ความคิดเห็นที่ 1 มา ผมตอบเอง...โอ่ว....... รอท่านต่อไปดีกว่าครับ เรียนมาเกือบไม่จบ.. จากคุณ : farm boy - [ 16 เม.ย. 52 15:31:17 ]

ความคิดเห็นที่ 2 นั่นดิ...มันคืออะไร จากคุณ : รอคนถัดไป - [ 16 เม.ย. 52 16:54:44 A:202.91.23.3 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 เข้ามาเช็คซักหน่อย แต่ท่าทางจะเข้ามาเร็วไปนิสนุง หุๆ จากคุณ : รอคนถัดไป - [ 16 เม.ย. 52 16:59:54 A:202.91.23.3 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมก็ชอบศึกษาเรื่องอัตราทดของมอไซค์ครับ ชอบเป็นการส่วนตัว สนุกดี.... ใช่ ๆ  มอไซค์มีอัตราทดขั้นต้นด้วย และถ้าสังเกตดู ไอ้อัตรทดขั้นต้นเนี่ย ขึ้นอยู่กับ ซีซี ของรถด้วย ถ้าซีซียิ่งสูง ก็ยิ่งทดต่ำ ทำให้แต่ละเกียร์ลากความเร็ว ได้เยอะกว่า ผมจะยกตัวอย่างอัตราทดของรถสปอร์ตรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ คือ Ninja 250 VS. ZX10R  ระบบขับเคลื่อน   Ninja 250 ระบบเกียร์ 6-speed, return ระบบส่งกำลังขั้นสุดท้าย Sealed Chain "อั ต ร า ท ด ขั้ น ต้ น  3.087 (71/23)" อัตราทดเกียร์:         1). 2.600 (39/15)   2). 1.789 (34/19) 3). 1.409 (31/22) 4). 1.160 (29/25) 5). 1.000 (27/27) 6). 0.893 (25/28) อัตราทดขั้นสุดท้าย 3.214 (45/14) -------------------------------------- ระบบขับเคลื่อน   ZX10R ระบบเกียร์ 6-speed, return ระบบส่งกำลังขั้นสุดท้าย Sealed chain " อั ต ร า ท ด ขั้ น ต้ น  1.611 (87/54)" อัตราทดเกียร์:  1). 2.600 (39/15) 2). 2.053 (39/19) 3). 1.737 (33/19) 4). 1.550 (31/20) 5). 1.400 (28/20) 6). 1.304 (30/23) อัตราทดขั้นสุดท้าย 2.412 (41/17) -------------------------------------------- จะเห็นว่า อัตรทดขั้นต้นของ 250 กับ 1000 ต่างกันโคตรเยอะมาก ๆ คือ 250 = 3.087 (71/23) 1000 = 1.611 (87/54) นี่คือสาเหตุที่ ตัวพันลากเกียร์ 1 สุด ๆ ได้ความเร็วถึง 150 + ซึ่งมากกว่าประมาณเท่าตัวของ 250 (เกียร์ 1 ลากได้ประมาณ70) เพราะอัตราทดขั้นต้นทดมาต่ำกว่ามาก(แทบจะเท่าตัวนึง)นั่นเอง รวมถึงอัตราทดสเตอร์ของตัวพันทดต่ำกว่ามาก 250 หน้า 14 หลัง 45 (สเตอร์หน้าหมุนถึง 3.214 รอบ หลังหลังหมุน 1 รอบ) 1000 หน้า 17 หลัง 41 (สเตอร์หน้าหมุนเพียง 2.412 รอบ ล้อหลังหมุน 1 รอบ) ฉะนั้น ตัวพันเวลาลากเป็นหมื่นรอบ ความเร็วมันถึงได้ 300 + ไงครับ... นึ่คือข้อสังเกตของผมเรื่องอัตราทดเกียร์ จากคุณ : จอมยุทธตะเกียบคู่ - [ 16 เม.ย. 52 20:48:53 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบได้เฉพาะข้อ 1 ก่อนจะพูดถึงอัตราทดเกียร์ ต้องเข้าใจก่อนว่าเกียร์ทำหน้าที่อะไร เกียร์นั้นทำหน้าที่แปลงความเร็วรอบให้ลดลง (กรณีรถยนต์) เนื่องจากรถยนต์ทำงานด้วยความเร็วรอบที่สูง คือตั้งแต่ 1000 รอบจนถึง 6000-7000 รอบ (รถยนต์ทั่วไป) ในขณะที่เราไม่ได้ต้องการให้ล้อรถหมุนเร็วขนาดนั้นแน่ (ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำไม่ได้ด้วย) ดังนั้นเราจึงต้องมีการแปลงจำนวนรอบของรถยนต์ที่สูงให้ต่ำลง เพื่อให้เพลาล้อหมุนด้วยความเร็วที่เหมาะสม ซึ่งหลักการในการแปลงจำนวนรอบ ก็ใช้หลักของฟันเฟือง คล้ายกับเฟืองของนาฬิกา หรือ เครื่องกลทั่วไป ซึ่งคงจะนึกภาพออกนะครับ ซึ่งเกียร์จะเข้ามาทำหน้าที่นี้ คือ แปลงจำนวนรอบให้ลดลง ผลที่ได้จากการแปลงรอบให้ลดลงนั้น รอบจะลดลง แต่จะได้แรงฉุดเพิ่มขึ้นมา ยิ่งแปลงมากเท่าไร แรงฉุดจะยิ่งมากเท่านั้น แต่สำหรับรถยนต์ เราคงต้องการแรงฉุดแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น โดยให้เพียงพอต่อการออกตัว และเร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความเร็วปลายที่เหมาะสม เนื่องจากในการขับรถนั้น ความต้องการของเราในแต่ละช่วงของการขับรถ จะเปลี่ยนไป เช่น ในการออกตัวนั้น เราต้องการแรงฉุดมาก ๆ เพื่อให้ออกตัวเร็ว แต่พอเริ่มวิ่งแล้ว เรามักต้องการความเร็วมากกว่า ดังนั้นเขาจึงต้องมีหลายเกียร์ หรือ หลายเฟือง ซึ่งแต่ละเกียร์ก็จะมีการทดรอบไม่เท่ากัน เช่น เกียร์ 1 จะทดรอบประมาณ 4-5 รอบ ต่อ 1 ซึ่งหมายความว่าเครื่องยนต์จะต้องหมุน 4-5 รอบเพื่อจะทำให้เพลาเกียร์ ที่ต่อกับเฟืองท้ายหมุน 1 รอบ ซึ่งจะทำให้มีแรงฉุดมาก ตามหลักที่ว่ายิ่งทดมากยิ่งมีแรงฉุดมาก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าที่เกียร์ 1 เราสามารถเร่งความเร็วได้เร็ว แต่พอเร่งไปถึงระดับหนึ่ง เราก็จะพบว่าเริ่มถึงจุดที่เครื่องทำงานมากเกินไป คือประมาณ 4000-6000 รอบ ซึ่งเร่งไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่ความเร็วยังไม่ไปไหนเลย เกียร์ 4 (บางคันจะเป็นเกียร์ 3) จะมีอัตราทด 1 : 1 หมายความว่าเครื่องยนต์หมุน 1 รอบจะทำให้เพลาเกียร์หมุน 1 รอบ ซึ่งจะทำให้รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง แต่ด้วยหลักที่บอกว่ายิ่งทดมาก ยิ่งแรงน้อย เราจะพบว่าการเร่งจะทำได้ยากขึ้น กว่าเข็มจะขึ้นต้องใช้เวลา ซึ่งเกียร์สูง ๆ จะไม่ค่อยเหมาะกับการเร่ง แต่เหมาะสำหรับการรักษาความเร็วมากกว่า สำหรับเกียร์อื่น ๆ นั้น จะจัดให้มีอัตราทดระหว่าง เกียร์ 1 และเกียร์ 4 เพื่อให้เหมาะสมกับช่วงความเร็วแต่ละช่วงในการใช้งาน และให้การส่งต่อกำลังจากเกียร์ 1 มาเกียร์สูงสุด ทำได้ดี แรงไม่ตก สำหรับเกียร์สูงสุด เกียร์ 5 (หรือเกียร์ 4 ในบางรุ่น) นั้น เป็นเกียร์ที่มีอัตราทดน้อยกว่า 1:1 คือ เครื่องหมุนไม่ถึงรอบ ก็จะทำให้เพลาเกียร์หมุน 1 รอบแล้ว เกียร์นี้จะเป็นเกียร์สำหรับรักษาความเร็วเพื่อประหยัดน้ำมัน ซึ่งเรามักจะพบว่าที่เกียร์สูงสุดนี้ จะเร่งไม่ค่อยขึ้นเอาเสียเลย แต่ทำให้รอบเครื่องต่ำ ในขณะที่วิ่งความเร็วคงที่ ซึ่งทำให้ประหยัดน้ำมันมากกว่า ดังนั้นคำว่าอัตราทดเกียร์ ก็คืออัตราทดของเฟืองในแต่ละเกียร์นั่นเอง หวังว่าเจ้าของกระทู้จะเข้าใจมากขึ้น จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม - [ 16 เม.ย. 52 20:52:44 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อัตราเกียร์เป็นอัตราระหว่างเพลาเครื่องยนต์กับเพลาขับเคลื่อน( จริงๆจะมีอัตราทดตัวท้ายอีก ) ที่มีฟันเฟืองหมุนขบกัน ยกตัวอย่าง 1:1 (หนึงต่อหนึ่ง) หมายความว่า เครื่องยนต์หมุน 1 รอบ เพลาก็จะหมุน 1 รอบ 3.5:1 (สามจุดห้าต่อหนึ่ง) หมายความว่า เครื่องยนต์หมุน 3 รอบครึ่ง เพลาจะหมุนแค่ 1 รอบ เฟืองตัวเล็กขับเฟืองตัวใหญ่กว่า 0.895:1 หมายความว่า เครื่องยนต์หมุน 0.895 รอบ (ไม่ถึง 1 รอบ) เพลาก็จะหมุนแค่ 1 รอบ เฟืองใหญ่ขับเฟืองเล็ก แต่เขาจะไม่เขียนอัตราส่วนเต็มจะระบุแค่ตัวเลขหมุนของเครื่องยนต์เท่านั้น เช่น เกียร์ 1 อัตราทด 3.211 เกียร์ 2 อัตราทด 1.862 เกียร์ 3 อัตราทด 1.032 เกียร์ 4 อัตราทด 0.823 อัตราทดเกียร์สูง (ตัวเลขมาก) จะมีแรงบิดมากให้กำลังในการหมุนของเพลาขับมากแต่จะหมุนช้า (สังเกตุเวลาขึ้นทางชันต้องใช้เกียร์ต่ำ อัตราทดสูง ถึงจะมีแรงขึ้น) อัตราทดเกียร์ต่ำ (ตัวเลขน้อย) แรงบิดจะน้อยตามแต่จะให้รอบการหมุนที่เร็วกว่า (เราถึงต้องเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น เพื่อทำความเร็ว) แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 52 21:54:37 จากคุณ : ta_exp - [ 16 เม.ย. 52 21:26:42 ]

ความคิดเห็นที่ 7 torq converter ทอร์กคอนเวอร์เตอร์เป็นตัวที่อยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์  ทำหน้าที่ส่งถ่ายกำลังกันด้วยของเหลว (น้ำมันเกียร์ Auto) คล้ายกับคลัทซ์ที่เป็นตัวส่งถ่ายกำลังกันในเกียร์ Manual เพื่อที่จะเปลี่ยนเกียร์ได้ ในขณะที่เครื่องยนต์หมุนอยู่ แต่ทอร์กคอนเวอร์เตอร์มันสามารถจะเพิ่มแรงบิดในตัวมันได้ จากคุณ : ta_exp - [ 16 เม.ย. 52 21:51:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 โอ้ววว ขอบคุณมากค่ะ ที่หลงเข้ามาตอบกัน ตอนนี้ก็เข้าใจขึ้นแล้วบ้างว่ามันคืออะไร คราวนี้จะได้อ่านรู้เรื่องซักที ว่าเค้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน ขอบคุณมากๆค่ะ^^ จากคุณ : ก็เพิ่งจะรู้อ่ะนะ... (gigabitejean) - [ 17 เม.ย. 52 09:38:46 ]