ความคิดเห็นที่ 1 ทำไมคุณถึงไม่ควรเปลี่ยนเกียร์ ไปๆ มาๆ ระหว่้างติดไฟแดง? เราต้องเข้าใจการทำงานที่เกิดขึ้นภายในชุดเกียร์ ของทั้งตำแหน่ง N และ D กันก่อน จากคุณ : marnyee - [ 29 มิ.ย. 52 23:40:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ภายใน ลูก Torque Converter ในแนวนอน จากคุณ : marnyee - [ 29 มิ.ย. 52 23:41:07 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ภายในลูก Torque Converter ในแนวตั้ง จากคุณ : marnyee - [ 29 มิ.ย. 52 23:41:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 1. หากตำแหน่งเกียร์ ของคุณ อยู่ที่ เกียร์ N หรือ Neutral เกียร์ว่าง เบรคแบนด์ และคลัชต์ทุกชุดจะอยู่ในตำแหน่งลอยตัว หมุนฟรี ปราศจากแรงขับดัน ไฮโดรลิค จากลูกทอร์ค คอนเวอร์เตอร์ (เมื่อ เครื่องยนต์ อยู่ในรอบเดินเบา ช่วง 750-1,000 รอบ/นาที ชุด Impeller turbine จะไม่เหวี่ยงสลัดแรงดันน้ำมันไฮโดรลิค ไปที่กลีบร่อง สเตเตอร์ จากคุณ : marnyee - [ 29 มิ.ย. 52 23:42:26 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Slator ปกติแล้ว จะทำงาน โดยหมุนไปทางขวา ดังนั้น แรงขับดันของ ทอร์ค คอนเวอร์เตอร์ ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด จึงผ่านเข้าไปตาม ชิ้นส่วนต่างๆที่เคลื่อนไหวได้ หรือ moving part ตัดการทำงานของคลัชต์ทุกชุด รวมถึงปล่อย เบรกแบนด์ ให้ลอยตัว) หรือเรียกว่า Free Load Pressurize ก็ได้ 2. หากตำแหน่งเกียร์ ของคุณ อยู่ที่ เกียร์ D หรือ Drive ขับเคลื่อน ทันทีที่โยกคันเกียร์ เข้าไปที่ D ในรถรุ่นต่างๆ บางรุ่น อาจใช้ 1st Speed Shift Valve เปิด ทำงานต้นกำลัง (เข้าใจแบบง่ายๆว่า ออกตัวด้วยเกียร์ 1) แต่ถ้าเป็นรถยนต์ที่มีกำลังสูงๆ  รถขนาดกลาง หรือ ใหญ่ มักจะถูกออกแบบให้ 2nd Speed Shift Valve เป็นชุดทำงานต้นกำลัง (เข้าใจแบบง่ายๆว่า ออกตัวด้วยเกียร์ 2) เหตุผลก็คือ เพื่อช่วย ซับอาการกระชาก หรือสะท้าน ขณะออกรถจากจุดหยุดนิ่ง ด้วยกำลังม้าสูงๆ ภาพของชุดเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ใน Honda Accord รุ่นปี 1995 เครื่องยนต์ 4 สูบ แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 52 23:46:32 จากคุณ : marnyee - [ 29 มิ.ย. 52 23:43:12 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าตำแหน่ง D ไม่ว่า รถจะออกตัวด้วย เกียร์ 1 หรือ 2 ก็ตาม - ในรถรุ่นเก่าๆ ที่ใช้ แรงดันน้ำมันไฮโดรลิค ในการเปลี่ยนเกียร์ จะใช้ชุด "Valve Body"... - ในรถรุ่นใหม่ๆ ที่ใช้ระบบไฟฟ้าควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ จะใช้ "สมองกลเกียร์ อีเล็กโทรนิคส์" เพื่อจะสั่งงาน บรรดาชิ้นส่วนอะไหล่ ประเภทเคลื่อนไหวตัวได้ หรือ  Moving parts ดังต่อไปนี้ ให้ทำงาน ชิ้นส่วนที่ว่านั้น มีชื่อเรียกดังนี้ - Manual Valve , Governor Valve , Break Band Control Valve , และวาล์วช่วยควบคุมตัวอื่นๆตามแต่ละรุ่นเกียร์ลูกนั้นๆ - ชุดคลัชต์ (Clutch) เช่น Reverse Clutch , Oveerum Clutch , 2nd Clutch , 3rd Clutch , 4th Clutch และชุดเพิ่มเติม - 1st , 2nd และ 3rd Brake band ที่เกียร์บางรุ่น มีมากกว่า 1 Band - Torque Converter (ทอร์ค คอนเวอร์เตอร์) จะหมุนกำลังขับดันผ่าน Input Shaft ขับชุดเกียร์ต้นกำลัง ให้ขับเกียร์ถ่ายกำลังผ่าน Output Shaft ออกสู่เพลา ให้ไปขับหมุนล้อรถต่อไป Valve ต่างๆข้างต้นนี้  บางตัวมาในรูปของ Check ball ลูกกลมๆ บางตัว แบน มีรูจ่ายแรงดันอยู่ตรงกลาง เช่น Orifice Valve บางตัวเป็นลูกสูบขนาดนิ้วก้อย เช่น Shift Valve Brake band Supply Valve หรือ มอเตอร์ อีเล็กโทรนิกส์ โซลินอยด์ ขนาดจิ๋ว  และอีกสารพัดวาล์ว ภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิค จำลองภายในชุดเกยร์ของ Audi TT 3.2 Quattro พร้อมระบบ เกียร์แบบ DSG (Direct Shift Gearbox) แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 52 23:46:58 จากคุณ : marnyee - [ 29 มิ.ย. 52 23:44:37 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เอาละครับ สำหรับคำถามที่ว่า ผลลัพธ์ของการเข้าเกียร์ N-D-N บ่อยๆ อะไรจะเกิดขึ้นนั้น สรุปได้สั้นๆว่า 1. ตำแหน่ง N  อย่างที่อธิบายไว้ด้านบน หากรถจอดนิ่ง อยู่ในรอบเดินเบา การทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ หยุดขับดันชั่วขณะ 2. ตำแหน่ง D  ชิ้นส่วนในชุดเกียร์ ประเภท Moving Parts ทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องกับการออกรถ จะทำงานขับแรงดัน ตามที่ผู้ขับขี่เร่งรอบเครื่องยนต์ 3. ทุกครั้งที่ ลูก ทอร์ค คอนเวอร์เตอร์ จะหยุดขับแรงดัน (เกียร์ N) และขับแรงดันต่อ (หรือ เกียร์ D)  อัตราแปรผันภายใน Valve body และภายในห้องเกียร์ จะมีไม่ต่ำกว่า 2-5 bar สำหรับต้นกำลังในการออกรถ เกียร์บางรุ่น ใช้แรงดันที่แตกต่างไปตามลักษณะการใช้งาน เช่น 1.5 - 7.0 bar ก็มี โปรดสังเกตความแตกต่างระหว่างแรงดันต่ำ จาก 2 bar แล้ววาล์ว จะต้องถูกเปิดด้วยแรงดันสูงถึง 5 bar ในเวลาเพี้ยงเสี้ยววินาทีเท่านั้น! ทุกครั้งของการเปิด-ปิด ก่อให้เกิดความสึกหรอของ ชิ้นส่วนอะไหล่จำพวก Moving parts ภายในเรือนเกียร์ ทุกชิ้น! **นั่นหมายความว่า หากเข้าเกียร์ N ไป D แล้ว และสลับกลับไป N บ่อยๆ  อยู่เป็นนิจ จะเป็นการบั่นทอนอายุการใช้งานของเกียร์อัตโนมัติลงถึง 50 % !! ดังนั้น ทางแก้ที่ถูกต้อง สำหรับผู้ที่ปรับเปลี่ยนนิสัยในการเข้าเกียร์อัตโนมัติไม่ได้ ผมขอแนะนำว่า... ควรหาซื้อรถที่ใช้เกียร์ธรรมดา มาขับขี่ จะมันส์อารมณ์สมใจกว่า จากคุณ : marnyee - [ 29 มิ.ย. 52 23:45:27 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ได้ความรู้ๆๆๆ ขอบคุณมากนะคะ ^^ จากคุณ : สาวน้อยกะปุ๊กลุ๊ก - [ 30 มิ.ย. 52 00:17:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แล้วถ้าเกียร์   แล้วไป       ช่วงรถติดแล้วกลับไป   บ่อยๆจะเป็นไรไหมค่ะ ออโต้เหมือนกันค่ะ จากคุณ : ใครรักใคร (Enigma plus) - [ 30 มิ.ย. 52 01:25:45 ]

ความคิดเห็นที่ 10 หากเข้าเกียร์ N ไป D แล้ว และสลับกลับไป N บ่อยๆ  อยู่เป็นนิจ จะเป็นการบั่นทอนอายุการใช้งานของเกียร์อัตโนมัติลงถึง 50 % >>> ข้อสรุปอันนี้  ผมคิดว่า เป็นสิ่งที่เกินจริงไปอย่างมาก ๆ ถ้าการเข้าเกียร์ N ไป D ปกติในชีวิตการขับรถประจำวัน ทำให้เกียร์สึกหรอมากถึง 50% มันก็ไม่ต่างอะไรกับการซื้อรถเกียร์ออโต้ มาเพื่อรอวันซ่อมเกียร์ ผมคิดว่า ในขั้นตอนของการวิจัย คิดค้น พัฒนาเทคโนโลยี ... ทางวิศวกรผู้ออกแบบ น่าจะออกแบบมาเพื่อการใช้งานแบบปกติ ในชีวิตประจำวันที่จะต้องมีการเปลี่ยนเกียร์ N-D , D-N อยุ่แล้ว การจอดรอไฟแดง เปลี่ยนจาก D เป็น N ... อาจจะทำให้เกียร์สึกหรอบ้าง แต่คิดว่าคงจะไม่มากกว่า การจอดติดไฟแดงแล้วเข้า D ถึง 50% แน่นอน ถ้าจะเปรียบเทียบกับ รถจอดนิ่ง ๆ ไม่ได้ใช้งานหล่ะก็ อันนี้ไม่เถียง !!! แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 52 03:01:58 จากคุณ : *PIPPO* - [ 30 มิ.ย. 52 03:00:40 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อ่านแล้วรู้สึกแปลกๆ รถบางคัน ใส่เกียร์ D เบรกแช่ไว้นานๆ รถสั่นเลยนะครับ ไม่รู้เพราะอะไร ผมว่าเกียร์ออโต้มันคงไม่พังง่ายขนาดนั้นหรอก จากคุณ : สุดโหดโครตโรแมนติก - [ 30 มิ.ย. 52 03:53:44 ]

ความคิดเห็นที่ 12 งั้นก็ไม่น่ามีเกียร์ N (แล้วจะทำขึ้นมาทำป้าอะไร หรือทำไว้เพื่อจอดให้เข็น)ดึงเบรคมือเข้าเกียร์ D ไว้ตลอดอยากออกตัวก็ ปลดเบรคมือเอา อย่างนี้เกียร์ก็จะไม่พังเลยใช่ไหม จขกท. ข้อมูลก็ลอกๆมาไม่รู้ถูกผิด มั่วไปหมด รบกวนขอข้อมูลจาก โตโย ฮอนด้า เบนซ์ หน่อยสิ ว่าจุดประสงค์หลักคนทำเกียร์มามันเข้า N แล้วมันพังกว่า 50% เลยเหรอ หรือว่าเป็นการตลาด ที่ทำเกียร์ N มาเพื่อให้เกียร์พังไวขึ้น ขอข้อมูลด้วยครับไม่ใช่ข้อมูลด้านเดียวแค่นี้แล้วเอามาตัดสิน ขอบคุณ จากคุณ : sarareal - [ 30 มิ.ย. 52 07:40:19 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตัวเลข "50%" มาจากไหนครับ มีงานวิจัยยืนยันหรือไม่? จากคุณ : natthaphol406 - [ 30 มิ.ย. 52 08:13:12 ]

ความคิดเห็นที่ 14 การเข้าเกียร์ D แล้วเหยียบเบรคชั่วขณะ เช่น หยุดไฟแดงไม่เกิน 1 นาที หรือ หยุดเพื่อให้รถคันอื่นไป แบบนี้ ok ครับ แต่ถ้าติดแบบหนักๆเช่น รถติดหนักแถวแยกอโศกท่ามกลางสายฝน แบบนี้ตบลง N ไปเลยดีกว่าครับ จากคุณ : แอบหลับบนโต๊ะทำงาน (NoFlyZone) - [ 30 มิ.ย. 52 08:16:04 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมสลับ เกียร์จาก D ไป N ทุกครั้งที่รถติดไฟแดงหรือรถติดนานๆ ทำแบบนี้มา 4 ปีแล้ว ไม่เห็นเกียร์จะเป็นอะไรใช้งานได้ปกติ จากคุณ : da vios - [ 30 มิ.ย. 52 08:25:24 ]

ความคิดเห็นที่ 16 แช่นานเกิน 1 นาที เข้า N ถ้ารถติดขยับๆ ไปเรื่อยๆ D ไว้ตลอด ปกติผมจะดึงมา N น้อยมาก ยกเว้นเมื่อยขา จากคุณ : ชาย - [ 30 มิ.ย. 52 08:27:04 A:192.168.4.35 X:58.8.58.197 TicketID:150126 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มัวแต่เข้า D ไว้  เผลอ ปล่อย เบรค เจอ แมลงกัด รถไปชนคันหน้า   ไปๆมาๆ  เสียมากกว่าเกียร์ พัง จากคุณ : แมวรักแมว - [ 30 มิ.ย. 52 09:16:18 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ชาญ เจียรประดิษฐ์ เป็นนักวิจัยมาจากไหน ความคิดเห็นที่ 7 แรงดันขึนอยู่กับคันเร่ง ครับ จากคุณ : ป๋า - [ 30 มิ.ย. 52 10:11:16 A:unknown X:203.149.16.36 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ยอมรับว่าติดนิสัยจากเกียร์ธรรมดาเหมือนกันครับ พอขับออโต้เลยเข้า N ปล่อยรถไหลจนถึงปากซอยบ้าน ปล่อยรถไหลจนถึงไฟแดง ติดไฟแดงก็ N D N D สลับไปมา เพราะรู้สึกว่าตอนรถจอดเข้า D แล้วเบรคไว้ เสียงเครื่องมันจะหน่วงๆ จากคุณ : ขอบคุณโต๊ะสี่ - [ 30 มิ.ย. 52 10:18:52 ]

ความคิดเห็นที่ 20 http://www.autoshop101.com/forms/AT24.pdf จากคุณ : ป๋า - [ 30 มิ.ย. 52 10:23:28 A:10.212.212.85 X:203.149.16.44 TicketID:110672 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ของเค้าออกแบบมาให้ใช้แบบนั้นนะคับสึกหรอบ้างเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย ไม่มีชิ้นไหนที่เป็นอมตะหรอกคับมันต้องแลกคับ จากคุณ : hotday summer - [ 30 มิ.ย. 52 11:58:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ทำประจำ TOYOTA COROLLA 1.6 GLi 4Auto ปี 1994 จนถึงวันนี้ ปี 2009 ชุด Gear ยังปกติดีอยู่ครับ จากคุณ : New - [ 30 มิ.ย. 52 13:16:49 A:202.142.216.108 X: TicketID:129408 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เหยียบเบรคค้างไว้ไม่เมื่อยนตายเหรอ ผมคนนึงละที่ไฟแดงปุ๊บ ผลักเกียร์ไป N ทันทีมันเกร็งๆปวดเมื่อยไงไม่รู้ ที่สำคัญ ระบบเบรคทำงานหนักแทนครับ และฟันเฟืองเกียร์มันจะขบกันตลอดเวลาคือเกียร์มันพยายามดันรถไปข้างหน้า แต่เราเหยียบเบรคฉุดมันไว้อะ ไม่รู้นะอะไรมันจะพังง่ายกว่ากัน จากคุณ : ak47_gong - [ 30 มิ.ย. 52 14:21:17 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ผมก็ สลับ D บ้าง N บ้าง ไปมาตลอดเวลา เท่าที่มีโอกาสและตามสถานะการณ์ คิดว่าคงติดเป็นนิสัยแล้ว ไม่ค่อยจะเหยียบเบรคฝืนเท่าไร อาจเป็นเพราะเขามี N มาให้แล้ว คันปัจจุบันก็ใช้มาเกือบสองแสนโล จะแปดปีแล้ว จากคุณ : PICCANINNY'S DAD - [ 30 มิ.ย. 52 14:34:25 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เจ้าของบทความเป็นช่างนะครับ ไม่ได้เป็นผู้ผลิต วิเคราะห์ตามกลไกของการทำงาน ความเห็นผมถึงแม้จอดรถติดเครื่องเฉยๆไม่มีแรงดันน้ำมันเกียร์ส่งเข้าหมุนเวียนชุดกียร์ก็ตาม น้ำมันเกียร์ไม่ได้เป็นน้ำใสๆแบบน้ำดื่ม มันคงไม่ไหลลงมากองอยู่ด้านล่างห้องเกียร์แบบทันทีทันใด น้ำมันเกียร์ น้ำมันเครื่องมันย่อมชโลมติดค้างตามชิ้นส่วนต่างๆของเกียร์ให้เกิดการหล่อลื่นได้อยู่ชั่วขณะนึงพอประมาณครับ การเข้า D N N D มีการตัดต่อก็น่าจะมีน้ำมันเกียร์ที่คงชโลมเหลืออยู่ลดการสึกหรอได้พอควร ว่าแต่ยกบทความนี้มา ไม่กลัวเจ้าของเขาเคืองหรือครับ จากคุณ : นที - [ 30 มิ.ย. 52 17:28:53 A:125.24.98.176 X: TicketID:072386 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ผมเห็นว่าเราควรเห็นแก่ความปลอดภัย จากการเผลอปล่อยรถวิ่งไปชนคนอื่น หรือวิ่งตกคลอง หรือวิ่งไปขวางทางรถไฟ ฯลฯ มากกว่าครับ จากคุณ : อากง - [ 30 มิ.ย. 52 21:30:03 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผมอยู่ที่ระเทศอังกฤษ และสอบใบขับขี่ที่นี้ได้ ครั้งแรกที่สอบตกก็เพราะจอดติดไฟแดง ไม่เข้าตำแหน่งN และไม่ขึ้นเบรคมือ คำตอบที่ได้จากเจ้าหน้าที่ ที่คุมทดสอบขับคือ คุณไม่เคารพกฏจราจร และรักษาชีวิตผู้อื่น หมายความว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุ การขึ้นเบรคมือ นั้นช่วยลดอุบ้ติเหตุได้ (อาจจะเกิดก็ได้ หรือไม่เกิดก็ได้ ) แต่ในความเป็นจริง หลังจากสอบผ่านแล้ว บางครั้งก็ไม่ใช้ บางครั้งก็ใส่ตำแหน่งD ซึ่งใช้เฉพาะเวลาสอบเท่านั้นคับ ผมว่า บริษัทรถยนตร์ต่างๆ เขาคงออกแบบมาให้ ใช้ได้ทั้ง2 แบบคับ (ตามแต่สะดวก) ถ้าตามที่ข้อเขียนบอก คงต้องซื้อแต่เกียร์ กระปุกอย่างเดียว แต่ไปดูในตลาดรถสิคับ มีแต่เกียร์Auto คับ จากคุณ : ปอนด์ - [ 3 ก.ค. 52 21:41:38 A:91.104.92.79 X: ]