ความคิดเห็นที่ 1 หมายถึง ก๊อปปี้จากแผ่นแท้ใช่ไหมครับ คุณภาพของแผ่นมีส่วน(แต่น้อยมากจนไม่น่าจะฟังออก) ขึ้นอยู่กับว่า เครื่องเสียงของคุณถ่ายทอดเสียงได้ออกมาได้ระเอียดขนาดไหนครับ ผมว่าคุณภาพของแผ่นมีส่วนในด้านความคงทนมากกว่าครับ แผ่นไม่ดีพอมันเริ่มเสื่อม การเล่นเพลงก็น่าจะเพี้ยมไปด้วยครับ จากคุณ : pao666 เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 15:43:09

ความคิดเห็นที่ 2 ต่างครับ ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของไฟล์ต้นฉบับด้วย แต่ มันเล็กน้อยมาก  เมื่อเทียบกับ ราคา ยี่ห้อแผ่นก็เช่นกัน  เพราะ คุณภาพผกผันกับราคาเสมอ จากคุณ : 1298 D-Max เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 15:43:21

ความคิดเห็นที่ 3 ต่างกันครับ ต่อให้คุณบอกว่าตามหลักการณ์ การเก็บข้อมูลจะเป็นแบบ Digital เลขฐาน 2 คือ 0 กับ 1 เท่านั้น มันถูกต้องครับ แต่ในทางปฏิบัติ ลองฟังด้วยลำโพง หรือหูฟังดีๆ จะสามารถฟังออกครับ ว่ามันต่างกัน มิติก็หายไปส่วนหนึ่งด้วยครับ จากคุณ : XenoType เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 15:52:05

ความคิดเห็นที่ 4 ต่างกันครับ 1.คุณภาพแผ่นที่นำมาก๊อป 2.ความเร็วในการอ่าน-เขียน 3.ประสิทธิภาพของคอมป์พิวเตอร์และ CD writter หรือเครื่องก๊อป 4.แกะกล่องปุ๊บ  ก๊อปปั๊บ  กับผ่านไป 1 ปี ค่อยก๊อป ก็ไม่เหมือนกันครับ 5.การก๊อปปี้  ยังไงซะ ไม่เหมือนต้นฉบับได้ 100% แน่นอน... จากคุณ : ลำไผ่ บ้านท่า เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 15:55:13

ความคิดเห็นที่ 5 แผ่นแท้ เค้าก็ ปั๊ม-Write มาเหมือนกันครับ แต่เครื่องปั๊มเค้าดีกว่า ให้ดีจริง ๆ ก็ไปฟังจากห้องที่เค้าอัดเลยครับ หรือไม่ก็ไปฟังเค้าเล่นสด ๆ ไปเลย คอนเสิร์ต ถ้าหูไม่เทพขนาดแยกเสียงทุกเสียงออก ก็ไม่รู้หรอกครับ ไม่เชื่อลองกลับไปบ้าน แล้วเอาแผ่นก๊อปไปเปิดโดยที่ไม่ต้องบอก แล้วให้คนที่บ้านฟังดูครับ เค้าจะทราบไหมครับ แต่ถ้าหูเทพ ๆ บางคน กับเครื่องเสียงเทพของเค้า เค้าก็รู้อ่ะครับ จากคุณ : Tongtaro เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 16:14:02

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าบันทึกครบทุกบิต อ่านครบทุกบิต เหมือนกันแน่นอนครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 16:33:12

ความคิดเห็นที่ 7 หุหุหุ ดีจังแยกออกด้วย ผมแยกไม่ออกอ่ะครับไม่ว่า Cd vs Mp3 หรือแผ่นแท้แผ่นก๊อป.....หูตึงอ่ะครับ เปิดดังเข้าว่าไว้ก่อน.... จากคุณ : jacksu เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 16:37:38

ความคิดเห็นที่ 8 ต่างครับ ผลิตต่างประเทศกันก็ฟังออก ผมว่าอยู่ที่คุณภาพ วัสดุในการผลิตและมาสเตอร์ตัวที่เขานำมาใช้ในการผลิตของที่นั้นนั้น การที่จะฟังออกว่าแตกต่างกันมากเพียงใด สำคัญอยู่ที่ระบบและหูด้วย เฉพาะกรณีแผ่นซีดีน่ะ ไม่รวมไฟล์ดิจิตอลที่บันทึกไว้ในไดร์ฟต่างต่าง จากคุณ : คนบ้าบิต เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 17:07:13

ความคิดเห็นที่ 9 ตามหลักการมันต้องเหมือน แต่พอออกมาทำไมมันไม่เหมือนไม่รู้ คงมีตกหล่นระหว่างทางมั้ง จากคุณ : kongking เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 17:13:22

ความคิดเห็นที่ 10 สมัยก่อนถ้าเป็นแผ่นเพลงสากลแผ่นล่ะ 400 ขึ้น ถ้าเปิดกับเครื่องเสียงดีๆแล้วเทียบกัน ชัดเลยว่าเป็นยังไง แต่ที่แนๆแผ่นยังอยู่จนป่านนี้ แต่เราๆคงไม่ฟังขั้นนั้น ก็ขึ้นอยู่กับหลายอย่าง วัสดุอุกรณ์มันก็มีหลายราคา จากคุณ : EDM เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 17:19:33

ความคิดเห็นที่ 11 ต่างกันครับ แต่ไม่มาก ถ้าเพลงที่ไม่เคยฟัง หรือเคยฟังก็ตาม แยกแทบไม่ออก ต้องเพลงที่ฟังบ่อยมากๆ ฟังทุกวัน อาจจะฟังออก ฟังออกหรือไม่ออก ขึ้นกับชุดอีกด้วย ชุดดีๆ แยกรายละเอียดดีๆ บวกกับ การฟังแบบด้านบนถึงจะฟังออก ถ้าเป็นชุดเครื่องเสียงรถ นี่โดยบรรยากาศในการฟัง เสียงรอบข้าง ยากมากๆที่จะฟังออกครับ ฉะนั้น อย่าไปซีเรียส ฟังเพลงให้สนุก ดีกว่าฟังอุปกรณ์จนเครียดนะ จากคุณ : ซาตาน เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 17:22:52

ความคิดเห็นที่ 12 หูผมไม่ค่อยดี หูไม่ดี หรือว่า  หูมันถึงจะดี เอิ๊กๆๆๆ  ไปหล่ะ  ขอโทษด้วยถ้าพูดผิดไป จากคุณ : น้าต่อ เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 17:47:28

ความคิดเห็นที่ 13 สิ่งที่จะทำให้ต่างก็คงขึ้นอยู่กับคุณภาพแผ่นต้นฉบับ แผ่นที่จะ write เครื่อง write ความเร็วในการ write แต่จะให้ฟังแล้วอันนี้ก็อปมาจากแผ่นยี่ห้อไหนผมคงตอบไม่ได้แน่ แต่ที่เห็นชัดๆก็คือแผ่นแท้ทนกว่า จากคุณ : cagiva เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 18:01:51

ความคิดเห็นที่ 14 ที่ฟังแล้วว่าต่าง   สงสัยคงมองเห็นแผ่นก่อนฟัง ลองปิดตาไม่ให้เห็นแผ่นตอนใส่เครื่อง  ดีไม่ดีจะบอกว่าแผ่นไรท์เสียงดีกว่าเอา อันนี้พูดถึงแผ่นที่ rip และ write มาแบบเข้าท่าเข้าทางหน่อยนะ ประเภททำมาแย่ๆแค่เปิดก็กระโดด  คงไม่ต้องยกมา จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 20:16:09

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นตามท่ายยึ่มครับ แต่ว่ามันมีองค์ประกอบอีกตัวหนึ่งครับ คือว่าถ้าต้นฉบับเป็นแผ่นแท้ ตัวโปรแกรมที่ใช้อ่าน มันเอามาได้ครบทุกตัวไหมครับ ขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่ใช้อีกทีหนึ่งครับ ส่วนความเร็วในการเขียนนี้ เอาเป็นว่า ต่ำที่สุดเท่าที่จะเลือกได้ครับ แต่ ณปัจจุปันนี้ ก็ 8 X ครับ เมื่อก่อนผมเขียนที่ 2 กับ 4 แต่รู้สึกว่าเดียวนี้ถ้าเขียนต่ำกว่า 8 แผ่นมันจะเสียครับไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรครับ แต่ถ้าต้นฉบับ เป็น พวก mp3 wma อันนี้เสียไม่ได้เท่าต้นฉบับแน่นอนครับ จากคุณ : CDNew เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 20:54:01

ความคิดเห็นที่ 16 Clone ดีๆ   แยกไม่ออกหรอกครับ.. ยังไงซ๊ะ 1011011101111100010001001    ก็ได้ออกมา เท่ากับ 1011011101111100010001001   เหมือนเดิม ปล. ถ้า Clone ดีๆไม่ทำลวกๆอ่ะ จากคุณ : เครื่องเสียงเทพผมไม่มีปัญญาใช้ (Pickmon) เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 22:51:09

ความคิดเห็นที่ 17 จะก้อบใส่ CD sony PRINCO DVD sony PRINCO Flash drive kingston Apecer Compactflash SDcard MiniSD MicroSD MMC RSMMC ถ้าไฟล์เดียวกัน เสียงออกมาเหมือนกันทุกประการแน่นอน ส่วนเรื่องไรท์ 1X 2X แล้วดีกว่า เมื่อก่อนนู้นสมัย CD มีแค่ 24X เครื่อง CD-RW ออกมาใหม่ ๆ ไรท์ได้แค่ 8X เวลาไรท์แล้วได้บ้างไม่ได้บ้าง เอาไปอ่านบางเครื่องได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถ้าไรท์แค่ 1X หรือ 2X โอกาสแผ่นเสียมีน้อยกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแผ่นและเครื่องด้วยว่าดีแค่ใหน จึงมีความเชื่อกันเรื่อยมาว่าไรท์ต่ำ  speed ต่ำ ๆ แล้วจะดีกว่า ซึ่งมันก็จริง แต่เทคโนโลยีมันเปลี่ยนไปมากแล้ว เครื่องไรท์ก็ดีขึ้น แผ่นก็ดีขึ้น ที่บริษผมไรท์ CD ให้ลูกค้า ใช้ Speed สูงสุดกันตลอด เพราะเสียเวลารอ ไม่เคยเสียสักแผ่น(แผ่น sony) เวลาอ่านไฟล์จาก CD มันมี checksum ความถูกต้องของข้อมูลอยู่ มี buffer ใว้พักข้อมูล เวลาอ่านไฟล์จาก CD แล้ว checksum ไม่ผ่าน มันก็จะวนไปลองอ่านอีกรอบ ระหว่างนั้นก็ยังมีข้อมูลใน buffer เพลงที่ฟังอยู่จึงยังไม่สะดุดครับ แต่ถ้ามันกลับไปวนอ่านหลาย ๆ รอบแล้วยัง  checksum ไม่ผ่าน มันก็อาจจะข้ามไปแล้วเพลงก็จะสะดุด ปล.ขอแขวะหน่อย ถ้าก้อบจากต้นฉบับไปใส่แผ่น CD แล้วคุณภาพมันแย่ลง งั้นเวลาเอาไฟล์ powerpoint ไป Present ลูกค้าคงต้องยกคอมไปทั้งเครื่อง เพราะก้อบใส่ CD แล้วเดี๋ยวภาพสวยน้อยลง จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 22:53:31

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ ถ้าตามหลักการแล้ว เป้นอย่างนั้นครับ แต่เรื่องนี้ใช้กับเสียงเพลงไม่ได้ครับ ถ้าคุณฟังเพลงบ่อยๆ มีหูฟังหรือลำโพงดีๆ มันจะฟ้องเลย ว่าคุณภาพมันต่างกันแน่นอน จากคุณ : XenoType เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 23:28:29

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ^ ถ้ามันต่างกัน หมายความว่า มันอ่านบิตนี้ไม่ออก แล้วพยายามไปอ่าน บิตถัดไปครับผม ข้อมูลดิจิม่อน ไม่มี ๑ ชัด กับ ๑ ไม่ชัดครับ มีแต่ ๐ กับ ๑ มีก็มี ไม่มีก็ คือไม่มีครับผม จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 00:46:00

ความคิดเห็นที่ 20   ใช่ครับ แผ่นอ่าน 0 กับ 1 มาไม่ครบ แต่มันถูไถให้ออกมา เป็นเพลงจนได้ ฟังกันสากๆ hdd ไป flash drive ก็ครบดี แต่ hdd ไป แผ่น ไม่แน่   สารเคลือบแผ่นไม่เหมือนกัน การเขียนแผ่น เหมือนเอา สิ่ว ไป สลักหิน หินเนื้อดีๆ ก็ สลักง่าย เห็นเป็นเลข 1 ชัดเจน แต่หินห่วย ๆสลักแล้ว พออ่านออกเป็นคำ ได้ เฉพาะเนื้อหาสำคัญ จากคุณ : Last Serenade เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 01:16:13

ความคิดเห็นที่ 21   เคยใช้  มือถือทรูเติมเงินปะครับ ซอย แบนวิธ จะแทบ ไม่เหลือ อารม คนพูด mp3 320 kbps  ลองลดเหลือ 8 kbps ดูสิครับ  มันก็ยังเป็นเพลง 8 kbps คงทำได้แต่่่ริงโทนมั้ง แผ่น cop หรือ write แผ่น ถ้าทำไม่ดี มัน loss มันก็ยังพอฟังได้ จากคุณ : Last Serenade เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 01:24:56

ความคิดเห็นที่ 22 แล้วแต่หูของคนครับ ถ้าแยกไม่ออกจะเป็นบุญมากเลยครับบ T..T จากคุณ : HamyLee เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 08:00:16

ความคิดเห็นที่ 23 ต่างกันแน่นอน ด้านเทคนิคผมไม่ทราบ ตามท่านๆ ข้างบน ลองมาก๊อบเองดู ที่แน่ๆ แผ่นที่ซื้อมาก๊อบเองโคตรบรมทน จากคุณ : chem chem เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 08:34:50

ความคิดเห็นที่ 24 ต่างกันแน่นอน   เรื่องราคา จากคุณ : kom2003 เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 09:21:49

ความคิดเห็นที่ 25 CD ที่เป็น audio เมื่อก่อนนู้นอาจจะไช่ เพราะไม่มี buffer อ่านจากแผ่นแล้ว ส่งไปออก D/A เลย แต่ของใหม่ ๆเดี๋ยวนี้มี Buffer ใว้พักข้อมูลก่อน ถ้ามันอ่านผิด มันก็จะวนไปอ่านอีกรอบจนกว่าจะอ่านได้ ถ้าไม่ได้จริง ๆ จึงข้ามไป เสียงก็สะดุด ข้อมูลจึงเหมือนต้นฉบับ 100 % ครับ ลองอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.howstuffworks.com/cd.htm จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 11:12:36

ความคิดเห็นที่ 26 หลายคนยังไม่รู้จักคำว่า lossless ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพูดเรื่อง jitter  เลยยังหลงกับ 0 กับ 1 อยู่ ในระบบ digital ไม่มี 0 สากๆ หรือ 1 สากๆ หรอก มันมีจะมีก็แค่ ไม่รู้ว่าเป็น 0 หรือ 1 ดี ถ้าไม่รู้แล้วเดาผิด  ก็กลายเป็น bit error ถึงตรงนี้ถามหน่อยว่า  เวลามันผิดไป bit นึง  มันเลือกไปผิดเฉพาะ bit ที่มีค่าน้อยๆได้หรือ? ถึงทำให้เสียงพริ้วไม่พริ้วได้ bit error ถ้าเป็นหนัง av นี่  ก็จะเห็นว่าภาพมันล้มเป็นบล็อคๆ ถ้าเป็นเพลงที่เคยเจอ  มันจะสะดุดน้อยสะดุดมาก ประเภทมิติไม่ลอยไม่จม  ยังไม่เคยเจอ ส่วน cd audio จะเอาไปเทียบกับไฟล์ข้อมูล  มันก็ไม่ถูกอีก เพราะเป็นการส่งข้อมูลคนละแบบกัน จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 13:57:48

ความคิดเห็นที่ 27 เห็นด้วยกับคุณ ton99 ครับ 0011 มันจะก๊อบมาเป็น 1100 ได้ไง เพราะฉนั้นถ้าต้นฉบับเป็นตัวเดียวกัน ยังไงก็ไม่ต่างครับ จากคุณ : . (ซาลาเปากรอบ) เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 16:44:34

ความคิดเห็นที่ 28 ต่างกันครับ ถ้าหูถึง จริง ๆ เหมือนกับ น้ำเปล่า ต่างยี่ห้อ ถ้าลิ้นถึง ก็จะบอกว่าต่าง การที่คุณฟังไม่ออก แยกไม่ออก ถือว่าเป็นบุญนะครับ เพราะ จะได้ไม่ต้องเสียตังค์เยอะ กับเรื่องเครื่องเสียง โชคดีสุด ๆ จากคุณ : *PIPPO* เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 17:42:46

ความคิดเห็นที่ 29   ผมว่าในนี้ยังมีความเชื่อผิดๆ อยู่นะครับ ผมกล้าฟันธงเลยว่าการ copy audio cd แผ่นแท้ กับ แผ่นก้อป เสียงเหมือนกันแน่นอน แผ่นแท้ที่เค้าขายๆ กัน มันก็มาจากการ ก้อปปี้ จากแผ่น Master นั่นแหละ ลองคิดดีๆ ซิครับ ไม่อย่างนั้นแผ่นแท้คนละแผ่น เสียงจะไม่เหมือนกันหรือครับ จากคุณ : ATP เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 18:17:29 A:85.225.38.172 X: TicketID:108591

ความคิดเห็นที่ 30 ผมแยกไม่ออก หูผมคงจะไม่ดี กำลังพยายามให้หูผมดีอย่างเดิม จากคุณ : เสือปลาขี้เมา เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 18:49:16

ความคิดเห็นที่ 31 cd กับ น้ำ นี่ก็คนละเรื่องกันอีก น้ำนี่เปิดจากก๊อกเดียวกันแต่ต่างเวลากัน  คุณสมบัติกับสารประกอบมันยังไม่เหมือนกันเลย พวกน้ำขวดนี่ยิ่งแล้วใหญ่  บางที่ใช้น้ำประปาเอามากรอง บางที่ก็สูบน้ำบาดาลเอามากรองเอง   บ่อบาดาลแต่ละบ่อน้ำก็ไม่เหมือนกันอีก ถ้าเหมือนกันได้  อันนี้คือฟลุ๊คครับ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 22:33:21

ความคิดเห็นที่ 32   ไม่รู้อะครับ แต่ถ้าฟังกันแผ่นต่อแผ่น แผ่นแท้นอก เทียบกันเพลงเดียวกัน แต่ไรท์มาจากแผ่นนั้น ยังไงก็ฟังออกครับ สงสัยหูมันจะเพี้ยนมั้งครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 03:16:55

ความคิดเห็นที่ 33   ผมเคยลองฟัง ขนาด แผ่นรุ่นเดียวกัน ที่เจอสองแผ่นเสียงยังไม่เหมือนกันเลย ต่างกันพอฟังออกครับ   ตย ที่ฟังมา patcoil ชุด just ahead ปี 93 บ่ จำบ่ได๋ สองแผ่น เพลงเดียวกันเสียงพี่แกยังต่างกันเลย   สงสัยหูเพี้ยนครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 03:22:24

ความคิดเห็นที่ 34   พอดีผมอ่านเจอ ข้อความของตา Ethan Winer แกเขียนบทความลง นิตยสารเครื่องเสียงอยู่พอสมควร มีบางบทความเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เรา เถียงกันอยู่ด้วยครับ แต่มีข้อความนึงแกเขียนไว้ ผมเลยยกมาให้อ่านกัน Everyone has had the experience of playing music on their home system and loving the sound. Then a few days later the same music on the same system sounds terrible. Or at least nowhere near as good. If you invite a friend over to hear how great your speakers are, that makes it even more likely you'll think the sound is not so good. This proves that hearing is highly variable and unreliable. Versus a distortion analyzer that gives the same numbers every time. ประมาณว่า หูเราเอง เนี่ยแหละตัวดี ที่ไม่น่าเชื่อถือ ผมเสริมนิดนึงนะครับว่า เป็นกรณีไป เช่นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ เราควรยึดถือ เครื่องมือดีกว่า แต่บางเรื่องหูเราก็มีความสามารถเพียงพอที่จะแยกแยะได้ครับ จากคุณ : ATP เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 04:37:42 A:85.225.38.172 X: TicketID:108591

ความคิดเห็นที่ 35 ต่างกันรึเปล่าไม่รู้ แต่ทำไมแผ่นเปล่าถึงมีหลายราคา มันต่างกันตรงไหนอ่ะครับ จากคุณ : intercom เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 20:52:28

ความคิดเห็นที่ 36 ฟังไม่ออกกรานอ่าดีแล้น  ฟังออกกรานแล้นจ้าเสียเงินมากมาย จากคุณ : สายล่อฟ้า (DonJuan) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 22:06:13

ความคิดเห็นที่ 37 หูไม่ได้เพี้ยนหรอกครับ แต่จิตใจคนมันเพี้ยนไปเอง เพราะตาเห็นก่อนแล้วว่า  แผ่นไหนเป็นแผ่นไหน อันนี้มันเป็นเรื่องทางจิตวิทยา ส่วนแผ่นแท้ ต่างแหล่งต่าง lot เสียงไม่เหมือนกัน  อันนี้คือเรื่องปกติครับ เพราะการมิกซ์เสียงมันไม่เหมือนกัน แผ่น EU JP TH สามแหล่งนี้จะมิกซ์เสียงมาคนละสไตล์กันเลย ส่วนพวกแผ่นเก่าที่เอามาทำแผ่นทอง  อันนี้มันอยู่ที่ขั้นตอนการ remaster ครับ ส่วนแผ่นเปล่าที่มีหลายราคา  มันก็ขึ้นกับวัตถุดิบ เทคโนโลยี คุณภาพ และยี่ห้อ ของแผ่นนั้นๆ แผ่นถูกๆอย่าง princo พวกนี้เก็บไว้ 3 ปี ก็เปิดไม่ได้แล้ว แต่แผ่นที่ดีหน่อย  ผมเก็บไว้ 10 ปี แล้ว ก็ยังอยู่ดีอยู่ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 22:10:50

ความคิดเห็นที่ 38 ต่างแน่นอนครับ ผมไล่หาวิธีการที่จะทำให้ write cd ออกมาให้เสียงเหมือนแผ่นต้นฉบับมานานมากแล้ว น่าจะร่วมๆ 15 ปีแล้วได้แล้วล่ะครับ ตั้งแต่ผมมีเครื่อง Write CD เครื่องแรก เมื่อประมาณ 15 ปีมาแล้วนั้น สมัยนั้นแผ่นเปล่าแผ่นละ 500 บาทครับ write ได้เร็วสุด 2x แต่สมัยนั้นผมก็ยังไม่ได้เล่นเครื่องเสียงจริงจังอะไร บอกตรงๆ ฟังไม่ออกครับ แต่ปัญหาคือ แผ่นที่ write มักจะไม่ค่อยเล่นกับเครื่องเล่น CD สักเท่าไหร่ จะหาเครื่องที่เล่นได้น้อย แต่ผ่านมาสักระยะ ได้เล่นเครื่องเสียงจริงๆจังๆ เสียงมันต่างกันจริงๆ ผมก็หาวิธีที่จะทำให้แผ่น copy เสียงเหมือนแผ่นแท้ หามาจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังทำไม่ได้ครับ แค่ได้วิธีที่ดีที่สุดที่เสียงใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด จนอยู่ในระดับที่ผมพอใจในระดับหนึ่งเท่านั้น เครื่อง write และแผ่นเปล่า คือหัวใจหลักของความต่างตรงนี้ครับ ปัจจุบันผมต้องใช้เครื่อง write แผ่นแบบที่ในสตูดิโอใช้ ที่เค้าเอาไว้ write แผ่น master เพื่อไปปั้มแผ่นขายนั่นแหละครับ แล้วแผ่นเปล่าที่ผมว่าดีที่สุด แต่เลิกผลิตไปแล้ว นั่นคือแผ่น apogee สีทองครับ แผ่นละ 140 บาท แต่ปัจจุบันใช้แผ่น Mitsubishi Phono-R คุณภาพดีครับ แล้วเครื่องพวกนี้จะเขียนที่ 1x ครับ คุณภาพโอเคครับ ดีใช้ได้เลย แต่ยังไงก็ยังไม่เหมือนแผ่นแท้ครับ เครื่องเสียงที่จะใช้ฟังว่าต่างหรือเปล่า ผมคิดว่าต้องคุณภาพสูงพอครับ สำหรับคนที่บอกว่าเสียงเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้ว่าคุณทดสอบอย่างไรกับเครื่องเสียงชุดไหน แต่ถ้าลองง่ายๆ ลองเอาแผ่น princo แล้วเขียนให้เร็วที่สุด กับแผ่น Mitsubishi Phono-R เขียนที่ 8x ก็พอ (ถ้าเขียนได้ หรือเครื่องใหม่ๆที่ไม่ยอมให้เขียนช้าๆ ก็เขียน 16x ก็ได้) แล้วเอามาลองฟังเครื่องเสียงดีๆหน่อย แต่ขอร้องว่าเอาแผ่นต้นฉบับที่คุณภาพดีๆหน่อยนะครับ ของพวก Sheffield Labs ก็ดี ไม่ใช่เอาเพลงแบบทึ่คุณภาพไม่ดีมาทดสอบนะครับ แล้วลองฟังดูว่าต่างหรือเปล่า ยังไงก็ต่างแน่ๆ ถ้าเครื่องเสียงดีพอ ถึงหูไม่ดีก็ต้องฟังออกว่าต่าง แต่ไม่ต้องถึงขนาดบอกว่าเสียงไหนดีกว่ากัน เพราะถ้าฟังไม่เป็น อาจจะฟังเสียงแหลมคมๆสากๆว่าชัดกว่าก็เป็นได้ ดังนั้นบอกแค่ว่าต่างหรือไม่ต่างเป็นพอ แล้วหลังจากที่ฟังเทียบแล้ว ให้เอาแผ่นทั้ง 2 แผ่น มาอ่านกลับเข้ามาที่ computer แล้วลองเปรียบเทียบไฟล์ที่ได้จากทั้งสองแผ่น แล้วผลที่ได้คือ ไฟล์ทั้งสองไฟล์ไม่มีความแตกต่าง!! จะเป็นไปได้อย่างไร ไฟล์ไม่ต่าง แต่ทำไมเสียงต่าง นี่แหละครับ ก็เลยทำให้แยกเป็น 2 ฝ่ายมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ผมให้ข้อสังเกตุ 1 อย่าง ผมไม่เคยเจอคนที่บอกว่าเสียงต่าง (จากการฟังเทียบด้วยตัวเอง ไม่ใช่จากเวปหรือหนังสือ) แล้ววันหนึ่งกลับมาบอกว่าเสียงไม่ต่างกัน อย่างนี้ไม่เคยเจอครับ แต่ผมเคยเจอบ่อยๆ คนที่บอกว่าเสียงไม่ต่าง แล้วเปลี่ยนใจมาบอกว่าต่าง ผมเจอเยอะครับ สำหรับคนที่บอกว่าไม่ต่าง ถ้าวันหนึ่งคุณได้ค้นพบ แล้วคุณจะเปลี่ยนฝั่งครับ เพียงแต่วันนั้นยังมาไม่ถึงตัวคุณเท่านั้นเอง ณ วันนี้ ผมคงไม่โต้แย้งอะไรกับพวกคุณมากกว่านี้ครับ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรครับ ของอย่างนี้มันต้องเจอกับตัวเองครับ จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 22:21:04

ความคิดเห็นที่ 39   ฟังไม่ออกถือว่าดีครับ ไม่ต้องเสียตังค์ สบายใจอีกครับ   ไอ้คนที่ฟังออกก็ถือเป็นกรรมเวรไปแล้วกันครับ(ทุกวันนี้ค่าแผ่นใล่ค่าเครื่องเสียงไปทุกขณะแล้วครับ คุณที่ท่าน) แต่ผมคิดว่า ถ้าเครื่องเสียงลงตัวแล้ว ก้ฟังได้ทุกแผ่นหละครับ ไม่ว่าแท้หรือก๊อป made in printed in แต่พอฟังแผ่นแท้แล้ว มันให้อะไรมากกว่าจริง ๆ ครับ (พวกมีเวรกรรมครับ+_+!!) จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 00:22:25

ความคิดเห็นที่ 40   อืมเรียนคุณ ton ด้วยความเคารพ ลืมบอกว่าแผ่นแท้ที่ฟังเทียบว่าต่างกัน patcoil justahead บนแผ่นเหมือนกันแป๊ะ 1993 มั้ง made in usa แผ่นวงแหวน ตราดอกไม้ เขฟฟิล มันพิมพ์มาคนละทีเป่าไม่แน่ใจเหมือนกันทุกอย่างทั้งปกแผ่น ซื้อร้านเดียวกันอีก ซื้อหร้อมกันมันสองแผ่นเลยครับ ของผมแผ่นหนึ่ง ของคนรู้จักที่เล่นเครื่องเสียงด้วยกันแผ่นหนึ่ง ซื้อเพราะชอบฝีไม้ลายมือของคนเล่นดนตรีและแนวเพลง วงนี้ครับ งง เสียงไม่เหมือนกัน แผ่นหนึ่งเสียงฉ่ำกว่า อีกแผ่นแห้งกว่าเล็กน้อย ฟังในเครื่องเสียงชุดเดียวกัน เวลาต่อเนื่องกัน คนฟังก็มีหลายคนก็บอกอย่างนั้น (สงสัยโดนสะกดจิตหมู่ หรือ จิตใจมันเพี้ยนไปแบบที่คุณ ton ว่าก็เป็นได้ครับ) คุณ ton มีทรรศนะคติที่ดีในการเทียบแผ่น ช่วยอธิบายให้ผมได้เข้าใจด้วยครับ เผื่อจะได้มีมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับแผ่น ขอบคุณคุณ ton ล่วงหน้าครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 00:38:53

ความคิดเห็นที่ 41 เอาแผ่น pistec สีทอง กับ แผ่น Mitsubishi Phono-R มาไรท์ด้วยเครื่องเดียวกัน อัลบั้มเดียวกัน ให้เพื่อนฟัง ทุกคนบอกตรงกันว่า Mitsubishi Phono-R มีเนื้อกว่า เบสดีกว่า ส่วนอีกแผ่น ใสกว่า ไม่ต้องหูทองก็ฟังออก งงจริง ๆ จากคุณ : kongking เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 15:05:18

ความคิดเห็นที่ 42 เรื่องจิตวิทยาหมู่อันนี้มีสอนกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะครับ  ไม่ใช่พูดกันเล่นๆ ถ้าเป็นคนหูดี ชนิดฟังแผ่นแท้ lot เดียวกันแล้วได้เสียงต่างกัน แบบนี้ผมว่า  เวลาแผ่นใหม่ๆออกมาทีนึง  คงต้องซื้อมาทีละโหล แล้วก็มานั่งคัดฟังทีและแผ่น  ได้แผ่นดีสุดก็เก็บไว้  แผนไหนไม่ดีก็ทิ้งไป ส่วนตัวผมจะซื้อแผ่นแท้มา  แล้วใช้ EAC rip เอาไว้ แล้วค่อยมา write อีกที แผ่นแท้ผมเก็บเข้าตู้ไว้จะได้ไม่เป็นรอย  เวลาฟังก็ใช้แผ่น write แรกๆเลยก็รู้สึกว่าแผ่น write เสียงมันเปิดสู้แผ่นจริงไม่ได้ เลยสงสัยตัวเอง  เลยให้แฟนมาใส่แผ่นให้โดยไม่ต้องบอกว่าแผ่นไหนเป็นอะไร ทีนี้ ผมแยกไม่ออกครับ  แต่แฟนผมกลับบอกว่าแผ่นแท้เสียงทุ่มกว่า เวลาจะทดสอบเรื่องเสียง  ถ้าให้ชัวร์ที่สุดคือ AB Blind test ครับ ส่วนเรื่อง cd อันนี้คนเขาเคยเถียงกันมานานมากแล้ว โปรแกรมเช็คก็มี  เช็คแล้วมันก็ไม่ต่าง  แต่บางคนบอกว่าต่าง  ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 11:32:12 จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 11:30:50

ความคิดเห็นที่ 43 ถามหน่อยว่า ที่ถกๆกันอยู่นี่  ไม่มีใครจะพูดเรื่อง jetter บ้างเลยหรอ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 11:32:55

ความคิดเห็นที่ 44   วันนั้นยังไม่มาถึงบางคน พอวันนั้นมาถึง คือ กรรมตามทัน ทะลึ่งฟังออก   หาความสุขยากขึ้น - ทีี่ผมเจอ เรื่องคุณภาพแผ่น เป็น เรื่องน้ำหนักเบส ถ้าแย่ยิ่งนั้น มักเจอประเภท ฟังแล้ว แหลมช่วงสูงกว่า 1-2 k มันจำแนกได้ ไม่ดีเท่าต้นฉบับ  ส่วนเสียงสูงที่ เกิน 10 K ออกปลายสากไปเลย (ชอช้าง ซ โซ่) แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 11:52:08 แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 11:42:36 จากคุณ : Last Serenade เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 11:36:22

ความคิดเห็นที่ 45   คิดอีก อีกอย่างนึงคือ ยกเลิกแผ่น CD ไปเลย ขายเพลงเป็น flash memory กันเลยได้ไหม จากคุณ : Last Serenade เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 11:56:23

ความคิดเห็นที่ 46   ขอบตุณคุณ ton มากเลยครับ อ่านแล้วได้ใจความว่าเสียงมันต่าง ใช่ไหมครับ ผมฟังแล้วก็ว่าเป็นอย่างนั้นครับ หูคงไม่ได้ดีเด้อะไรมากมายหรอกครับ  เป็นเพราะวันหนึ่ง วันหนึ่ง ผมอยู่กับเครื่องเสียง คร่าว ๆ น่าจะ สิบ ชม ต่อวัน ฟังทั้งเครื่องเสียงบ้านและรภครับ น่าจะเป็นอย่างนี้มา สิบ ปี แล้วครับ แต่ผมก็มีความสุขนะครับที่ได้ฟังเพลงตลอด   เรื่องพวกแผ่น ก็ไม่ได้ ซีเรียสมากเท่าไหร่ บางทียังเอาแผ่นจีนมาเป็นเลยครับ เพราะเพลงบางเพลงหาแผ่นแท้ไม่ได้ อย่าง arron ปี 97 ผมอยากได้แผ่น made in usa หาไม่ได้ ต้องฟังแผ่นปั้ม ออสเตรเรียมาฟัง เพลงไทยก็ฟังหมดครับ รุร่า ก็ชอบฟังเพลินดีครับ เรื่องระบบการอัดก็ไม่ค่อยรู้เรื่องครับ ได้แต่ชอบฟังเพลงจริง ๆครับ อันไหนว่าดีก็ซื้อมาฟังครับ ขอบคุณคุณ ton สำหรับข้อมูลมากครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 12:29:57

ความคิดเห็นที่ 47 เวลาทดสอบก็เป็น Blind Test อยู่แล้วนะครับ ต่างก็คือต่าง จะอ้างแต่หลักวิทยาศาสตร์ไปก็เท่านั้น ในเมื่อฟังจริงแล้วมันต่างนี่ครับ แต่มีข้อสังเกตุเพิ่มเติม ระบบที่เล่นก็มีส่วนสำคัญครับ อย่างถ้าเล่นกับคอมพิวเตอร์ บอกได้เลยว่าไม่ต่าง เพราะระบบการอ่านแผ่นไม่เหมือนกับเครื่องเล่นซีดีทั่วไป เพราะคอมพิวเตอร์มีระบบตรวจสอบความผิดพลาด แต่เครื่องเล่นซีดีทั่วไปไม่มี ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เรียกว่า jitter ซึ่งจากการคาดเดาเอาเอง คิดว่าแผ่นแต่ละแผ่นที่เสียงไม่เหมือนกัน เกิดจากการที่เครื่องเล่นอ่านแผ่นแล้วเกิดการ error (Jitter) แต่ด้วยระบบการอ่านแผ่นของเครื่องเล่นซีดีทั่วไปเป็นแบบ Realtime คือถ้า error ก็ปล่อยผ่านไป เลยเป็นผลทำให้เสียงไม่เหมือนกันเพราะเกิดการ error นั่นเอง แผ่นห่วยก็ error มาก เพราะอ่านยาก หรือถ้าเขียนเร็วๆก็อาจจะทำให้ร่องที่แผ่นมันบาง อ่านยากกว่าเขียนช้าๆ นั่นก็เลยน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดเสียงที่ต่างกัน แต่สำหรับคอมพิวเตอร์ไม่เหมือนกัน เพราะอ่านแล้ว error ก็จะอ่านใหม่ ทำให้ข้อมูลที่อ่านได้ไม่เกิดการผิดพลาด กรณีนี้เสียงจะไม่มีความต่างครับ สำหรับเครื่องเล่นแผ่นซีดีบางเครื่อง อาจจะมีหัวอ่านที่ดีมาก นั่นก็อาจจะเป็นผลทำให้ความต่างมีน้อยลง ฟังยากขึ้น เพราะอ่านแล้วเกิด error น้อย หรือถ้าเครื่องไหนสามารถทำระบบ error check ตอนอ่านแผ่นได้ ก็น่าจะมีผลทำให้ไม่มีความต่างก็ได้นะครับ แต่บอกตรงๆว่าความต่างที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก ไม่มากถึงขนาดทำให้อารมณ์เพลงหายไปสักเท่าไหร่หรอกครับ ถ้าไม่คิดมาก ไม่จ้องจับผิด ก็ยังฟังเพลงเพราะอยู่ครับ ทุกวันนี้ผมก็รวมเพลงเอง write แผ่นเอง เอาแผ่นจริงเก็บ แล้วเอาแผ่น write ฟังนี่แหละครับ ก็มีความสุขดีครับ แต่ถ้าถึงเวลาที่ผมจะซื้ออุปกรณ์ จะลองอุปกรณ์ ผมก็จะต้องใช้แผ่นแท้ เพราะว่ามันให้อะไรที่มากกว่าจริงๆ และฟังแบบจับผิดกันไปเลยครับ *** แผ่นเพลง เล่นกับเครื่องเล่นซีดี อ่านแบบ realtime ผิดคือผิด ดังนั้นจะเอาไปเทียบกับคอมพิวเตอร์ที่มีระบบ error checking ไม่ได้นะครับ *** จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 12:45:21

ความคิดเห็นที่ 48 ไม่เหมือนครับ คนที่บอกว่าเหมือนคือสถานการณ์รอบตัวนั้นไม่อำนวยให้แยกแยะได้ ก็เท่านั้นเอง คุณยืนอยู่ในเพาเวอร์บาย เลือกตู้เย็นอยู่ มองจากไกลๆ เห็นทีวีซัมซุงซีรีย์ 4, 5, 6 มันก็ชัดเหมือนๆกันแหละ แต่หากได้มาดูใกล้ๆแล้ว ก็จะเห็นชััดเจนว่าซีรีย์ 6ชัดกว่า 5นะ 5ชัดกว่า 4 นะ ให้ใครดูก็ดูออก คนที่มาดูทีวีใกล้ๆ ก็เหมือนคนที่มีระบบที่พร้อมทดสอบว่า CD แท้ กับก๊อปมา นั้นต่างกัน เป็นใครมาเจอก็แยกแยะได้ คนที่ยืนอยู่โซนตู้เย็น มองมาที่ทีวี ก็คือคนที่ระบบไม่ได้พร้อมในการทดสอบเปรียบเทียบนั้น เป็นใครก็ต้องบอกว่าเหมือนกัน หากผมยืนอยู่ตรงนั้นก็บอกว่าเหมือนกัน ใครอยากฟันธงตรงไหน อยากให้มองตัวเองก่อนครับว่ายืนอยู่ที่จุดไหน... บางทีผมก็เดินชิวสบายๆในโซนตู้เย็น แต่บางทีก็มาดู(หรือมีคนลากมาให้ดู)ชัดๆหน้าทีวี หากไม่ซีเรียสกันมากไป หาเพลงเพราะๆฟังกันจะดีกว่านะ จากคุณ : คนกรุง (คนกรุง) เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 14:28:00

ความคิดเห็นที่ 49   ใช่ครับ เรื่องที่ว่า CD ที่เป็น Format Audio ไม่มีข้อมูลส่วนของ Error Coding เลยทำให้บางครั้งมีการอ่านข้อมูลผิดพลาดได้ แต่ที่เรากำลังถกกันอยู่ เป็นเรื่องของ การเปรียบเทียบระหว่าง CD แผ่นแท้ กับ CD copy ซึ่งถ้าพูดกันตามจริง มันก็มีตัว แปรหลายๆ อย่างเกี่ยวข้อง ทั้ง คุณภาพ ของหัวอ่านแผ่นแท้ คุณภาพของแผ่น คุณภาพของหัว Burn แผ่น Copy โดยถ้าจะเอากันแบบสมเหตุสมผลหน่อย ก็ต้องอ้างกันแบบที่ว่า อุปกรณ์ที่ใช้อ้างอิงเป็นระดับที่ดีหน่อย โดยความผิดพลาดในการคัดลอกข้อมูลจากแผ่นแท้ ไปแผ่นก๊อป ก็จะมีเ้จ้าตัว ที่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน ที่เรียกว่า Jitter ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการ Synchronization แต่ผมเคยอ่านมาว่า เจ้า Jitter เนี่ยมันมีผลน้อยมากๆ คือ ประมาณว่า ต่ำกว่า Noise Floor ถึง 70 dB เรียกได้ว่า ใช้เครื่องมือวัด ยังแทบ มองไม่เห็นความแตกต่าง เพราะฉะนั้นผมถึงว่าถ้าใช้หูคน เป็นตัววัดผล ผมไม่ เชื่อถือครับ แต่ผมเชื่อถือผลที่ได้จากเครื่องมือวัด จากคุณ : ATP เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 17:34:43 A:85.225.39.68 X: TicketID:108591

ความคิดเห็นที่ 50 - แผ่นต้นฉบับ - แผ่น copy ยี่ห้อธรรมดา เขียนเร็วๆ - แผ่น copy ยี่ห้อดีๆ เขียนช้าๆ ทั้งสามแผ่น เมื่ออ่านเป็นข้อมูลในคอมพิวเตอร์เทียบกัน ผลคือ ไม่มีความแตกต่างครับ ดังนั้นจะมาบอกว่า copy แล้วเกิดการคลาดเคลื่อนคงไม่ใช่ล่ะครับ ถ้าจะว่าไปแล้ว ตามหลักการ ทั้งสามแผ่นจะต้องเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างครับ แต่นั่นก็แค่หลักการ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ครับ เวลาเอาไปเล่นกับเครื่องเสียงระดับอ้างอิง (ที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์) จะให้ blind test กันกี่รอบ ผลก็คือแตกต่าง หูไม่ค่อยดีก็ยังฟังออกครับ ถ้าฟังไม่ออกแสดงว่าหูหนวกล่ะมั้งครับ หรือไม่ก็เครื่องเสียงไม่ถึงจุดที่พร้อมจะทดสอบ ทำไมถึงต่าง ผมก็คิดว่าเป็นอย่างที่ ค.ห.47 ที่ผมบอกไว้นั่นแหละครับ จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 21:25:11

ความคิดเห็นที่ 51   มีมีข้อมูลมากตัวเลขมากก็ดีนะครับ จะได้อ้างอิงได้ แต่ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครับว่าเครื่องเสียงตัวแรก ตัวเลขดีกว่ากันทุกอย่าง เทียบกับอีกตัว แต่ปรากฏว่าเวลาฟังกลับสู้ตัวที มีข้อมูลค่าไม่เนียบเท่าตัวแรก ได้เลย  และก็มีให้เห็นบ่อย ครับว่าตัวที่ข้อมูลไม่เป๊ะ กลับฟังได้ไพเราะกว่า ตัวแรก   คือมีข้อมูลมาแบบดี ๆ ก็ดีครับ  แต่ ตัวที่มีข้อมูลดีๆแบบเป๊ะ ๆ ไม่ได้บ่งบอกว่าตัวนั้นเสียงดีครับ เพราะการรับฟังดนตรี เราไม่ได้รับฟังว่าถูกต้อง เป๊ะ แล้วจะบ่งบอกว่าเสียงไพเราะ มันยังมีอีกหลายแฟคเตอร์ครับ ที่จะทำให้เสียงไพเราะ ดนตรีไม่ใช้ความถูกต้องเที่ยงตรงอย่างเดียวครับ มันยังมีอย่างอื่นด้วยครับ เช่นความนุ่มนวล น้ำเสียง เป็นตันครับ นึกถึงแอมป์ สมัยเก่า ๆ เครื่องเสียงสมัยเก่า ที่ไม่มีค่าเครื่องวัด คือทำมาก็ฟังด้วยหู ใช้ซีแบบ เก่า ๆ วงจรแบบง่าย ๆ เสียงงี้กลับดีมากครับ จะเห็นได้จาก คนนำแอมป์เก่า ๆ มาทำให้สมบูรณ์แล้วใช้ก็มีอยู่มากครับ ครือออยากจะบอกว่า การฟังเพลง ฟังดนตรีมันไม่ใช่ฟังกันแบบ ถูกต้องเป๊ะ ตรงไปตรงมา มันยังมีอีกหลายส่วนประกอบครับ ความถูกต้องเที่ยงตรง ความชัดเจนมันก็เป็นแค่ แฟคเตอร์เดียวในเครื่องเสียงเท่านั้นเองครับ นอกเรื่องมาซะไกล ต้องขออภัยด้วยครับ แค่อยากให้เป็นข้อคิดครับ  เป็นความคิดเห็นส่วนตัวด้วยครับ อาจไม่ถูกต้อง ร้อย เปอร์เซ็นต์ครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 21:58:52

ความคิดเห็นที่ 52 ถ้าไม่พูดตามหลักวิทยาศาสตร์  คงต้องพูดตามหลักไสยศาสตร์แล้วมั้งครับ คุยไปคุยมา ตอนนี้จะกลายเป็นว่ามีคนอยู่สองกลุ่ม กลุ่มนึงหูหนวก  อีกกลุ่มนึงจิตหลอน //// ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เรียกว่า jitter ซึ่งจากการคาดเดาเอาเอง คิดว่าแผ่นแต่ละแผ่นที่เสียงไม่เหมือนกัน เกิดจากการที่เครื่องเล่นอ่านแผ่นแล้วเกิดการ error (Jitter) แต่ด้วยระบบการอ่านแผ่นของเครื่องเล่นซีดีทั่วไปเป็นแบบ Realtime คือถ้า error ก็ปล่อยผ่านไป เลยเป็นผลทำให้เสียงไม่เหมือนกันเพราะเกิดการ error นั่นเอง //// ผมว่าคุณเข้าใจ jitter ผิดไปไกลแล้วละครับ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 21:59:22

ความคิดเห็นที่ 53 อีกหน่อยจะมีพวก Digital Media อื่นๆมาใช้แทนพวกแผ่น CD DVD สมมติถ้าเก็บไฟล์เพลงไว้ใน HDD แล้วส่งไปให้ DAC ถอด ผมไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีใครบอกว่า copy รอบแรกกับรอบสองแล้วเสียงจะต่างกันอีกหรือเปล่า เรื่อง cd-r นี่น่าจะเกิน 5 ปีแล้วมั้งครับ เคยมีคน check bit เทียบแผ่นต่อแผ่นแล้ว ผลที่ได้มันก็น่าจะหมดข้อกังขาไปแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไปยกเรื่อง jitter กันขึ้นมาอีก เมื่อไม่นานมานี้ผมอ่าน paper ไปเจอเรื่อง jitter เข้า เขาทดลองโดยสร้าง jitter ขึ้นมาเลย ผลสรุปคือ ระดับชาวบ้าน หรือ ระดับหูทอง ก็แยกในระดับที่เกิดขึ้นจริงไม่ได้ จริงอยู่ว่าเรื่องเครื่องเสียง  มันไม่ใช่เรื่องความถูกต้อง หลายๆเรื่องมันอยู่ที่ความชอบของคน เครื่องดนตรีหลายๆชิ้น  เสียงที่บนทึกลงแผ่น  มันก็ไม่ใช่เสียงจริงๆ มันผ่านการดัดแปลงบิดเบือนมาแล้ว   และที่ทำแบบนี้ก็เพราะความชอบของคน แต่ในส่วนของโลก digital ก่อนส่งไป DAC มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ มันมี 0 กับ 1  bit error และ jitter ตัว jitter ที่คุยๆนี่จะตัดทิ้งไปเลยก็ยังได้ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 22:25:51

ความคิดเห็นที่ 54 แล้วคุณ Ton99 จะให้เรียกการอ่านแผ่น Error ว่าอะไรหรือครับ? แล้วคุณเข้าใจคำว่า Jitter กับสัญญานนาฬิกาลึกซึ้งแค่ไหนหรือครับ? ผมขอแค่คำตอบง่ายๆว่าจะให้เรียกการอ่านแผ่น Error ว่าอะไรก็พอ แล้วผมจะมาตอบหลังจากคุณตอบนะครับ ผมรออยู่นะ จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 22:30:40

ความคิดเห็นที่ 55 เรื่องการ copy ไฟล์ ใน HDD จะกี่รอบก็ยังเหมือนเดิม ไม่แตกต่างครับ แต่ประเด็นที่พูดกันอยู่คือเรื่องการอ่านแผ่น CD เพลง จากเครื่องเล่น CD นะครับ ส่วนเรื่องอนาคต ถ้าสามารถเล่นเพลงจากไฟล์ wave โดยเล่นจาก HDD หรือ Media อื่นๆก็ตาม ถ้าทำให้ดีแล้ว ส่วนตัวผมคิดว่าเสียงอาจจะดีกว่าการเล่นจากแผ่น CD ด้วยซ้ำไป เพราะไม่มีการ Error จากการอ่านแผ่นครับ ถ้าเป็นกรณีนี้ จะ copy กี่รอบ เสียงก็น่าจะเหมือนเดิมครับ ไม่แตกต่าง จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 22:35:55

ความคิดเห็นที่ 56 ต้องบอกก่อนนะครับ ว่าเหตูผลทั้งหมดเกิดจากการคาดเดาเอา ตามที่ผมอธิบายไว้แล้ว ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าม้นจะต้องถูกนะครับ จริงๆอาจจะเกิดจากอย่างอื่นก็ได้ เรื่องนี้ผมว่าคุยกันยาวก็ไม่จบครับ เพราะจะหาเหตุผลมาอธิบายจริงๆมันไม่มี ก็มีแต่การคาดเดากันไปต่างๆนาๆครับ จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 23:26:27

ความคิดเห็นที่ 57 การอ่านแผ่นแล้วเกิด Error มีได้หลายแบบ อย่างแรกเรียกว่า Error ที่เกิดจาก Error rate (แล้วแต่เครื่องว่ามีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน) อย่างที่สอง Error ที่เกิดจากสัญญานนาฬิกาที่เรียกว่า Jitter อุปกรณ์ digital ทุกชนิดจะต้องมีตัวสัญญานนาฬิกา ซึ่งคุณภาพของเสียงจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับสัญญานนาฬิกาเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้ามัน Sync กันดีก็จะเกิด Error ต่ำ หรือเรียกว่า Jitter ต่ำ ก็จะมีผลทำให้เสียงดีกว่า Jitter สูงๆ ตามหลักการ การอ่านซีดีคุณภาพดีหรือห่วย ไม่ควรมีผลต่อสัญญานนาฬิกาใดๆ จริงๆซีดีคุณภาพห่วย น่าจะมีผลต่อการ Error แบบ Error rate มากกว่า แต่ผมคิดว่า Error ลักษณะนี้ น่าจะมีผลเป็นเสียงไม่พึงประสงค์มากกว่าคุณภาพเสียงที่แย่ลง แต่เสียงที่แย่ลงอาจจะเป็นผลจากสัญญานนาฬิกาหรือเปล่า ที่ผมอธิบายมานี้ เพื่อบอกที่มาว่าทำไมผมถึงคิดอย่างนั้น (ตาม คห 47) ซึ่งผมขอบอกไว้ก่อนว่าทั้งหมดไม่ได้อิงตามหลักการอะไร แต่เกิดจากการคาดเดาล้วนๆ ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ครับ เพราะผมก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอธิบายเหมือนกัน ** ผมคงไม่มาตอบอีกแล้วนะครับ เพราะผมอาจจะเหนื่อยเปล่าๆ เพราะคนที่ไม่เชื่อก็คงไม่เชื่ออยู่อย่างนั้น นอกซะจากจะได้เจอกับตัวเองเสียก่อน คงคล้ายๆเรื่อง ผี วิญญาน ที่หลายๆคนไม่เชื่อ นอกจากจะได้เจอกับตัวเองซะก่อนครับ ** จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 23:44:42

ความคิดเห็นที่ 58   คุณ ton เก่งคนเดียวแล้วกันครับ ผมว่าแฟนคุณ ton ยังฟังออกเลยครับ จาก คห 42 ถ้ากลุ่มหนึ่งเป็นพวกจิตหลอน อีกกลุ่มเป็นพวกหูหนวก นั้นอีกกลุ่มก็เป็นคนหลงตัวเอง นึกว่าตัวเองเก่งแล้วนะครับ ความคิดของตัวเองถูกอยู่คนเดียวเหรอครับ (จะบ้าไปแล้วแคร๊บบบ) ขอปรบมือให้ดัง ๆ เลยละกันครับ ถ้ามีเหรียญ กับโล่จะเอาไปให้เลยครับ ถ้าไม่มีการรับฟังความคิดเห็นคนอื่น แล้ว คิดว่าความคิดตัวเองดี ถูกแน่อยู่คนเดียว ก็ขอให้อยู่ในกะลา ใบเล็ก ๆ ต่อไปนะครับ ลืมบอกครับ เพลงมันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ เป็นสื่อทางอารมณ์มากกว่า จะเอาอะไรวัดดีครับ   ใสยศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ หรือ ศิลปศาสตร์ดีครับ ดีแต่เที่ยวว่าคนอื่น มันไม่ดีนะครับ ต้องหัดดูตัวเองบ้างนะครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 01:41:07

ความคิดเห็นที่ 59   เข้ามาอีกที เป็นอย่างนี้เสียแล้ว จริงๆ การไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ ถ้าเอาเหตุผล พร้อมข้อมูลมายืนยันว่า เสียงต่างกันจริงผม ก็ยินดีจะเปลี่ยนความคิด ครับ เพราะผมก็ไม่อยากเชื่ออะไรผิดๆ เหมือนกัน แต่จากความรู้ที่ผมมีตอนนี้ ผมยังปักใจเชื่อว่าเสียงไม่ต่างกันครับ จากคุณ : ATP เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 03:36:29 A:83.178.14.140 X: TicketID:108591

ความคิดเห็นที่ 60 ถ้าให้เทียบก็เหมือนกับคนชิมไวล์ เขาแยกได้ไงกับรสชาติขนาดนั้น ถ้าทำเครื่องเทสได้ก็น่าจะดี ที่จะบอกว่าของบางอย่างมันวัดกันด้วยตัวเลข มันก็อยาก ของบางอย่างหลักการเพียวๆมันก็ยาก เหมือนกอดตำราออกรบทำตามตำราทุกอย่างแต่ก็ไม่ ได้ผลอย่างที่คาด แต่ก็อีกแหล่ะนะความรู้สึกดีไป มันก็ลำบาก แต่มันก็ขึ้นกับความชอบไม่งั้นเครื่องเสียง ดีๆคงขายไม่ได้ แผ่นดีๆแพงๆคงขายไม่ออก ถ้ายึดหลักว่าของมันเหมือนกันหมด แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 52 08:56:45 จากคุณ : EDM เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 08:56:09

ความคิดเห็นที่ 61 สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ก็แล้วแต่จะคิดนะครับ ถ้าวันไหนคุณมาเล่นเครื่องเสียงแบบจริงจังหน่อยแล้วก็จะรู้เองครับ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เล่นจริงจัง ก็คงจะคิดแบบคุณเยอะอยู่ครับ ผมแนะนำง่ายๆ ถ้าอยากจะรู้ว่าคนที่เล่นเครื่องเสียงแบบจริงจังหน่อยเค้าคิดอย่างไร ลองเดินไปตามร้านขายเครื่องเสียง Hi-End (ต้อง Hi-End นะครับ) แล้วลองถามเค้าดูว่าแผ่นแท้กับแผ่น copy เสียงต่างกันหรือเปล่า ผมมั่นใจว่าคำตอบแทบจะมีคำตอบเดียวครับ แล้วถ้าสงสัยก็ลองขอไปพิสูจน์ดูได้ครับ ร้านเครื่องเสียงเหล่านั้น ชุดเครื่องเสียงส่วนใหญ่จะดีเพียงพอที่จะแยกความต่างได้ครับ ขอให้ไปลองจริงๆ แล้วจะรู้เองครับ จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 08:56:59

ความคิดเห็นที่ 62 เรื่องนี้เขามีคนวัดทดสอบกันมานานแล้ว ไม่ใช่เรื่องเชื่อไม่เชื่อ ทั้ง bit error ทั้ง jittet มีคนเขาทดสอบให้ดูกันไปหมดแล้ว ลองหา text หา paper อ่านดูก็ได้ครับ ไม่ใช่เสียงเงินไปแล้วก็หลงยึดติดกับตัวเอง  แล้วดูถูกคนอื่นเขาไปหมด เรื่อง bit error ในวงจร bit stream ถ้ามันผิดไป 1 bit มันไม่สามารถเลือกให้ผิดได้แต่ LSB หรอกครับ ถ้ามันผิดที่ MSB อันนี้มันจะผิดไปชนิดคนละเรื่องเลย มันไม่มีประเภทเบสบางเบสหนาหรอก ส่วน jitter เป็นการ error ทางเวลา  แต่ผมไม่รู้ว่าคุณรู้หรือเปล่าว่า jitter ขนาดเท่าไหร่ ที่เครื่องวัดได้แต่คนนั้นวัดไม่ได้แล้ว ส่วนคำว่า Hi-End อันนี้เห็นจนเบื่อครับ ของโปเก พวกก็เรียกว่า Hi-End  เลยไม่รู้มันนับยังไง แต่ถ้าบอกว่าต้องลำโพงคู่ละแสน คู่ละล้านเท่านั้นถึงจะเรียก Hi-END ผมก็ขอบายละครับ คคห 58 คุณอ่านไม่เข้าใจเองต่างหากครับ แฟนผมที่ฟังว่าต่าง เพราะเขาเห็นแผ่นก่อนฟัง ถ้าไม่ให้เห็นแผ่นก็แยกไม่ออกหรอกครับ ผมถึงบอกไงว่า มันเป็นเรื่องทางจิตวิทยา นี่ขนาดตัวหนังสือผมเขียนชัดๆ  คุณยังหลงอ่านไปได้อีกทาง เรื่องเสียงผมไม่รู้ว่าคุณจะหลงคิดไปเองได้ถึงไหน เรื่องเครื่องเสียงนี่มันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ตรงๆเลยครับ คนไม่รู้วิทยาศาสตร์  ไม่มีทางรู้เรื่องหรอกครับว่าเสียงมันออกมาจากลำโพงได้ไง นอกจากฟังแล้วคิดเองเออเอง ฝากถึงหลายๆท่านวด้วยละกันว่า แยกให้ออกนะครับว่ามันเป็นเรื่อง Analog หรือ เรื่อง Digital เท่าที่คุยกันมาถึงตรงนี้  หลายคนยังแยกแยะไม่ได้เลย จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 12:31:19

ความคิดเห็นที่ 63   คุณพี่ ton ครับ   เสียงที่คุณบอก ถึงไม่ทำการ บลายเทส มา แต่แฟนคุณก็ฟังออกแล้วหละครับว่าเสียงมันต่าง จาก คห 42 กะอีแค่ผู้หญิง แฟนคุณยังฟังออกเลยครับ  คนที่ฟังเพลงบ่อย ๆ อย่างเราฟังไม่ออกหรือไงครับ   จะบอกว่าข้อมูลมันเป็นสิ่ง ที่ให้เราวิเคราะห์ตัดสินใจครับ  ไม่ใช้ว่าให้เราเชื่อสนิทใจครับ ว่าต้องดีอย่างงู้นอย่างงี้ครับ   ถ้าเรื่องเครื่องเสียงเป็นวิทยาศาสตร์ ตรง ๆ พี่ก็ไม่ต้องเลือกหรอกครับ ไอ้ของแพงของดี ไฮองไฮเอนด์อะครับ ไร้สาระ พี่ไปซื้อแอมป์ บ้านหม้อ ที่มีสเปค สูง ๆ ดี ๆ ตามแนว วิทยาศาสตร์ไปเลยสิครับ การฟังเพลงไม่ใช้สักแต่ว่าฟังครับ มันมีชิวิตชีวา อารมณ์ ซึ่งอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้หรอกครับ  ถ้าคุณคิดว่าการทำเครื่องเสียงเพื่อฟังเพลงเป็นวิทยาศาสตร์ล้วน  แล้วละก็ คุณผิดแน่นอนครับ ถ้าทำเครื่องเสียงฟังเพลงเพื่อจะบอกว่าป็นวิทยาศาสตร์ มันไม่ออกเป็นเพลงหรอกครับ ผมว่ามันน่าจะเรียกดนตรีที่ออกมานั้นว่าเป็น  บีท ธรรมดา หรือเรียกว่าเสียงของการสั่นสะเทือนดีกว่าครับ อย่าเรียกเลยครับ ฟังดนตรี ฟังเพลง เชิญอยู่กับ เครื่องเสียงและวิทยาศาสตร์ กับการสั่นสะเทือนต่อไปนะครับ  แล้วนิสัยที่เที่ยวว่าคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับคุณนะครับ เลิกเถอะครับ มันเป็นนิสัยที่ไม่ดีครับ ขอให้มีความสุขกับ แรงสั่นสะเทือนจากเครื่องเสียงนะครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 12:49:51

ความคิดเห็นที่ 64   เรื่อง Analog หรือ เรื่อง Digital กับการทำซีดี ไรท์ซีดีเนี่ย ผมตอบได้เลยครับว่า ถ้าตอบในเชิง  Digital  เชิงข้อมูล(อันนี้ไม่มีเสียงครับ เป็นระบบข้อมูล) ไม่ต่างครับถ้าเครื่อง ไรท์มาไม่มี error แต่ถ้าตอบในเชิง Analog  การรับฟังเพราะ Analog  คือเสียงจริงต้องรับฟังครับ ต่างกันครับ แม้แต่คนไม่เล่นเครื่องเสียงก็ฟังออกครับ เสนอข้อมูลมา ช่วยวิเคราะห์ให้ด้วยก็จะดีนะครับ ไม่ใช่ดีแต่พิมพ์แตพูด แล้วก็เที่ยวว่าคนอื่นครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 12:58:10

ความคิดเห็นที่ 65 จากที่ผมอ่านคำตอบของคุณ Ton99 ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V8565167/V8565167.html ผมคิดว่าคุยกันต่อไปก็คงเหนื่อยเปล่าครับ คนรั้นคิดแต่ว่าตัวเองถูกเสมอ คนอื่นผิดตลอด ไม่เปิดใจ อย่างนี้เสียเวลาเปล่า แต่บอกไว้เลยว่า ผมมีแผ่นทดสอบเยอะมาก ทดสอบ blind test ผลถูกต้อง 100% แล้วทดสอบมาแล้วเยอะมาก และไม่ใช่ผมคนเดียวที่ทดสอบ ถ้าไม่เชื่อ หลังไมค์มาได้เลยครับ แล้วจะพิสูจน์เปิดโลกให้ดูครับ จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 14:33:33

ความคิดเห็นที่ 66   สรุปว่า.....ต่างหรือไม่ต่างครับ อ่านหัวกระทู้แล้วไม่แน่ใจว่าถามในแง่ข้อมูลเชิงตรรกะ แบบวิทยาศาสตร์ หรือ ข้อมูลเชิงศิลปะในการรับรู้ด้วย "รูหู" กันแน่ครับ เชื่อว่า    "สื่อดีก็ถ่ายทอดออกมาดี สื่อไม่ดีก็ถ่ายทอดออกมาไม่ดี" เท่านั้นเอง ผมแล้วโดยส่วนตัวไม่เห็นจะต้องไปอ้างอิงทฤษฎี อะไรมากมายกลับมองอีกมุมหนึ่งว่า โลกของ Digital ทำให้ชีวิตมันสะดวกสบายขึ้น มีเครื่องอำนวยความสะดวกเยอะแยะ ในการสนองกิเลส ในตัวเรา ผลผลิตจาการก้าวกระโดดในยุค Digital ช่วยย่นระยะเวลาของงาน เครื่องเสียงดีๆเทพๆ ในยุคหลังๆก็ได้อานิสงจากการพัฒนานี้แล้วทั้งนั้นด้วยซ้ำ จะทำเสียงให้เหมือนเล่นจาก แผ่นเสียงโดยมี Noise แกร่กๆๆ ก็ยังทำได้ด้วยโลกของ Digital ครับผมเองก็เชื่อว่ามีความต่างนะ ในแง่ของการฟัง แต่ด้วยอะไรก็แล้วแต่ มีความจำเป็นต้องไปซีเรียส? เฉกเช่นเดียวกันครับ โดยทฤษฎีมันชัดเจนอยู่แล้วว่า CD,DVD เมื่อทำการ copy มันก็ออกมาตามต้นฉบับ เป๊ะๆ เพราะเป็นสื่อ Digital ใช้เวลา Copy ภายใน ไม่กี่นาทีก็ทำได้ในทุกครัวเรือน ส่วนเสียงจะดี ไม่ดีนั้น มีอีกหลายองค์ประกอบครับ ตอบแบบโง่ๆ เท่าที่ผมนึกออก - คุณภาพของแผ่นที่จะเอามาทำ Copy ถ้าได้เท่ากับต้นฉบับ ต้องออกมาเป๊ะๆ - คุณภาพของเครื่องเล่น เครื่อง เขียนแผ่น ถ้าได้เท่ากับต้นฉบับ ต้องออกมาเป๊ะๆ เช่นกัน - กิเลส ใน "รูหู" ของเรา ครับ(อันนี้ล่ะ ตัวปัญหา ย้ำๆๆๆๆ เลย) ซึ่ง....ถ้า Copy ออกมาแล้วเสียงไม่ดี อาจจะเพราะว่า System ของคุณ "ดี" จนถ่ายทอดสิ่งไม่ดีออกมาได้แจ่มชัดเจนทุกมิติ ถ้ามันดี....System ของคุณอาจจะหลอกหูก็เป็นไปได้ว่าทำให้มัน ดีขึ้น จากแผ่น copy ห่วยๆ ก็เป็นไปได้ หรือ แผ่น copy มันห่วยจริงๆ? มาตรฐานของคนที่เคยฟังมามากๆ จนเข้มข้น "ลึก" ในทุกอณูของ เสียง มันก็อาจจะต่างจากคนที่ ฟังมากๆในทาง "กว้าง" เช่นกันครับ ในเมื่อมีปัจจัยความต่างมากมายหลายอย่างขนาดนั้น แค่ CD copy ต่าง-ไม่ต่างคงไม่พอหรอกครับ เอา ทฤษฎี ตรรกะ วางผสมผสานกับ ศิลปะให้กลมกล่อมแบบพอดีๆ ครับเพราะมากไป ก็ "เหนื่อย" น้อยไปก็ "เฉือย" พอดีๆละกัน ผมฟังความเป็นธรรมชาติของสิ่งๆนั้นครับ...ดีไม่ดีอยู่ที่ "หู" จริงๆ ความพึงพอใจที่จะตัดสินว่าดี ไม่ดี อยู่ที่กิเลสในตัวคุณ เท่านั้นเอง จากคุณ : ยังมีวันพรุ่งนี้ เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 16:30:14

ความคิดเห็นที่ 67   ในเมื่อหลังๆ ไม่ได้เป็นการนำข้อมูลมาเถียงกัน แต่เป็นการโจมตีฝ่ายตรงข้าม ผมก็คงจบกระทู้นี้แค่ตรงนี้ครับ และเห็นด้วยว่าคงเหนื่อยเปล่า ถ้าไม่รับฟังความคิดเห็นและเหตุผลของฝ่ายตรงข้าม จากคุณ : ATP เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 18:43:40 A:85.225.39.154 X: TicketID:108591

ความคิดเห็นที่ 68   ข้อมูลมีการถกเถียงเป็นเรื่อง ธรรมดาครับ ข้อคิดครับ ผมว่า จะแผ่นไรท์ แผ่นแท้ หรือแผ่นอะไรก็ตามแต่ ถ้าชุดเครื่องเสียงที่ทำมามันตอบสนองได้ดี และแต่งได้ตามแนวที่ท่านชอบ จะฟังแผ่นอะไรก็ดีสะอย่างงั้นครับ   การฟังเพลงมันขึ้นอยู่กับ อารมณ์ ในยามนั้นด้วยครับ บางทีแผ่นก๊อป ไม่สิ fm ยังไพเราะได้เลยครับ   เพราะฉะนั้น อย่าไปซีเรียสก็จะดีครับ เอาตามความพอใจเราครับ เรื่อง เสียง แผ่นไรท์ กับ แผ่นแท้ ขอยืนยันตาม คห 64 ครับ ตอบตามเชิงวิทยาศาสตร์ ไม่ต่างครับ ตอบตามเชิงโสตศาสตร์  ต่างกันครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 22:00:05

ความคิดเห็นที่ 69 /// พี่ไปซื้อแอมป์ บ้านหม้อ ที่มีสเปค สูง ๆ ดี ๆ ตามแนว วิทยาศาสตร์ไปเลยสิครับ /// ก่อนพูดนี่คิดดีแล้วหรือยังครับ spec เครื่องเสียง มันมีหลายค่า ที่ดีๆในความคิดคุณคงมีแค่กำลังขับมั้งครับ ผมว่าคุณคงไม่รู้ว่า spec ในบ้านหม้อ  มันเป็น spec เขียนเองเออเอง จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 19:46:12

ความคิดเห็นที่ 70 คุณ BenReview ความจริงผมก็ไม่ได้อยากจะคุยกับคุณหรอกครับ แต่ผมทนเห็นการพูดผิดๆ  แบบไม่มีหลักการไม่ได้ ส่วนในกระทู้นั้น  ผมว่าคุณกลับไปอ่านใหม่ดีๆนะครับ ว่าประเด็นมันอยู่ตรงไหน  แล้วผมพูดอะไร แล้วคนที่เถียงผม  มีประเด็นอะไรมาแย้งได้ ตอนแรกผมไม่รู้ว่าใช้แอมป์อะไร  ผมเลยนึกว่าใช้แอมป์แย่ๆมันเลยเป็นแบบนั้น พอพวกบอกว่าใช้ของดี  ผมก็เลยเปลี่ยนประเด็นไปที่ตัว bit one ที่ใส่เพิ่ม กับคนที่ติดตั้งนั้น ติดไม่เป็นเอง ถ้าของทำมาดี  คนติดถูกต้อง  มันต้องไม่มีอาการแบบนั้น ทีนี้พวกก็มาบอกว่า  ของก็ดี  คนติดก็เก่ง ผมถามให้คุณคิดหน่อยว่า  ถ้าไม่มีอะไรแย่  แล้วปัญหามันเกิดได้ไง สุดท้ายเพิ่งมีคนมาบอกว่า  แก้ได้แล้ว   สรุปคือว่ายังไง คุณลองบอกผมมาหน่อยสิ   ถ้าไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แต่ขอร้องว่าอย่ามาเถียงแบบเด็กพาลๆ ผมไม่ใช่คนที่ถูกเสมอ  แต่เรื่องไหนผมไม่รู้ผมไม่พูด  ผมจะฟังแล้วคิด ถ้าเรื่องไหนที่ผมรู้  ผมก็พูดตามที่มันเป็นจริงก็เท่านั้น 1+1 ผมบอกว่า 2  พวกคุณจะว่าผมไม่ผิดมันก็ถูกอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 52 19:59:03 จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 19:52:47

ความคิดเห็นที่ 71 ผมถามทิ้งท้ายไว้ละกันว่า Jitter ที่เกิดตอนอ่านแผ่น CD-R มันมีค่ามากกว่าแผ่น CD เท่าไหร่ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 19:55:20

ความคิดเห็นที่ 72   ครับ คนดีชอบแก้ไข คนอะไรชอบแก้ตัวครับ ผมฝากคำถามนี้ไว้หละกันครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 03:14:16

ความคิดเห็นที่ 73 เดี๋ยวสายๆผมมาตอบอีกที ตอนนี้งานเยอะ แต่ก็ดีที่คุณ ton99 เอาตารางออกมาเพื่อยืนยันบอกว่าหูคนเราสามารถแยกแยะความต่างของ jitter ที่เกิดขึ้นได้นะครับ จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 09:45:57

ความคิดเห็นที่ 74 นั่นไง..หูคนฟังออก  แล้วจะเถียงกันทำไมเนี่ยะ จากคุณ : kongking เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 09:59:12

ความคิดเห็นที่ 75 ขอเสริมหน่อยนึงครับ ******* ส่วนในกระทู้นั้น  ผมว่าคุณกลับไปอ่านใหม่ดีๆนะครับ ว่าประเด็นมันอยู่ตรงไหน  แล้วผมพูดอะไร แล้วคนที่เถียงผม  มีประเด็นอะไรมาแย้งได้ ตอนแรกผมไม่รู้ว่าใช้แอมป์อะไร  ผมเลยนึกว่าใช้แอมป์แย่ๆมันเลยเป็นแบบนั้น พอพวกบอกว่าใช้ของดี  ผมก็เลยเปลี่ยนประเด็นไปที่ตัว bit one ที่ใส่เพิ่ม กับคนที่ติดตั้งนั้น ติดไม่เป็นเอง ถ้าของทำมาดี  คนติดถูกต้อง  มันต้องไม่มีอาการแบบนั้น ทีนี้พวกก็มาบอกว่า  ของก็ดี  คนติดก็เก่ง ผมถามให้คุณคิดหน่อยว่า  ถ้าไม่มีอะไรแย่  แล้วปัญหามันเกิดได้ไง สุดท้ายเพิ่งมีคนมาบอกว่า  แก้ได้แล้ว   สรุปคือว่ายังไง คุณลองบอกผมมาหน่อยสิ   ถ้าไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แต่ขอร้องว่าอย่ามาเถียงแบบเด็กพาลๆ ******** คุณลองกลับไปอ่านกระทู้โน้นใหม่ ดีๆนะครับ ในกรณีนั้น มันไม่ใช่เรื่องของห่วย หรือคนติดตั้งห่วย ถ้าคุณเคยเล่นพวก Processor (คุณบอกว่า คุณเล่นเครื่องเสียงมาตั้งแต่สมัยที่เจ้าของร้านสมัยนี้ ยังไม่จับเครื่องเสียงเลย ถามหน่อยเหอะ กล้าพูดเนอะ อายุเท่าไหร่เนี่ย นายต้น? ผมหละอายแทนจริงๆกับประโยคนี้ +_+) คุณจะรู้ว่า มันมีปัญหาปวดกบาล เรื่องเสียงตุ๊บ กันเยอะมากๆ เพราะอะไรคุณคงรู้ ในกระทู้นั้นน้าเต้ากับคุณ Oddd พูดไว้เกี่ยวกับการหน่วยสัญญาณน่ะถูกต้องแล้ว แต่คุณเลือกที่จะโทษอุปกรณ์ ว่ามันห่วย แอมป์ห่วยมั่ง Bit-One ห่วยมั่ง คนติดตั้ง ห่วยมั่ง ลองดูก็ได้ครับ ลองทำระบบใหญ่ๆดูสิครับ แล้วจะรู้ ว่ามันปวดหัวกับเรื่องเสียงตุ๊บ อ้อ ที่บอกว่า ในรถน่ะ Hi-Power สุดแล้ว อย่าเอากะลาตัวเอง มาครอบกะลาคนอื่น นะครับ มันไม่ดี ปล. เป้าหมายอะไรซักอย่างนึง การไปไม่ถึง , ไปไม่ได้ , หรือไม่ได้ไป มันมีผลลัพธ์เหมือนกัน  แต่รายละเอียดระหว่างทางต่างกันนะครับ ถ้าไม่เคยจับไม่เคยเล่น มีแต่หลักการ แต่ไม่มีประสบการณ์ ก็เงียบไปเถอะครับ ก่อนที่ชาวบ้านเค้าจะสมเพศไปมากกว่านี้ จากคุณ : kyo65 เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 11:56:56

ความคิดเห็นที่ 76 ******* ผมไม่ใช่คนที่ถูกเสมอ  แต่เรื่องไหนผมไม่รู้ผมไม่พูด  ผมจะฟังแล้วคิด ถ้าเรื่องไหนที่ผมรู้  ผมก็พูดตามที่มันเป็นจริงก็เท่านั้น 1+1 ผมบอกว่า 2  พวกคุณจะว่าผมไม่ผิดมันก็ถูกอยู่แล้ว ******* ใช่ครับ 1+1 =2 พูดในสิ่งที่รู้ ดีครับ แต่รู้ได้ไง ว่าสิ่งที่พูด มันถูกไปทุกเรื่อง? อย่ามั่นใจอะไรขนาดนั้นเลย คุณต้น หรือจะต้องบอกว่า งั้นเอาหลักการ เอา Paper อะไร มางัดจนคุณยอมรับว่าผิด ผมคงไม่ทำงั้น ไม่ได้หมายความว่า ผมไม่มีหลักการนะ แต่อย่ามั่นใจอะไรขนาดนั้นเลย  แค่นั้นจริงๆครับ ปล. (เดี๋ยวจะต้องมาแบบเคยๆ ว่า นาย kyo ผมเคยบอกไว้แล้วว่า อย่ามายุ่งกับผม ใช่มั้ย 555555+) จากคุณ : kyo65 เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 12:05:16

ความคิดเห็นที่ 77   ดูแล้ว น่าเวทนา นะครับ เรื่อง bitone หนะครับ อะไรที่ไม่รู้ เอาแต่เดาส่งเดชไป แต่มีคนรู้คนลองด้วยตัวเองว่าใช้ bitone มันเกิดปัญหาจริง ๆ ก็น่าจะยอมรับนะครับ  เพราะตอนที่รถพี่ Oddd เห็นเค้าก็นั่งแก้อยู่พักใหญ่เหมือนกันครับ  ผมยังไปดูเลย ว่ามันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ ยืนยันอีกคนครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 12:13:26

ความคิดเห็นที่ 78 คุณ ton99 กระทู้นั้นก็คือเรื่องกระทู้นั้น ผมก็ไปตอบไว้แล้วที่กระทู้นั้นนะครับ ตามไปอ่านดู ผมก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะจากกระทู้นั้นผมก็กระจ่างว่า ดูๆแล้วเหมือนคุณไม่รู้จริงเรื่องเครื่องเสียงรถยนต์เลย (รวมไปถึงเครื่องเสียงบ้านด้วย) ผมว่าอยู่เงียบๆจะดีกว่านะครับ คนอื่นที่เข้ามาตอบ เค้าทั้งเล่นจริง ลองจริง ทำเองจริงๆ แล้วคลุกคลีอยู่กับเครื่องเสียงมานานมาก ถ้าจะเปรียบเทียบมันดูเหมือนเด็กประถมเถียงกับเด็กมหาวิทยาลัยน่ะครับ เด็กประถมยังไงก็คงไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กมหาวิทยาลัยอธิบายหรอกครับ สงสัยว่าคุณคงใช้ระบบ Hi-Power ของคุณเพื่อเปรียบเทียบแผ่นล่ะมั้งครับ หรือไม่ก็ใช้คอมพิวเตอร์ฟังเปรียบเทียบแผ่น อย่างนั้นผมก็คิดว่าอาจจะไม่ได้ยินความต่างหรอกครับ จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 15:01:34

ความคิดเห็นที่ 79 ผมยกตารางมาให้ดูแบบนี้  พวกคุณก็ยังไม่พยายามจะเข้าใจกันอีก ตารางเขาสรุปผลให้ดูว่า  jitter ถ้ามีค่ามาก คนก็ยังพอแยกแยะได้ แต่ถ้ามันมีค่าน้อยๆ  ต่อให้หูทิพย์แค่ไหนก็ฟังไม่ออก ถึงตอนนี้ผมว่าพวกคุณก็คงไม่รู้กันว่า jitter ใน cd มันมีค่าเท่าไหร่ แต่ผมบอกใบ้ๆเอาไว้ละกันว่า  มันน้อยกว่าในตารางนั้น นาย kyo65  ชีวิตนี้เคยมีความรู้อะไรมาพูดกับเขาบ้างเนี่ย เห็นมากี่ทีก็ไม่ได้มีสาระเหมือนเคย /// ตอนที่รถพี่ Oddd เห็นเค้าก็นั่งแก้อยู่พักใหญ่เหมือนกันครับ /// ประโยคนี้ก็เป็นที่ยืนยันแล้วว่า  คนติดตั้งนั้นติดตั้งไม่ถูกตั้งแต่ทีแรก ถึงต้องมาหาทางแก้ปัญหาทีหลัง พูดก็พูดเถอะ  ระบบเครื่องเสียงรถนี่มันไม่ได้มีอะไรเลย ถ้าระบบแค่นี้ติดตั้งแล้วมีปัญหาก็ไม่ต้องไปทำอะไรกันแล้ว ระบบควบคุมตาม plant มันซับซ้อนกว่านี้เยอะ กระทู้นี้คงไม่มีสาระที่จะพูดต่อแล้วจริงๆ เพราะพวกที่พยายามเถียงกับผม  ไม่ได้หาเรื่องราวสาระอะไรกันมาเลย และยิ่งมีประเภทที่ไม่สร้างสรรค์เข้ามาเสริมด้วย  ยิ่งทำให้หมดอารมณ์พูดเข้าไปอีก ฝากคนที่ตามอ่านไว้ละกัน (ถ้ายังเหลือคนที่ตามอ่านอยู่) คุยกับคนมีความรู้ก็จะได้ความรู้ แต่คุยกับคนที่มีแต่เงิน นอกจากไม่ได้ความรู้แล้วยังเสียเวลา แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 52 22:47:40 จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 22:44:19

ความคิดเห็นที่ 80 คนเราถนัดไม่เหมือนกัน คุณ ton99 เก่งเรื่องควบคุมตาม plant อะไรของคุณก็ดีแล้ว ถ้าในสาขาที่ทำงานแล้วยังไม่เก่ง ก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะครับ ส่วนเรื่องเครื่องเสียง ยิ่งพูดก็เหมือนว่ายิ่งไม่รู้นะครับ ถ้าไม่ถนัดก็อย่าไปเถียงกับคนที่ถนัดเลย มันเสียตัวเองน่ะ แล้วถ้าคุณคิดว่าเจ๋งจริง ก็หลังไมค์มานะครับ แล้วจะนัดกันไปพิสูจน์ว่าพวกผม blind test แล้วแยกออก 100% หรือเปล่า คุณไม่รู้หรอกหรือว่าพวกผม  blind test กันกี่รอบแล้ว หึๆ แต่ทดสอบด้วยแผ่นของผมนะครับ แผ่นนึงแผ่นแท้ แผ่นนึงแผ่น copy แล้ว blind test ฟังกันเลย แล้วสุดท้ายให้คุณเอาทั้งสองแผ่นดูดกลับไปเช็คในคอมพิวเตอร์ด้วยนะ ว่าไฟล์มันเหมือนกันหรือเปล่า แล้วจะรู้เองว่าไฟล์ก็เหมือนกัน แต่ทำไมเสียงต่างกัน ยังไงผมก็จะรอคุณหลังไมค์เพื่อมาพิสูจน์นะครับ ถ้าสักแต่พูดเอาแต่หลักการมาคุยมันก็แค่นั้น เถียงกันไม่จบ ของอย่างนี้มันต้องพิสูจน์ในโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่โลกในกระดาษของคุณนะครับ อย่าเก่งแต่ปากละกัน จากคุณ : BenReview เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 23:06:27

ความคิดเห็นที่ 81 ----------------------------------------------------------------------------- พูดก็พูดเถอะ  ระบบเครื่องเสียงรถนี่มันไม่ได้มีอะไรเลย ถ้าระบบแค่นี้ติดตั้งแล้วมีปัญหาก็ไม่ต้องไปทำอะไรกันแล้ว ระบบควบคุมตาม plant มันซับซ้อนกว่านี้เยอะ _______________________________________________________ มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ ครับ คุณต้น แต่ผมว่าที่ไม่มีจริงๆ น่าจะเป็นความสามารถในการใช้ความคิดของคุณนะครับ ไม่รู้สิ ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะรู้สึก"อาย"ครับ แต่แปลกแฮะ คุณไม่รู้สึกสักนิด เหอเหอ ถึงคุณเบ็นครับ เสียเวลาครับ ผมว่า"เขาไม่กล้า" ----------------------------------------------------------------------------- แต่คุยกับคนที่มีแต่เงิน นอกจากไม่ได้ความรู้แล้วยังเสียเวลา ----------------------------------------------------------------------------- ผมว่าคุยกันคนไม่มีสมองเสียเวลากว่าเยอะครับ จากคุณ : oddodd เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 52 01:27:43

ความคิดเห็นที่ 82   อ่านมานานครับ ผมคิดว่า คุณนี้เก่งเครื่องเสียงจริงๆ อิอิ เรื่องเเผ่น นะ ผมไม่ค่อยสันทัดครับ เเต่เรื่องการเเก้ปัญหาเสียงตุ๊บที่ออกลำโพงในขณะเปิดปิดเครื่องเสียง ผมว่าคุณเล่นไฮเพาเวอร์ดีที่สุดครับ ส่วนคุณที่บอกว่า ประโยคนี้ก็เป็นที่ยืนยันแล้วว่า  คนติดตั้งนั้นติดตั้งไม่ถูกตั้งแต่ทีแรก ถึงต้องมาหาทางแก้ปัญหาทีหลัง ผมเองเเหละครับคนติด ก็ไม่เก่งหรอกครับ เเก้ปัญหาไปตามอาการ เเละไม่ได้เเก้ที่หลังครับ ติดเสร็จเเล้วตรวจสอบ เป็นก็เเก้เลยครับ ไปเเข่งก็ได้คะเเนนเต็ม เเต่ถ้าถามว่ามีเสียงไหมก็มี   ถ้าเปิดปิดเเล้วสวนเปิดทันที เเต่กติกาเขามีบอกว่าหลังจากปิด ให้เวลา ช่วงหนึ่ง ค่อยเปิด ถ้าไม่มีเสียงดังออกมาก็ได้คะเเนนไป ถ้าคุณจะติดบิทวันให้ ไม่มีเสียงตุ๊บ คงต้องไปติดที่ดาวอังคารครับ เพราะ ที่นั้นมันไม่มีอากาศ อิอิ ส่วนที่เมืองไทยคงหาคนทำได้ยาก ผมเอง ก็เเก้ได้เเค่การหน่วงเวลา คงเก่งไม่เท่าคุณ ผมว่าคุณทำได้นี้ผมขอซื้อโนฮาวเลยนะ ผมให้ หมื่นหนึ่ง ทำให้ได้เร็วๆนะครับจะรอ จากคุณ : sarawut (tao mockup) เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 52 02:55:59

ความคิดเห็นที่ 83   คุณ ton เก่งซันนน ครับ ขอปรบมือ พร้อมมอบ เหร๊ญ  โล่รางวัล และเกียรติบัตร รางวัล หน้าไม่อายและคิดว่าตัวเองเก่งครับ ในโลกนี้ไม่มีใครเก่งเท่าคุณหรอกครับ (โลกในกะลา) ขอแสดงความยินดีด้วยครับ   แป๊ะ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 52 00:39:41

ความคิดเห็นที่ 84 ว่าจะมาเถียงด้วยอีกคน แต่จากการอ่านคห.ที่ผ่านมาคาดว่าผมคงจะทำได้แค่เป็นไทยมุง ดูเฮียปอ ฯ มาเก็บศพเท่านั้น เพราะโดนกลุ่มมือปืนรุมซัลโวหมดแม็กจนพรุนไปหมดแล้วไปแล้ว เสียดายจัง แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ผมมีเรื่องอยากจะมาเล่าให้ฟังสักเรื่องสองเรื่อง น่าจะเข้ากันได้ดีกับกระทู้นี้ เรื่องที่หนึ่ง การทำไวโอลินเมื่อก่อนจะเป็นงานฝีมือล้วน ๆ ที่ดัง ๆ คุ้น ๆ ก็จะเป็นของอีตามองซิเออร์อะไรซักอย่าง แต่ปัจจุบันเค้ารู้จักกันในนาม "สตราดิวาเรียส" ซึ่งมักจะอยู่ในมือนักไวโอลินฝีมือฉกาจในยุคปัจจุบันหลายคน ราคาก็แพงเหลือหลาย คันนึงเค้าว่ากันระดับล้าน แล้วไปหาซื้อก็ไม่มีแล้วด้วย เพราะมองซิเออร์สตราดิวาเรียสแกไปคำนับพญาเงี่ยมล่ออ๋องตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนนู้นไปแล้ว ใครอยากได้ต้องประมูลอย่างเดียว คราวนี้ก็มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนึงพยายามก๊อปปี้ไอ้เจ้าสตราดิวาเรียส โดยเริ่มจากไปขอยืมไอ้เจ้าสตราดิวาเรียสมาคันนึง มาตรวจสภาพด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ นานา จนได้ตัวก๊อปปี้มาตัวนึง ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดสอบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการวัดขนาดด้วยแสงเลเซอร์ให้ตรงจนถึงระดับไมครอน การเทสความหนาแน่นด้วยคลื่นเสียง (sound bombard) ฯลฯ พบว่าเหมือนกันทุกประการ เค้าก็คิดว่านี่ตูข้าสามารถผลิตสตราดิวาเรียสได้เองแล้ว (ว้อย) คราวนี้มาถึงขั้นตอนการตรวจสอบ เค้าก็ไปตามนักไวโอลิน นักดนตรี คอนดั้กเตอร์ ฯลฯ ฝีมือชั้นเยี่ยม ๆ มาหลายคนที่เคยมีประสบการณ์กับสตราดิวาเรียสมาแล้ว แล้วก็ให้ฟัง (แค่ฟังนะครับ ไม่ให้ดู) ไวโอลินทั้ง 2 คันคือตัวแท้กับตัวก๊อปปี้เปรียบเทียบกัน (blind test ว่างั้นเหอะ) ผลออกมายิ้มไม่ออกครับ ผล 100% ชี้ถูกทุกครั้งทุกคนครับว่าคันไหนแท้คันไหนเทียม  คือกลุ่มหนูทดลองเค้าว่ากันว่าของแท้เสียงเปี่ยมด้วยพลังกว่า (ไอ้เจ้าสตราดิวาเรียสเนี่ย เค้ามีสมญานามในวงการว่าเจ้าปืนใหญ่ (canon) เพราะเสียงอันทรงพลังของมันนี่เอง) สรุปคือผลสุดท้าย project failed ของแท้ยังคงเป็นของแท้และแพงอยู่ต่อไป (อ้างอิงข้อมูลในการเขียนจากหนังสือของคุณอุดร จารุรัตน์ครับ) เรื่องที่สอง เค้าว่ากันว่าคนที่ใช้พวกโสตสัมผัสในการทำมาหาเลี้ยงชีวิต เช่น ช่างปรุงน้ำหอม นักชิมไวน์ ช่างผสมเหล้า ฯลฯ เนี่ย เค้าไม่ได้เทสกันทั้งวันทั้งคืนนะครับ เพราะโสตสัมผัสจะมีอาการล้า (ศัพท์ในวงการมักจะเรียกกันว่า blind) ยกตัวอย่างเช่น ช่างปรุงน้ำหอม วัน ๆ นึงจะดมน้ำหอมได้แค่ 2-3 กลิ่นเท่านั้น เกินไปกว่านี้มีโอกาส error สูง นักชิมไวน์ก็เหมือนกัน วัน ๆ นึงเทสได้ไม่กี่รสหรอก แล้วเค้าไม่ได้กินเข้าไปนะครับ แค่กลั้วให้ทั่วคอ แล้วก็บ้วนทิ้ง (อ้างอิงข้อมูลในการเขียนจากหนังสือสารคดีและ discovery channel ครับ) เป็นงัยครับพอนึกภาพอะไรออกบ้างมั้ย ? จากคุณ : หลงไท่หยัง เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 52 22:43:56

ความคิดเห็นที่ 85   อืม เป็น คห ที่น่าสนใจมากจริง ๆ ครับ มันมีซ่อนแนวคิดไว้ลึก ๆ ด้วย อยากจะให้กิ๊ฟ แต่ให้ไม่เป็นนี้ เด้อออ เอากิ๊ฟติดผมของน้องสาวผมไปแทนก่อนแล้วกัน (อ่านแล้วเพลิดเพลินดีครับ) จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 52 22:57:42

ความคิดเห็นที่ 86 อยู่ plant นี่เอง ระบบในนั้นมันซับซ้อนกว่าเครื่องเสียงเหรอ.. เคยกินก๋วยเตี๋ยวอร่อย ๆ มั้ย มันมีแค่ น้ำ เส้น ลูกชิ้น เหมือน ๆ กัน แต่ทำไมบางเจ้าโครตอร่อย บางเจ้าไม่อร่อยเลย บางคนได้สูตรมา แต่ก็ทำได้ไม่อร่อยเท่าเจ้าของสูตร ทั้ง ๆ ที่ตวงแล้ว เอาวิศวกรด๊อกเตอร์ทีไหนมาทำก็ไม่อร่อยเท่า แต่ งานบางอย่าง พวกงาน  01010101  หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง เอาใครมาทำก็ได้ ไล่คนนึงออกไป อีกคนมาแทน ก็ได้เหมือนกัน จากคุณ : kongking เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 52 23:47:29

ความคิดเห็นที่ 87   คน ton99 น่าจะอ่านไว้นะครับ คหที่ 84 หนะครับ เผื่อจะได้ข้อคิด ดี ๆ ไม่มุเอาแต่ความคิดตนเองเป็นใหญ่ คิดว่าความคิดตัวเองแน่ ตัวเองถูก จนคิดว่าความคิดคนอื่นอื่นที่แย้งกับตน มันผิด ไม่ดี ใช้ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับความคิดของตน อยากให้ แพลน กว้าง ๆ หน่อยครับ เพราะในโลกนี้ "ไม่มีของที่ดีสุดในโลก และ เลวสุดในโลก" เหมือนกับความคิดของคนครับ (แพลน กว้าง ๆ ถ้าจะดีครับ) จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 52 11:38:07

ความคิดเห็นที่ 88 เข้าใจว่าหลายคนที่เก่งเรื่องคอม ถึงขั้นเก่งมาก  หลักการแน่น และไม่เคยเล่นเครื่องเสียงจริงจัง  ยังไงก็คิดว่าคุณต้องคิดว่าไม่ต่างแน่นอน  นั่นก็ถูกของเค้า แต่จะขอเล่าประสบการณ์จริง เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า  จริงๆ ก็ไม่อยากโพส แต่ขอหน่อยละกัน ผมเป็นอีกคน  ที่ยืนยันว่าต่างกันแน่นอน  ไม่เคยทดสอบด้วยหลักการใดๆ ---- เรื่องมีอยู่ว่า  ผมกับเพื่อน(เก่งคอมมั่กๆ) คุยกันกรณีที่ว่า แท้กับก๊อบ ผมบอกว่าต่างแน่นอน เพื่อนบอกไม่ต่าง  0101 อะไรเนี้ย เพื่อนขอให้ผมพิสูจน์ โดยผมบอกว่าฟังออก  เพื่อนบอกแน่จริงต้องเอาผ้าปิดตาและปิดไฟฟังด้วยเดียวโกง เพื่อนบอกให้ปิดตาฟัง ถ้าแยกออกจาก 3 ใน 5 แผ่น มันจะเชื่อว่าต่าง ผมรับปาก แล้วเราก็ได้ทดลองฟัง โดยใช้เครื่องเสียงบ้านชุดของผม แผ่นแท้ของผมที่ฟังประจำ  เอาไปให้เพื่อนไรท์ก๊อบเองกับมือมัน แล้วมาทดสอบโดยผมปิดตาฟัง ตอนกลางคืน ปิดไฟในห้อง ผมนั่งในตำแหน่งประจำ   แต่มีแสงจากหน้าปัดเครื่องเล่นตรงที่เพื่อนผมนั่งเปลี่ยนแผ่น เพื่อนผมจึงมองเห็นเพียงคนเดียวว่าอันไหนแท้อันไหนก๊อป ให้เพื่อนผมเป็นคนเปลี่ยนแผ่นเอง จุดที่นั่งฟังห่างจากจุดที่เพื่อนเปลี่ยนแผ่นพอควร  ต่อให้ไม่ปิดตาก็มองไม่เห็นอยู่ดี เพราะปิดไฟ และเพื่อนมันก็พยายามบังและเช็คว่าผมเปิดตารึปล่าว วีธีฟัง โดยการเปลี่ยนที่ละคู่  แล้วแต่เพื่อนจะเลือกชุดไหนก่อน ผมนั่งปิดตาฟังอย่างเดียว  ปิดไฟห้องด้วย ทดลองหลายแผ่น ไม่ใช่แผ่นเดียว  มากกว่า 7 แผ่น ทดลองอยู่หลายชั่วโมง ขอบอกว่าบางแผ่นก็ฟังยากมาก  บางแผ่นก็ฟังง่าย สรุป  ผมแยกได้ทุกชุดที่ฟัง ไม่ได้ฟังแค่ชุดเดียว จึงไม่มีคำว่าฟลุ๊คเดาถูกแน่ และเพื่อนก็เป็นประเภทอยากเอาชนะ เพราะมันเชื่อว่ายังไงก็เหมือนกันแน่นอน ไม่มีทางต่างกันเหมือนที่หลายๆ คนในนี้มีหลักการมากมายว่าไม่ต่าง เพื่อนผมอึ้งและเชื่อนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนที่ไม่เชื่อ ก็แล้วแต่  วันนึงถ้าคุณมีโอกาสฟังออกเอง คุณก็จะเปลี่ยนใจอย่างที่ความเห็นบนๆ ว่าไว้ ปล.ถ้าไม่เชื่อลองหลังไมค์ไปหา #80  ไปลองพิสูจน์ดูนะ  คุณคนนั้นอ่ะ ปล.1 ความเชื่อของคนเราไม่เหมือนกัน  บางอย่างก็พิสูจน์ไม่ได้  แต่เรื่องนี้พิสูจน์ได้แน่นอน แล้วก็อย่าเอาความคิดของเราเองไปตัดสินคนอื่นว่าที่เค้าเชื่อผิด เพราะความคิดของเรายังยึดติดและอาจยังไม่เคยพิสูจน์ก้บตัวเอง และไม่ควรไปตัดสินคนอื่นว่า มีแต่เงิน หรืออะไรก็ตาม หรือว่าคนอื่นคิดไปเองหรืออุปทานไปเอง  . พอแล้ว  เดี๋ยวเข้าเนื้อ 555 จากคุณ : ปืน&ปืน เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 12:29:56

ความคิดเห็นที่ 89 อ้อ  ขออีกหน่อย  ชักมัน นับจากวันนั้นก็ได้มีเพื่อนคนละคนกันสงสัยอีก  เพื่อนร่วมงานก็สงสัย  ได้มีโอกาสลองอีก  เพื่อนหลายคนก็ต้องเชื่อว่าต่างเพราะผมปิดตาฟังจริงๆ เครื่องเสียงในรถยนต์ผมก็ลองปิดตาฟังมาแล้ว ก็ฟังออก จากคุณ : ปืน&ปืน เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 12:34:36

ความคิดเห็นที่ 90   ไอ้คุณ ton คนเก่งอยุ่ไหนเนี่ย ของที่ยังไม่ได้มีประสบการณ์ หรือ ไม่ได้ลองจริงจรัง หรือ มีอคติอะไรในใจสักอย่าง  อยากให้ลองโดยไม่มี อคติ ไม่ได้ตั้งธงไว้ก่อน หรือ เชื่อถือ ในข้อมูล หรือ ที่เค้าว่ากันมา   เปิดใจให้กว้างแล้วลองด้วยตัวเอง  อย่าโกหกตัวเอง อันไหนฟังออกก็บอกว่าออก  อันไหนไม่ออก ก็ว่าไปตามนั้น สุดท้ายนี้ อยากให้ข้อคิด สำหรับคุณ ton99 นะครับ   "ความคิดของคนแต่ละคน ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดหมด หรือ ถูกหมด" ครับ เพราะฉะนั้น อย่าถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ และ คอยเที่ยวว่าคนอื่นครับ (มันไม่ดีครับ แล้ว มันเสียกับตัวเองด้วยครับ) เพราะ บางสิ่งต้องพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ครับ มิได้พิสูจน์ด้วยตัวเลข หรือ ข้อมูลแต่อย่างใด เหมือนธรรมมะ ของพระพุทธเจ้า อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ต้องรับรู้ด้วยตนเอง ด้วยการปฏิบัติครับ ไม่เชื่อลองอ่านคำแปร ใน บท พระธรรมคุณดูก็ได้นะครับ จากคุณ : mouth เก่งทุกคน เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 14:21:52