ความคิดเห็นที่ 1 ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เพราะแบบนั้นมัน "ฮอลลีวู๊ด" เกินไปหน่อย ลองคิดดูซิครับ หากคนคิดเทคโนโลยี ที่ทำให้รถวิ่งได้โดยไม่พึ่งพาน้ำมันเป็นคนอเมริกัน หรือ จีน ประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นซาอุดิอาระเบีย, อิรัก, เวเนซูเอล่า, กาต้าร์ ฯลฯ จะมีปัญญาไป "เก็บ" คนอเมริกันคนนั้น ที่แน่นอนว่ารัฐบาลของเขาต้องดูแลดุจไข่ในหินได้เชียวหรือ ?? คนที่คิดเทคโนโลยีแบบนี้ได้ มันต้องเป็นคนระดับ cream ที่รัฐบาลของเขาต้องดูแลอย่างดีครับ ประเทศเศรษฐีน้ำมันเลยต้องหาทางออก ด้วยการปรับเปลี่ยนตัวเองมาขายการท่องเที่ยว หรือทำตัวเองให้เป็น hub ในด้านต่างๆให้ได้ เพื่อที่ในอนาคตจะได้ไม่ต้องพึ่งรายได้จากน้ำมัน ที่คาดการณ์ว่ามันอาจจะกำลังหมดลงในอนาคต ผมเคยใช้ชีวิตที่กาต้าร์มา 4 ปี ผมว่ามองมองเห็นความเปลี่ยนแปลง ของประเทศในกลุ่มโอเปคทั้งหลายครับ จากคุณ : ตุ้ม แม็คคาร์ทนี่ย์ (Toom McCartney) เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 14:43:03

ความคิดเห็นที่ 2   จริง จ๊ะ... เพราะประเทศ บางประเทศ ที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมัน..มีชีวิตที่ฟู่ฟ่า หรูหรา..มีสวัสดิการให้ประชาชน อย่างดี..เพราะ อาชีพขายน้ำมัน นี่หล่ะจ๊ะ ถ้าตราบใด ยังมีน้ำมันพอให้ขาย...การขจัด..หรือ อย่างน้อยเบรคโครงการ รถราทั้งหลายที่ ยังใช้น้ำมัน อยู่ ได้..มันก็เป็นการดี และก็ไม่ใช่ผุ้ค้าน้ำมันอย่างเดียว... ธุรกิจ ..รถยนต์..ในโลกนี้..มันมี มูลค่า มหาศาล การเปลี่ยนแปลงระบบเชื้อเพลิง โดยสิ้นเชิง..ทำให้เกิดปัญหา..แน่นอน ทั้งโลก ไหนจะรถเก่า มือสอง..ทั้งหลายแหล่...ที่ ยังใช้ระบบเดิมอยู่... ไหนจะสต๊อค..อะไหล่ สำหรับ..รถที่ใช้ระบบเชิ้อเพลิงเก่าอยู่.. มันมีหลายเงื่อนไขนะ ผมว่า.. ถ้าตราบใด ยังพอมี..น้ำมันให้ขุดให้เจาะ สร้างรายได้ได้.. พลังงานด้านอื่น คงมีแค่การเตรียมพร้อมสำหรับการใช้.. ทศวรรษ นี้ ยังน่าจะต้องใช้..น้ำมันเป็น เชื้อเพลิงสำหรับขับเคลื่อนรถยนต์อยู่ครับ.. จากคุณ : ~cupid~ เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 14:44:29 A:112.142.121.205 X: TicketID:230028

ความคิดเห็นที่ 3 เก็บ ไม่จริงครับ ใครจะไปทำเรื่องเสียหายให้ธุรกิจตัวเอง เค้าสนับสนุนให้ทุน คนที่คิดค้นพลังงานทดแทนด้วย แต่ดองงานไว้ รอน้ำมันหมด ค่อยเอาโครงการมาปัดฝุ่นต่อครับ จากคุณ : าำฟิ (keab_h) เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 14:48:38

ความคิดเห็นที่ 4 ผมว่าไม่น่าจะเรียกเก็บ ความน่าจะเป็นคือ คงไปซื้อแบบ ไอเดีย แนวคิด นั้น แล้วดองไว้ ครับ ใครคิด ใครทำ เครื่องจักร หรือรถ ที่ไม่ใช้น้ำมัน พวก บ.น้ำมัน พวกนี้ คงไปเป็นประมาณว่า สปอนเซอร์ แล้ว ดองงานวิจัยไว้  ไม่ยอมให้พัฒนา แถม ถือสิทธิผูกขาด น่าจะเป็นแบบนี้นะ เดาเอา แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 53 15:11:44 จากคุณ : คนจ๊นจน เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 15:11:32

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่าไม่จริงหรอก ถึงคิดมาก็ขายไม่ได้ครับ สมมติผมคิดรถที่วิ่งได้ด้วย ไฮโดรเจน แล้วผมจะไปเติมไฮโดรเจนที่ไหน ผลิตมาขายไม่ได้ ก็ไม่มีคนลงทุนหรอกครับ เรื่องเชื้อเพลิง มันต้องลงทุนกันทั้งระบบ ทั้งเครื่องจักร แหล่งเชื้อเพลิง อะไหล่ มันต้องมาพร้อมกัน ไม่งั้นไม่เกิดครับ ต้องใช้เวลาครับ จากคุณ : jaminonez เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 15:30:15

ความคิดเห็นที่ 6 เบื้องลึกเป็นยังไงผมไม่ทราบ แต่เคยได้ยินข่าวเมื่อช่วงน้ำมันเริ่มแพงกันไหมครับ ข่าวออก TV เลยนะครับ ที่บอกว่าที่ดินทางจังหวัดที่เป็นพื้นที่ปลูกข้าวหลักๆ จำนวนมาก โดนกว้านซื้อโดยตัวแทน ซึ่งถูกจ้างจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันทั้งหลายอีกที เค้าเผื่อทางเลือกตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงน้ำมันจะหมด ก็ยังสามารถขายเอทานอลต่อได้ คนไทยที่หลงว่าประเทศตัวเองไม่มีน้ำมันก็ไม่เป็นไร ถึงเวลาปลูกข้าว ปลูกอ้อย แล้วมาสกัดเป็นน้ำมันใช้ในประเทศก็ได้ แต่ขายที่ดินซะเรียบ จะเอาอะไรปลูกข้าว ปลูกอ้อยมิทราบ.... จากคุณ : แมงแกลบ เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 15:44:02

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่ามั่ว..ครับ ถ้ามันเก็บกันได้ง่ายๆแบบนั้นจริง  ผมยกตัวอย่างเรื่องฟิล์มแล้วกัน ถ้าผมเป็น Kodak / Fuji film / agfa   ผมจะจ้างเก็บคนที่มันคิด กล้องดิจิตอลให้เกลี้ยงเลยครับ  มันทำอันตรายอย่างใหญ่หลวง ต่อธุรกิจฟิล์มถ่ายรูป  ซึ่งในทางความเป็นจริง พวกคุณไม่ได้ใหญ่แค่กลุ่มเดียว คุณจะไปเก็บคนของ sony / panasonic / cannon / nikon ที่เขาพัฒนาเทคโนโลยีนี้ไม่ได้หรอกครับ มัน ฮอลิวูด เกินไปอย่างทา่นตุ้มว่า  แนวโน้มพวกนี้บริษัทใหญ่เขารู้ดี ก็หาทางออกด้วยการ พัฒนากล้องดิจิตอล ซะเองเลย ทั้ง kodak และ fuji film กระดาษอัดรูปก็ยังพอขายได้ แต่ก็น้อยลงไปเยอะ เป็นธรรมดาที่เทคโนโลยีใหม่ๆ จะกลืนกิน  เทคโนโลยีเก่าๆ การเรียนรู้และปรับตัว ย่อมดีกว่า การขัดขวางไม่ให้มันเกิด เพราะแม้ว่าคุณจะใหญ่แค่ไหน คุณก็ขวางมันไม่ได้ เพราะมีคนที่ใหญ่กว่าคุณเสมอ เหนือฟ้ายังมีฟ้า บริษัทน้ำมันว่ารวย + ทรงอิทธิพลแล้ว ยังมีขนาดทรัพย์สิน ไม่เท่ากลุ่มบริษัท IT / กลุ่มบริษัทยา / หรือแม้แต่กลุ่มยานยนต์ แขกโอเป็กที่ไหน จะไปขวางกลุ่ม GM / FORD ในอเมริกาได้ ผมว่ามันนิยายไปหน่อย.. ถ้าจะเป็นความเชื่อของบางคนละก็ไม่ว่ากัน แต่ผมไม่เชื่อเช่นนั้น.. จากคุณ : listeria เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 15:52:16

ความคิดเห็นที่ 8   น่าจะเก็บโดย.....ใช้เงินอุดมากกว่าน่ะ จากคุณ : toad9116 เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 15:56:47

ความคิดเห็นที่ 9 หนังเรื่องอะไรเนี้ยครับ   คงไม่จริงมั้งครับ จากคุณ : PRUEKPOOm เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 16:16:51

ความคิดเห็นที่ 10 ที่ได้ยินๆ  ในเมืองไทยนี่ ส่วนใหญ่มันจะเป็นนิยายที่คนไทยแต่งหลอกกันเองนี่แหละ แต่พอเวลาพูดถึงเรื่องราวจริงๆ  คนกลับไม่ค่อยจะเชื่อกัน จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 17:36:22

ความคิดเห็นที่ 11   ผมดัดแปลงรถเครื่องยนต์ธรรมดา  มาใช้มอเตอร์ไฟฟ้าครับ เรื่องจริงๆ ระดับนั้นจะเป็นยังไง ผมไม่ทราบจริงๆ ... แต่ถ้าเอา Common Sense นะครับ  คุณลองประมวลข้อมูล ที่ผมได้อ่านเจอมาจะดีกว่า มหาเศรษฐีจีนอันดับร้อยกว่าๆ โดดมาเป็นอันดับหนึ่งของจีน ภายในปีเดียว เพราะ Warren Buffet เข้ามาซื้อหุ้น ร่วมทุนทำนองนั้น รถยี่ห้อ Build Your Dream-BYD ผู้ผลิตรถรายอื่นๆ ของจีน  ต่างอยู่ในสถานะเดียวกันทั้งสิ้น จีนเป็น Supplier อันดับหนึ่ง 95% ของนีโอไดเนียมที่มีอยู่ในโลก นี่เป็น Rare Earth ธาตุสำคัญสำหรับการทำแม่เหล็กแรงสูงต่างๆ ทั้งใน Hard Disk Drive ในมอเตอร์ของเครื่องใช้ต่างๆ บริษัทใหญ่ๆ ระดับโลกมีแผนที่จะผลิตรถไฟฟ้า เพื่อจำหน่าย? เพื่อแจก? อย่างเช่น Aptera ที่สนับสนุนเงินลงทุนโดย Google ... เป็นต้น Lithium แหล่งใหญ่ที่สุดของโลกอยู่ที่ Bolivia ในอเมริกากลาง  เป็นประเทศด้อยพัฒนา และผู้นำทางทหาร ประกาศเจตนาชัดเจนเลยว่า รู้ตัวดีว่าประเทศเขามีทรัพยากร ที่มีค่าขนาดไหน และมีมากขนาดไหน (มากพอที่จะใช้ทำแบตให้รถ ไฟฟ้าทั่วโลก ในพริบตาเดียว) มอเตอร์ไฟฟ้าหนึ่งลูก  ทำงานแทนเครื่องยนต์ ระบบหล่อเย็น ระบบจ่ายไฟ ระบบท่อไอเสีย ระบบปรับอากาศ ...ชิ้นส่วน หายไปเกือบๆ พันรายการ...รถราคาถูกท่ีสุดในโลก คือ TARA Tiny ถูกกว่า TATA Nano หนึ่งเหรียญ มอเตอร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  นับตั้งแต่ถูกคิดค้นขึ้นมา อาจมีเพียงแค่การ upgrade ใช้แม่เหล็กที่แรงขึ้น  หรือใช้เงินบริสุทธิ์ มาพันแทนทองแดง!!! เครื่องบิน คือ สิ่งสุดท้ายที่จะถูกแปลงเป็นไฟฟ้า (แต่ก็ไม่แน่  ถ้าคนยอมรับได้ว่าให้มีเตานิวเคลียร์ ในเครื่องบินได้แบบในเรือดำน้ำ:) เครื่องปั่นไฟตามโรงไฟฟ้า จะไม่มีวันโดนแปลงเป็นไฟฟ้า รถไฟขนส่งสินค้า  ทุกวันนี้เป็นไฟฟ้า(โดยใช้น้ำมัน)อยู่แล้ว น้ำมัน..มีลูกค้าที่ไปไหนไม่ได้ ไม่มีวันไปไหน อยู่ทั่วโลก ถ้ามีใครทำอะไรอย่างนั้น  ผมว่าไม่ใช่พวก OPEC ครับ จากคุณ : ElectricDream เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 19:33:36

ความคิดเห็นที่ 12   เทคโนโลยีรถไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องไฮเทคแต่อย่างใดเลยนะครับ   รถคันแรกๆ ของโลก เป็นไฟฟ้าทั้งสิ้น  ใช้กันอยู่ยี่สิบ สามสิบปี ทั่วโลก แล้วจึงเริ่มมาใช้แบบน้ำมัน สเปครถไฟฟ้าในปัจจุบันนี้ ก็ไม่ต่างจากเมื่อร้อยกว่าปีสักเท่าใดนัก มอเตอร์แทบจะตัวเดียวกัน แตกต่างตรงแบตทุกวันนี้ชาร์จได้ สมัยนั้นใช้ครั้งเดียวทิ้ง (ไม่ไปนับ ซุปเปอร์คาร์ TESLA ราคาทะยานฟ้าแบบนั้นนะครับ) จากคุณ : ElectricDream เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 19:44:47

ความคิดเห็นที่ 13 อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน และที่บ้านเราพัฒนาพลังงานทางเลือกช้าก็ไม่รู้ว่ามีใครมาสกัดดาวรุ่งหรือเปล่า หรือว่าไม่สกัดแต่แค่ไม่งบสนับสนุนหรือเปล่า ผมว่าคนไทยเก่งคิดโน่นคิดนี่ได้ แต่ไหงไม่พัฒนาต่อ จากคุณ : cagiva เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 20:06:58

ความคิดเห็นที่ 14 ผมว่าจริงนะ ... เพราะถ้าน้ำมันไร้ค่า ... ผู้ผลิตน้ำมันก็ขยะเลย จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 20:44:55

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ ElectricDream แน่นดีจริงๆ เป็นนักประดิษฐ์ หรือป่าวครับ ผมก็สนใจเรื่อง รถพลังงานไฟฟ้าอยู่ ขอบคุณสำหรับข้อมูล จากคุณ : dragonjack เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 20:54:44

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าคำว่า "เก็บ" หมายถึง "ฆ่าทิ้ง" ล่ะก็  คงไม่ใช่ แต่น่าจะเป็นการ "ซื้อตัวไปเก็บ" ไว้ โดยฝ่ายที่จ่ายราคาดีที่สุด ถึงทุกวันนี้ ประเทศอาหรับจะเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบป้อนโลก แต่พวกเค้าก็ต้องจ้างฝรั่งไอ้กัน / ฝรั่งยุโรปไปขุดให้อยู่ดี บริษัทที่รวยติดอันดับแรกๆ ในโลกนี้ ก็ล้วนเป็นบ.ขุดเจาะ/กลั่นน้ำมันของพวกฝรั่งนี่แหละครับ ดังนั้น ถ้าน้ำมันเกิดหมดค่าขึ้นมากะทันหัน ก็ใช่ว่า ฝรั่งมันจะเห็นดีด้วยนะ จากคุณ : P_Wut เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 21:39:16

ความคิดเห็นที่ 17   งั้นมันก็คงจะมาเก็บบริษัทรถยนต์ที่ผลิตรถไฮบริดไปแล้วน่ะสิ รถใช้น้ำมันอี 85 ด้วย อย่างน้อยรถแท็กซี่ก็แย่เหมือนกัน ทุกวันนี้เค้าก็ใช้แก็สกันหมด ประไทยนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย ปั้มแก๊สอยู่ทั่วประเทศ ถ้าอาหรับมาระเบิดปั้มทิ้งก็แย่เลยล่ะสิ กลั๊วกลัว ลืมไป รถเติมน้ำด้วยนะ ระวังจะโดนไปด้วย เชื่อกันเข้าไป จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 53 01:52:14 A:117.47.232.52 X: TicketID:195704

ความคิดเห็นที่ 18 ถูก !!! จากคุณ : ตอยๆยานา เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 53 12:59:39

ความคิดเห็นที่ 19 มันคงจะมาจากเรื่องของ Rudolph Diesel  มั้ง ผู้คิดค้นเครื่องยนต์ ดีเซล สมัยก่อนเครื่องยนต์ ดีเซล ใช้น้ำมันที่สกัด จาก พืช ในยุคแรกๆ ที่หายตัวไป บนเรือ เครื่องยนต์ดีเซลสันดาปภายใน ได้ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) โดยวิศวกรที่ชื่อว่า รูดอล์ฟ ดีเซล ส่วนการนำน้ำมันจากพืชมาใช้ในเครื่องยนต์ดีเซลเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) เมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็ต้องหยุดไปเนื่องจากมีการค้นพบวิธีการผลิตน้ำมันดีเซล จากปิโตรเลียมที่มีราคาถูกกว่า จนกระทั่งปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) เกิดวิกฤติราคาน้ำมันขึ้นทำให้พลังงานจากพืชได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 53 09:38:19 จากคุณ : Ecar4G15 เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 53 09:34:48

ความคิดเห็นที่ 20   จริงครับ ผมว่านะ เพราะว่าถ้าเราลองดูตัวเลขยอดขายน้ำมันดิบในแต่ละปีแล้วก็ยอดขายของ ปตท หรือ บ. น้ำมันทั่วโลกเนี่ยมันเป็นเงิน หลัก ล้านๆ เลยนะครับ ถ้าจะจ้างเก็บคนที่มาขัดเงิน หลักล้านๆเนี่ยผมว่า เค้าทำแน่เพราะว่ามันคุ้มพอครับ ขนาดบ้านเราทำน้ำมัน e85 ได้แล้วแต่ก็ยังไม่ส่งเสริมให้ใช้อย่างเต็มที่เต็มกำลังนั่นก็เพราะว่า ผมมีผลประโยชน์ทับซ้อนมากมายครับ จากคุณ : tomaxe191 (tomaxe191) เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 53 10:32:50