PANTIP.COM : V6810672 จับเท็จ ปตท. กรณี “นำเข้าก๊าซหุงต้ม” []

ความคิดเห็นที่ 8

จับเท็จ ปตท. กรณี “นำเข้าก๊าซหุงต้ม”

โดย ประสาท มีแต้ม 18 กรกฎาคม 2551 21:16 น.

1. ประเด็นปัญหา

ขณะนี้ บริษัท ปตท. ได้บอกกับประชาชนว่าก๊าซหุงต้มหรือที่เรียกกันในวงการว่าก๊าซแอลพีจี (Liquefied petroleum gas) ในประเทศไทยกำลังขาดแคลน และได้แนะนำให้รัฐบาลขึ้นราคาก๊าซชนิดนี้ โดยเฉพาะที่ใช้กับรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์แท็กซี่ (นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บมจ. ปตท. ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel , 7 กรกฎาคม 2551)

นอกจากนี้นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.กล่าวว่า “ความต้องการใช้ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ปีนี้ต้องนำเข้าแอลพีจี 4 แสนตัน” (ไทยรัฐ 11 กรกฎาคม 2551)

ประเด็นสำคัญนอกเหนือจากการแนะให้ขึ้นราคาแล้วยังมี
อีก 2 ประเด็น คือ

(1) นายณัฐชาติบอกว่า จากความต้องการใช้ก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยต้องเปลี่ยนสถานะจากการเป็นประเทศผู้ส่งออกก๊าซแอลพีจี เปลี่ยนเป็นผู้นำเข้าแทน โดยในเดือน เม.ย. 2551 ไทยนำเข้าก๊าซแอลพีจี กว่า 2 หมื่นตัน ขณะที่เดือน ก.ค. 2551 ไทยนำเข้าก๊าซแอลพีจี แล้ว 2.2 หมื่นตัน และในช่วงปลายเดือนนี้ ไทยอาจจะต้องนำเข้าอีก 2.2 หมื่นตัน

(2) นายณัฐชาติกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ก็จะมีผลให้ราคาก๊าซแอลพีจี ในตลาดโลกพุ่งขึ้นถึง 1 พันดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ซึ่งหากไทยยังนำเข้าก๊าซแอลพีจี ในระดับสูง ก็จะทำให้ภาครัฐต้องแบกรับภาระมากขึ้น จึงเห็นว่า รัฐควรจะปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี หน้าโรงกลั่นใหม่ เพื่อลดภาระในการชดเชยราคาก๊าซแอลพีจี

ทั้งนี้ ในกรณีที่ภาครัฐลอยตัวราคาก๊าซ LPG จะมีผลราคาก๊าซแอลพีจี ในภาคครัวเรือนปรับขึ้นจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 25 - 30 บาทต่อกิโลกรัม

บทความนี้ได้ทำการตรวจสอบเนื้อหาสำคัญใน 2 ประเด็นดังกล่าว พบว่า ในประเด็นแรกไม่เป็นความจริง สำหรับประเด็นที่สองพบว่าทาง ปตท. ให้ข้อมูลไม่ครบทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ แต่ก่อนจะตรวจสอบ ขอทำความเข้าใจในความรู้พื้นฐานของปัญหานี้ก่อนครับ

2. ความรู้พื้นฐานของปัญหา

อันทีจริงชื่อของก๊าซหุงต้ม (หรือ แอลพีจี) ได้สร้างความสับสนให้กับคนทั่วไปมากทีเดียว เราค่อยๆ มาทำความเข้าใจกันใหม่ ดังนี้ครับ

ในระยะแรก ทั้งๆ ที่คนทั่วไปรู้จักก๊าซชนิดนี้ว่าคือ “ก๊าซหุงต้ม” แต่ได้มีการนำก๊าซชนิดนี้ไปใช้ในสี่ภาคส่วนใหญ่ๆคือ (1) ใช้หุงต้มทั้งในครัวเรือนและร้านอาหารแผงลอย (2) ใช้ในภาคอุตสาหกรรม เช่น ใช้ตัดโลหะ ทำระบบทำความเย็น เป็นต้น (3) ใช้ในรถโดยสารแท็กซี่โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กรณีนี้มีการใช้มานานกว่า 20 ปีแล้ว และ (4) ใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในภาคอุตสาหกรรม

แต่ในระยะหลัง เมื่อราคาน้ำมันได้ทะยานสูงขึ้น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เคยใช้น้ำมันเบนซินก็หันมาติดตั้งก๊าซหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงแทน และในช่วง 10 ปีมานี้ ทางกระทรวงพลังงานได้ส่งเสริมให้ทั้งรถยนต์แท็กซี่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถประจำทาง หันมาใช้ก๊าซเอ็นจีวี (NGV- Natural Gas for Vehicle) ทีนี้แหละความสับสนยิ่งมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ เพราะได้มีชื่อก๊าซชนิดใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก

3. แหล่งที่มาของก๊าซทั้งสองชนิด

การผลิตก๊าซหุงต้มในประเทศไทย มาจาก 3 แหล่ง คือ (1) มาจากการกลั่นน้ำมันดิบ ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยมีทั้งหมดจำนวน 7 โรง ในจำนวนนี้ 5 โรง (แต่โรงใหญ่ๆ ทั้งนั้น) เป็นของบริษัท ปตท. จำกัด (2) มาจากโรงแยกก๊าซซึ่งในประเทศไทยมีโรงแยกก๊าซอยู่ 5 โรง 4 โรงแรกเป็นของ ปตท. ในขณะที่โรงที่ 5 อยู่ที่ อ. จะนะ จ. สงขลาเป็นการร่วมทุนระหว่างไทย-มาเลเซีย ซึ่งก๊าซจากโรงแยกนี้(เกือบ)ทั้งหมดถูกส่งไปใช้ในประเทศมาเลเซียเท่านั้น และ (3) มาจากคอนเดนเสตที่เป็นของเหลวได้จากการขุดเจาะก๊าซในทะเล คอนเดนเสตจะเป็นของเหลวถูกบรรทุกใส่เรือ ไปผ่านกระบวนการผลิตต่อไปจนได้ก๊าซหุงต้มและผลิตภัณฑ์อื่นๆ แต่จะไปผ่านกระบวนการที่ใดบ้าง ผมไม่ทราบชัดเจนนัก

สำหรับก๊าซเอ็นจีวี เกิดจากโรงแยกก๊าซที่เป็นของ ปตท. ทั้ง 4 โรง

โดยสรุปก๊าซหุงต้มเกือบทั้งหมดอยู่ในกำมือของบริษัท ปตท. บริษัทอื่นๆมีส่วนร่วมบ้างแต่เป็นจำนวนน้อย ส่วนก๊าซเอ็นจีวีทั้ง 100% อยู่ในกำมือของบริษัท ปตท. แต่เพียงผู้เดียว

ในอดีต (นานกว่า 20 ปีแล้ว) ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกก๊าซหุงต้มตลอดมา จากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน ทำให้ทราบได้ว่า ในปี 2550 ประเทศไทยผลิตก๊าซหุงต้มได้ประมาณ 4.3 ล้านตัน มีการขายภายในประเทศ 3.7 ล้านตัน และส่งออก 0.3 ล้านตัน (ข้อสังเกต ไม่ทราบว่าก๊าซหายไปไหน 0.3 ล้านตัน หรือประมาณ 7% ของที่ผลิตได้ทั้งหมด)

กราฟข้างล่างนี้เป็นปริมาณการบริโภคก๊าซแอลพีจีในภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่ปี 2529 (1986) จนถึงปี 2550 (ข้อมูลจากกระทรวงพลังงาน)

จากคุณ : P_Wut - [ 19 ก.ค. 51 03:57:23 ]

ความคิดเห็นที่ 17

แถมๆ ให้ช่วยกันจับโกหกต่อ

http://www.pttplc.com/TH/nc_bu_dt.aspx?id_=MTkwMA==

14 ก.ค. 2551
LPG 2 ลำ กว่า 60,000 ตัน เทียบท่า ปตท. ชลบุรี แล้ว ในวันนี้

วอนทุกฝ่ายช่วยกันประหยัดพลังงาน ใช้เชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ เพื่อช่วยตนเองและประเทศประหยัด ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ เดือนเดียวความต้องการใช้โตขึ้นถึง 37.25%

นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สืบเนื่องจากมีความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีในประเทศสูงขึ้นมาก และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมในปีที่ผ่านมา ประมาณ 3 ล้านตัน เป็น 3.5 ล้านตันในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นถึง 14.2% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ในรถยนต์ ถึง 22.7% นั้น กระทรวงพลังงาน จึงได้มอบหมายให้ ปตท. นำเข้าก๊าซแอลพีจี เพื่อสำรองใช้ในประเทศให้เพียงพอ ไม่ขาดแคลน ซึ่งตามแผน ในเดือนกรกฎาคม ศกนี้ จะมีการนำเข้าก๊าซแอลพีจี จาก 40,000 ตัน เป็น 60,000 ตัน และ 80,000 ตัน นั้น จากปริมาณความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นมากทำให้ ล่าสุด ปตท. ต้องปรับแผนการนำเข้าก๊าซแอลพีจี ในเดือนกรกฎาคม ใหม่ เป็นนำเข้าในปริมาณประมาณกว่า 109,800 ตัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 37.25% โดยมีรายละเอียดการนำเข้าฯ ดังนี้ :-

- 2 ก.ค. 51 นำเข้าก๊าซแอลพีจี ในปริมาณ 23,000 ตัน ณ ท่าเรือคลังก๊าซเขาบ่อยา จ.ชลบุรี โดยเรือ Refrigerated (เรือขนาดใหญ่)

- 14 ก.ค. 51 นำเข้าก๊าซแอลพีจี ในปริมาณ 40,000 ตัน และปริมาณ 23,000 ตัน ณ ท่าเรือคลังก๊าซเขาบ่อยา จ.ชลบุรี โดยเรือ Refrigerated

- 16 ก.ค. 51 นำเข้าก๊าซแอลพีจี ในปริมาณ 1,800 ตัน ณ ท่าเรือคลังก๊าซสงขลา จ.สงขลา โดยเรือ Pressurized (เรือขนาดเล็ก)

- 27 ก.ค. 51 นำเข้าก๊าซแอลพีจี ในปริมาณ 22,000 ตัน ณ ท่าเรือคลังก๊าซเขาบ่อยา จ.ชลบุรี โดยเรือ Refrigerated

นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ซึ่งในวันนี้มีก๊าซแอลพีจีเข้ามาเทียบท่าที่คลังก๊าซเขาบ่อยา จ.ชลบุรีแล้ว ในปริมาณ 40,000 ตัน และปริมาณ 23,000 ตัน และจะทยอยนำเข้าก๊าซแอลพีจีตามแผนดังกล่าวข้างต้นต่อไป โดย ปตท. พร้อมทันที ที่จะจ่ายก๊าซแอลพีจีให้แก่ลูกค้าของ ปตท. และผู้ค้าตามมาตรา 7 ครบถ้วน ตามที่กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้กำหนด และตามแผนการรับก๊าซที่ผู้ค้าตามมาตรา 7 ได้แจ้งมา (ผู้ค้ามาตรา 7 ได้แก่ สยามแก๊ส เวิลด์แก๊ส ปิกนิก แสงทอง และเชฟรอน)

นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า การนำเข้าก๊าซแอลพีจี นั้น กรมธุรกิจพลังงาน ได้อนุญาตให้ผู้ค้ามาตรา 7 ทุกรายสามารถนำเข้าก๊าซแอลพีจีได้ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาก๊าซแอลพีจีที่มีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ดังกล่าว ซึ่ง ปตท. ได้พยายามทำหน้าที่ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติอย่างเต็มที่แล้ว โดยในเดือนสิงหาคมนี้ ปตท. มีแผนนำเข้าก๊าซแอลพีจีอีกครั้งในปริมาณ 88,000 ตัน อย่างไรก็ตาม ปตท. ขอให้ประชาชนพิจารณาการใช้เชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับพาหนะและการใช้งาน โดยก๊าซแอลพีจีภาครัฐอุดหนุนราคาให้เพื่อใช้กับภาคครัวเรือน ที่สำคัญไม่ควรนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์เพราะทำให้เกิดอันตรายได้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อ่านบทความนี้ขอด่าหน่อยเถอะ ปตท. น่ะเลิกไอ้เรื่องการพูดว่าไม่ควรเอา LPG มาเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ได้แล้ว รีบๆ ทำ NGV ให้สะดวกในการใช้งานก็พอแล้ว เรื่อง LPG ปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาลเค้าไป ให้กลไกราคามันเป็นตัวกำหนดเองว่า ใครอยากจะเลือกใช้แบบไหน
แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 51 10:10:39

จากคุณ : sunsetbeach - [ 19 ก.ค. 51 10:09:18 ]