ความคิดเห็นที่ 1 |
|
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด
หมาย ถึง การหักเลี้ยวของรถไปด้านใดด้านหนึ่งจนสุด ในขณะที่รถอยู่ในลักษณะตั้งฉากกับพื้น แล้วหมุตรอบตัวเองเป็นวงกลม รัศมีของวงกลมนั้นก็คือ รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดของรถคันนั้น
มุมไต่
เป็น มุกที่แสดงให้เห็นว่าในขณะที่รถอยู่ในตำแหน่งเกียร์ต่ำ จะสามารถไต่ขึ้นเนินได้เท่าไหร่ ซึ่งส่วนใหญ่รถ 1 จังหวะจะมีมุมไต่ที่ดีกว่า รถ 2 จังหวะ เนื่องจากเครื่องยนต์ 4 จังหวะ มีแรงบิดในรอบต่ำที่ดีกว่ารถ 2 จังหวะ ที่มีความจุเท่ากัน
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
การ คำนวณพิจารณาจากการใช้น้ำมัน 1 ลิตร รถจะวิ่งไปได้ไกลกี่กิโลเมตร เช่น 100 กม./ลิตร (ค่าที่ได้จากการทดสอบ ความเร็วที่ 30 กม./ชม.) คือ เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วคงที่ 30 กม./ชม. บนทางเรียบจะสามารถไปได้ไกล 100 กม. โดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 1 ลิตร นั่นเอง
ขนาดยาง
การ บอกขนาดความกว้างของหน้ายางนั้น มีทั้งบอกขนาดเป็น "นิ้ว" เช่น 2.75 นิ้ว ขอบ 17 คือใช้กับวงล้อขอบ 17 นิ้ว และบอกขนาดยางเป็นมิลลิเมตร เช่น 100/70 ขอบ 17 คือ หน้ายางกว้าง 100 มม. แก้มยางสูงเป็น 70 % ของหน้ายาง คือ 70 มม. ใช้กับขอบล้อขนาด 17 นิ้ว โดยที่ 1 นิ้ว = 2.54 ซม.
ขนาดล้อ
คือ ขนาดความกว้างกระทะล้อ มักจะบอกเป็นนิ้ว เช่น กระทะล้อกว้าง 2.5 นิ้ว คือความกว้าง ของกระทะล้อ ส่วนที่ใส่ยางนอกนั่นเอง และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ ก็จะบอกขนาด เป็นนิ้วเช่นกัน เช่น 17 นิ้ว 18 นิ้ว เป็นต้น
มุมแคสเตอร์/ระยะเทรล
มุมแคสเตอร์ คือ มุมซึ่งอยู่ระหว่างแนวแกนช็อคอัพหน้ากับเส้นที่ลากตั้งฉากกับพื้นถึงคอรถ ระ ยะเทรล คือ ระยะห่างระหว่างเส้นตั้งฉากที่ลาด จากพื้นดินผ่านจุดศูนย์กลาง ของแกนล้อ หน้ากับ เส้นที่ลากต่อขนานออกจากแกนช็อคอัพหน้าตัดกับพื้นดิน ระยะทั้ง 2 มีความ สัมพันธ์กันคือ ถ้ามุมแคสเตอร์ยิ่งมีองศามากขึ้น ระยะเทรลก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ยกตัวอย่างรถที่มีมุมแคสเตอร์และระยะเทรลมาก เช่น รถชอปเปอร์ และรถครูสเซอร์ เป็นต้น ซึ่งจะมีผลดีต่อการทรงตัวในทางตรง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ามุมแคสเตอร์น้อยลง ระยะเทรลก็จะน้อยลงไปด้วย เช่นในรถสปอร์ต ซึ่งจะมีความมั่นคงในทางโค้งมากขึ้น
ตัวถัง
มีหลายลักษณะ คือ - แบบทวินสปาร์ เช่น ในรถ ฮอนด้า เอ็นเอสอาร์ เป็นต้น - แบบดับเบิ้ลเครเดิล หรือทรงเปลคู่ เช่น ในรถ ยามาฮ่า อาร์เอ็กแซด เป็นต้น - แบบอันเดอร์โบน หรือแบ็คโบนพื้นต่ำ เช่นในรถครอบครัว - แบบไดมอน หรือทรงเปลเดี่ยว เช่น พวกรถคัสตอม หรือรถจักรยานยนต์รุ่นเก่าๆ (เช่นฮอนด้า วิง)
ระบบกันสะเทือน
ใน ด้านหน้า มีทั้งแบบ เทเลสโคปิก ซึ่งก็คือช็อคอัพหัวตั้งแบบที่ใช้งานกันทั่วไป และ แบบเทเลสโคปิก อัพไซด์ดาวน์ หรือ ช็อคหัวกลับนั่นเอง นอกจากสองระบบดังกล่าวแล้ว ยัง มีระบบอื่นๆ อีกหลายแบบ เช่น ระบบสวิงอาร์ม เช่นเดียวกับล้อหลัง เช่น ในรถ บิโมต้า เทซี่ หรือแบบเทเลเลเวอร์ โดยจะมีแขนยึดและช็อคอัพแยกตัวออกไป แบบในรถ บีเอ็มดับบลิว ส่วนในด้านหลังนั้น ส่วนใหญ่จะใช้ระบบสวิงอาร์ม จุดหมุนเดียว และมีทั้งแบบช็อคอัพคู่และ ช็อคอัพเดี่ยว ซึ่งในรถที่ใช้ช็อคอัพเดี่ยวนั้น ก็จะแยกออกเป็นแบบ โมโนช็อค คือ กระบอกช็อคยึดกับสวิงอาร์มโดยตรง เช่น ยามาฮ่า วีอาร์ ทีแซดอาร์ เจอาร์ เป็นต้น (ไม่ใช่ระบบโมโนครอส ตามที่ยามาฮ่าระบุมาแต่อย่างใด) กับแบบใช้กระเดื่องทดแรง เช่น ในรถ คาวาซากิ เคอาร์ ซูซูกิ อาร์จีวี และ อาร์จี แกมม่า เป็นต้น และนอกเหนือจากนี้ ยังมีแบบโฟร์บาร์ลิ้งค์เกจ ซึ่งก็จะเป็นระบบคล้ายๆ กับระบบกันสะเทือนแบบปีกนก 2 ชั้น ในรถยนต์นั่นเอง (หาดูได้จากช่วงล่างด้านหน้าของรถกระบะ) ดังเช่นในรถ โมโตกุซซี่ บางรุ่น และระบบโปรอาร์ม(ชื่อเรียกเฉพาะของฮอนด้า) หรือสวิงอาร์มแขนเดี่ยว เช่นในรถ ฮอนด้า เอ็นเอสอาร์ 150 เอสพี
ระบบเบรค
ส่วนใหญ่จะใช้อยู่ 2 ระบบก็คือ 1. ดรัมเบรค ทำงานโดยใช้ระบบกลไกล และสายเคเบิล 2. ดิสก์เบรค ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้แบบไฮดรอลิก 100 % คือใช้น้ำมันไฮดรอลิก ไปดันลูกสูบ คาลิเปอร์ แต่ก็มีระบบอื่นๆ อีกเช่น สายถึงไฮดรอลิก (พบในรถรุ่นเก่าๆ) คือใช้สายเคเบิล ส่งแรงไปกดแม่ปั๊มที่คาลิเปอร์ และแบบใช้สายเคเบิลอย่างเดียว ซึ่งระบบนี้จะ ให้ประสิทธิภาพที่ต่ำสุด โดยใช้กลไกที่คาลิเปอร์ไปดันลูกสูบ ซึ่งส่วนใหญ่จะ มีใช้ในรถ ที่ความเร็วต่ำๆ หรือในรถ ATV บางรุ่น
จากคุณ |
:
parama01
|
เขียนเมื่อ |
:
5 มี.ค. 53 12:52:03
|
|
|
|