรกิจหลักคือธุรกิจโรงกลั่นและขายน้ำมัน + ขายปลีกผ่านสถานีน้ำมัน Pure อัตรากำไรขั้นต้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 380 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 57% จากปีก่อน การขายน้ำมันก็เพิ่มขึ้นเป็น 942 ล้านลิตร หรือเติบโต 6% จากปีก่อน RPC ทำสัญญาซื้อวัตถุดิบ CR จาก ATC ผ่าน PTT  ( ซึ่งปัจจุบัน ATC+ RRC เป็น PTTAR ) มีการกำหนดราคาซื้อแบบ Net back คือ ราคาตลาดหักมาร์จิ้นที่ประมาณ 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้บริษัทมีรายได้จากการสต็อกน้ำมันเก่าไว้ที่ราคา 105.70 เหรียญต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคา น้ำมันช่วงไตรมาสแรกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 126.20 เหรียญต่อบาร์เรล หลายคนหายสงสัยรึยังครับว่าทำไมราคาน้ำมันขึ้น หุ้นบริษัทน้ำมันถึงขึ้นตาม เหตุผลนึงก็คือมันมีสต๊อก น้ำมันในราคาเก่าสร้างกำไรจากราคาขายใหม่อยู่ครับ ไม่นับเรื่องสัญญาที่ทำการซื้อขายล่วงหน้าไปแล้ว ถ้าในระบบของ PTT ระบบจะใหญ่กว่านี้ การทำกำไรจะซับซ้อนและครบวงจรกว่านี้ การบริหารจัดการ ให้ได้ประโยชน์และกำไรสูงสุดจะทำได้ดีกว่านี้มาก มาว่ากันที่ RPC ต่อ ถ้าธุรกิจนี้ไม่ดี เจ้าของเค้าคงไม่วางแผนในการขยายธุรกิจและสร้างโรงกลั่นใหม่หรอกครับ ถ้าเราขอซื้อน้ำมันจากเค้าในราคาตลาดสิงคโปร์ หักส่วนลดที่เค้าไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งค่าขนส่ง+ประกันภัย +ค่าพิธีการส่งออก-นำเข้า ค่าเสียเวลาดีล เค้าจะไม่ขายให้เราหรือครับ และไม่ต้องกลัวว่า product ที่โรงกลั่นทำออกมาเหลือแล้วไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ยกตัวอย่างง่ายๆในส่วน ของ TOP ไม่ได้เป็นแค่โรงกลั่น โรงไฟฟ้าผลิตกระแสไฟฟ้าขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเค้าก็มีครับ ผมเป็นแค่คนใช้รถคนนึง ผิดถูกตรงไหน ผู้รู้ในวงการน้ำมันช่วยแก้ไขให้ด้วยนะครับ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 51 00:23:45 แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 51 00:06:05 จากคุณ : no time to lose - [ 19 มิ.ย. 51 00:02:18 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ภาพประกอบครับ ธุรกิจที่ไม่ใช่แค่โรงกลั่นของ TOP จากคุณ : no time to lose - [ 19 มิ.ย. 51 00:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ชอบ ครับ  กระทู้ แบบนี้  ได้ สาระดี จากคุณ : benzboonchu - [ 19 มิ.ย. 51 04:02:10 ]

ความคิดเห็นที่ 86 1. เรื่องสต็อกน้ำมัน มันเป็นกำไรที่แท้จริง หรือมันเป็นกำไรเพราะมูลค่าสินค้าคงคลังครับ? แล้วถ้ามันอยู่ในช่วงขาลงล่ะ มันจะกลับเป็นขาดทุนใช่มะ? เพราะสต็อกน้ำมันที่มีอยู่ มันแพงกว่าน้ำมันที่จะซื้อเข้ามาใหม่ 2. RPC คิดค่าการกลั่น 2.5 เหรียญต่อบาร์เรล แต่เค้าได้วัตถุดิบราคาถูกกว่าตลาด 2 เหรียญต่อบาร์เรลด้วยนี่ครับ แล้ว By Product ของ RPC มีอะไรบ้างครับ ราคา By Product ของเค้าเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับราคาวัตถุดิบ RPC ผมเข้าใจว่า ไม่ใช่โรงกลั่นน้ำมันนะ เป็น Condensate Splitter อย่างพวกโรงกลั่นน้ำมัน เค้าซื้อ Crude มา เค้ากลั่นได้น้ำมันราคาดีๆ ก็มี เบนซิน ดีเซล แล้วก็น้ำมันเครื่องบิน 3 อย่างนี้ได้มาสัดส่วน 70% ของปริมาณ Crude ที่เข้ากลั่น แม้ว่าจะมี Volume gain คือ ซื้อ Crude มา 100 ลิตร กลั่นแล้วได้ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดรวมกัน 120-125 ลิตร แต่ของที่ราคาดีๆ มีแค่ 70 ลิตรแรกที่ว่าไป นอกจากนั้น ได้แก่ LPG น้ำมันเตา ยางมะตอย ฯลฯ ขายได้ถูกกว่าน้ำมันดิบทั้งหมด อย่างทุกวันนี้ ราคา Crude 125-130 แต่น้ำมันเตาขายได้แค่ 80-90 LPG ก็แค่ 80 (คำนวณจาก 900 US$/ตัน) ตอนนี้ ผมมีคำถามแค่นี้ และผมก็มีข้อมูลอยู่เท่านี้ละครับ จากคุณ : P_Wut - [ 19 มิ.ย. 51 09:28:02 ]

ความคิดเห็นที่ 87 อ้อ ลืมพูดไปอีกอย่าง LPG ที่กลั่นได้จากโรงกลั่น ถ้าส่งออกขายราคาตลาดโลก ขายได้ 900 $/Ton หรือคิดเทียบมาแล้ว ราวๆ 80 $/Barrel แต่โรงกลั่นทุกโรงในไทย ขาย LPG ในประเทศได้แค่ 320 $/Ton หรือราว 28-29 $/Barrel เท่านั้น จากคุณ : P_Wut - [ 19 มิ.ย. 51 09:31:10 ]

ความคิดเห็นที่ 88 1 จะกำไรจากการขายหรือกำไรจากมูลค่าของสินค้าคงคลัง ยังไงก็เป็นกำไร ที่แท้จริงนี่ครับ เพราะถ้าผมเป็นบริษัทน้ำมัน ผมก็หมุนเวียนเอาน้ำมันใน Stock มาขาย แล้วเอาน้ำมันใหม่ใส่กลับเข้าไป ไม่งั้นก็ต้องมีการตั้ง provisioning สำหรับค่าเผื่อความเสียหายของน้ำมันเก่านะครับ ส่วนน้ำมันขาลง?? เคยเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ แต่ถ้าลงมากๆ ก็ขาดทุนล่ะ แต่สัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า 1 เดือน ผมไม่ค่อยจะเคยเห็น ราคาน้ำมันลงติดๆกันตลอดทั้งเดือนเลยครับ 2 RPC เป็นโรงกลั่นครับ โดยกลั่น Condensate residual ที่รับมาจาก PTTAR ส่วนราคา by product อันนี้ไม่รู้ครับ แต่เอาตัวเลขของคุณ P_WUT แล้วกัน (จริงๆเทียบ CR กับ Crude คงไม่ได้) น้ำมันดิบ 100 บาร์เรล ราคา $135 ต่อ บาร์เรล = $13,500 Volume gain 20% = กลั่น ได้ 120 บาร์เรล ได้น้ำมันราคาสูง 70% = 84 บาร์เรล เฉลี่ยที่ $160 = $13,440 จะเห็นว่าเจ้าพวกน้ำมันราคาแพง เรียกว่าเกือบจะ cover ต้นทุนทั้งหมดแล้ว ส่วนพวก by product จะขายเท่าไหร่ มันก็กำไร ทั้งนั้น (รึเปล่าครับ) จากคุณ : Dark Archon - [ 19 มิ.ย. 51 11:00:16 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ^ 70% ที่ว่านี้ เทียบกับ 100 บาร์เรลแรกสิครับ ดูจากแผนภาพนี้แล้วกัน จากน้ำมัน 33 แกลลอน กลั่นออกมาแล้วได้ 44 แกลลอน โดยเป็นน้ำมันเบนซิน+ดีเซลแค่ 19.5 แกลลอน Jet Fuel อีก 4.1 แกลลอน รวมแล้ว 23.6 แกลลอน (คิดเป็น 71.5% ของน้ำมันดิบ 33 แกลลอน) แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 51 11:58:08 จากคุณ : P_Wut - [ 19 มิ.ย. 51 11:55:17 ]

ความคิดเห็นที่ 90 อา ถ้าอย่างนั้นการตั้งราคามันคงต้องขึ้นอยู่กับ Cost allocation structure และ pricing strategy ของแต่ละโรงกลั่นแล้วล่ะครับ แต่ว่าก็ว่าเถอะ จะมีโรงกลั่นไหนใจดีเปิดเผยข้อมูลตรงนี้บ้าง เพราะน้ำมันดิบแต่ละชนิด สัดส่วนของน้ำมันสุกก็ไม่เท่ากัน แถมโรงกลั่นที่ทันสมัยกว่าก็สามารถเพิ่มปริมาณชนิดน้ำมันที่ต้องการ ได้อีก ถ้ามีข้อมูลจริงล่ะสวยเลย จากคุณ : Dark Archon - [ 19 มิ.ย. 51 14:09:15 ]

ความคิดเห็นที่ 91 คุณ Dark Archon ในเว็บของกรมธุรกิจพลังงาน มันมีข้อมูลอยู่นะ แบบว่า ในแต่ละเดือน แต่ละโรงกลั่นซื้อน้ำมันดิบมาจากบ่อไหนบ้าง ที่ราคาเท่าไหร่ ผมก็พยายามแกะเหมือนกัน แต่ตัวเลขมันเยอะมาก เสียเวลามาก จนเหนื่อยเลยเลิกกลางคันไป จากคุณ : P_Wut - [ 19 มิ.ย. 51 18:39:00 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ข้อมูลสุดยอดดด เยอะมั่ก อยากรู้คนที่รับผิดชอบเค้าเอาข้อมูลตรงนี้ไปทำ อะไรกันมั่ง แต่ที่แน่ๆโรงกลั่นรู้ไส้รู้พุงคู่ต่อสู้เกือบหมดเลยแฮะ แล้วที่แน่ๆอีกอย่าง อ่านแล้วอยากจะเบิ๊ดกบาลผู้บริหาร อลายแอนทซ์แฮะ วันนั้นคุณดู๋ถามว่าทำไมปรับขึ้นราคาน้ำมันต้องไปอิงตามราคา ไนเมกซ์ หรือ เบรนท์ ทั้งๆที่ตลาดดูไบ มันถูกกว่าเยอะ ทำไมไม่นำเข้าจากดูไบ ถ้ามันตอบตามจริงว่าราคาหน้าโรงอิงตามสิงคโปร์ก็หมดเรื่อง แต่เค้าดันตอบว่า เพราะแหล่งตะวันออกกลาง กำมะถันมันสูง เอามาแล้วโรงกลั่นบ้านเราไม่มีความสามารถในการกลั่น ดูไฟล์แล้วสะอึก บ้านเรานำเข้าจากแหล่งตะวันออกกลาง ไม่ก็ตะวันออก ไกลทั้งนั้น กรำ แล้วจะเชื่ออะไรมันได้มั่งล่ะเนี่ย ยังไงก็ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ จากคุณ : dark archon (Dark Archon) - [ 19 มิ.ย. 51 22:27:05 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ไม่ได้เข้าวันนึง  ไปไกลพอควร #81  เรื่องลงทุน   ลองพิสูจน์ดูก็ได้ครับ  คุณ Dark Archon  ลองระดมทุนจัดตั้งกองทุนรวม  แล้วเอาเงินมาลงทุนแบบที่คุณว่าดูสิครับ   ถ้าโครงการที่คุณว่ามาเป็นไปได้จริง   มีคนลงขันแน่นอนครับ    บางสิ่งบางอย่างมันดูเหมือนง่ายๆ   แต่คนที่เค้ามีประสบการเรื่องการลงทุนมาแล้ว   เค้าบอกได้ครับ  อันไหนเป็นไปได้จริง  อันไหนเป็นแค่ฝัน    เหมือนตอนเราเด็กๆ  ดูทีวี  แล้วมีจินตนาการไปว่าตอนโตขึ้นจะเป็นยอดมนุษย์มาปราบสัตว์ประหลาดบุกโลกแบบนั้นล่ะครับ จากคุณ : sunsetbeach - [ 20 มิ.ย. 51 10:25:42 ]

ความคิดเห็นที่ 94 #89  เรื่อง processing gain จากการกลั่น  แต่ละโรงกลั่นได้ไม่เท่ากันนะครับ  แตกต่างกันจากเรื่อง 1. น้ำมันดิบที่ใช้  ถ้าพวกเกรดดีๆ ก็ได้แบบนึง  อย่างในประเทศไทยถ้าเอาจากตะวันออกกลางได้ไม่เท่านี้หรอกครับ 2. โครงสร้างการกลั่น  และเทคโนโลยีการกลั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการ product ตัวไหนมาก   ลองดูตัวอย่างจากโรงกลั่นที่ california  ได้ processing gain ไม่เท่ากับข้างบนครับ  ด้านบนนะมันประเภท best case แล้วมั้ง http://www.energy.ca.gov/gasoline/whats_in_barrel_oil.html ลองเทียบ % ของผลผลิตจากการกลั่นกับไทยออยล์ดูสิครับ http://www.thaioil.co.th/product/refinery.php จากคุณ : sunsetbeach - [ 20 มิ.ย. 51 10:33:55 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ขอเพิ่มข้อมูลด้วยคนครับ 1.ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันในไทยมีเทคโนโลยีสูงกันหมดแล้ว ยกเว้นโรงกลั่นบางจากครับที่กำลังปรับปรุงกระบวนการอยู่ไม่เกินปีหน้าคงเดินเครื่องได้ครับที่พิมพ์มานี้จะบอกว่า อัตราส่วนการกลั่น แล้วได้น้ำมันใสออกมานั้นจะไกล้เคียงกับลิ้งของ คห.94 ครับ โดยส่วนที่เป็นน้ำมันเตาและยางมะตอยจะออกมาน้อยมาก โดยสามารถเลือกแบบว่าไม่มียางมะตอยก็ได้ แต่ที่ต้องมีเพราะยังมีคำสั่งซื้อจากทางหลวงชนบทอยู่ครับ และโรงกลั่นที่มีเทคโนโลยี่แบบนี้ในส่วนเพิ่มคุณภาพน้ำมันบางโรงมีกำไรต่อวันที่ประมาณ30-40ล้านบาทเลย 2.โรงกลั่นน้ำมันของต่างชาติส่วนใหญ่จะมีบ่อน้ำมันดิบเป็นของตัวเองครับไม่ว่าเราจะซื้อจากตะวันออกกลาง หรือตะวันออกไกลส่วนใหญ่ฝรั่งเป็นเจ้าของเกือบหมด แต่ต้องขายให้กับเจ้าของประเทศส่งออกแทนไงแบบการกินหัวคิวหลายต่อครับ เพราะฉนั้นหมายความว่ากำไรส่วนใหญ่จะอยู่ที่การขุดเจาะครับ ส่วนโรงกลั่นนั้นจะเป็นสถานที่ระบายสตอคไง ในระบบของพลังงานนั้นถ้าเอากันจริงๆถึงจะกลั่นแล้วขาดทุนก็ต้องกลั่นเพื่อระบายน้ำมันดิบออกมากๆเพราะกำไรที่แท้จริงอยู่ที่การขุดเจาะแล้วขายไง ของเราถึงต้องมี ปตท.สผ.ครับ บริษัทต่างชาติเค้าจะมีโรงกลั่นอยู่กันบริษัทละ30-50โรงครับ นี่คือหลักการกาทำธุรกิจแบบกำไรหลายต่อ นี่ขนาดยังไม่ได้กล่าวถึงธุรกิจ Downstreamนะครับซึ่งจะมีกำไรที่มหาศาลมากกว่านี้อีก เอาแค่นี้ก่อนยังลำดับข้อความไม่ค่อยถูกครับ จากคุณ : toung (rtu) - [ 21 มิ.ย. 51 12:37:49 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ^ ถ้าผมจะถามย้ำให้ชัดๆ ว่า ทุกวันนี้ ในธุรกิจน้ำมันทั้งระบบ  คนที่กำไรมากสุด คือ พวกบริษัทที่ขุดเจาะน้ำมันดิบขึ้นมาขาย ใช่มั้ยครับ? ช่วยตอบด้วยครับ แล้วผมจะมาเสริมว่า ต้นปีที่ผ่านมา ทั้ง Shell BP Chevron Exxon ได้กำไรกันมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ ขนาดไหน? จากคุณ : P_Wut - [ 21 มิ.ย. 51 16:42:48 ]

ความคิดเห็นที่ 97 #93 ถ้าผมมันมีความน่าเชื่อถือขนาดนั้น เรียกคนมาลงทุนกับผมได้ก็น่าจะทำดู เหมือนกันนะครับ แต่จริงๆที่อยากจะบอกก็คือ ตัวเลขมันพิสูจน์แล้วว่ากิจการโรงกลั่นเป็น กิจการที่กำไรที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆที่จดทะเบียบในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยครับ โดยกำไรนั้นเกินกว่าจุดคุ้มทุนการสร้างโรงกลั่น ไปไกลเลยล่ะ จากคุณ : Dark Archon - [ 22 มิ.ย. 51 23:00:52 ]