ความคิดเห็นที่ 1 เขา กำลังพยายาม ลดต้นทุนก่อนครับ เมื่อลดต้นทุนไม่ได้ ค่อยมาลดกำไร ภาษี ก็ถือเป็นต้นทุนชนิดหนึ่ง บริษัทรถ เขามีทางเลือกได้มากกว่า บริษัทเล็ก และเสียงดัง รัฐบาลต้องฟัง มีให้เลือก ถ้าเลืือกได้ ลดต้นทุน กับลดกำไร เป็นคุณๆ เลือกอะไร จากคุณ : SAR-TEE - [ 19 ก.พ. 52 11:56:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อย่างนี้ นี่เอง...ลองถามความคิดเห็นที่ 4 ก้อแล้วกันนะ.. จากคุณ : แอมเอง (amprezza) - [ 19 ก.พ. 52 11:59:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 บริษัทเขาเอาเปรียบเราเสมอแหละท่าน สงสารก็แต่เพื่อนร่วมชาติที่กำลังตกงานครับ. จากคุณ : เก้าอัศวิน - [ 19 ก.พ. 52 12:03:24 ]

ความคิดเห็นที่ 4 รัฐบาลบ๊องส์ครับ ขนาดเพิ่มหัวข้อให้บริจาคเงิน ๑๐๐ บาทให้พรรค การเมืองได้ ในใบเสียภาษี จะเอาอะไรกะเขาครับ ซ้ำร้าย ปัญญาอ่อนหนัก จะปล่อยพืชอันตราย ๑๓ รายการที่ผมดูให้ ตายอย่างไง ก็ไม่อันตรายออกมาให้ชาวบ้านปลูกไม่ได้ (จริงๆ มันก็ ขึ้นเอง) ในรายชื่อไม่ยักกะมีหมามุ้ยแฮ๊ะ โดนเมื่อไหร่ก็คัน แต่ไม่อัน ตราย บ้าไปแล้ว อยากบอกสั้นๆ "ไปตายซะไป" แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 12:11:58 จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 19 ก.พ. 52 12:06:26 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เซ็งรัฐบาลตั้งแต่แจกเงิน 2000 แระ อยากถามว่า มันทำไปเพื่้อ ? จากคุณ : DUNGDING - [ 19 ก.พ. 52 12:08:47 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอถามกลับไปที่ จขกท. ว่า รู้ได้ไงว่า ลดภาษีรถยนต์ลงแล้ว รัฐจะได้เงินน้อยลง ? ถ้าไม่ลด ขายได้ปีนึง 500,000 คัน ได้ภาษีเท่าไหร่ ไม่รู้ล่ะ ถ้าลดภาษี (ลดต่อคัน) แต่ขายได้ปีนึง 550,000 หรือเพิ่มขึ้น 10% ถามว่า รัฐจะได้เงินภาษีรวม มากขึ้น หรือน้อยลง? คำตอบของผม คือ ไม่รู้ครับ เพราะมันขึ้นกับว่า ลดภาษีไปจากเดิมกี่ % ถ้าลดภาษีไปจากเดิม ไม่ึถึง 10% แต่ปริมาณการขายรถ เพิ่มขึ้น 10% งานนี้ รัฐได้เงินภาษีโดยรวม เพิ่มขึ้นครับ ปล. แต่ไม่ได้ค้านเรื่อง ให้บ.รถไปลดกำไรของตัวเองลงนะ คนละเรื่องกัน ทุกวันนี้ ถ้าคุณจะซื้อรถซักคัน หาราคาครบทุกยี่ห้อ รับรองว่า ซื้อได้ถูกกว่าปีที่แล้วแน่นอนครับ จากคุณ : P_Wut - [ 19 ก.พ. 52 12:19:04 ]

ความคิดเห็นที่ 7 งั้นถ้ามองแบบท่าน P_Wut ผมเสนอเพิ่มนิดหน่อยครับ ให้ลดภาษีสินค้าทั่วไปที่เป็นมูลค่าเพิ่ม ๗% ให้ด้วยสิครับ สินค้าจะได้ถูกลง เมื่อถูกลง คนจะได้ซื้อมากขึ้น ในที่สุด รัฐก็ได้เงินมากขึ้น ลดภาษีน้ำมันใหม่สิ คนจะได้เอารถไปวิ่งเยอะขึ้น คนเติมมากขึ้นเยอะๆ รัฐ ก็มีรายได้มากขึ้นเองหล่ะ เลือกลดให้เป็นบางรายการนี่ ไม่แฟร์นะครับ ถือว่า ไม่ให้ความเป็นธรรมกับ กิจการอื่นๆ เลยครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย - [ 19 ก.พ. 52 12:28:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ลดๆไปเถอะจะอะไรก็ช่าง จะได้ซื้อใหม่สักที จากคุณ : aimmobile - [ 19 ก.พ. 52 12:31:46 ]

ความคิดเห็นที่ 9 กลุ่มบริษัท..รถ..เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ก็จริง..และมีผลกระทบกับ ผู้ประกอบการพวกผลิต พาร์ท ก็ เยอะ.. แต่..กิจการเหล่านี้ส่วนมาก..มีเจ้าของหรือหุ้นส่วนหลักๆ เป็นต่างชาติ..ซะมาก..และรอบในการหมุนเวียนของเงินค่อนข้างจำกัด. การลดภาษี เพื่อเอื้อ..ประโยชน์ให้บริษัท....ณ.เวลาที่ประเทศ และรัฐบาลมีงบประมาณ ในการอัดฉีด ที่ค่อนข้างจำกัด.. อยากให้ไปอัดฉีด ธุรกิจที่เป็นของคนในประเทศ..และมีรอบการหมุนเวียน มากกว่า.. สินค้าเกษตร.หรือผลิตภัณท์..ที่เป็นปัจจัย 4 .ซึ่งเป็น คนส่วนมากของประเทศ..และเป็นคนส่วนมาก ที่น่าจะได้รับผลกระทบ จากความยากลำบาก ในขณะที่เศรษฐกิจประเทศเป็นแบบนี้..ข้าวยากหมากแพง. หมุนได้รอบที่เร็วกว่า..จะเห็นผลที่ดีกว่า.. การอัดฉีด ธุรกิจ รถยนต์..ถ้าไม่ควบคุมให้ดี..ก็เหมือน กับการเอาภาษีประชาชนไทยไปอุ้มธุรกิจต่างชาติ.... และผมค่อนข้างเชื่อว่า...การลดภาษี รถยนต์..ณ.เวลานี้..ไม่เป็นเหตุจูงใจเพียงพอต่อการเพิ่มยอดขาย..รถยนต์จนได้ยอด..ภาษี เกินกว่าที่ลด.. จะได้ผลจริงๆ กับคนที่ต้องการซื้ออยู่แล้ว..ตัดสินใจง่ายขึ้น..แต่ กับผุ้ที่..ยังขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ..และอนาคตการทำงาน...น่าจะไม่มีผลกับการตัดสินใจ.. และจะเป็นการสร้างปัญหา..ในอนาคต เกี่ยวกับ..ตัวเลขnpl ถ้าเกิดขายไปแล้ว..เศรษฐกิจ ยังไม่ฟื้นทำให้มีผลกระทบกับการผ่อนชำระ..ของพนักงานที่ต้องเจอปัญหา ปลดคนงานหรือลดรายได้จากการทำงาน ถ้าตอนนี้ประเทศ มีเงินคงคลังที่มากพอ..อยากอัดฉีด..ผมจะเห็นด้วย. แต่ณ.เวลาที่ประเทศมีโครงการณ์ ต้องกู้เงิน ถึง สอง-สามแสนล้านเตรียมไว้อัดฉีดในระบบเศรษฐกิจของประเทศ...น่าจะต้องเลือก..กลุ่มให้รอบคอบที่สุด.. ส่วนผู้ประกอบการชิ้นส่วน ต้องหามาตรการช่วยเหลือด้านอื่นต่อไป จากคุณ : ~cupid~ - [ 19 ก.พ. 52 12:35:32 A:117.47.224.52 X: TicketID:139017 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แต่ผมอ่านข่าวดู ปิกอัพของ โตโยต้า อีซุซุ ยอดขายลดลง 30-40% เลยนะ ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ก็น่าเห็นใจอยู่นะ จากคุณ : sd_piggy - [ 19 ก.พ. 52 12:36:01 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตอบคุณหยึม ถูกต้องครับ จะลดภาษีตัวไหนก็ได้ ขึ้นกับว่า ลดอะไร เ่ท่าไหร่ แล้วปริมาณการขาย มันเพิ่มขึ้น ชดเชยกันหรือไม่ แล้วมันช่วยภาคการผลิตสินค้านั้นๆ ซึ่งใช้แรงงานคนไทยอยู่ หรือไม่ อสังหาริมทรัพย์ เค้าก็ช่วย โดยลดภาษีโอน และให้ลดหย่อนภาษีเพิ่มครับ แต่ยกเว้นภาษีน้ำมันครับ  เพราะลดไป เงินก็ไหลออกลูกเดียว จากคุณ : P_Wut - [ 19 ก.พ. 52 13:07:55 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่มีใครอยากขาดทุนหรอกครับ.... จากคุณ : นายHUT - [ 19 ก.พ. 52 13:15:03 ]

ความคิดเห็นที่ 13 บริษัทรถ ก็เป็น บริษัทต่างชาติ เหมือน น้ำมันนี่ครับ ? กำไรที่ โต , ฮอน , นิส , มิต , อี ฯลฯ ได้ ก็ส่งกลับประเทศแม่หมด....เหลือไว้แต่ ค่าบริหารงาน และ ต้นทุนการผลิตที่ใช้ในประเทศเท่าที่จำเป็น คนไทย ซื้อรถ ญี่ปุ่น เยอะ กำไร ก็ส่งกลับญี่ปุ่นเยอะเช่นกัน..... ถึงจะบอกว่า ประกอบผลิตในประเทศ เงินค่าวัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงานหมุนเวียนในประเทศก็ตามที่เถอะ......แต่ กำไรที่ได้ กับค่าต้นทุนที่จ่าย มันสวนทางกัน พี่คนหนึ่งทำงานระบบ ISO พวกนี้ เคยทำงาน Co กับ บ.รถยนต์ญี่ปุ่น.... มันออกมาตรการ ลดต้นทุนด้วยการ บีบให้ทาง ซัพพลายเออร์ ต้องลดต้นทุนที่ส่งให้มัน ปีละ 3% เป็นอย่างต่ำถ้าทำไม่ได้ มันจะไปสั่งของนำเข้าจาก เวียตนาม , อินโด , ฟิลปินส์ มาแทนของผลิตในไทย......บีบจนหน้าเขียว ทั้งๆที่ ต้นทุนแต่ละอย่างที่ส่งไปนั้น ก็ไม่ได้แพงอะไร กระจังหน้า พลาสติกฉีดขึ้นรูปสีดำ กระบะ ยี่ห้อหนึ่ง ส่งโรงงานไปชิ้นละ 20 - 30 บาท แต่ไปเข้าศูนย์ กลายเป็นหลักพันทันที.....ถามว่ากำไรตรงนี้มันอยู่ที่โรงงานคนไทย กี่บาทครับ ? กำไรกระจังหน้า ได้ชิ้นละ 2 - 3 บาทเท่านั้น แต่ บ.รถ ได้กำไรชิ้นละ 2 พัน.......เงินสองพันนี้สงกลับญี่ปุ่นครับ เข้ามือคนไทย 3 บาท.... นี่คือตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ว่าทำไม ญี่ปุ่น ถึงได้รวยเอาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คราวนี้มาเป็นเรื่อง ภาษีอีก.....ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว..... กล้าพนันไหมล่ะ....ว่าเมืองไทย จะไม่มีทางผลิตรถยนต์ใช้เองได้....... จีน อินเดีย มาเลย์ ก็ทำไปแล้ว...แล้วพี่ไทยล่ะ จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 19 ก.พ. 52 13:30:08 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คห. 1 ครับ ภาษีไม่ใช่ต้นทุนครับ   เราเสียภาษีหลังจากที่เรากำไรแล้ว กำไร =รายได้ทั้งหมด -  [ต้นทุน(Variable+Fixed Cost)+ ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับสินค้า] พอได้กำไรก็จึงนำไปเสียภาษีครับ ตามอัตราที่ทางรัฐกำหนด วิธีการคิดต้นทุน มีหลายวิธี ในบริษัทเล็กๆ อาจจะแยกต้นทุนกับค่าใช้จ่ายไว้คนล่ะส่วน   แต่สำหรับในบริษัทใหญ่ๆส่วนใหญ่ใช้วิธีการกระจายค่าใช้จ่ายต่างๆเข้าไปในสินค้าให้หมด แม้กระทั่งเศษกระดาษที่ไม่เกี่ยวข้องในการผลิต โดยมีตัวแปรที่ช่วยในการ ผันแปรของชนิดสินค้าแต่ละชนิด ซึ่งสินค้าราคาแพงก็จะรับต้นทุนเข้าไปมาก หรือแล้วแต่วิธีการกำหนดเงื่อนไข ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการคิดเพิ่มจากราคาที่ตั้งจำหน่าย เช่น ราคาสินค้า 100 บาท แต่ขายจริง 107 บาท  ถ้าทอดที่สองเอาไปขายต่อ ต้นทุนก็จะเป็น (107+กำไร)*1.07  ก็จะกลายเป็น 114.49+กำไร*1.07 ดังนั้น ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่ผู้บริโภคคนสุดท้ายเป็นผู้รับภาระ เพราะแต่ละผู้ขาย สามารถผลักภาระไปให้กับผู้ซื้อในขั้นถัดไป Part รถยนต์ ก็ทอดนึง---->  ประกอบเสร็จจากโรงงานก็ทอดนึง---->  เข้าสู่ Distributor ก็ทอดนึง -----> ไปถึง ตัวแทนก็อีกทอดนึง >>>> สุดท้ายผู้บริโภคก็รับทั้งหมด การลดภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงเป็นการช่วยให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์จากการที่สามารถใช้สินค้าได้ราคาที่ถูกลง ผู้ผลิตก็สามารถขายสินค้าได้ง่ายขึ้นเนื่องจากราคาถูกลง จริงๆมันยังมีปัจจัยต่างๆมากกว่านี้ ต้องมองให้รอบ ครอบคลุมให้หมด อุตสาหกรรมไม่ได้มีแค่อุตสาหกรรมเดียว และแต่ละอุตสาหกรรมยังเชื่อมโยงกัน จากคุณ : KhongLen` - [ 19 ก.พ. 52 13:43:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ ^ กำลังจะมาพิมพ์เชียว อิอิ แบบนี้มันผลักภาระ จากบริษัทรถ ไปที่รัฐบาลแทน สุดท้ายเก็บภาษีกลุ่มนี้ได้ได้ตามเป้า รัฐก็จะหันไปเก็บภาษีจากส่วนอื่นแทน บริษัทรถ ยังคงได้กำไรเท่าเดิม แต่ภาระตกกับ รัฐฯ และ เรา ๆ ท่าน ๆ จากคุณ : มนอุ๊งอิ๊ง - [ 19 ก.พ. 52 14:12:33 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรียนคห.6 เห็นด้วยกับที่คุณว่ามา หากขายในปริมาณเยอะขึ้น ภาษีก็เยอะขึ้นเป็นธรรมดา แต่กำไรบริษัทก็มากขึ้นตามตัวไม่ใช่หรือ? ซึ่งอันนี้ผมเห็นด้วย แต่การที่ให้รัฐมาช่วย โดยไม่คิดช่วยตัวเอง มันยุติธรรมสำหรับคนอื่นๆที่เสียภาษีหรือไม่ รถ 1 รุ่นที่ผลิตมา จะคำนวณต้นทุนที่ 4 ปี(โดยประมาณ) ปีที่1 อย่างที่ผมกล่าวไว้ คือต้นทุนจะสูง เพราะค่าโฆษณาเยอะ แต่พอมาเฉลี่ยต่อคัน/ปี แล้ว น่าจะจกคันละไม่เกิน 2-3 พันบาท พอปีที่2-4 งบโฆษณาลดลง เพราะเริ่มติดตลาด ราคาชิ้นส่วนถูกลง เพราะบีบSupplier ทำ CR บางครั้งก็ใช้วิธีการทำ VA/VE หรือเปลี่ยน Engineering Design เพื่อลดต้นทุน สามารถลดลงได้เยอะมาก แต่ในขณะเดียวกัน กลับขายรถในราคาเท่าเดิมหรือแพงกว่าเดิม ถามว่าไอ้จุดที่เปลี่ยนทำ VA/VE นั้น ลูกค้ารู้หรือไม่ ตอบได้เลยว่าลูกค้าไม่รู้หรอกครับ เพราะถือว่าผ่านมาตรฐานของบริษัทรถยนต์ การที่ให้รัฐเข้ามาอุ้ม โดยอ้างถึงเครือข่ายที่ใหญ่ บริษัทชิ้นส่วนได้รับผลกระทบนั้น แต่ปลายปีคนก็ลืม และคนพวกนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐกลับได้เงินสวัสดิการ และโบนัส ที่มากกว่าธุรกิจอื่น มันยุติธรรมหรือเปล่า ทุกวันนี้ Supplier ก็ถูกค่ายรถยนต์เอาเปรียบอยู่แล้ว หากคุณไปดูยอด Forecast กับยอดที่สั่งซื้อซิครับ มันเพี้ยนกันมาก และค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่ใช้วิธี JIT หมด สรุปแล้ว Supplier ต้องมานั่งทำ Stock ให้ หากคำนวณไม่ดี Supplier ทำ Stock มากไป มีการ Stop หรือเปลี่ยน model ทางผู้ผลิตรถยนต์รับผิดชอบให้แค่ไหน หากจะให้รัฐช่วย ควรมีเงื่อนไขนะครับ เช่น หากสถานการณ์เข้าสู่ปกติแล้ว บริษัทรถยนต์ควรจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยมาตรการที่รัฐเข้าไปอุ้ม โดยไม่มีการขึ้นราคาเพื่อผลักภาระไปให้ผู้บริโภค เช่นจ่ายภาษีชดเชย 3% ตามส่วนต่าง เป็นระยะเวลาเท่ากับที่รัฐเข้าไปช่วย และจะได้เป็นมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆด้วย จากคุณ : rainforce2003 - [ 19 ก.พ. 52 14:21:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อย่างโอบาม่าพูด (เมื่ออาทิตย์ก่อนมั้ง) มีอยู่ตอนนึง แปลเป็นไทยว่า "พวกนักลงทุน คุณจะไม่ยอมเจ็บตัวกันมั่งเลยหรอ" หลังจากนั้น หุ้นดิ่ง น้ำมันดิ่งตาม (แต่ไม่ไวเท่าหุ้น) ทองขึ้นเอา ขึ้นเอา ฮือ ๆ..... เสียใจ ตอนสิ้นปีที่แล้วไปเชื่อ อ.วีระ มากไป อ.แกบอกทองจะดิ่งถึง 11000กว่า ก่อนสิ้นปี ขายหมดหน้าตักเลย ... ถ้าตอนนั้นเก็บไว้ ตอนนี้กำไร บาทละเกือบ 3000 แล้วเนี่ย  ...  อย่างว่าที่เค้าพูดกัน พวกนักวิเคราะห์มันก็พูดของมันไป ถ้ามันรู้จริงมันรวยไปแล้ว บ่นมานาน... ช่างผมเหอะนะ แค่ขอระบาย จากคุณ : :::: Modify PT :::: - [ 19 ก.พ. 52 14:55:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แล้วจริงๆ วิกฤติ ครั้งนี้..สำหรับ..โลกมันใหญ่พอควร.. แม่พวกนี้ ยังปลดคนเลย...ญี่ปุ่นยังไม่มีแผน อุ้มเลย..บ.รถยนต์ในญี่ปุ่นยังต้อง มาสเตอร์เบชั่น (ตรูแปลถูกป่าวหว่ะ 55555555 ) เมกัน..กว่าจะผ่านแผนอุ้ม 3 ยักษ์ ได้ ..ยังแทบรากเลือด.. ไทยแลนด์..จะทำตัว เตี้ย อุ้ม ค่อม ..มันจะไหว เร๊ออออออ... จากคุณ : ~cupid~ - [ 19 ก.พ. 52 14:56:33 A:117.47.224.52 X: TicketID:139017 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อ่าน คห. 16 แล้ว ขอถามกลับ - ถ้า Supplier ทำแล้วไม่กำไร เป็นทุกข์ มีแต่ความเครียด คุณทำไปทำไมล่ะครับ? ก็เลิกทำสิ ปล่อยคนอื่นเค้าทำ - ราคารถที่ตั้งขายกันเป็นทางการ มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจจะปรับราคาโดยไม่เปลี่ยนแปลงอะไร หรือปรับราคาตอนมีเปลี่ยนรุ่น ถูกต้อง แต่ราคาที่คุณซื้อได้จริง คุณซื้อได้แพงกว่า หรือถูกกว่า ตอนมันออกใหม่ๆ ??? - โดยทั่วไป ปีแรกที่รถทุกรุ่นออกใหม่ จะเป็นช่วงที่ขายดีที่สุด แล้วหลังจากนั้น ยอดขายจะเหี่ยวลงๆ เค้าถึงต้องกระตุ้นตลาด โดยการ + ให้โปรโมชั่นเพิ่มเติม + ออกรุ่นย่อยเพิ่ม/ออกรุ่น limited ลวงๆ /หรือออกสีใหม่เพิ่ม ทุกวันนี้ # ถ้าใครจะซื้อ Vios / Yaris โดยไม่ได้ส่วนลด/โปรโมชั่น/ของแถมสักบาท คุณซื้อมั้ยครับ? # ถ้าใครจะซื้อ Vigo / Fortuner โดยไม่ได้ส่วนลด/โปรโมชั่น/ของแถมสักบาท คุณซื้อมั้ยครับ? รถ 4 รุ่นนั้น ถ้ามีคนตัดสินใจซื้อ โดยไม่ได้ส่วนลด/โปรโมชั่น/ของแถมตามที่ผมบอก คุณคิดว่า บริษัทรถเอาเปรียบ หรือคนซื้อโง่เองครับ ? *** ผมเพิ่งได้ข้อมูลหลังไมค์มาว่า เพิ่งจะออก Vigo 2.7 VVT-i ได้ส่วนลดเงินสด 9.5 หมื่น พร้อมของแถมที่ราคาไม่ถูกๆ อีก 4-5 รายการ *** # ถ้าใครจะซื้อ City / Jazz โดยไม่ได้ส่วนลดสักบาท อาจมีบางคนซื้อ เพราะรถมันสวย / มันเพิ่งออกใหม่ # ถึง Lancer โฉมปัจจุบัน มันจะลดให้อีก ก็อาจจะไม่มีใครมอง จากคุณ : P_Wut - [ 19 ก.พ. 52 15:37:46 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สรุปแล้ว ผมจะบอกว่า เรื่องลดราคา มันก็ลดของมันอยู่แล้ว อันเนื่องมาจาก Demand ที่หดตัวลง ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐ เค้าต้องไปชั่งใจว่า - ภาษีต่อคันที่ลดลง vs ภาษีโดยรวมที่จะได้มาชดเชย - ปัญหาการว่างงาน และการหมุนเวียนของเม็ดเงินที่น้อยลง อันเนื่องมาจาก คนส่วนนึง ตกงานนั้น ทำแบบไหน จึงจะได้คำตอบที่ดีที่สุดกับสถานการณ์ในปัจจุบัน จากคุณ : P_Wut - [ 19 ก.พ. 52 15:54:54 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อ่านหลายๆ ความเห็นแล้วรู้สึกตลก ทำไมพวกคุณมองบริษัทข้ามชาติเหล่านี้ได้เป็นภาพลบจังครับ ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นตรรกะอย่างที่พวกคุณคิดกันหรอก ไอ้พวกที่บอกว่าซัพพลายเออร์ขายให้ บ.รถ ได้กำไรชิ้นละ บาท สองบาท เพราะถูก บ.รถ บีบจนหน้าเขียว แต่ของขึ้นโชว์รูมกลับขายชิ้นละ 2-3 พันบาทได้กำไรเป็นพันเท่า (ค.ห.13) แหมคิดไปได้นะ ถ้าเป็นงั้นจริงผมว่าซัพพลายเออร์ฉลาดๆ เค้าส่งของไปขายตามร้านอะไหล่ข้างนอกทำกำไรไม่ดีกว่าเหรอ ประชาชนจะโง่ซื้อของแพงกว่าเป็นพันเท่าเหรอครับ คุณครับมันไม่จริงหรอก อย่าลืมนะครับ โรงงานผลิตรถยนต์โรงงานหนึ่งต้นทุนเป็นแสนล้าน ถามหน่อยครับ ถ้าไม่ใช่ บ.ต่างชาติ คนไทย หรือรัฐบาลไทยมีปัญญาทำเองไหมครับ คำตอบคือไม่มี หรือคุณจะไม่ต้องให้มีโรงงานเหล่านั้นในเมืองไทย ก็ได้ครับ รถยนต์ตีตราไปเลย สินค้าของบริษัทข้ามชาติ กีดกันไปเลยครับ ไม่ให้เค้ามาทำกำไรในบ้านเรา ให้มีแต่การนำเข้า คิดภาษีแพงๆ ตัดออกไปจากระบบธุรกิจบ้านเราไปเลย ในเมื่อพวกคุณเห็นเค้าเอาเปรียบขายรถแพง แล้วก็ให้มีแต่การนำเข้า คิดภาษีแพงๆ เอาเงินเข้ารัฐเยอะๆ ดูสิ เศรษฐกิจบ้านเราจะเป็นไง ถ้ากระบะต้องนำเข้าคิดภาษี 400% เจอราคาซัก 4 ล้าน ดูสิ จะเป็นไง คนงานภาคยานยนต์ทั้งหมดหลักล้านคนให้ไปทำเกษตรกับค้าขายให้หมด บริษัทไฟแนนซ์ก็ไม่ต้องมีเยอะ เพราะ รถมันขายไม่ออก ดูสิ จะเป็นไง คิดบ๊องตื้นกันจัง ลืมแล้วเหรอ ทุกวันนี้เมืองไทยเป็นฐานการผลิตรถกระบะระดับโลกทำให้เกิดการจ้างงานและธุรกิจตามมามหาศาล ค่ายรถเค้ามีต้นทุนสูงกว่าที่คุณๆ คิดกันครับ คนไทยเองก็เสียนิสัย ซื้อรถต้องมีส่วนลด ไม่ซื้อตามราคาป้าย บริษัทรถก็ต้องเอาส่วนลดมาเป็นต้นทุน บางค่ายต้องอัพราคาเป็นแสนเพื่อทำส่วนลดเป็นแสน ไม่งั้นคนไม่ซื้อ เจ๊ง ไหนจะศูนย์บริการที่ต้องลงทุนเป็นหลักร้อยล้านให้ได้มาตรฐาน บางศูนย์ยังไม่ทันคุ้มทุน ก็ต้องปรับปรุงใหม่ตามมารตฐานใหม่ๆ คุณครับ อย่ามองด้านเดียวครับ ถ้าธุรกิจยานยนต์มันเอาเปรียบผู้บริโภคจริง บรรดายักษ์ใหญ่มะกันมันไม่เจ๊งหรอกครับ ธุรกิจยานยนต์สำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและของโลกครับ ถ้าปล่อยให้มันเจ๊ง ผมว่า โลกเข้าสู่กลียุค แน่นอนครับ เผลอๆ สำคัญกว่าธุรกิจน้ำมันอีกครับ เสริมอีกนิดครับ จริงๆ บ.รถ เค้าไม่ได้หวังจะรักษากำไรสูงสุดหรอกครับ ถึงขอให้รัฐช่วย แต่เค้าหวังจะไม่ต้องไปลดต้นทุน หรือลดค่าใช้จ่ายให้มาก เนื่องจากยอดขายหดตัว ในขณะที่ต้นทุนคงที่มันมากมายมหาศาล การลดต้นทุนคงที่ ในขณะที่ยอดขายลด คือ การลดกำไรการผลิต การปิดไลน์ ที่ไม่จำเป็น การลดคนงาน การลดออร์เดอร์ชิ้นส่วน การลดสต๊อก ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น กระทบกับประชาชนมากมายหลายแสนคนครับ อยากให้ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเจ๊งก็เลือกทางนี้ครับ บ.รถ เค้าไม่เจ๊งง่ายๆ หรอกครับ อย่างมากก็หนีกลับประเทศ วันไหนเศรษฐกิจดี ขี้คร้าน รัฐบาลจะต้องแบกหน้าไปกราบอ้อนวอนขอเค้ามาลงทุน คนที่คิดหนักตอนนี้คือ รัฐบาล ครับ โทษฐานใช้เป็นแต่เงิน แต่หาเงินไม่เป็น แถมเงินที่ใช้ไปยังใช้แบบโง่ๆ แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 17:22:07 จากคุณ : Vincent Vega - [ 19 ก.พ. 52 17:14:10 ]

ความคิดเห็นที่ 22 จริงๆ ผมก้มองธุรกิจ มีความสำคัญ เหมือนกัน นะครับ กับประเทศไทย.. ถ้าเป็นในโอกาส ..ที่ประเทศ อยู่ภาวะ ที่มีเศรษฐกิจทางการเงินการคลัง ดีกว่านี้..ผมคงช่วยเชียร์..ให้ อัดฉีด..ให้บริษัทเหล่านี้เพื่อกระตุ้น การซื้อรถยนต์..เพราะตัวเลขพวกนี้ มันสามารถฉุดตัวเลขการค้า ภายในประเทศได้ดีเลยทีเดียว เพราะมูลค่าต่อชิ้นค่อนข้างมาก.. แต่ณ.เวลานี้..เวลาที่เศรษฐกิจโลก ยังหัวปัก..เมกัน ยังไม่เห็นพื้นเลย.. หลายๆ บริษัทใหญ่ๆ ..ในญี่ปุ่น..เสือเศรษฐกิจที่แข็งแรงที่สุดในเอเซีย ยังประสพปัญหา..ต้องปลดคนงาน..และมีปัญหา..เพราะเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออก..(บ.แม่ ยังปลดคน..เอาอะไรกับไทยที่เป้นบ.ลูกหล่ะครับ??) แต่ถ้าจะต้องให้รัฐบาลในประเทศเล็กๆ..ลดภาษีเพื่อกระตุ้นการขายรถยนต์ในประเทศ..โดยลดภาษีให้บริษัทขายรถยนต์..เพื่อให้ยอดขายในประเทศนั้นดีขึ้น.. โอเค ถ้ามันได้ผล..ขายได้..ดีขึ้น.ก็ถือว่าดี..แต่จริงๆผมยังมองเหมือนเดิมว่าไม่มีทางกระตุ้นยอดได้..จนคุ้มค่าเกินภาษีที่ลดให้.. ซึ่งถ้าเป็นแบบผมคิด..มูลค่าเงินที่ลดไป..กับยอดขายเดิมๆ ที่กระเตื้องไม่มากนัก..แต่ทำให้รายได้รัฐหายไป..มากมาย..ตีต่ำๆ สัก สามแสนคัน คันละห้าหมื่น..(ผมประมาณการคร่าวๆ ) ก็หายไปหมื่นกว่า ล้านแล้ว.. จะหามาตรการไหน..มาอุดอีก..รัฐบาลไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น ซึ่งถ้าห่วงธุรกิจยานยนต์ในไทยจริงๆ...แม่ที่ญี่ปุ่น ที่เมกา..ถ้าเค้าห่วงธุรกิจเค้า..แม่คงมาช่วย...แต่ถ้าแม่ทิ้ง...ประเทศไทย รับช่วยทุกบริษัท ไหวหรือครับ?? ซึ่งคุณ วินเซ้นท์เองก็บอกว่า ธุรกิจรถยนต์เป็นธุรกิจที่สำคัญมาก...ฉะนั้นแม่คงไม่ปล่อยให้เจ๊ง.. หรือถ้าอยากย้ายฐานหนีไทย...ณ.ชั่วโมง นี้..มีประเทศไหน..อาการดีกว่ากันมั่งครับ...ในภูมิภาคนี้..ที่มีความพร้อม พอๆ กันกับไทย.. เวลาคับขัน หน้าสิ่ว หน้าขวาน..เริ่มต้นก็ต้องช่วยตัวเองกันไปก่อน.. เพราะจริงๆ ทุกธุรกิจ มีความสำคัญต่อประเทศหมด...ธุรกิจรถ ..เรียกร้องให้รัฐช่วยได้..ก็จะมีธุรกิจอีกเยอะเยะที่ อ้างความ.สำคัญต่อประเทศ มาขอให้ช่วย..รัฐจะเอาเงินจากไหนครับ???? เบื้องต้น ธุรกิจรถยนต์ ต้องการอาศัยไทยในการ..เป็นฐานการส่งออกในภูมิภาคนี้..แต่ถ้า เศรษฐกิจโลกแบบนี้.. ให้คงกำลังการผลิต..โดยให้อัดขายในประเทศ..(ธุรกิจมันเกี่ยวพัน กันหมด..ธุรกิจอื่นเจ๊ง จะเอาปัญญา ที่ไหนไปซื้อรถ..) มันแปร่งๆ ไม๊ครับ.. ขอย้ำครับ..ทุกธุรกิจมีความสำคัญด้วยกันทั้งนั้น ..ถ้าประเทศพร้อม..การอัดฉีด ช่วยเหลือเป็นเรื่องทีดี...แต่ถ้าไม่พร้อม ในยามที่ประเทศต้องพึ่งพาเงินกู้.. แล้วอัดฉีดส่งเดช...ผมว่าจะเร่งเวลาพังให้เร็วขึ้น.. ความเห็นผมอาจจะ บ้องตื้น คับแคบ ไม่ได้ มี วิสัยทัศน์กว้างไกลนัก...แต่ก็เป็นอีกมุมมองนึงของคนในประเทศ..ที่ได้รับความเดือดร้อนเหมือนกัน..ถ้ารัฐบาลเอาแต่ กู้ กู้ กู้ แล้วก็ กู้.. โดย จ่ายส่งเดช...สักวันมันก็ต้องย้อนมาในรูป ของการ เรียกเก็บภาษีที่แพงขึ้น.. ผมคงพอมีสิทธิ์ ที่จะออกความเห็น แย้งบ้างได้ใช่ไม๊ครับ??? จากคุณ : ~cupid~ - [ 19 ก.พ. 52 18:37:40 A:117.47.224.52 X: TicketID:139017 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เอ่อ คุณ คิวปิด ครับ ข้อความผมไม่มีคำไหนขอให้รัฐลดภาษีเลยครับ   ผมแค่อยากให้ภาครัฐหานโยบายอะไร หรือความมั่นใจใดๆ ก็ตามที่จะกระตุ้นการบริโภค และสนใจภาคยานยนต์ให้มากที่สุดครับ ผมไม่ได้เห็นด้วยกับการลดภาษีใดๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับมาตรการของรัฐในการใช้ประชานิยมปัญญาอ่อนเช่นแจกเงิน 2000 บาท (ทำซากไรฟะ) แล้วมาขึ้นภาษีน้ำมัน เป็นต้นครับ ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่เห็นว่าภาคยานยนต์สำคัญ ผมก็แค่ชี้ให้เห็นว่า มันสำคัญแค่ไหนกับเมืองไทยครับ ไม่ใช่ว่าเห็นเป็นบริษัทข้ามชาติแล้วคิดว่าเค้าเข้ามาทำกำไรกลับประเทศเท่านั้นครับ จากคุณ : Vincent Vega - [ 19 ก.พ. 52 18:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 24 บริษัทพวกนี้คนไทยไม่มีส่วนเป็นเจ้าของเลยซักหุ้น ถ้ารัฐเข้าไปอุ้มโดยตรงก็คงเพราะเป็นบ้าไปแล้ว อีกอย่างถ้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆได้ผลเดี๋ยวรถก็ขายได้เองน่ะแหละ จากคุณ : มังกรใจเย็น - [ 19 ก.พ. 52 21:19:36 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จริงๆแล้วบริษัทรถยนต์พวกนี้ได้ประโยชน์จากเงินภาษีของประชาชนคนไทยไปเยอะมากๆแล้ว เช่น เงินงบประมาณในการตัดถนน ขยายถนน ซ่อมแซมถนน ทำทางด่วน มอเตอร์เวย์ ขยายทางทำ4เลน ฯลฯ พวกนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทรถยนต์ขายรถได้มากขึ้น แต่หากรัฐบาลมุ่งขยายเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าระยะไกลไปต่างจังหวัด จะเกิดอะไรขึ้น ความจำเป็นในการใช้รถยนต์ส่วนตัวจะน้อยลงไปเลย นีคือต้นทุนแฝงที่คนไทยต้องจ่ายไปให้เป็นกำไรให้บริษัทรถยนต์ส่งกำไรกลับคืนต่างประเทศ ตามปกติบริษัทรถยนต์ก็กำไรมาโดยตลอด เวลาที่เค้ากำไรเยอะเค้าลดราคาหรือเพิ่มอัตราภาษีจ่ายให้ประเทศไหม ก็ไม่ แต่พอยอดขายมีปัญหา กลับมาขอให้รัฐบาลช่วย ซึ่งนั่นก็คือเงินภาษีของคนไทยนี่เอง หากจะลดภาษีให้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดให้หมดทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมครับ ไม่ใช่ลดเฉพาะรายอุตสาหกรรม จากคุณ : RoppongiHills - [ 19 ก.พ. 52 22:44:42 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ความคิดเห็นที่ 5 ตอบให้แบบสั้นๆเลยนะครับ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนครับ ซึ่งให้ผลในเวลาที่รวดเร็วที่สุด ถึงแม้จะไม่มากก็ตาม เป็นการเพิ่มconsumption ของ household ครับ คนซื้อก็ได้ของ คนขายก็ได้เงินไปหมุนไปจ่ายคนงาน ถ้าเอาไปลงในพวกเมกกะโปรเจคก็ คงใช้เวลาประมาณ 5 ปีนะครับ กว่าจะเสนอเรื่อง ประมูล เวนคืน ทำสัญญา เริ่มงาน บลาๆๆ จากคุณ : เจ้าชายไม่วิเศษ - [ 19 ก.พ. 52 23:14:19 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่องแจกเงิน 2000 บาทบอกว่ารัฐบาลไทยปัญญาอ่อน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องบอกว่ารัฐบาลอเมริกาปัญญาอ่อน รัฐบาลญี่ปุ่นก็งี่เง่า รัฐบาลไต้หวันก็ควาย โง่กันทั้งโลกเลยครับ มีคนไทยฉลาดรู้ทันรัฐบาลตัวเองอยู่ประเทศเดียว มันเป็นนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อให้มีเงินไหลในตลาดมากขึ้น เพราการที่เศรษฐกิจโดยรวมมันซบเซาทำให้คนเก็บเงินไม่ยอมใช้ และในเมื่อคนไม่ยอมใช้เงิน สภาวะการไหลของทุนหยุดนิ่ง ให้เป็นเทวดาจากไหนก็แก้ปัญหาไม่ได้หรอกครับ ดังนั้นหลายๆประเทศจึงตัดสินใจทิ้งเงินลงไปก้อนหนึ่งเพื่อให้ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง เมื่อผู้บริโภคมีเงินมากขึ้นก็จะมีส่วนหนึ่งถึงส่วนใหญ่มีการจับจ่ายออกมา ซึ่งการจ่ายเงินในระดับย่อยๆมีการปล่อยเงินเข้าสู่ระบบ มันก็จะทำให้สภาพฝืดเคืองที่เป็นอยู่มีความคล่องตัวขึ้นบ้าง แต่มาตรการแบบนี้มันก็เป็นดาบสองคม ถ้าทำไปแล้วไม่มีมาตรการเยียวยาในระยะกลางหรือยาวรองรับ มันก็จะเป็นแค่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่ถ้ามีมาตรการอื่นๆมารองรับและใช้งานได้ มันก็จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในระดับใหญ่กว่าขึ้นไป แต่ที่ผมเห็นมาด่าๆกัน ส่วนใหญ่ก็ด่าแบบขอให้ได้ด่า คนไทยเป็นแบบนี้มานานแล้วคือมีความรู้ในเรื่องที่ด่าหรือเปล่าก็ไม่ แต่รู้ว่าไม่ถูกใจต้องด่าไว้ก่อน และเพราะทัศนคติแบบนี้แหละ ประเทศถึงได้ไม่เจริญเสียที จากคุณ : VeryBadman...Begins - [ 20 ก.พ. 52 02:53:52 A:128.242.106.124 X: TicketID:185387 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เอ่อ..ก็บริษัทรถยนต์ กำลังเสนอให้รัฐช่วยเหลือ ออก กฏหมาย ช่วยเรื่องภาษี อยู่นี่ครับ...ถ้า คุณวินเซ้นท์ ไม่ได้ หมายความเรื่องนี้..ผมขอโทษที่เข้าใจผิด.. เรื่องการช่วยเหลือ บริษัทรถยนต์ ต้องทำ ครับ..แต่ไม่ใช่กรณีเร่งด่วน ในเวลานี้..หลายๆ อุตสาหกรรม..ที่เป็นของไทย แท้ๆ ..ที่น่าจะต้องได้รับการช่วยเหลือ มีเยอะครับ..(แต่จริงๆ ปีนี้ โชคดี มากๆ ที่ กลุ่มอาหาร.แปรรูปผลิตภัณท์อาหาร..ค่อนข้างดี..ไม่ได้แย่มากนัก..แถมกลุ่มสิ่งทอ ก้ไม่ได้แย่มากมายไปกว่าเดิม) ผมเห็นด้วยนะ ...แต่อยากให้ไปเริ่มอัด ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเริ่มมีแนว เงยหัว บ้าง..ช่วงนี้ต้องให้บริษัท รถ กัดฟัน อดทนไปก่อน..เพราะ ณ.เวลานี้ อัดเงิน ลงไป น่าจะเหมือนโยนเงินลงทะเล..ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้นเท่าไหร่นัก.. ถ้าเมกัน..เริ่มโงหัว..ตลาดคู่ค้าหลักๆ ของไทย..เริ่มฟื้นตัว..ส่งออกไทยเริ่มกระเตื้อง..อัดฉีดเร่งปริมาณมันน่าจะได้ผลเต็มที่มากกว่า อัด ณ.เวลาที่กำลังซื้อไม่มี ..ตอนนี้.. ********************************************** เรื่อง 2 พัน ถ้าเราเทียบกับ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เมกัน..ประเทศ ที่ จัดอยู่ในระดับเศรษฐี..แต่ประเทศเราเป็นประเทศผู้กู้..แล้ว แจกแบบ ประเทศเหล่านั้น. ต้องบอกว่า เราไม่เจียมตัว ครับ.. เหมือนดูข้างบ้าน..ที่เป็นเศรษฐี แจกเงิน....แล้วอยากแจกบ้าง แต่เราต้องไปกู้เงินมาแจก มันแปลกๆ ไม๊ครับ.. แต่เอาครับ ในเมื่อมันเป็น นโยบาย ที่ภาครัฐเห็นว่า.มันน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้..ผมก็หวังให้เป็นเช่นนั้นเหมิอนกัน.. หวังว่า นโยบายนี้..ออกมา คงไม่โดนยักษ์ใหญ่ ในวงการธุรกิจ ดูดซับ ไปซะหมดจนหมุน ไปเข้ากระเป๋า รายใหญ่ ไม่กี่บริษัท นะ.. เหลือมากระตุ้นการค้าเล็กๆน้อย ๆ ในท้องที่บ้าง น่าจะดี.. ถ้าจ่ายเป็นเช็คผมไม่เห็นด้วยหรอกครับ..เด๋ว โดนรายใหญ่ จูงใจ โดยให้.ส่วนเพิ่มจากเช็ค ..พวก ดิสเคาร์ทสโตร์ใหญ่ สี่ห้าราย..บวกให้ อีกสักร้อย. การค้า เล็กๆ ใน.แต่ละท้องที่ จะได้ อะไร ครับ..รายใหญ่ดูดซับไปหมด.. ให้เป็นเงินสดไปเลยครับ..เข้าบ/ช แต่ ให้ ณ.ช่วงเวลา ที่ จำเป็นต้องใช้เงิน. ให้เงินออกในราว เดือน เมษา..ประมาณ สงกรานต์..เหมือนให้คนเอาเงินไปจับจ่ายในช่วงเเทศกาลหลักๆ ที่ต้องใช้เงิน..อยู่แล้ว.มันน่าจะได้ผลในการกระตุ้นได้ วงกว้างกว่า... เสียอย่างเดียว คือ..ระยะเวลามันค่อนข้าง จะยืด ไปสักหน่อย..ถ้า สงกรานต์ได้สักเดือนหน้า..หล่ะก้อ เหมาะสมเลย..แต่ รัฐก็คงกะให้เงินออกในช่วงสงกรานต์อยู่แล้ว เท่าที่ดุระยะเวลา.. ดูเรื่องความเหมาะสมในการกระจาย กำลัง ซื้อหน่อยก้น่าจะดี เหมือนกัน จากคุณ : ~cupid~ - [ 20 ก.พ. 52 07:53:52 A:117.47.225.139 X: TicketID:139017 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่เข้ามาช่วยจะมีคนตกงานเพิ่มเป็นหมื่น ต้นทุนยังมีพวกค่าR&Dอีกเวลาเอารถมาขายไม่ดีก็บ่น มีPL Lawอีกทำให้QCต้องแน่นขึ้นค่าใช้จ่ายเพิ่ม ลดภาษีลง ผู้ผลิตได้ รัฐได้ ผู้ซื้อก็ได้ หรือจะไม่รถภาษีไม่ขึ้นราคาแต่เอาของห่วยมาทำขายให้ใช้กันดีเอ่ย เรื่อง2000บาทพูดแล้วเซ็งครับทำไม่ต้องมาเอาเงินค่าประกันสังคม+ภาษีผมไปแจกด้วย?????? จากคุณ : zgundam - [ 20 ก.พ. 52 14:46:52 ]

ความคิดเห็นที่ 30 งานนี้เห็นด้วยคุณคิวปิดพูดได้ดี จากคุณ : .... - [ 20 ก.พ. 52 15:37:19 A:192.168.0.17 X:210.246.64.53 TicketID:192091 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เอาภาษีที่มีที่มาจากการกัดกร่อนการผลิต การบริการ การลงทุน การค้า การบริโภค การทำงาน การจ้างงาน ไปบำรุงแค่การผลิตและการลงทุน มันก็ไม่ค่อยยุติธรรมนะ ลองฟังแนวคิดของเฮนรี จอร์จ ( Henry George  ) ที่ไม่ต้องการเอาของที่ส่วนบุคคลควรมีควรได้ หรือลงแรงลงทุนหามาได้ คือค่าแรงสมอง/แรงกาย และผลตอบแทนต่อทุน มาเป็นของส่วนรวมเลย จึงคิดเลิกภาษีเงินได้และภาษีทางอ้อมที่ไปเพิ่มต้นทุนการผลิตทำให้ของแพง เขาขอให้เก็บภาษีมูลค่าที่ดินอย่างเดียว ภาษีที่ดีควรเป็นภาระแก่การผลิตน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ซึ่งอาจต้องรวมถึงการบริการและการลงทุนและกิจกรรมสืบเนื่อง คือการค้าและการบริโภคด้วย ข้อเขียนของเฮนรี จอร์จที่เป็นสาระสำคัญในบทความ The Single Tax: What It Is and Why We Urge It “เราเสนอให้ยกเลิกภาษีทุกชนิดยกเว้นภาษีอย่างเดียวที่คิดจากมูลค่าที่ดิน (land values) โดยไม่รวมมูลค่าของสิ่งปรับปรุง (improvements) ” “สิ่งที่เราเสนอมิใช่ภาษีอสังหาริมทรัพย์ เพราะอสังหาริมทรัพย์หมายความรวมถึงสิ่งปรับปรุง ทั้งมิใช่ภาษีที่ดิน เพราะเราจะไม่เก็บภาษีจากที่ดินทุกแห่ง จะเก็บภาษีแต่เฉพาะที่ดินซึ่งมีมูลค่าโดยไม่คิดถึงสิ่งปรับปรุง และจะเก็บตามส่วนกับมูลค่านั้น” “แผนของเรามิใช่การเก็บภาษีชนิดใหม่ เพราะเราได้เก็บภาษีมูลค่าที่ดินอยู่แล้วในภาษีอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เป็นไปตามนี้ เราเพียงแต่ต้องยกเลิกภาษีทุกชนิดยกเว้นภาษีอสังหาริมทรัพย์ และยกเลิกภาษีทุกส่วนที่คิดจากโรงเรือนหรือสิ่งปรับปรุง ให้เหลือแต่ส่วนที่คิดจากที่ดินเปล่า ๆ ในขณะนี้เท่านั้น โดยเก็บเพิ่มให้ใกล้เคียงกับค่าเช่าทางเศรษฐกิจทั้งหมด หรือสิ่งที่บางครั้งก็เรียกว่า ‘มูลค่าที่ดินซึ่งเพิ่มขึ้นเองโดยมิได้ลงแรงลงทุน’ ” “ถ้าเราเก็บภาษีบ้าน จะมีบ้านน้อยลงและคุณภาพต่ำลง ถ้าเราเก็บภาษีเครื่องจักรกล จะมีเครื่องจักรกลน้อยลง ถ้าเราเก็บภาษีการค้า จะมีการค้าน้อยลง ถ้าเราเก็บภาษีทุน จะมีทุนน้อยลง ถ้าเราเก็บภาษีการออม จะมีการออมน้อยลง ดังนั้นภาษีทั้งปวงที่เราจะยกเลิกก็คือภาษีซึ่งกดขี่ความอุตสาหะและลดทรัพย์สิน แต่ถ้าเราเก็บภาษีมูลค่าที่ดิน ที่ดินจะไม่ลดน้อยลง “ตรงกันข้าม การเก็บภาษีมูลค่าที่ดินจะมีผลให้อุตสาหกรรมหาที่ดินได้ง่ายขึ้นเพราะภาษีนี้จะทำให้เป็นการยากขึ้นสำหรับเจ้าของที่ดินที่มีมูลค่า (ซึ่งตนเองไม่สนใจที่จะใช้) ที่จะเก็บกักเอาไว้เฉย ๆ เพื่อหวังราคาที่จะสูงขึ้นในอนาคต” “เมื่อเราเก็บภาษีจากบ้าน พืชผล เงิน เครื่องเรือน ทุน หรือทรัพย์สมบัติในรูปแบบใด ๆ นั่นคือเราเอามาจากปัจเจกบุคคลซึ่งสิ่งอันเป็นของเขาโดยชอบ เราละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน และทำการชิงทรัพย์ในนามของรัฐ แต่เมื่อเราเก็บภาษีมูลค่าที่ดิน เราเอามาจากปัจเจกบุคคลซึ่งสิ่งอันมิใช่ของเขา แต่เป็นของประชาคม และซึ่งมิสามารถปล่อยให้เป็นของปัจเจกบุคคลโดยไม่เป็นการชิงทรัพย์ของปัจเจกบุคคลอื่น ๆ” จากคุณ : Spetsnaz - [ 11 มี.ค. 52 22:00:32 ]