ความคิดเห็นที่ 1 60-80 Amp. จากคุณ : เสือปลาขี้เมา - [ 28 ก.พ. 52 12:10:22 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อิอิ เหมือน พี่เสือปลาคราบ ว่าจะทดลองอยู่ครับอีกไม่เกินเดือนรู้ผลครับ ผมจะใช้ไดจ์สัก 400 เเอมป์ เเบต 70 แอมป์ โหลดกะว่าเอาสัก 380 ดูว่ามีผลกะทบไม่ คัมมิงซูน อิอิ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 28 ก.พ. 52 12:24:18 ]

ความคิดเห็นที่ 3     ขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์ด้วยครับ ถ้าไดชาร์จแอป์สูงมันจะดึงกำลังเครื่อง เยอะพอสมควร  เช่น Mira  กำลังเครื่อง 40 PS ไดชาร์จเดิม  35 A  ( เปลี่ยนเป็น 50 A กำลังเริ่มตกวิ่งไม่ออก ) แบตเดิม 35 A  (  เปลี่ยนเป็น 45 - 75 A ไม่มีปัณหา ) ISUZU กำลังเครื่อง 90 PS ไดชาร์จเดิม  45 A  ( เปลี่ยนเป็น 70 A ไม่มีปัณหา ) แบตเดิม 75 A  (  เปลี่ยนเป็น 90 - 100 A ไม่มีปัณหา ) BMW  กำลังเครื่อง 190 PS ไดชาร์จเดิม  140 A  ( ยังไม่เคยเสีย  ) แบต 75 A  (  เปลี่ยนเป็น  90  A ไม่มีปัณหา ) แก้ไขเมื่อ 28 ก.พ. 52 14:23:39 จากคุณ : M5_Speedster - [ 28 ก.พ. 52 14:22:17 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขนาดไดชาร์จกับแบตฯ สัก 1 ต่อ 1 (ตัวเลข ต่อ ตัวเลข) ราวๆนี้ เช่น แบตฯ 45 Amp-H ไดชาร์จ 40-45 Amp หรือ 60 Amp กำลังดี แบตฯ 35 Amp ไดชาร์จ 30-40 Amp แบตฯ 100 Amp ไดชาร์จ 100-120 Amp จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 28 ก.พ. 52 19:55:46 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เวลาติดเครื่องเสียงเพิ่ม ร้านชอบแนะนำให้ใส่แบตฯลูกใหญ่ ที่จริงควรจะใส่ ไดชาร์จใหญ่ขึ้น เพราะไดชาร์จมันทำหน้าผลิตไฟฟ้า ให้พอกับโหลด ส่วนแบตฯ ไม่ใช่แหล่งกำเนิดไฟฟ้า มันทำหน้าที่ตุนไฟฟ้าเก็บไว้ใช้ตอนสตาร์ท พอเครื่องติดแบตฯไม่ได้จ่ายไฟเลย ตอนมีโหลดกระชาก แบบว่า เสียงกลองสักร้อยใบ ตีพร้อมกันทีเดียว เสียงเบสดัง ตูม ตาม โหลดหนักหนาสาหัสขนาดนี้ แบตฯมีเอี้ยวเพียงนิดเดียว ... ถ้าไม่เชื่อ ลองหาเพลงทดลองเบสอย่างนี้ เอามาเปิดให้ดังสนั่นหวั่นไหว ติดต่อกันนานๆ + ติดเครื่องยนต์เดินเบาเอาไว้ ดูซิว่า เมื่อไรแบตฯจะหมด ????? รับรองแบตฯไม่หมด แต่น้ำมันรถจะหมดก่อน นี่คือข้อพิสูจน์ว่า ไฟฟ้าที่ขับเครื่องเสียง หนักหน่วง มันไม่ได้เอาจากแบตฯ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 28 ก.พ. 52 20:04:59 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เวลาเครื่องติดแล้ว แบตฯไม่ได้จ่ายไฟเลย สิ่งที่จะพิสูจน์ได้ง่ายๆ เปิดโหลดทุกอย่างที่มีในรถคันนั้น + ติดเครื่องเดินเบาเอาไว้ ไม่ต้องเร่งเครื่อง ลองวัดแอมป์ดูซิ มันจะโชว์ด้านชาร์จ + .... นี่ขนาดเดินเบา ยังชาร์จอย่างนี้ แล้วตอนวิ่ง ไฟจะชาร์จเพิ่มขึ้น ใช่ไหม ??? ถ้ายังไม่เชื่อ ก็ให้หาแบตฯที่หมดเกลี้ยงเอาให้เกลี้ยงหมดไฟจริงๆ สตาร์ทไม่ได้ยังไม่พอ ต้องเอาแบตฯแบบที่เอา test-lamp ไปจิ้ม ไฟไม่ติด เอาให้มันสุดโต่งขนาดนี้เลยจะได้มั่นใจ แล้วก็พ่วงแบตฯสตาร์ทเครื่อง ในขณะที่แบตฯเน่าแล้ว ไม่มีไฟเหลือ ===> แบตฯจ่ายไฟไม่ได้แน่นอน แต่เครื่องยนต์ยังติดได้ เดินได้ ... เครื่องยนต์เอาไฟจากไหน ??? แน่นอน ....ใช้ไฟฟ้าจากไดชาร์จเท่านั้น จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 28 ก.พ. 52 20:16:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ่านแล้วเกือบงงครับ ในขณะที่แบตฯเน่าแล้ว ไม่มีไฟเหลือ ===> แบตฯจ่ายไฟไม่ได้แน่นอน ...อันนี้เข้าใจครับ แต่เครื่องยนต์ยังติดได้ เดินได้ ... เครื่องยนต์เอาไฟจากไหน ??? .... เอาไฟมาจากแบตฯ ที่มาพ่วงไงครับ จากประโยคเหนือขึ้นไปครับ แล้วก็พ่วงแบตฯสตาร์ทเครื่อง แน่นอน ....ใช้ไฟฟ้าจากไดชาร์จเท่านั้น ... น่าจะหมายถึงหลังจากสตาร์ทติดแล้ว ถอดแบตฯ ที่พ่วงออก ตอนนี้จะได้รู้กันว่าไฟมาจากไหน ผมเสนออีกวิธีนะครับที่คิดว่าเห็นผลเหมือนกัน 1. สตาร์จรถให้ติด 2. ถอดแบตฯ ออก 3. เปิดระบบอื่นในรถและเปิดเครื่องเสียงให้กระหึ่มที่สุด (จำเสียงที่ได้ โดยเฉพาะจังหวะหวดกลองกระแทกกระทั้น) 4. ดับเครื่อง > ต่อขั้วแบตฯ > สตาร์ทรถอีกครั้ง 5. เปิดระบบอื่นในรถและเปิดเครื่องเสียงให้กระหึ่มเหมือนข้อ 3... เปรียบเทียบเสียงที่ได้จากข้อ 3 ป.ล. ข้อ 3 คือการรับภาระทั้งหมดเป็นของไดร์ชาร์จซึ่งทำได้เพียงระดับหนึ่ง ส่วนข้อ 5 คือภาระที่รับโดยไดร์ชาร์จและได้รับการสนับสนุนจากแบตฯ ถ้าไดฯ ใหญ่กว่าแบตฯ อย่างมากก็จ่ายให้ระบบทั้งหมด เหลือมากหน่อยชาร์จแบตฯ ให้เต็มเร็วขึ้น ถ้าไดฯ เล็กกว่าแบตฯ นอกจากจะร้องรับภาระกับระบบในรถแล้วยังต้องแบกภาระจ่ายไฟให้แบตฯ อีกด้วย แก้ไขเมื่อ 28 ก.พ. 52 21:09:38 จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 28 ก.พ. 52 21:09:15 ]

ความคิดเห็นที่ 8 3. เปิดระบบอื่นในรถและเปิดเครื่องเสียงให้กระหึ่มที่สุด (จำเสียงที่ได้ โดยเฉพาะจังหวะหวดกลองกระแทกกระทั้น) 4. ดับเครื่อง > ต่อขั้วแบตฯ > สตาร์ทรถอีกครั้ง 5. เปิดระบบอื่นในรถและเปิดเครื่องเสียงให้กระหึ่มเหมือนข้อ 3... เปรียบเทียบเสียงที่ได้จากข้อ 3 ป.ล. ข้อ 3 คือการรับภาระทั้งหมดเป็นของไดร์ชาร์จซึ่งทำได้เพียงระดับหนึ่ง ส่วนข้อ 5 คือภาระที่รับโดยไดร์ชาร์จและได้รับการสนับสนุนจากแบตฯ >>>>>>>>>>>> 5555  นี่คือตัวอย่างความเชื่อ ไปจำทำไมครับ  ท่านผู้นี้เอาความรู้สึกคนไปวัดจะได้เรื่องยังไง ??? จะเอาให้แม่น เอา Amp-meter ไปจับที่แบตฯไว้ จับตาให้ดี หูที่ว่าดี จนจำเสียงเบสกระทั้นได้แม่นยำนั่นนะ คอยฟังเสียงที่ว่าให้ดี แล้วตาดูว่าขณะที่กลองดังกระหึ่มนั้น .... Amp-meter มันชี้ด้านลบ หรือ บวก  ???? นี่แหละเครื่องแสดงว่า ไฟฟ้าที่ไปตีกลองกระหึ่มนั่นนะ มันมาจากไหน ? จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 มี.ค. 52 07:33:22 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คห 5 ผมบอกไว้แล้วว่าอย่างนี้ "โหลดหนักหนาสาหัสขนาดนี้ แบตฯมีเอี้ยวเพียงนิดเดียว" จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 มี.ค. 52 07:34:52 ]

ความคิดเห็นที่ 10 "5555 นี่คือตัวอย่างความเชื่อ ไปจำทำไมครับ  ท่านผู้นี้เอาความรู้สึกคนไปวัดจะได้เรื่องยังไง ???" ถ้ามองที่ศาสตร์ผมเห็นด้วยตามที่คุณช่างกล-หนุ่มโพสต์ไว้นั่นแหล่ะครับ แต่สำหรับบางคนที่จะวัดด้วยศิลป์ และผลของไฟตกหรือไฟไม่พอในระบบเสียง คงต้องอาศัยฟังครับจึงจะรู้และยอมรับกันได้ ก็แค่เสนอวิธีที่ลองกันได้ง่ายๆ นะครับ มิได้โต้แย้ง จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 1 มี.ค. 52 07:43:22 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในกรณีต้องการกระแสแบบ transient นั้น  แบตมีเอี่ยวมากพอดูครับ   ทำไม ? ก็เนื่องจากลักษณะการทำงานของตัว alternator เอง alternator  ใช้การควบคุมปริมาณกระแสไฟที่จ่ายผ่านจำนวนกระแสที่ผ่านเข้าไปยังขดลวด field  โดยถ้ามีกระแสมาก  ก็จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กมาก  ซึ่งจะส่งผลให้ิเกิดการเหนี่ยวนำต่อขดลวด stator มาก   และจ่ายแรงดันออกมามากด้วย โดยการควบคุมกระแสขดลวด field  ตัว regulator ที่อยู่ภายใน alternator จะใช้การเปรียบเทียบแรงดัน output ณ ขั้วบวกของแบตเตอรี่  ว่าเป็นเท่าไร  (ผ่านขั้ว Sens หรือ S)  ซึ่งถ้าแรงดันมีขนาดน้อยกว่าที่กำหนด  มันก็จะจ่ายกระแสเข้าไปที่ขดลวด field มากขึ้น   และในทางกลับกัน  เมื่อแรงดันเพิ่มสูงขึ้น  มันก็จะลดกระแสที่จะจ่ายไปที่ขดลวด field  เพื่อปรับให้แรงดันสู่จุดสมดุล การควบคุมแรงดัน output (ซึ่งส่งผลต่อกระแสที่จ่ายออกมาด้วย)   นี้  เป็นการทำงานแบบ close loop  ซึ่งจะอาศัยเวลาในการทำงาน  เนื่องจากลักษณะของตัว alternator เอง   ที่เป็นการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า   ดังนั้น  ในกรณีที่ต้องการกระแสไฟแบบ transient  ตัว alternator จะทำงานไม่ทัน  จึงต้องอาศัยแบตเตอรี่  มาเป็นตัวจ่ายกระแสไฟออกไปแทนครับ ถ้าจะทดลองว่า ที่ผมว่ามานั้นจริงหรือไม่   สามารถทดลองได้ง่ายๆ ครับ เอา alterator มาหนึ่งตัว  หามอเตอร์มาปั่นให้หมุนสัก 2000rpm  ป้อนคลื่น square wave  แรงดัน 11-13 volt เข้าที่ขั้ว S  ของ alternator   แล้วลองปรับความถี่  จาก 10Hz  ถึง 5KHz  แล้วเอา scope จับคลื่นที่ alternator จ่ายออกมาดูครับ แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 52 09:15:52 จากคุณ : sunsetbeach - [ 1 มี.ค. 52 09:14:52 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ : sunsetbeach น่าสนใจมากครับ ด้วยความไม่อยากไปทดลองเองเอาเเบบรวบลัดครับ พอปรับความถี่เเล้วจะมีผลอย่างไรครับ(ว่าเเต่ถ้าที่ขั้วบวก ของเเบตนั้นมันดันกลายเป็นความว่างเปล่าละครับ(โดนถอดออก) ไดจ์ชาจน์มันจะทราบได้อย่างไรว่าต้องจ่ายกะเเสเท่าไหร่หรือว่ามันก็ดูจากไฟที่ตัวเองจ่ายออกมา งงๆเเฮะอิอิ ก็ที่ขั้วบวกของแบตมันก็มีสายมาจากไดจน์ต่ออยู่) ขอความรุ้หน่อยครับ ที่บอกว่าจะทดลองเอาไดชาจน์ ไดจ์สัก 400 เเอมป์ เเบต 70 แอมป์ โหลดกะว่าเอาสัก 380 ดูว่ามีผลกะทบไม่ พี่คิดเห็นอย่างไร ผมจะทำรถโชว์ครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 1 มี.ค. 52 11:11:19 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณ saarwut ทำยังไง ไดตั้ง 400a จากคุณ : k.bom - [ 1 มี.ค. 52 12:22:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ก็ใสไดชาจน์ 4 ลูกไงครับ คุณ บอม จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 1 มี.ค. 52 21:19:41 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมเข้าใจครับ ที่ท่านข้างบนบอกว่า ตอนใช้พลังเบสหนักๆ ต้องการ Amp จากแบตฯมาช่วย เรื่องนี้ ถ้าเรามองที่ค่า Cold Cranking Amp ของแบตฯ ซึ่งเป็นค่าความสามารถสูงสุดที่แบตฯตัวนั้นสามารถจ่าย Amp ไปสตาร์ทเครื่องได้ ค่า Amp ตัวนี้สูงมาก = x Amp ผมให้ลองคิดดูอย่างนี้ ดูว่า ระหว่างแบตฯ ลูกเล็กกับ แบตฯลูกใหญ่ ค่า X amp มันต่างกันเท่าไร ?? สมมติว่า แบตฯลูกใหญ่มันจ่าย CCA ได้ 200%-X คราวนี้ก็ถามว่า 1) เวลาที่เบสดัง ตูม ตาม นั้น  Amp-requie มัน= ?? กี่ แอมป์ ? สมมติวัดได้ X-50 Amp (อันนี้วัดได้ และวัดง่าย) 2) ถามว่าแบตฯลูกใหญ่มันจะจ่าย  X-50 Amp ได้กี่ นาที ?? ผมมีคำตอบแล้ว เพราะเพิ่งทดลองกับรถ BM คันหนึ่ง เขาติดแบตฯ ขนาดใหญ่บ้าเลือดถึง 170 Ah (2 ลูก) ผมขอให้เขาลองเปิดเบสเต็มๆ + ไม่ติดเครื่อง จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 14 มี.ค. 52 12:17:08 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ในกรณีต้องการกระแสแบบ transient นั้น  แบตมีเอี่ยวมากพอดูครับ   ทำไม ? ก็เนื่องจากลักษณะการทำงานของตัว alternator เอง alternator  ใช้การควบคุมปริมาณกระแสไฟที่จ่ายผ่านจำนวนกระแสที่ผ่านเข้าไปยังขดลวด field  โดยถ้ามีกระแสมาก  ก็จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กมาก  ซึ่งจะส่งผลให้ิเกิดการเหนี่ยวนำต่อขดลวด stator มาก   และจ่ายแรงดันออกมามากด้วย >>>>>>>>>>> อย่าลืมว่า ในระบบไฟรถยนต์เราไม่ได้มีเพียง alternator จ่ายไฟเพียงตัวเดียว เราต้องพิจารณาอย่างนี้ --ในช่วง transient แต่ละครั้ง Peak -Amp มันพุ่งขึ้นถึงระดับ Cranking Current หรือไม่ ??? ตอบว่า ไม่ถึงระดับ peak -Amp ของ cranking current และ ต่ำกว่ามากๆ รู้ได้อย่างไร ??? ไม่ต้องใช้เครื่องวัดอะไรเลย ดูจากขนาดสายไฟของไดสตาร์ท ซิครับ สายใหญ่โตขนาด หัวแม่มือ(เด็ก) สายใหญ่ขนาดนี้ เพื่อให้ทน Amp สูงได้ แล้วลองเทียบกับสายไฟที่ไปเครื่องเสียงซิครับ สายไฟของเครื่องเสียง มีขนาดเล็กกว่า สาย-ไดสตาร์ท หลายเท่า เป็นเครื่องแสดงว่า peak Amp ที่เครื่องเสียงใช้มันน้อยนิดกว่า Peak Amp ที่แบตฯ (เดิมๆ ) สามารถจ่ายได้ เพราะเหตุผลนี้ ผมถึงถามว่า เรามีเหตุผลเทคนิดอันใด ที่พากันเปลี่ยนแบตฯลูกใหญ่ ในเมื่องแบตฯเดิมๆ มันจ่ายไฟได้เหลือพอ เกินพอ ไม่ใชว่ามันไม่พอซะที่ไหน ?? ลองพิจารณาให้ดีๆ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 15 มี.ค. 52 17:45:52 ]