ความคิดเห็นที่ 1 ตั้งแต่ เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ก พลังงาน ได้มีหนังสือถึง กรมสรรพาสามิต ลงวันที่ 18 สิงหาคม ให้ชลอการอนุญาต ให้ส่งออกเอทานอล ก้อหมายถึง ไม่ให้ส่งออกนั่นเอง ปัจจุบันมีโรงงานเอทานอล 47 โรงงาน กำลังการผลิตรวม 12.5 ล้านลิตรต่อวัน ที่ได้รับใบอนุญาตไปแล้ว ก่อสร้างเสร็จ และเปิดดำเนินการแล้ว 17 โรงงาน มีกำลังการผลิตรวม 2.57 ล้านลิตรต่อวัน ความต้องการใช้เอทานอล สำหรับการผลิตแกสโซฮอล์ เท่ากับ 1.15 ล้านลิตร ต่อวัน ในเดือนสิงหาคม 52 ลดลงจาก 1.275 ล้านลิตร ในเดือนธันวาคม 51 เพราะฉนั้น กำลังการผลิตเอทานอลรวม ของประเทศไทย ที่สร้างเสร็จแล้ว มีมากกว่าความต้องการใช้ ถึง 100% กว่า สิ่งเหล่านี้เป็น FACT นะครับ ผมไม่ได้ใส่ความเห็นลงไป อ้างอิงได้จาก ฐานข้อมูลของ ก พลังงาน และ ก การคลัง ครับ ถ้าจะให้ความเห็น ขอให้สุภาพนะครับ ไม่อยากให้เถียงกันอ่ะ จากคุณ : Dr. Will เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 07:33:16

ความคิดเห็นที่ 2 เคยศึกษาเรื่อง renewable energy ก็รู้มาเหมือนกัน  เพราะมีบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของเกาหลีต้องการมาซื้อ ethanol จากเมืองไทยเพื่อไปผลิต gasohol แต่ก็ซื้อไม่ได้ จากคุณ : Minnie On The Road เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 08:15:57

ความคิดเห็นที่ 3   เพราะอะไรล่ะครับ นโยบายอะไรถึงห้ามส่งออก???? จากคุณ : bamboo เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 08:29:30 A:58.64.74.42 X: TicketID:219328

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้ามันเป็น Fact จริงๆ ก็น่าแปลกใจครับ เพราะกลุ่มอุตสาหกรรมเอทานอล ไม่เคยออกมาโวยวายทางหน้าหนังสือพิมพ์เลยนะครับ ที่ผมเห็นเป็นประจำ ก็คือ โวยเรื่องราคาอ้างอิง ถูกเกิน ผลิตแล้วขาดทุน แต่ทุกวันนี้ เข้าใจว่า พวกเค้าก็ขายเอทานอลให้โรงกลั่นลิตรละราวๆ 25 บาท สูงกว่าราคาอ้างอิงของ ก.พลังงาน ลิตรละ 4 บาท จากคุณ : P_Wut เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 08:40:30

ความคิดเห็นที่ 5   กลัวเรื่องการขาดแคลนในประเทศเป็นหลักครับ กำลังการผลิต (ติดตั้งเครื่องจักร) มากกว่า 100% ก็จริง แต่ ปริมาณวัตถุดิบ มันไม่พอไม่ใช่หรือครับ กากน้ำตาลได้ต่ำกว่าที่ประเมิน เนื่องจากผลผลิตอ้อยได้แค่ 66 ล้านตัน จากที่ประเมินไว้ 75 ล้านตัน แถมช่วงต้นปียังมีคนส่งออกทั้งกากน้ำตาล ทั้งเอทานอลไปอีก จากคุณ : Sustainable Development เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 08:43:06

ความคิดเห็นที่ 6 ว่าจะมาตอบพอดีว่า เค้าคงตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้ส่งออกไปขายนอกประเทศ ขนาดทุกวันนี้ ราคาขายในประเทศยังคุมกันไม่ค่อยจะได้เลย ขืนให้ส่งออก ซึ่งมีคนบ้ายอมจ่ายแพงกว่าที่ขายในประเทศได้ มีหวังยิ่งไม่มีให้ใช้กันเข้าไปอีก การเปิดให้ส่งออก/นำเข้าอย่างเสรี ควรทำเมื่อ กลไกตลาดโดยธรรมชาติ มันทำงานได้โดยตัวของมันเอง ไม่จำเป็นต้องมีการแทรกแซงจากรัฐ แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 52 08:54:24 จากคุณ : P_Wut เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 08:54:06

ความคิดเห็นที่ 7 ดีครับ ได้ความเห็นจากหลายๆท่าน จะได้ช่วยกันคิด ว่าอย่างไร จะเหมาะกับประเทศไทยที่สุด จากที่สังเกตุ ข้อมูลความจริงเบื้องหลัง อุตสาหกรรมเอทานอล ยังไม่สามารถ ส่งต่อให้ประชาชนเจ้าของประเทศได้ ปัจจุบันเรายังปล่อยให้การตัดสินใจ ที่มีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ อยู่ในมือผู้กุมนโยบาย เพียงไม่กี่คน ซึ่งคนเหล่านั้น มาแร้วก้อไป... อีกอย่าง บ้านเรา คนมักเชื่อสื่อ หรือ ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ....น้อยครับ ที่จะขวนขวาย หาข้อมูลเชิงลึก ซึ่งมักจะไม่ได้เปิดเผยสู่สาธารณะ ไม่เป็นไรครับ ค่อยๆ คิด ทำกันไป จากคุณ : Dr. Will เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 09:42:27

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าจะเดินตาม บราซิล ที่เปลี่ยนมาใช้เอทานอล อย่างประสปความสำเร็จ ก็คงต้องมีกฏแบบนี้ละครับ ส่วนตัวผมว่าดีนะ ราคาจะได้ไม่ขึ้นสูง เพราะถ้าให้ประเทศร่ำรวยมาซื้อได้ เขาสู้ราคา ซื้อแพงๆ ราคาในประเทศก็แพงตาม ผลที่สุดแก๊สโซฮอในประเทศก็แพงตามแล้วโครงการที่คิดจะพึ่งพาพลังงานในประเทศก็จะล้มตามๆกันไป แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 52 09:43:17 จากคุณ : NATSKI13 เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 09:42:30

ความคิดเห็นที่ 9 แวะ เข้ามาทักทาย อ่ะ ครับ นานๆ มาดูที เห็นว่า พอมีคนสนใจ เรื่องนี้อยู่บ้าง มีความสุข ทั้งรถ ทั้งคน นะครับ จากคุณ : Dr. Will เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 09:45:00

ความคิดเห็นที่ 10 ที่ไม่ให้ส่งออก  เพราะต้องการคุมราคาเอทานอลในประเทศให้ต่ำหรือเปล่าครับ แต่ที่ผมดูจาก EPPO เหมือนกับว่าตอนนี้ก็คุมราคาเอทานอลให้อยู่ในราคาที่ประกาศไว้ไม่ได้ ความจริงเมื่อมีกำลังผลิตเหลือ  ราคาเอทานอลมันก็น่าจะต่ำลงตามความต้องการของตลาด ขอถาม Dr. Will บ้างนะครับ 1. ที่ผู้ผลิตต้องการส่งออก  เพราะมีกำลังผลิตเหลือ หรือว่าราคาในประเทศต่ำไป 2. ราคาที่ผู้ผลิตเขาส่งออก  มันเป็นราคาเดียวกับที่ขายในประเทศหรือเปล่า 3. ราคาเอทานอลในไทยตอนนี้จริงๆควรอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ 4. ตอนนี้ราคาที่อ้างอิงจากราคาบราซิล+ค่าส่งมาไทย  ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่าครับ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 12:46:41

ความคิดเห็นที่ 11 หลายปีก่อนมีข่าวว่านักธุรกิจจากต่างประเทศจะลงทุนปลูกพืชพลังงาน และต้องการให้อนุญาตการส่งออกขั้นต่ำในจำนวนที่แน่นอน เช่น ปีละกี่ล้านลิตร ไม่ใช่ต้องขออนุญาตเป็นครั้งๆ  แต่ไม่ได้  เลยไม่ได้ลงทุน จากคุณ : กัมโม่ เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 12:52:28

ความคิดเห็นที่ 12 ราคาที่ขายในประเทศปัจจุบันอ้างอิงจากบราซิล+ freight cost+ insurance ค่ะ  ถ้าขายกันตามต้นทุนในประเทศ  ราคา gasohol ต้องถูกกว่านี้อีก การที่ผู้ผลิตต้องการส่งออกเพราะกำลังการผลิตเหลือ  เอทานอลไม่สามารถเก็บในโกดังได้นานเหมือนสินค้าอื่นเพราะมันสามารถระเหยได้  เอทานอลที่จะนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงต้องเป็น pure ethanol  ระเหยไปนิดเดียวมีผลต่อการนำไปผลิตเชื้อเพลิงแล้วค่ะ ราคาส่งออกเมื่อบวกภาษีสรรพสามิตแล้วก็แข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกได้ยากอย่างบราซิล เพราะภาษีสรรพสามิตที่เราเสียเป็นแบบ liquor คือจัดเก็บเหมือนกันอัตราเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์  ไม่ได้อยู่ในหมวดพลังงาน อันนี้เป็นข้อมูลที่เคยศึกษาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว  ปัจจุบันไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว จากคุณ : Minnie On The Road เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 13:13:30

ความคิดเห็นที่ 13   คห 12 ครับ อัตราภาษีเอทานอล ลิตรละ 5.97 บาท แต่ ณ ปัจจุบัน รัฐบาลงดเว้นไม่เก็บภาษี ก็คือ ณ ตอนนี้ เอทานอล ยังไม่ต้องเสียภาษีครับ จากคุณ : คนภูธร เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 13:56:00 A:125.26.103.53 X:

ความคิดเห็นที่ 14   เอ่อออ....ตอบ คห 12 1. ราคาอ้างอิงจากบราซิลที่ว่าได้ถูกยกเลิกไปหลายเดือนแล้วครับ ปัจจุบันเป็นระบบ cost plus คิดจากต้นทุนแล้วบวกกำไรเพิ่ม ซึ่งแพงกว่าราคาอ้างอิงบราซิล ไม่ได้ถูกกว่า เหมือนที่บางคนเคยมั่วเอาก่อนก่อนหน้านี้ http://www.dede.go.th/dede/fileadmin/usr/bers/gasohol_documents/gasohol_2009/cost_eth_of_sep52.pdf 2. ที่ไม่ให้ส่งออก ก็เพราะกลัวเรื่อง การขาดแคลนในประเทศ เป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับเรื่องราคา 3. ราคาแก๊สโซฮอล์ ณ ปัจจุบัน ควรแพงกว่านี้ ไม่ใช่ถูกกว่า เพราะเอทานอลแพง แต่มีการช่วยเหลือจากรัฐทำให้ราคาต่ำแบบที่เห็น 4. ราคาอ้างอิงปัจจุบัน 20.21 บาท แต่ขายกันจริง 24 - 25 บาท เนื่องจากวัตถุดิบราคาแพง เช่น กากน้ำตาลจากปกติ 60 - 70 เหรียญต่อตัน ขึ้นไปเป็น 130 - 140 เหรียญต่อตัน ต้นทุนวัตถุดิบ คือ กากน้ำตาล 4 กก ได้ เอทานอลลิตรนึง กก ละ 4 .76 บาท ก้เป็น 19 บาท ต้นทุนการผลิตอีก 6 บาท รวมทั้งหมดเป็น 24 - 25 บาทแล้ว ยังไม่คิดกำไรนะครับ http://www.eppo.go.th/retail_prices.html แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 52 14:17:17 แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 52 14:09:44 จากคุณ : Sustainable Development เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 14:08:12

ความคิดเห็นที่ 15   เพิ่มเติม 1. ภาษีสรรพสามิตเอทานอลสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงรัฐยกเว้นให้...ทั้งขายในประเทศและส่งออกครับ 2. เอทานอลระเหยยากกว่าน้ำมันเบนซินครับ ในการส่งออกจึงไม่มีประเด็นปัญหาเรื่องการระเหย ปัญหาที่สำคัญหลักๆ ก็คือ ไม่มีโกดังหรือแท็งที่จะเก็บเอทานอล เพื่อรวบรวมให้ได้ปริมาณมากๆ จนคุ้มที่จะส่งทีเดียวล็อตใหญ่ ถ้าส่งล็อตเล็กๆ ต้นทุนสูง ไม่คุ้มครับ จากคุณ : Sustainable Development เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 14:13:25

ความคิดเห็นที่ 16 ขอตอบคุณ ton99 ทีละข้อนะครับ เอาเท่าที่ทราบและตอบได้นะครับ ................................................................ ความคิดเห็นที่ 10     ขอถาม Dr. Will บ้างนะครับ 1. ที่ผู้ผลิตต้องการส่งออก  เพราะมีกำลังผลิตเหลือ หรือว่าราคาในประเทศต่ำไป ตอบ- ที่ผู้ผลิตต้องการส่งออกเอทานอล ถึงแม้ว่าราคาส่งออกจะต่ำกว่าราคาในประเทศ ณ ขณะนี้ (USD 600 / MT FOB) ก้อเพราะว่า บางรายมีสัญญาที่ทำกันก่อนหน้านี้ไว้ และเท่าที่ผ่านมา โรงงานเอทานอลมีปัญหาสต็อกล้น ความต้องการซื้อต่ำกว่าความสามารถในการผลิต ดังนั้นในเชิงธุรกิจ จำเป็นต้องมีคู่ค้าระยะยาว และมีตลาดทางเลือก เผื่อไว้ในกรณีที่โรงกลั่น ไม่สามารถรับซื้อเอทานอลได้ทั้งหมด เหมือนหลายๆ ปีที่ผ่านมา เรียกว่า เฉือนเนื้อตัวเอง ก้อยังต้องทำ ขอให้ cover fixed cost บางส่วนก้อยังดี 2. ราคาที่ผู้ผลิตเขาส่งออก  มันเป็นราคาเดียวกับที่ขายในประเทศหรือเปล่า ตอบ- คนละราคาครับ 3. ราคาเอทานอลในไทยตอนนี้จริงๆควรอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ ตอบ- 23-25 บาทต่อลิตรครับ 4. ตอนนี้ราคาที่อ้างอิงจากราคาบราซิล+ค่าส่งมาไทย  ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่าครับ ตอบ- ไม่ได้ใช้หลายเดือน แล้วครับ แต่ก่อนเรียกว่า Import parity formular price ตอนนี้ใช้ weighted average cost plus formular ครับ สั้นๆ ก่อนนะครับ ไม่ได้เข้าเวป ขอโทดถ้าตอบช้านะครับ จากคุณ : Dr. Will เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 14:34:42

ความคิดเห็นที่ 17 อืมมมม....... ข้อมูลบางส่วนที่ได้ตอบไปปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก อย่างเรื่องราคา จริงๆไปเปิดดูเอกสารที่อยู่ในมือก็มีบอกนะ  แต่ปัจจุบันงานที่ทำอยู่ไม่ได้เกี่ยวข้องแล้วเลยไม่ได้สนใจ  ข้อมูลบางส่วนได้มาจาก company visit  โรงงานเอทานอลเมื่อ 2 ปีก่อนค่ะ  ถ้าผิดพลาดก็ขออภัย ขอบคุณสำหรับข้อมูล update ค่ะ จากคุณ : Minnie On The Road เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 15:40:53

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณ Dr. Will ครับ ขอถามต่อนะครับ 1. ตอนนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ  ถึงทำให้ต้นทุนเอทานอลในประเทศมันสูงขึ้น เพราะสูตรราคาเก่าก็ใช้กันมาได้พักใหญ่ๆ  แสดงว่าต้องมีจุดเปลี่ยนอะไรบางอย่างเกิดขึ้น 2. ตอนนี้ถ้าเปิดเสรีเอทานอลไปเลย  ทางผู้ผลิตเขาจะยอมหรือเปล่าครับ และถ้าเปิดเสรีแล้ว  ราคาเอทานอลในบ้านเรามันจะมีทิศทางเปลี่ยนแปลงไปทางไหน 3. ในอนาคตอุตสากรรมเอทานอลของไทย  จะสามารถทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง ได้ใกล้เคียงกับของบราซิลได้มากน้อยขนาดไหนครับ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 21:28:17

ความคิดเห็นที่ 19 มาตอบเช้าหน่อยครับ ยังต้องทำงานแม้ เสาร์ อาทิตย์ ..... เฮ้ออ ทีละข้อนะครับ ความคิดเห็นที่ 18     ขอบคุณ Dr. Will ครับ ขอถามต่อนะครับ 1. ตอนนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ  ถึงทำให้ต้นทุนเอทานอลในประเทศมันสูงขึ้น เพราะสูตรราคาเก่าก็ใช้กันมาได้พักใหญ่ๆ  แสดงว่าต้องมีจุดเปลี่ยนอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ตอบ: เป็นปัญหาด้านการบริหารและจัดการนโยบาย ของภาครัฐเป็นหลักครับ ทำให้ผู้ผลิตเอทานอลไม่แน่ใจในสภาวะตลาด และคิดว่าราคาจะตกต่ำเหมิอนที่ผ่านมา จึงไม่มีใครกล้าเก็บสต็อกวัตถุดิบไว้ตั้งแต่ต้นปี พอถึงปลายปีราคาก้อเลยสูงขึ้นครับ อีกอย่างสูตรราคาเก่า มีจุดอ่อนหลายจุด ที่ไม่สะท้อนสภาวะต้นทุนวัตถุดิบจริงของการผลิตเอทานอล สูตรใหม่นี่ กระทรวงก้อแค่ทดลองใช้นะครับ หกเดือนเท่านั้น ยังมีปัณหาอยู่หลายจุด ในค่าแฟกเตอร์ต่างๆ กะ reference sites ต้องรอดูครับว่า หลังหกเดือนไปแร้ว จะเอายังไง ......... ของใหม่ครับ ใหม่กันทุกคนทั้งภาครัฐและเอกชน....ค่อยๆคิดกันไป 2. ตอนนี้ถ้าเปิดเสรีเอทานอลไปเลย  ทางผู้ผลิตเขาจะยอมหรือเปล่าครับ และถ้าเปิดเสรีแล้ว  ราคาเอทานอลในบ้านเรามันจะมีทิศทางเปลี่ยนแปลงไปทางไหน ตอบ: คำถามดีมากครับ แสดงว่า ข้อมูลต่างๆไม่ได้ส่งผ่านถึง ปชช จริงๆ   ปัจจุบันการขออนุญาตสร้างโรงงานผลิตเอทานอล ได้เปิดเสรีมาหลายปีแล้วครับ ตั้งแต่ สมัยคุณปิยสวัสดิ์ ถ้าใครอยากเปิดโรงงานก้อไปยื่นแบบได้ที่ กระทรวงเรยครับ ขออนุญาตอธิบายขยายความ คำว่า เสรี นิดนะครับ การค้าเสรี หมายถึง ต้องมีการผลิตที่เสรี มีการตลาดที่เสรี และเปิดให้มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์....... แต่อุตสาหกรรมเอทานอลในประเทศไทย เปิดให้มีการตั้งโรงงานเอทานอลได้อย่างเสรี (Free Supply) แต่การจำหน่าย หรือการตลาด ยังจำกัดให้โรงงานเอทานอล ขายให้ได้เฉพาะผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ซึ่งมีไม่กี่คนในประเทศไทย ส่วนการส่งออกนั้น ไม่อนุญาตให้ส่งออกได้ แต่ถ้าจะส่ง ก้อต้องขออนุมัติจาก อธิบดีกรมสรรพสามิต โดยความเห็นชอบจาก ก พลังงานเป็นครั้งๆไป (Control Demand) จะเห็นได้ว่า ผู้ผลิตเอทานอล มีข้อจำกัดมาก ในเรื่องของการขาย การตลาด ฉนั้นถ้าถามว่า " ถ้าเปิดเสรีเอทานอลไปเลย ผู้ผลิตเขาจะยอมหรือเปล่า" ข้อมูลข้างบน มันตอบคำถามในตัวอยู่แล้วครับ ว่าผู้ผลิตอยากจะลดข้อจำกัดในการขายลง โดยขอให้ขายเอทานอล ให้อุตสาหกรรมอื่นได้ เช่น อุตสาหกรรมสี เคมี ไปโอเคมิคอล แอลกอออล์แข็ง อุตสาหกรรมยา อื่นๆๆ รามทั้ง อนุญาตให้ส่งออกเอทานอล ได้อย่างเสรีด้วย ........เสรี ต้องเป็นเสรี ทั้งระบบ ไม่ใช่เปิดแค่บางส่วน ให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น........... 3. ในอนาคตอุตสากรรมเอทานอลของไทย  จะสามารถทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง ได้ใกล้เคียงกับของบราซิลได้มากน้อยขนาดไหนครับ ตอบ: สู้ได้ครับ ถ้านโยบายของประเทศไทย สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน และอย่างที่ สหรัฐ หรือ บราซิลทำ เรามีทั้งข้อได้เปรียบ และข้อเสียเปรียบ บราซิลหลายข้อ แต่โดยภาพรวมแล้วประเทศไทย มีศักยภาพ ขึ้นเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่ง ในโซนเอเซีย เอาสั้นๆ นะครับ จากคุณ : Dr. Will เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 52 06:52:04

ความคิดเห็นที่ 20 ต้องเข้าใจอย่างนะครับ ว่าเอทานอลเป็นสินค้าการเมือง เกี่ยวพันหลายภาคส่วน ตั้งแต่ เกษตรกร โรงงานผู้ผลิตเอทานอล ผู้ค้าน้ำมัน รวมทั้งประชาชนผู้ใช้รถยนต์ แม้แต่ประเทศที่ก้าวหน้ามากๆ อย่าง สหภาพยุโรป หรือ อเมริกา ยังไม่มีใครสามารถ เปิดเสรีเอทานอลได้เลย ฉนั้น การเปิดเสรี เอทานอลทั้งระบบ นั้น เป็นไปแทบไม่ได้ หรือ เป็นไปไม่ได้เลย ผู้ที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ต้องมีความเข้าใจใน อุตสาหกรรมการเกษตร พลังงาน และการต่างประเทศ แต่ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้บริหารจัดการแบบแยกส่วน คือ .....ก พาณิชย์ ดูแลราคามันสำปะหลัง ซึ่งก้อต้องการให้มีราคาสูงที่สุดเท่าที่ทำได้ จะได้ลดภาระค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเกษตกร (ปีที่แล้ว ใช้ไปแค่ แสนสามหมื่นล้านเองครับ) .....ก อุตสาหกรรม ดูแลราคาอ้อย และน้ำตาล เหมือนกันครับ อยากได้ราคาสูงๆ เหมือน ก พาณิชย์ จะได้ลดภาระกองทุนอ้อยและน้ำตาล .....ก พลังงาน ดูแลเรื่อง control demand เอทานอล การตลาดเอทานอล รวมทั้งนโยบายการส่งออก แต่ไม่ได้ control ไปถึงต้นทาง จุดอ่อน ก้อคือ ก พลังงาน ไม่ได้เข้าใจใน ธุรกิจการเกษตร หรือ อุตสาหกรรมการเกษตรเลย เป้าหมายหลักของ กระทรวงก้อคือ ให้เอทานอลราคาถูกที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยมองที่ประชาชนผู้ใช้น้ำมันเป็นหลัก ไม่งั้นโดนด่าเละ .....ก การคลัง ดูแลเรื่องการควบคุมการผลิตและจำหน่าย การจัดเก็บภาษี การขออนุญาตต่างๆ และการอนุมัติขั้นตอนในการส่งออก กระทรวงนี้ทำงานฟรีครับ น่าสงสารที่สุด ใครใช้อะไรมาก้อต้องทำให้ ไม่มีผลประโยชน์อะไร นโยบายที่ออกมา ก้อเรยเปนแบบ หัวไปทาง หางไปทางครับ ไม่ได้เปนแบบ องค์รวม จากคุณ : Dr. Will เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 52 07:15:06

ความคิดเห็นที่ 21   1. เอาสั้นๆ ช่วยอธิบายให้ท่านอื่นๆ ได้เข้าใจหน่อยครับ โดยภาพรวมแล้ว สูตรราคาแบบเก่ากับแบบใหม่ แบบไหนผู้บริโภคจะใช้เอทานอลได้ราคาถูกกว่ากัน 2. หาก เปิดเสรีเอทานอลอย่างเต็มรูปแบบ ผมเข้าใจว่าหมายถึงรัฐก็ไม่ต้องสนับสนุนเรื่องภาษี เงินกองทุน ฯลฯ เพราะต้องแข่งขันกันอย่างเสรี (กับเชื้อเพลิงอื่นด้วย) จึงไม่น่าเป็นไปได้ อย่างที่ว่าประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถทำได้ ดังนั้นรัฐได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบ แต่มีข้อกำหนดบางเรื่อง เช่น เรื่องส่งออกหรือการขาย ก็น่าจะพอรับได้ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างครับ จากคุณ : Sustainable Development เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 52 08:10:53

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณครับ แต่ยังมีไม่เข้าใจตรงกันอยู่หน่อยนึง  คือเรื่องเปิดเสรีเอทานอล ในคำถามผมตั้งใจจะให้ครอบคลุมไปถึงเรื่อง เปิดเสรีนำเข้าและส่งออกเลย แต่คุณ Dr. Will ได้ตอบมาเผื่อแล้วใน คคห 20 ความจริงถ้ากำลังผลิตเหลือจริงๆ  แล้วไม่ส่งผลต่อราคาในประเทศ รัฐก็ควรสนับสนุนให้ผู้ผลิตส่งออกด้วย  เพราะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ผลิตในบ้านเรา ต้นทุนในการผลิตก็จะได้พัฒนาให้ต่ำลงได้อีก จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 52 18:44:42

ความคิดเห็นที่ 23 ขอตอบทีละข้อนะครับ 1. เอาสั้นๆ ช่วยอธิบายให้ท่านอื่นๆ ได้เข้าใจหน่อยครับ โดยภาพรวมแล้ว สูตรราคาแบบเก่ากับแบบใหม่ แบบไหนผู้บริโภคจะใช้เอทานอลได้ราคาถูกกว่ากัน ตอบ: สูตรราคาอ้างอิงของกระทรวงพลังงาน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับราคาซื้อขายจริงของเอทานอลภายในประเทศเลยครับ เพียงแต่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการคำนวณภาษีน้ำมัน และเงินชดเชยเข้ากองทุนน้ำมันเท่านั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า ราคาอ้างอิง มิได้เกี่ยวข้องกับ ราคาซื้อขายจริง ....ราคาซื้อขายจริงนั้น บางครั้งก้อต่ำกว่าราคาอ้างอิง บางครั้งก้อสูงกว่าราคาอ้างอิงครับ ฉนั้นไม่ว่าสูตรใด ก้อไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับราคาเอทานอลที่ส่งผ่านถึงผู้ใช้ครับ ประเด็นนี้ยังมีผู้ที่เข้าใจผิดอยู่มาก เรยทำให้สับสนกันคับ ราคาที่ส่งผ่านไปถึงผู้บริโภคขั้นสุดท้าย จะขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐเป็นหลักครับ เพราะ กว่า 70% ของต้นทุนเอทานอล ขึ้นอยู่กับราคาวัตถุดิบ ส่วนราคาวัตถุดิบไม่ว่าอ้อย หรือ มันสำปะหลัง ก้อขึ้นอยู่กับนโยบายการดูแลสินค้าเกษตร ยกตัวอย่างเช่น ทุกๆปี ก พาณิชย์ จะมีโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ปีที่แล้ว ก พาณิชย์ ได้รับจำนำ มันสำปะหลังจำนวน 13 ล้านตัน จากการผลิตทั้งประเทศ 30 ล้านตัน ในราคาเฉลี่ย กว่า 2 บาทต่อ กก ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดมาก ทำให้โรงงานผู้ผลิตเอทานอลที่ใช้มันสำปะหลัง ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้เนื่องจากมีต้นทุนที่สูง ถ้าจะทำการผลิตก้อต้องรับซื้อหัวมันสด ที่ราคาสูงกว่าราคารับจำนำ ผลก้อคือ ผู้ใช้น้ำมัน ก้อต้องยอมรับในราคาเอทานอลที่สูงขึ้น.....อ้อย เปนเช่นเดียวกันครับ เพียงแต่มีรายละเอียดต่างกัน แต่ก้ออิงกับนโยบายรัฐ เปนหลักเหมือนกันคับ เอาตัวอย่างสั้นๆ ก่อนนะครับ สรุปก้อคือ ราคาเอทานอลจะสูงหรือต่ำ ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และพลังงาน โรงงานเอทานอล หรือ ผู้ค้าน้ำมัน ก้อเป็นแค่กลไก ที่ภาครัฐใช้ในการดำเนินนโยบายดังกล่าว และอยู่ที่ว่า ช่วงไหนรัฐจะให้ความสำคัญเน้นหนัก ไปในภาคเกษตรกรรม หรือ ภาคประชาชนผู้ใช้น้ำมัน สิ่งเหล่านี้เกี่ยวโยงไปกันทั้งหมดครับ ผู้ที่จะกำหนดนโยบาย จึงต้องมองแบบองค์รวม และบาลานซ์ ผลประโยชน์ ของประชาชนแต่ละกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีผลประโยชน์ ขัดแย้งกันได้อย่างลงตัว 2. หาก เปิดเสรีเอทานอลอย่างเต็มรูปแบบ ผมเข้าใจว่าหมายถึงรัฐก็ไม่ต้องสนับสนุนเรื่องภาษี เงินกองทุน ฯลฯ เพราะต้องแข่งขันกันอย่างเสรี (กับเชื้อเพลิงอื่นด้วย) จึงไม่น่าเป็นไปได้ อย่างที่ว่าประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถทำได้ ดังนั้นรัฐได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบ แต่มีข้อกำหนดบางเรื่อง เช่น เรื่องส่งออกหรือการขาย ก็น่าจะพอรับได้ ตอบ: ข้อนี้น่าจะเป็นความเห็นของผู้ถามมากกว่าคำถามนะครับ เลยไม่ทราบว่าจะตอบยังไงจริงๆ ครับ ;-) จากคุณ : Dr. Will เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 52 21:14:51

ความคิดเห็นที่ 24 ตอบคุณ ton99 คห 22 เรื่องการส่งออก และนำเข้าเอทานอล นะครับ ปัจจุบัน ไม่อนุญาตให้ส่งออกเอทานอลได้นะครับ ถ้าจะส่งออกจริงๆ ต้องขออนุญาต เป็นครั้งๆไปครับ อันนี้ WTO ทำอะไรไม่ได้ เนี่องจากเปนนโยบายภายในประเทศเราครับ ส่วนการนำเข้า สามารถขออนุญาตนำเข้าได้เรยเหมือนสินค้าทั้วๆไป อย่างเช่น รองเท้า เสื้อผ้า เครื่องหนัง และอื่นๆ ไม่แตกต่างกันมากคับ การเสียภาษีนำเข้าก้อเสียตามพิกัดสินค้า ถ้าไปปิดกั้นการนำเข้า WTO ก้อเล่นงานเท่านั้น เพียงแต่ ที่ผ่านๆมา ต้องผ่าน ครม ก่อน เนื่องจาก ผู้นำเข้า ขอยกเว้นภาษีครับ เปนกรณีไม่ปกติอ่ะ จากคุณ : Dr. Will เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 52 21:28:29

ความคิดเห็นที่ 25 ว่างๆ จะแวะเข้ามาคุยใหม่นะครับ ขอบคุณทุกท่าน ที่แชร์ ความเห็นนะครับ ..........มัความสุข ทั้งคน ทั้งรถ นะครับ.................. จากคุณ : Dr. Will เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 52 06:52:05

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณครับ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 52 18:56:02

ความคิดเห็นที่ 27 Dr. Will คงทราบข่าวแล้วว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ เรียกประชุม 3 ฝ่าย (รัฐฯ ผู้ผลิตเอทานอล และผู้ค้าน้ำมัน) เมื่อ 20 ตุลาคม 2552 15:00 น. ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า 1. Q4 เอทานอลไม่ขาดแคลน 2. ให้ส่งออกได้ตามปกติ แต่ Big P ไม่เข้าประชุมครับ .. จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 23 ต.ค. 52 09:22:47

ความคิดเห็นที่ 28 ทราบครับ ก้อเป็นความกรุณาของ กระทรวง ที่อนุญาตให้ส่งออกได้เป็นครั้งคราว และพยายามที่จะเข้าใจถึงปัญหา ของเอทานอลในประเทศ ขอบคุณครับที่แจ้งข่าว จากคุณ : Dr. Will เขียนเมื่อ : 23 ต.ค. 52 15:18:09