ความคิดเห็นที่ 1 วัตต์ของเครื่องเสียงเป็นเรื่องที่อธิบายยาก ชุดเครื่องเสียง 1,500 วัตต์ กับแอร์บ้าน 1,200 วัตต์ ถ้าวัดกันจริง ๆ เครื่องเสียงบ้านดึงกระแสไฟเวลาที่อัดดังสุด ๆ ได้ไม่เกิน 100 วัตต์ด้วยซ้ำ ใครมีวิชาช่วยไขกระจ่างหน่อย ... จากคุณ : ผอมแห้งแรงน้อย - [ 13 พ.ย. 51 14:41:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มารอดูเหมือนกัน snakeๆ  fishๆ ไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าทำไมต้องใช้กำลังขนาดนั้น เพื่อให้เสียงออกมาแค่ 20 db จากคุณ : ลำไผ่ บ้านท่า - [ 13 พ.ย. 51 15:01:49 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ผมไม่เข้าใจวัตต์ของเครื่องเสียงเท่าไหร่หรอกครับ แต่ ... ผมว่ามันคนละ ตัวกับ วัตต์ ที่เราใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าแน่ๆ เลยครับ อีกอย่าง ในลำโพง และเครื่องสียงนั่น มีค่าของโอมห์มาเกี่ยวด้วยครับ กำลังส่งออกมาจากเครื่องเท่าเดิม โอมห์ต่างกัน วัตต์ก็เปลี่ยนไปแล้ว ผมของงอย่างใกล้ชิดอีกคนแล้วกัน จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 13 พ.ย. 51 15:03:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เพิ่มต่อครับ ถามมีใครตอบได้ ช่วยทีครับ ผมไม่อยากได้ข้อมูลผิดๆ อีก Volt คือแรงดันไฟฟ้า  หรือความต่างศักย์ไฟฟ้า ของการนำประจุบวก จากที่ 1 ไปที่ 2 Ampere คือกระแสไฟฟ้า หรือปริมาณประจุไฟฟ้า/วินาที watt คือกำลังที่ได้จาก ampere Volt = watt/Ampere ตามนี้ ผิดไหมครับ แล้วทำไมบางท่าน บอก ลำโพง นี้กิน วัตต์               บางท่านบอกลำโพง กินกระแสมาก  แต่กินวััตต์น้อย จากคุณ : diskul - [ 13 พ.ย. 51 15:20:12 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนคุณสยึมกึ๋ย วัตต์เป็นหน่วยกำลังงานในที่นี้คือกำลังงานไฟฟ้า ซึ่งคล้ายกับค่าการบริโภคไฟฟ้าทั่วไป แต่เครื่องเสียงเขามักจะวัดที่output supplyของเครื่องขยายเสียง ขณะที่ค่ากินไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าจะวัดที่ Input 220Volt การวัดกำลังขยายเสียงก็ต่อ output คร่อมโหลดจะกี่โอห์มก็ว่ากันไป แต่ตัวต้านทานไมใช่เล็กๆแน่เพราะการทนวัตต์ต้องสูงกว่าเครื่องขยายเสียง จะต่อลำโพงตรงก็ได้ถ้าไม่กลัวหูแตก ป้อนความถี่อินพุทเข้ามาปกติจะใช้ที่ 1k Hzจากนั้นก็เร่งโวลลุ่มจนสัญญาณคลิป (ต้องใช้ออสซิลโลสโคปดูรูปคลื่น) แล้วใช้ เอซีโวลต์มิเตอร์วัด(จะได้ค่าเป็นอาร์เอ็มเอส สมัยนี้จะอ่านค่า readout จากสโคปโดยตรงก็ได้ แต่ถ้าอ่านโวลต์จากรูปสัญญาณด้วยสายตาจะผิดพลาดเยอะ) เอาค่าที่ได้ยกกำลังสอง หารด้วยตัวต้านทานโหลด ก็จะเป็นกำลังขาออกของแอมป์ จากคุณ : TierraMan (TierraMan) - [ 13 พ.ย. 51 15:35:59 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ความหมายของลำโพงกินวัตต์ที่ผมคิดได้คือ ความไวต่ำ กับอิมพีแดนซ์ต่ำจนโหลดขาออกของแอมป์ เช่นถ้าลำโพงแค่สองโอห์มในบางช่วงความถี่มันจะทำให้อัตราส่วนความต้านทานของสายต่อความต้านทานลำโพงเพิ่มขึ้น กำลังก็จะไปสูญเสียในสายมากขึ้น ดังนั้นพวกเดินสายลำโพงยาวๆอย่างในโรงหนังจึงต้องมีหม้อแปลงแมชชิ่ง แต่ในบ้านก็แก้ปัญหาด้วยการใช้สายโตๆเพื่อลดค่าความต้านทาน จากคุณ : TierraMan (TierraMan) - [ 13 พ.ย. 51 15:47:42 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ^ หง่ะ มึนไปเลย ... ช่วยทำเป็นรูปประกอบ ทีละชั้นได้ม๊ะ จะ Give ให้หมดตรูดเลย ทำไมมันซับซ้อนจัง จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 13 พ.ย. 51 15:50:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตู... จบ ป.4 มา แถมนั่งรถ ป.2 เข้ากรุงอีก อ่านแล้วก็งง "จน.. เครียด.. เปลี่ยนลำโพง.. " ... จากคุณ : ผอมแห้งแรงน้อย - [ 13 พ.ย. 51 15:53:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อีกอย่างความไวของลำโพงเขาวัดกันในห้องไร้เสียงสะท้อน ซึ่งถ้าใช้ในห้องทั่วไปจะมีการแทรกสอดหรือหักล้างของคลื่นจากการสั่นสะเทือนข้างตู้ ค่าความไวจะไม่เหมือนที่ทดสอบ แล้วเสียงความถี่ต่ำจะต้องใช้กำลังมากกว่าความถี่สูงเยอะ ที่เขาทดสอยก็มักใช้ที่ 1 KHz ขึ้นไป ซึ่งหูคนค่อนข้างไวอยู่แล้วเปิดนิดเดียวก็แสบแก้วหู แต่มาเจอดนตรีเช่น rock หรือ พวกเน้นเบส เร่งยังไงก็ไม่ค่อยออกก็เลยใช้วัตต์เยอะ สังเกตุจากรายการวิทยุถ้าเป็นรายการพูดคุณแทบไม่ต้องเร่งโวลลุ่มมาก แต่พอรายการเพลง หรือเปิดโปรแกรมเพลงระดับโวลลุ่มต้องเปลี่ยนไปมากขึ้น คุณถึงจะรู้สึกเหมือนฟังเท่าเดิม จากคุณ : TierraMan (TierraMan) - [ 13 พ.ย. 51 15:55:41 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คือต้องใช้ความรู้ทางไฟฟ้านิดหน่อยนะครับ พยายามเขียนให้ดูง่ายละกัน จากคุณ : TierraMan (TierraMan) - [ 13 พ.ย. 51 17:21:03 ]

ความคิดเห็นที่ 11 555 มาเก็บเกี่ยวความรู้ แม้ว่าจะได้ไปนิดเดียว เพราะส่วนเกินมัน ไม่ รู้ เรื่อง จากคุณ : R_ROMSANG - [ 13 พ.ย. 51 17:23:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เรียนคุณ TierraMan ผมเข้าใจตามที่คุณแจ้งมา ดังนี้ ไม่รู้ถูกไหม ค่า ความไว 80 ของดอกลำโพง เค้าวัดจากห้องลอง โดยใช้ คลื่นที่ 1 K เป็นตัวจับ ฉนั้น หากคลื่น ต่ำๆ อย่าง  50 Hz ความไวจะเปลี่ยนไป ให้ค่าน้อยลง อาจจะประมาณ 60 db/watt จากคุณ : diskul - [ 13 พ.ย. 51 17:31:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ความไวของลำโพงในแต่ละความถี่ไม่เท่ากันนะครับ สามารถดูได้จาดสเปกของลำโพง ส่วนมากจะเทสกันในความถี่เสียงที่คนสามารถได้ยินได้ครับ คือ 20Hz - 20KHz ส่วนการวัดความดังเป็นเดซิเบล(dB) ส่วนมากจะใช้ที่ความถี่ 1 kHz ครับ จากคุณ : ohmee04 - [ 13 พ.ย. 51 19:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ส่วนเรื่องกำลังวัตต์ของ Power Amp ส่วนมากจะวัดกันตามรูป ข ของความคิดเห็นมี่10 แหละครับ ส่วนมากจะวัดกันโดยป้อนความถี่เสี่ยง 1 kHz เข้าไปให้จนกระทั่งเอาพุตที่ความเพี้ยนที่10% (Distortion 10%) แล้ววัดเอาต์พุตที่ได้มาคำนวนตามโหลดที่ต่อใช้งานครับ ในกรณีที่ใช้งานจริงพาวเวอร์แอมจะทำงานไม่เต็มที่หรอกครับ เพราะสัญญารเสียงจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่เป็นความถี่เดียวตามที่ทดสอบครับ ดังนั้นพลังงานศูนย์เสียจึงไม่เท่ากันตามที่ #1 ได้ถามไว้ครับ อีกอย่าง ลำโพงของเครื่องเสียงรถยนต์จะอยู่ที่ 4 โอห์ม ส่วนเครื่องเสียงบ้านจะอยู่ที่ 8 โอห์ม เมื่อเอามาใช้งาน Output power จะเปลี่ยนไปนะครับ ตามรูปด้านล่าง ที่ไฟเลีี้ยงจะเห็นได้ว่า Output power ไม่เท่ากัน เนื่องจากโหลดที่ไม่เท่ากัน รูปที่ 11 โหลด 8 โอห์ม ที่ไฟเลี้ยง 12 V จะได้ ประมาณ 10 วัตต์ รูปที่ 12 โหลด 4 โอห์ม ที่ไฟเลี้ยง 12 V จะได้ ประมาณ 18 วัตต์ 4 โอห์ม วัตต์เยอะกว่าเห็นๆ จากคุณ : ohmee04 - [ 13 พ.ย. 51 20:15:53 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เอ่อ ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด อันนี้พูดเฉพาะเรื่องความไวนะ ปกติการตอบสนองความถี่ของลำโพงจะค่อนข้างราบเรียบในย่านไดนามิคของมัน หรือพูดง่ายก็คือความไวของมันหรือความเข้มของเสียงจะเท่ากันทุกตวามถี่ ผมหมายถึงหูคนเราต่างหากที่ตอบสนองต่อความถี่การได้ยินที่ต่างกัน ทั้งๆที่ความเข้มของเสียงเท่ากัน เช่นที่ 60 dB SPL ที่ความถี่ต่ำ เราจะได้ยินเสียงเบากว่าความถี่สูง แต่คุณจะสัมผัสได้ทางผิวหนังแทนตัวอย่างเช่น เสียงต่ำจากซับวูฟเฟอร์ ที่นี้ในการทดสอบเขาจะใช้แค่ Single tone 1 kHz ขณะที่ดนตรีจริง มันมีตั้งแต่20 -20000 Hz ทีนี้ทำอย่างไรเราถึงจะได้ยินเสียงเท่ากัน ทุกระดับความถี่ เขาก็ต้อง equalize สัญญาณโดยการบูสเบส ซึ่งในการบันทึกเขาจะใช้มาตรฐาน RIAA หวังว่าคงเคยเห็นกราฟกันนะ เสียงก็เลยดูเท่ากันแต่หารู้ไม่ว่าความเข้มของเสียงด้านความถี่ต่ำถูกยกขึ้นมาแล้วนั่นก็คือ ระบบต้องการกำลังขับมากขึ้น ทุกๆ 3 dB จะต้องใช้กำลังมากขึ้น 2 เท่า ดังนั้น การฟังดนตรีมันจะใช้กำลังที่สูงมากหลายสิบเท่าจากการบูสต์ความถี่ต่ำ ดังนั้น ยิ่งลำโพงมีความไวต่ำอยู่ก็ยิ่งบริโภคกำลังเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าทวีตูณ จึงเรียกว่าลำโพงกินวัตต์ ยิ่งถ้าลำโพงตอบสนองความถี่ต่ำไม่ดี (แต่เสียงอาจจะดีนะ) เราก็ต้องยกเบสขึ้นอีก ยิ่งกินกำลังหนักเข้าไปอีก ข้อมูลส่วนใหญ่ผมหามาจาก Wikkipedia แหละครับ จากคุณ : TierraMan (TierraMan) - [ 13 พ.ย. 51 20:32:06 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อันนี้กราฟ RIAA จากคุณ : TierraMan - [ 13 พ.ย. 51 20:32:58 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อันนี้ยกสูตรมาแต่อย่าตกใจนะครับแค่บอกว่า ยิ่งความถี่สูงความดันของเสียงจะมีมากขึ้น กำลังที่ใช้ขับจึงน้อยลง เป็นที่มาของกราฟ RIAA จากคุณ : TierraMan (TierraMan) - [ 13 พ.ย. 51 20:38:58 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ตอบประโยควรรคสุดท้ายของเจ้าของกระทู้แบบง่ายๆ ความถี่ต่ำจะ"เจี๊ยะ"(รับประทาน)  กำลังวัตต์มากที่สุด จากคุณ : เสือปลาขี้เมา - [ 14 พ.ย. 51 00:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ซ้ำ ครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 51 20:38:10 จากคุณ : นทค.คนหนึ่ง (ant26) - [ 14 พ.ย. 51 20:34:35 ]

ความคิดเห็นที่ 20 "ลำโพง 1 คู่  อาจกินวัตต์แบบเว่อร์  80 db/1วัตต์ ฉนั้น เราหา แอมป์ แค่ 1 วัตต์ ก็เพียงพอแล้วใช่ไหม" คำว่า "80 db/1วัตต์" ไม่ได้หมายถึง 80db ใช้กำลังงานเพียง 1 วัตต์ นะครับ ( db/w เป็น ชื่อหน่วยหนึ่ง ) แต่ 80db/w หมายความว่า  Gain (อัตราการขยายกำลัง) คือ 80   อ้างอิง มาจากสูตร  Gain = 10 Log Power out/ Power in ซึ่งมีหน่วยเป็น db/w สาเหตุ ที่ต้องคิดเป็น db เพราะว่า ค่าต่างๆในธรรมชาติ ไม่ได้เป็นไปตาม อัตราส่วนที่สมดุลย์ เหมือนค่า Watt ไฟฟ้า ที่คิดคำนวณกัน เช่น P = VI         แต่หู ของคนเรานั้น มีการตอบสนอง ได้เป็นช่วงๆ (ตามกฏของล็อกกาลิทึ่ม )จึงต้องกำหนด การวัดค่า แบบ db(เดซิเบล )ขึ้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้อง พะวงกับ  ค่าความแตกต่างในแต่ละช่วง อย่างเช่น อัตราการขยายเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 db/w นั้นหมายถึง ต้องใช้พลังงานถึง 2 เท่า นั้นเอง โดย ที่ค่าอ้างอิงว่า จะเป็น db/w หรือ db/mw ก้จะมาจาก ค่าตัวแปรที่มาประกอบ เช่น Z เป็นต้น ต.ย.เช่น   เครื่องขยายต้องการ I = 1 แอมป์ โดย ป้อนสัญญาณ Vi = 0.5 โวลต์  และได้ Vo = 1 โวลต์ จะได้ Pi = 0.5 w  โดย Po = 1 w (สมมุติว่า i เท่ากันทั้ง i/p และo/p)เมื่อเอามาหาอัตราขยาย   10log po/pi  =  10log 2  = 3 db/w  แสดงว่า เครื่องขยายสามารถ สร้างอัตราขยายที่ 3 db/w โดยใช้ I = 1 แอมป์ ได้ Po = 1 watt ป้อนให้กับลำโพง แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 51 21:30:06 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 51 21:24:55 จากคุณ : นทค.คนหนึ่ง (ant26) - [ 14 พ.ย. 51 20:37:17 ]

ความคิดเห็นที่ 21 กลับมาอ่าน ยัง งง อยู่ ครับ จากคุณ : diskul - [ 17 พ.ย. 51 20:07:08 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ผม งงกว่าครับ ... จากคุณ : ผอมแห้งแรงน้อย - [ 21 พ.ย. 51 09:56:07 ]