ความคิดเห็นที่ 1 มั่วเอานะครับน้าริม เส้นเล็กๆนำไฟฟ้าได้ดีกว่า จากพื้นที่หน้าตัดที่น้อยกว่า ตามสูตรของความต้านทานจึงน่าจะน้อยกว่า... แต่... เส้นเล็กมันทนความร้อนสู้เส้นใหญ่ไม่ได้นะครับ แล้วเวลาที่เครื่องเสียง ( โดยเฉพาะแอมป์ ) ทำงานไปนานๆ มันร้อนใช่เล่นนะครับ ความทนทานจึงดีกว่าเส้นเล็ก แต่...อีกที เขาออกแบบมาให้ใช้งานแบบนี้แล้วก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร ดังนั้น ต้องลองเอาใส่รถดู (ผมรับจ้างเบิร์น) ชอบแนวเสียงตัวไหน   เอานั้นเลย... จากคุณ : ลำไผ่ บ้านท่า - [ 8 ม.ค. 52 21:43:54 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ลักษณะของสายไฟแบต ถ้าเทียบกับสายลำโพงก็ได้ครับ ให้เสียงที่ต่างกัน ในทางเดียวกัน อย่างคุณพี่ลำไผ่บ้านท่าบอก นั้นก็จริงครับ แต่ขอฝากไว้ข้อคือ นำสัญญาณ นำไฟฟ้า หรือ คุณภาพดีกว่า ใช้ว่าเสียงจะดีกว่า ตัวนำธรรมดาๆนะครับ (เว้นแต่ขี้เร่จริงๆ) อย่างแอมป์หลอดที่ให้สัญญาณเพี้ยนๆ แต่ดันไพเราะอย่างเทพ ^_^'' พูดง่ายๆแบบกำปั้นทุบดินคือต้องลองล่ะครับ จากคุณ : siwarut - [ 8 ม.ค. 52 21:57:38 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คิดว่าเส้นเล็ก ๆ จำนวนมาก น่าจะหักในได้ยากกว่าเส้นใหญ่จำนวนน้อย ๆ ครับ จากคุณ : mkputon - [ 8 ม.ค. 52 22:13:24 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนตัวชอบฝอยๆ นุ่มๆ ครับน้าริมฯ แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 52 22:45:52 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 52 22:27:59 จากคุณ : =Actualizer= - [ 8 ม.ค. 52 22:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มันฟันธงกันไม่ได้หรอกครับอันไหนดีกว่า ส่วนเรื่องทนความร้อนนี่ผมว่ามันน่าจะเกี่ยวเท่าไหร่ เพราะการที่แอมป์ร้อนไม่เกี่ยวว่าสายไฟจะร้อนด้วย อาจจะมีอุณหภูมิขึ้นบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อยไม่ใช่ในระดับที่มีนัยสำคัญใดๆ คำถามนี้น่าสนใจเพราะ และคล้ายกับสิ่งที่ผมสงสัยเกี่ยวกับสายลำโพงของ wyrewizard ที่เป็นสายแกนเดี่ยว เทียบกับสายธรรมดาที่มักจะใช้ทองแดงเล็กๆจำนวนมาก โดยส่วนตัว (ส่วนตัวจริงๆ) เชื่อว่าความแตกต่างของสายไฟ กับ เสียง มีอยู่แค่สองแนวทางใหญ่ๆ คือ 1. สายไฟคุณภาพดี (แบตด้วย) นำไฟเข้าระบบได้ดี อุปกรณ์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น เสียงจะมีไดนามิกดี รายระเอียดมา เสียงนิ่ง มีเนื้อ 2. สายไฟคุณภาพด้อยกว่า นำไฟเข้าระบบได้ไม่เต็มที่ อุปกรณ์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ เสียงแกว่ง แหลมจัดๆ บางขาดเนื้อ ไดนามิกลด จากคุณ : audioportal (audioportal) - [ 9 ม.ค. 52 00:42:16 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เอ  เห็นเขาว่ากันว่า กระแส เดิทางผ่านทางพื้นผิววัสดุ     ถ้าจริงดังนั้น  เส้นเล็กมากเส้นก็น่าจะนำกระแสได้เยอะกว่า (พื้นที่ผิวมากกว่า)    .....  หุหุหุ   มั่วๆ อะครับ   เอ ... ว่าแต่ มันจริงไหมเนี้ย แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 52 01:02:35 จากคุณ : climaxdive - [ 9 ม.ค. 52 01:02:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 งั้นต้องหาว่า  อิเลคตรอน มันชอบวิ่งที่เส้นใหญ่หรือเส้นเล็ก วิ่งที่ในเส้นหรือวิ่งที่ผิว จากคุณ : drof - [ 9 ม.ค. 52 01:02:45 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อืม.... น้าแต่ละคนชงต่อๆ กันมา คราวนี้เป็นเรื่องเลยนะครับ จากลูกยุของน้าทั้งหลาย ได้ผลการค้นคว้าดังนี้นะครับ ตัดมาให้ดูจากลิ๊งค์นี้นะครับ http://wiki.answers.com/Q/Does_electric_current_flow_only_on_the_surface_of_the_copper_conductor Q: Does electric current flow only on the surface of the copper conductor? A: The AC current tend to flow on the surface of the conductor. The higher the frequency, the thinner the skin. This is known as the skin effect. So DC current flow throught the entire conductor but when the signal varies (AC) there is the formation of eddy current in the conductor itself and that pushes the electrons at the surface of the conductor. ...ใจความสั้นๆ ก็คือความถี่สูงวิ่งที่พื้นผิวตัวนำ ยิ่งความถี่ต่ำยิ่งวิ่งภายในตัวนำ ที่เหลือใครภาษาอังกฤษเก่งแปลกันเอาเด้อ... ในลิ๊งค์บนนั้นทิ้งคีย์เวิร์ดไว้ให้อีก 2 คำคือ Skin effect และ Skin depth ผลการค้นหา Skin effect http://en.wikipedia.org/wiki/Skin_effect ซึ่งมีทฤษฏีมากมายและสมการยากเกินกว่าผมจะเรียนรู้ แต่สรุปได้คร่าวๆ เหมือนกันคือความถี่ยิ่งสูงยิ่งวิ่งที่พื้นผิวเปลือกนอก ความถี่ยิ่งต่ำยิ่งลึกจากพื้นผิวเข้าไปมาก และมีตารางให้ดูนิดหน่อย http://en.wikipedia.org/wiki/Skin_effect#Examples กรณีของทองแดง ความถี่ 60 Hz จะวิ่งที่บริเวณชั้นตัวนำจากพื้นผิวลึกเข้าไป 8 มม. ... 10 kHz วิ่งบริเวณชั้นตัวนำจากพื้นผิวลึกเข้าไป 0.66 มม... แล้วก็นำไปสู่ออกแบบระบบสายส่งจากสถานนีส่งไฟฟ้ากำลัง และมีลิ๊งค์ที่เกี่ยวข้องลากต่อไปอีก ลิ๊งค์นี้พูดถึง Skin effect : Internal impedance & types of wire http://www.st-andrews.ac.uk/~jcgl/Scots_Guide/audio/skineffect/page1.html ยังไม่ได้อ่านเหมือนกัน ใครแวะไปอ่านแล้วกลับมาบอกด้วยนะครับ และลิ๊งค์นี้คิดว่าตรงประเด็นคาใจของใครหลายคน เพราะพูดถึง Skin effect relevance in speaker cable http://www.audioholics.com/education/cables/skin-effect-relevance-in-speaker-cables ก็ยังไม่ได้อ่านเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 52 07:25:51 จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 9 ม.ค. 52 07:08:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จากข้อมูลน้าริมนี่ไม่ต่างกันเลยนะเรื่อง skin effect  เพราะขนาดสายมันเล็กกว่า 0.66 mm ทั้งคู่   แปลว่า ความถี่ที่วิ่งได้ดี  น่าจะเกิน 30KHz ขึ้นไปมั้ง สรุป  ต้องลองฟังดูนะ  บางเรื่องมันไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน  ส่วนมากจะลองฟังก่อนว่า เสียงดีหรือไม่ดี  แล้วค่อยมาหาเหตุผลรองรับกันอีกที ว่าเป็นเพราะอะไร จากคุณ : sunsetbeach - [ 9 ม.ค. 52 08:00:49 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เอาที่ความรู้สึกนะน้า เสียงแหลมจะวิ่งได้ดีในสายเส้นเล็ก เสียงทุ้มจะวิ่งได้ดีในสายเส้นใหญ่ๆ เชื่อผมก็บ้าแล้ว5555555555 จากคุณ : กิมทุย - [ 9 ม.ค. 52 09:36:00 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตามน้าลำไผ่น้าจะใช่ที่สุดนะครับ แต่ การใช้งานจริงต้องลองครับ จากคุณ : ton-legor - [ 9 ม.ค. 52 10:10:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 การตีเกลียวกัน เป็นการลดความต้านทานที่สายหน้าตัดเล็กมีมากกว่าสายหน้าตัดใหญ่กว่า ถ้าเป็นผม ฝอยเยอะใช้ใส่แอมป์ขับกลางแหลม หน้าตัดใหญ่กว่าใส่แอมป์ขับซับ ที่จริงก้อทำแบบนี้อยู่ครับ จากคุณ : audiophilamature - [ 9 ม.ค. 52 12:44:04 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มาเก็บเพิ่มรอยหยักในสมอง.. จากคุณ : R_ROMSANG - [ 9 ม.ค. 52 12:56:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมชอบกระทู้ลักษณะนี้ครับ อยากให้ มีกระทูอย่างนี้เยอะๆๆ จากคุณ : diskul - [ 10 ม.ค. 52 12:21:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ไฟบ้านเดินที่เนื้อตัวนำ ไฟรถเดินที่ผิวครับ จากคุณ : k.bom - [ 10 ม.ค. 52 13:21:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 วันนี้พอมีเวลาเลยย้อนกลับไปดูสมการในลิ๊งค์ที่ทิ้งไว้ใน คห. 8 ปรากฏว่าน่าสนใจกว่าที่คิดครับ จากสมการที่ 2 ของลิ๊งค์ http://en.wikipedia.org/wiki/Skin_effect delta = sqrt(2*rho/omega*mu) เมื่อ rho (resistivity) = ค่าความต้านทานของตัวนำ omega (angular frequency) = 2*pi*f (เมื่อ pi = 3.1416 และ f คือความถี่มีหน่วยเป็น Hz) mu (permeability) มีค่าเท่ากับ mu_r * mu_0 โดยที่ mu_r (relative permeability) เป็นคุณสมบัติของตัวนำ mu_0 เป็น permeability ของฟรีสเปซมีค่า 4*pi*10-7 แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 52 15:48:57 จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 10 ม.ค. 52 15:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สมมติลองคิดเล่นที่ทองแดง ซึ่งจากตารางนี้ http://en.wikipedia.org/wiki/Resistivity#Table_of_resistivities ได้ค่า resistivity ของทองแดง rho = 1.72*10-8 และจากตารางนี้ http://en.wikipedia.org/wiki/Magnetic_permeability#Relative_permeability ได้ค่า relative permeability ของทองแดง mu_r = 1.25*10-6 เมื่อนำ rho, mu_r, mu_0 และ omega แทนลงไปในสมการหา delta (skin depth หมายถึงความลึกที่วัดจากผิวรอบนอกสุดของตัวนำ) จะได้ว่า delta = 58.8818*sqrt(1/f) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า - ความถี่สูง skin depth น้อย => วิ่งที่พื้นผิว - ความถี่ต่ำ skin depth มาก => วิ่งลึกเข้าไปในแกน จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 10 ม.ค. 52 15:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อลองนำสมการ delta = 58.8818*sqrt(1/f) ไปพล็อตกราฟใน Excel โดยพิจารณาความถี่ f จากช่วง 1 Hz ~ 100 kHz จะได้กราฟเซมิลอกฯ เป็นแบบนี้ครับ ตัวเลขใกล้เคียงกับตารางในนี้ http://en.wikipedia.org/wiki/Skin_effect#Examples จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 10 ม.ค. 52 16:01:20 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ว้าว ! ผมก็พอรู้เรื่อง skin effect คร่าว ๆ แต่น้าริม ฯ เป็นคนอธิบายได้เข้าใจง่ายที่สุดครับ แต่ผมสงสัยนิดนึงครับ คือเรื่อง skin effect นี่เค้าว่ากันที่สายลำโพงไม่ใช่เหรอครับ ? สายแบตมันจะมีผลเรื่อง skin effect นี่ด้วยเหรอครับ ? จากคุณ : หลงไท่หยัง - [ 11 ม.ค. 52 01:21:19 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อย่างที่จั่วไว้ในหัวกระทู้เลยครับน้าหลงฯ ว่าผมไม่รู้เลยจริงๆ จึงตั้งกระทู้ถาม หลังจากได้ลูกยุจากน้าๆ ก็ลองไปค้นคว้าเพิ่มเติมจึงได้คีย์เวิร์ดมา 2 คำหรือ skin effect และ skin depth พอลองศึกษาดูปรากฏว่าพฤติกรรมของกระแสไฟฟ้าที่ไหลไปในตัวนำนั้นขึ้นกับความถี่ของกระแสไฟฟ้านั่นเอง ถ้าเป็นกระแสความถี่สูงๆ จะวิ่งผิวนอกหรือชั้นตัวนำบริเวณเส้นรอบวงของตัวนำ เมื่อความถี่ต่ำลงชั้นตัวนำจะยิ่งตีวงแคบลง ลึกเข้าไปในแกน (ความลึกนี้คือ skin depth) และความถี่ต่ำสุดๆ จะวิ่งบริเวณแกนเลยก็ว่าได้ (ถ้าสายตัวนำนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ตามทฤษฎีที่คำนวณได้จากสูตร) ตอนท้ายใน คห. 19 ของน้าหลงฯ ทำเอาผมต้องหยิบเรื่องที่คิดได้หลังจากพล็อตกราฟเสร็จมาคิดต่อว่าระบบในรถเรามีสายตัวนำอะไรที่นำกระแสไฟฟ้าบ้าง ? 1. สายไฟ 2. สายสัญญาณ 3. สายลำโพง เป็นที่รู้กันว่าสายทั้ง 3 นี้ต่างใช้นำกระแสไฟฟ้าทั้งนั้น 1. สายไฟ... ไฟในรถที่จ่ายมาจากไดชาร์จน่าจะเป็นไฟฟ้ากระแสตรงที่เกือบสมบูรณ์ในอุดมคติ ส่วนไฟที่มาจากแบตน่าจะสมบูรณ์แบบมากกว่า... น่าจะถือได้ว่าความถี่เป็นศูนย์ เพราะฉะนั้นตามทฤษฎีกระแสไฟฟ้าจากไดชาร์จหรือแบตฯ น่าจะวิ่งภายในเนื้อตัวนำ... และ skin effect ไม่น่าจะต้องนำมาคิดในสายไฟนี้ (ไฟบ้าน 50 Hz ก็จะวิ่งรอบนอกของแกนกลางออกไปอีก) 2. สายสัญญาณ... เหมือนว่าจะเคยอ่านจากในห้องรัชดานี่แหล่ะว่าความถี่สูงวิ่งที่ผิว ความถี่ต่ำวิ่งที่เนื้อใน... น่าจะเป็นผลมาจาก skin effect โดยแท้... และคิดว่าทฤษฎีนี้สามารถยืนยันความแตกต่างของเสียงที่ได้จากสายสัญญาณแน่ๆ เช่น สายสัญญาณตัวนำฝอยเล็กมากเส้น สายสัญญาณตัวนำฝอยใหญ่น้อยเส้น สายสัญญาณเคลือบเงินที่ผิวนอก ฯลฯ .... แต่สุดท้าย ก็ต้องไปลองฟังลองเปลี่ยนในระบบเพื่อ matching เอาเองว่าชอบสายอะไร แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าซื้อมาลองโดยที่คาดหวังสิ่งที่ต้องการอะไรไม่ได้เลย เสียเงินแล้วไม่ชอบก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ 3. สายลำโพง... น่าจะเข้าข่ายเดียวกันกับสายสัญญาณเพราะใช้นำกระแสหลายความถี่เหมือนกัน จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 11 ม.ค. 52 06:43:18 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณครับ น้าริม ฯ คห.20 ตอบได้ clear สุด ๆ ขอเสริมน้าริม ฯ นิดนึง สรุปว่าเรื่อง skin effect ในสายลำโพง ปกติสาย tweeter ที่นำความถี่สูง จะใช้เป็นสายฝอยเยอะ ๆ หลาย ๆ เส้น ส่วนสายที่นำความถี่ต่ำจะใช้สายแกนเดี่ยวใหญ่ ๆ ที่จำนวนเส้นตัวนำน้อยกว่า ทำให้เราพอเดา ๆ ลักษณะเสียงของสายแต่ละยี่ห้อแต่ละแบบได้พอคร่าว ๆ แต่มีสายที่มีพิเศษ (พิเศษเฉพาะลักษณะ เรื่องเสียงนานาจิตตังครับ) อีก 2 ยี่ห้อคือ Monster ที่ใช้ทองแดงหลายขนาดมาพันปนกัน นัยว่าเพื่อให้นำความถี่ได้ดีในหลาย ๆ ย่านในสายเส้นเดียวกัน อีกยี่ห้อคือ Supra ที่ชูประเด็นเรื่องการแก้ปัญหา skin effect และการลดความต้านทานภายใน สายปกติจะระบุความต้านทานว่ากี่โอห์มต่อเมตร แต่ Supra จะระบุเป็นกี่โอห์มต่อกิโลเมตร !!! ว่าแต่ว่าอยากฟังสายเงินแกนเดี่ยวจังครับ ว่าบุคลิกเป็นอย่างไร ? เพราะลักษณะมันขัดกันอยู่ เนื่องจากตัวนำเงินเด่นในย่านบน แต่โครงสร้างแกนเดี่ยวจะเด่นในย่านล่าง มีใครเคยฟังบ้าง ? เป็นสายยี่ห้ออะไร ? อยากฟังจัง จากคุณ : หลงไท่หยัง - [ 11 ม.ค. 52 09:46:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณน้าหลงฯ ที่นำประสบการณ์มาแบ่งปันครับ เพิ่งรู้เหมือนกันว่า Monster มีสายแบบนี้ด้วย ไม่ทราบว่ารุ่นอะไรหรือครับ ? ส่วน Supra นี่คงยังไม่ลองหล่ะครับ (ไม่มีตังค์) เอาไว้อยากติดเครื่องเสียงในรถไฟที่ใช้สายลำโพงยาวเป็น กม. แล้วค่อยว่ากัน จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 11 ม.ค. 52 15:13:33 ]

ความคิดเห็นที่ 23 จริงครับ Monster บ้าน มีทองแดง หลายขนาดใน 1 เส้น แต่ไม่ทราบ  Monster รถเป็นอย่างไร จากคุณ : diskul - [ 11 ม.ค. 52 16:16:29 ]

ความคิดเห็นที่ 24 น้าริมฯ ผมไม่เข้าใจ ขอนัดสอนพิเศษตัวต่อตัวครับ จ่ายค่าสอนเป็นตัวประกัน AGU 15A 3 หลอด+หางปลาเทพอีก 3 อัน อย่าลืมพาไปยกขึ้นฮ้อยนะ จะเอาจริงล่ะ เบิ้ลสายเนี่ย แต่เดี๋ยวไปหารูยัดที่ขั้วก่อน ตอนนี้แน่นจริงๆครับ... จากคุณ : =Actualizer= - [ 12 ม.ค. 52 11:08:57 ]