Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    มาตามนัดแล้วครับ.... โตโยต้าระเบิดศึกCNGส่งลิโมเจาะตลาดแท็กซี่กรุยทาง′อัลติสปีหน้า.

    http://www.matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?id=2015&catid=1



     
    "โตโยต้า"ระเบิดศึกCNG ส่ง"ลิโม"โกยแชร์ตลาดแท็กซี่เต็มสูบ ชูจุดขายรับประกันจากโรงงาน แถมราคาถูกเพราะไม่มีออปชั่นเยอะ เล็งส่ง "อัลติส ซีเอ็นจี" ลุยตลาดปีหน้า


    แหล่งข่าวระดับบริหาร จากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ โตโยต้า ลิโม ซีเอ็นจี เพื่อจับกลุ่มลูกค้าฟลีตและลูกค้ากลุ่มแท็กซี่โดยเฉพาะ โดยรถยนต์รุ่นนี้จะติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจีหรือเอ็นจีวีจากโรงงานโดยตรง และได้การรับประกันตามที่บริษัทกำหนดไว้

    สำหรับลิโม ซีเอ็นจี นี้ เป็นรถยนต์รุ่นล่างสุดของโตโยต้า อัลติส จับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นรถแท็กซี่โดยตรง เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายเช่นเดียวกับโตโยต้า อัลติส แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนกันก็ตาม แต่โตโยต้า ลิโม นั้น มีกันชนสีดำ ไม่ใช่กันชนสีเดียวกับตัวรถ เพื่อให้เหมาะสำหรับการนำไปทำสีรถใหม่ให้สอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด ระบบเปิดกระจกเป็นแบบมือหมุนไม่ใช่ระบบไฟฟ้า และเกียร์ก็เป็นเกียร์ธรรมดา ซึ่งถือว่าเป็นรถรุ่นล่างสุดที่ออกมาเพื่อจับกลุ่มแท็กซี่โดยตรง

    "ลิโมรุ่นปัจจุบันนั้น ถือว่าได้รับความนิยมจากตลาดกลุ่มแท็กซี่มาก ทั้งจากกลุ่มแท็กซี่ที่เป็นรูปแบบของสหกรณ์และแท็กซี่ส่วนบุคคล ซึ่งปัจจุบันถือว่าโตโยต้า ลิโม ครองมาร์เก็ตแชร์ใหญ่ที่สุดในตลาด และสำหรับลิโม ซีเอ็นจี นี้ เราตั้งใจออกมาเพื่อตอบสนองกลุ่มนี้โดยตรง โดยลูกค้าสามารถซื้อไปใช้ได้เลย ไม่ต้องนำไปติดตั้งระบบก๊าซซีเอ็นจีในอู่ทั่วไปเช่นในอดีต และที่สำคัญยังได้รับการรับประกันจากโตโยต้าโดยตรงด้วย"

    นอกจากนั้น ทางโตโยต้ายังได้ให้ตัวแทนจำหน่ายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์รุ่นนี้ เนื่องจากเป็นเขตที่มีรถแท็กซี่วิ่งให้บริการอยู่ โดยให้จำหน่ายในรูปแบบของฟลีตที่ผ่านสหกรณ์แท็กซี่ และการจำหน่ายให้กับแท็กซี่ส่วนบุคคลได้โดยตรง

    อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวรถโตโยต้า ลิโม ซีเอ็นจี นี้ ยังถือเป็นการทดลองความต้องการของตลาด ซึ่งถ้ากลุ่มลูกค้าทั่วไปมีความต้องการรถประเภทนี้ บริษัทก็พร้อมผลิตจำหน่ายในรุ่นอัลติสต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมีความเป็นไปได้ในต้นปีหน้า

    "หลังจากเปิดตัวลิโม ซีเอ็นจี ออกสู่ตลาดแล้ว เราต้องขอดูตลาดตรงนี้สักพัก ถ้ากลุ่มลูกค้าทั่วไปมีความต้องการรถที่ใช้ซีเอ็นจีจริงๆ บริษัทก็พร้อมที่จะนำรุ่นอัลติสมาพัฒนาระบบซีเอ็นจีต่อไป อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของตลาดซีเอ็นจีในปัจจุบันถือว่าหดตัวไปพอสมควร เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงในช่วงนี้"

    @ผู้เชี่ยวชาญชี้ซีเอ็นจียังมีอนาคต
    นายธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญ นักทดสอบรถยนต์ และคอลัมนิสต์ชื่อดัง กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันการติดตั้งซีเอ็นจียังมีความคุ้มค่าอยู่ แม้ว่าราคาน้ำมันจะเริ่มปรับตัวลดลง เนื่องจากซีเอ็นจียังคงมีความได้เปรียบในแง่ของราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่าถึง 2 เท่า อีกทั้งยังมีอัตราความสิ้นเปลืองที่น้อยกว่าน้ำมัน
    ประกอบกับอนาคตของเทรนด์อุตสาหกรรมยานยนต์จะมุ่งไปสู่รถยนต์ไฮบริดนั้น จุดเชื่อมระหว่างน้ำมันกับไฮบริดก็ควรจะเป็นก๊าซธรรมชาติก่อน เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกที่สุด เพราะถ้าก้าวข้ามไปยังระบบไฮบริดทันที จำเป็นจะต้องใช้ต้นทุนและงบประมาณจำนวนมหาศาล

    "ขณะนี้ยังถือว่าซีเอ็นจีมีความคุ้มค่าค่อนข้างมาก เมื่อเปรียบเทียบราคาที่ห่างกัน 2-3 เท่า กับจำนวนระยะทางที่วิ่งได้ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่รถที่ใช้ซีเอ็นจีจะมีการคืนทุนที่ช้า จากเดิมจาก 2-3 ปี เป็น 4 ปีจึงคุ้มทุน บวกกับเรื่องของความสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับจำนวนสถานีปั๊มก๊าซอาจจะมีจำนวนน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับปั๊มน้ำมัน และการที่ค่ายรถหันมาติดตั้งระบบซีเอ็นจีจากโรงงานโดยตรง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะคนต้องการความประหยัดมากขึ้น และเทรนด์ของอุตสาหกรรมในเมืองไทยก็มาในทิศทางนี้ด้วย"

    ขณะที่นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคของรถยนต์และคอลัมนิสต์ชื่อดัง กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงทิศทางของการใช้ก๊าซซีเอ็นจีในประเทศไทยว่า จะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยของราคาเป็นองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งถ้าราคาจำหน่ายของซีเอ็นจีและน้ำมันมีราคาที่ไม่แตกต่างกันมากนัก แรงจูงใจที่ประชาชนจะหันมาสนใจใช้ซีเอ็นจีน่าจะมีน้อยกว่าน้ำมัน ที่มีความคุ้มค่ามากกว่า โดยเฉพาะความได้เปรียบในแง่ความสะดวกสบาย และจำนวนสถานีบริการที่มีมากกว่า

    "วันนี้รถที่ใช้ก๊าซซีเอ็นจีจะเป็นกลุ่มของรถแท็กซี่และกลุ่มรถบรรทุก ที่มีเส้นทางวิ่งประจำในเส้นทางที่มีสถานีก๊าซเพียงพออยู่แล้ว อนาคตหากราคาน้ำมันลดลงค่อนข้างมาก ก็อาจจะทำให้การใช้ซีเอ็นจีไม่จูงใจเพียงพอ เนื่องจากการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์จะมีความสะดวกสบายมากกว่าก๊าซ ประกอบกับอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจะมีอายุการใช้งานที่นานกว่า หรือจะพูดได้ว่าวันนี้ซีเอ็นจีมีความคุ้มค่าน้อยลง แต่ก็ถือว่ายังมีความคุ้มค่าอยู่"

    ปัจจุบันแม้จะมีบริษัทรถยนต์ที่มีการติดตั้งชุดอุปกรณ์ก๊าซซีเอ็นจีออกจากโรงงานประกอบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเชฟโรเลต, มิตซูบิชิ และโตโยต้า ซึ่งในแง่ของความคุ้มค่านั้น อาจจะยังไม่คุ้มค่ามากนักสำหรับการติดตั้งในรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เพราะเมื่อเทียบน้ำหนักถังก๊าซที่รถยนต์ต้องแบกรับ ถือว่าอาจจะไม่คุ้มค่า โดยอาจทำให้เกิดปัญหาช่วงล่างสึกหรอได้เร็วขึ้น  

    @ปตท.ยันสิ้นปีขยายปั๊มเอ็นจีวี 350 แห่ง

    นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการขยายสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือเอ็นจีวี ในขณะนี้ว่า ยังคงเร่งขยายต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ ซึ่งขณะนี้ทั่วประเทศมีสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวีรวมแล้วทั้งสิ้น 244 แห่ง และยังยืนยันว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถขยายได้ตามแผนที่ 350 แห่งแน่นอน และภายในปี 2552 จะมีสถานีบริการรวม 450 แห่ง โดยล่าสุดได้เปิดสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวี (Super Station) หรือซูเปอร์ปั๊มเอ็นจีวี บริเวณสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ถนนบรมราชชนนี ถือว่าเป็นสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวีที่ "ใหญ่ที่สุดในโลก" สามารถรองรับรถยนต์ในคราวเดียวกันได้สูงสุดถึง 44 คัน มีศักยภาพจ่ายก๊าซเอ็นจีวีได้อยู่ที่ 230 ตัน/วัน หรือสามารถรองรับรถแท็กซี่ได้สูงสุดถึง 4,000-5,000 คัน/วัน

    ทั้งนี้บริษัท ปตท.ตั้งเป้าหมายที่จะขยายในรูปแบบซูเปอร์ปั๊มเอ็นจีวี ภายในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณทลเพิ่มอีกรวม 6 แห่ง ในส่วนของพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีความต้องการใช้ไม่สูงมากนั้น จะยังไม่มีการเปิดสถานีบริการในรูปแบบของซูเปอร์ปั๊ม แต่จะขยายในรูปแบบปกติ คือ สถานีที่มีหัวจ่ายรองรับรถยนต์ได้อยู่ที่ 10-15 คัน

    "ปัญหาในเรื่องความไม่สะดวกในการเติมเอ็นจีวีจะค่อยๆ เริ่มคลี่คลายขึ้นจากนี้ เราคงไม่ปรับแผนอะไรเพิ่มเติม เพราะขณะนื้ถือว่าเร่งเต็มที่อยู่แล้ว อีกเหตุผลคือในภาวะราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมากขณะนี้ ทำให้ทั้งดีมานด์และรถยนต์ที่เปลี่ยนมาติดตั้งเครื่องยนต์เอ็นจีวีก็ลดลงเช่นกัน"

    นายณัฐชาติกล่าวต่อว่า ภายหลังจากที่ราคาน้ำมันเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ความต้องการใช้ก๊าซเอ็นจีวีเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง หรือมีความต้องการใช้อยู่ที่ประมาณ 2,800 ตัน/วัน และรถยนต์ที่จะหันมาปรับเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์เอ็นจีวีลดลงถึงร้อยละ 50 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นไปสูงถึง 40 บาท/ลิตร โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล โดยขณะนี้มียอดการติดตั้งเครื่องยนต์เอ็นจีวีเหลือเพียง 250 คัน/วัน จากเดิมที่มีการติดตั้งอยู่ที่ 500 คัน/วัน และส่วนใหญ่เป็นรถขนาดใหญ่ ที่มีการใช้งานค่อนข้างสูง คือรถบรรทุกที่ใช้งานมากกว่า 40-50 กิโลเมตร/วัน รวมแล้วจะมีรถบรรทุกที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์เอ็นจีวีอยู่ประมาณ 70-80 คัน/วัน

     
     

    จากคุณ : yamaha111 - [ 15 ต.ค. 51 10:32:02 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom