พอดีได้ประชุมร่วมกับ จนท.คปภ.ครับ
ลองคุยเกี่ยวกับ 3+ (รถผม ตค.นี้ครบ 5 ปีแล้ว ทำชั้น 1 มาตลอด
ปีหน้าอาจทำ 3+ จะได้ประหยัดลงหน่อย )
เลยได้ข้อคิด(เชิงลึก) จาก จนท.คปภ. ที่บางทีเราๆท่านๆมองข้ามเกี่ยวกับ 3+ สรุปได้ประมาณนี้.....
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 พิเศษ
ความหมาย คือประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจประเภท 3 แบบปกติ แต่มีความคุ้มครองเพิ่มเติมในส่วนของสัญญาประกันภัยเบ็ดเตล็ด แยกต่างหากออกจากสัญญาหลักที่ให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อความเสียหายทรัพย์สินและชีวิต ร่างกายของบุคคลภายนอก โดยให้ความคุ้มครองในความเสียหายต่อตัวรถคันเอาประกันภัยในวงเงินจำนวนหนึ่ง
โดยมีเงื่อนไขความรับผิดชอบความเสียหายต่อทรัพย์สิน(รถยนต์คันทำประกันภัย)เมื่อ*****
1. เมื่อเกิดอุบัติเหตุ รถผู้เอาประกันชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น
2. ในกรณีผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด ต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท/ครั้ง
ดังนั้น จากเงื่อนไขดังกล่าว ดูเหมือนว่าประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 พิเศษ นั้น จะมีความคุ้มครองเหมือนกับการประกันภัยรถยนต์ประเภท 1
แต่หากวิเคราะห์จริงๆ แล้ว มีความเหมือนที่แตกต่างในสาระสำคัญดังนี้
1. ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจประเภท 3 พิเศษ ให้ความคุ้มครองทรัพย์สิน ชีวิต ร่างกายและอนามัยของบุคคลภายนอกเหมือนกับประเภท 3 ธรรมดา
แต่คุ้มครองรถยนต์คันเอาประกันภัยในวงเงินจำกัด โดยมีวงเงินน้อยกว่าประเภท 1 คืออยู่ระหว่าง 100,000 - 150,000 บาท
ซึ่งมีเงื่อนไข(ตัวอักษรเล็กๆ)ว่า "รับผิดชอบต่อเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถผู้เอาประกันชนกับยานพาหนะทาบก" เท่านั้น ดังนั้นหากรถยนต์คันเอาประกันภัยประเภท 3 พิเศษ ไปชนกำแพง ชนสุนัข ชนเสา ชนประตู ชนคน ฯลฯ
ที่มิใช่ยานพาหนะทางบก รวมถึงกระจกหน้าถูกก้อนหินแตกร้าว
จะไม่ได้รับความคุ้มครองตัวรถทั้งสิ้น ทั้งนี้ การคว่ำ การสูญหาย การถูก
ไฟไหม้ ล้วนเป็นข้อยกเว้นที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง
2. นอกจากนี้ ในการชนยานพาหนะทางบกนั้น ผู้เอาประกัน (หมายความรวมถึงผู้ขับขี่ที่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยให้ใช้รถด้วยด้วย) เป็นฝ่ายผิด ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท/ครั้ง ด้วย
ซึ่งหมายความว่าเบี้ยประกันภัยที่แท้จริงมิใช่ราคาที่เรียกเก็บ แต่เป็นราคาที่เรียกเก็บหักเงื่อนไขค่าเสียหายส่วนแรกจำนวน 2,000 บาทไว้แล้ว
ดังนั้นเบี้ยประกันที่แท้จริงจึงอยู่ที่ประมาณ 6,800 + 2,000 บาท รวมเป็น 8,800 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับเบี้ยประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ที่บางคัน
มีเบี้ยประกันภัย 12,000 - 15,000 บาท แล้วมีค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท หักแล้ว จะคงเหลือ 10,000 - 13,000 บาท แต่ได้รับความคุ้มครองสูงกว่า
สรุป....การประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 พิเศษ เหมาะสำหรับ
1. ผู้ที่มีความสามารถในการจ่ายเงินจำนวนน้อยเพื่อการประกันภัยรถยนต์
แต่ต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติมจากเดิม ใช้รถน้อย และมีความเสี่ยงในการเกิดการชนกับยานพาหนะทางบกเช่นรถยนต์หรือจักรยานยนต์
และไม่น่าจะสูญหายหรือไฟไหม้
2. รถยนต์ที่มีอายุเกิน 10 ปี และบริษัทประกันภัยมักไม่รับประกันภัยให้
แต่ต้องการความคุ้มครองเพื่อการเยียวยาความเสียหายอันอาจมีขึ้น
ความเห็นส่วนตัว เบี้ยประกันภัยดังกล่าวยังแพงเกินไปสำหรับ
ความคุ้มครองที่มีเงื่อนไขการชนเฉพาะยานพาหนะทางบก และมีการจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกกรณีเป็นฝ่ายผิด
หมายเหตุ
1. บริษัทประกันภัยบางแห่งมีเงื่อนไขไม่เรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท แต่เก็บเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมบางส่วน เช่นเพิ่มเติมจาก 6,800 บาท เป็น 7,800 บาท เป็นต้น ซึ่งเหมาะ สำหรับผู้ที่คาดว่าจะเกิดเหตุการชนที่ตนเป็นฝ่ายผิดบ่อยๆ
2. ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 พิเศษ เป็นเหมือนประกันภัยประเภท 3
ทุกประการ แต่มีการทำประกันภัยเพิ่มเติมในความเสียหายตัวรถ อันเป็นการประกันภัยเบ็ดเตล็ดชนิดหนึ่ง
3.โดยแบบประกันภัยรถยนต์มาตรฐานประเภทนี้ คปภ.ได้กำหนดให้เป็นที่แบบประกันภัยรถยนต์มาตรฐาน ประเภท 5 ซึ่ง คปภ. ได้ประกาศใช้ตั้งแต่
5 กรกฏาคม 2550 เป็นต้นมา ซึ่งแบบกรมธรรม์มาตรฐานดังกล่าว สามารถใช้กับประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 พิเศษ และ ประเภท 2 พิเศษ(มีความคุ้มครองรวมถึงการสูญหาย+ไฟไหม้ ของรถยนต์คันเอาประกันภัย แต่ภายในวงเงินจำกัดเช่นกัน) ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้สามารถเลือกได้ตรงความต้องการและความจำเป็นของแต่ละบุคคล
ยังไงเพื่อนๆลองคิดดูแต่ที่แน่ๆ พอวิเคราะห์เชิงลึกแล้ว
ผมทำชั้น 1 ต่อครับ (กรุงเทพประกันภัย ไม่มีค่าเสียหายแรก
เบี้ยแค่ 12,000 บ. สบายใจกว่าเยอะ)
แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 06:01:58
จากคุณ :
sidincubuz
- [
11 มิ.ย. 52 11:19:51
]