ความคิดเห็นที่ 1 - วงเงินความรับผิดชอบต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก(ไม่รวมทรัพย์สินที่อยู่ในความครอบครอง หรือดูแล หรือควบคุม หรือถือกรรมสิทธิ์ของผู้ขับ ผู้เอาประกันภัย หรือ พ่อแม่ บุตร สามีภรรยาของผู้ขับหรือผู้เอาประกันภัยดังกล่าว) เช่นกันวงเงินที่ปลอดภัยคือ 1,000,000 บาทต่อครั้งขึ้นไป >>> ข้อนี้คุ้มครอง บรรดาทรัพย์สินของบุคคลภายนอกที่รถเราไปชนของเขาเสียหาย เช่น  รถยนต์ กำแพงบ้าน เสาไฟฟ้า เป็นต้น        ลองนึกว่าเราไปสอยบั้นท้าย Benz E class ใหม่ๆ สักครั้ง แบบแร๊งแรง บางครั้ง 1 ล้านบาทอาจไม่พอจ่ายอ่ะนะ ข้อนี้บางประกันภัยขายให้เพียง 500,000 or 600,000 บาทต่อครั้ง (ส่วนมากความคุ้มครองต่ำๆ มักอยู่จะอยู่ในขายประเภท 3 หรือ 3 plus        การที่เรามีประกันภัยแล้วต้องมาลุ้นว่าจะต้องรับผิดชอบส่วนเกินวงเงินอีกหรือไม่ คิดว่าไม่คุ้มกับเบี้ยประกันภัยที่แตกต่างระหว่างเบี้ยประกันภัยที่มีความคุ้มครองต่ำ และความคุ้มครองสูง เพราะส่วนมากเบี้ยต่างกันแค่หลักร้อยปลายๆ หรือพันต้นๆ จากคุณ : shoxx23 (shoxx23) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 08:44:10

ความคิดเห็นที่ 2 - ต่อมาคือความคุ้มครองต่อตัวรถเราเอง(มีเฉพาะประเภท 1 or 2) แยกเป็นคุ้มครองตัวรถเมื่อเกิดความเสียหายใดๆ(ประเภท 1) หรือที่เรียกว่าทุนประกันภัย การกำหนดทุนที่เหมาะสมอยู่ที่ 80 - 90% ของราคารถ ณ เวลาที่ทำประกันภัย ประกันภัยไม่รับ 100% เหตุผลหนึ่งก็คือ กรมธรรม์คุ้มครองต่อไปข้างหน้าอีก 1 ปี ราคารถย่อมลดลงตามระยะเวลา ดังนั้นประกันภัยจึงต้องเผื่อไว้ว่า ณ ปลายปีกรมธรรม์ ทุนประกันภัยจะไม่สูงเกินกว่าราคารถ ณ เวลานั้น   วงเงินนี้จะกำหนดเท่าๆกับ การคุ้มครองรถหายหรือไฟไหม้(ประเภท 1 และ 2)   ส่วนประเภท 3 plus หรือ 2 plus นั้น มีแพคเกจวงเงินความคุ้มครองข้อนี้ให้เลือกหลากหลาย แต่คุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดจากการชนกับยานพาหนะทางบกที่เดินด้วยกำลังเครื่องยนต์/ไฟฟ้าเท่านั้น(ประเภท 3 plus) และประเภท 2 plus คุ้มครองเหมือน 3 plus แต่รวมถึงรถหาย/ไฟไหม้ด้วย จากคุณ : shoxx23 (shoxx23) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 08:54:30

ความคิดเห็นที่ 3 ต่อมาคือ ความคุ้มครองที่เพิ่มเติมเป็นเอกสารแนบท้าย(เหตุที่แยกเพราะส่วนนี้ผู้เอาประกันภัยเลือกที่จะไม่ซื้อความคุ้มครองส่วนนี้ก็ได้) - การคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล (ร.ย. 01) คุ้มครองกรณีบุคคลในรถทุกคนที่เสียชีวิต หรือพิการถาวร (ไม่เกินจำนวนที่ระบุในกรมธรรม์ ดังนั้นเวลาซื้อถามให้แน่ใจว่าคุ้มครองคนในรถกี่คน) ข้อนี้แล้วแต่ความต้องการความคุ้มครอง เช่น 100,000 หรือ 200,000 หรือ 300,000 บาทต่อคน - การคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล (ร.ย. 02) คุ้มครองกรณีบุคคลในรถได้รับบาดเจ็บ(ไม่เกินจำนวนคนที่ระบุเช่นกัน) และเลือกวงเงินได้เช่นกัน  จะเห็นได้ว่าวงเงินความคุ้มครองที่กล่าวมา จะให้ความคุ้มครองบุคคลในรถโดยเฉพาะเน้นไปที่ตัวผู้ขับ สามีภรรยา บุตร พ่อแม่ของผู้ขับ ซึ่งถูกยกเว้นความคุ้มครองไว้ตามที่กล่าวตอนต้นกระทู้ จากคุณ : shoxx23 (shoxx23) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 09:06:15

ความคิดเห็นที่ 4 เอกสารแนบท้ายอีกข้อคือ การประกันตัวผู้ขับขี่ ไว้ใช้เวลาเกิดเหตุแล้วต้องมีการประกันตัวผู้ขับออกจากคุก วงเงินที่ปลอดภัย คือไม่ควรต่ำกว่า 200,000 บาท (กรณีเกิดเหตุและมีผู้เสียชีวิตใช้หลักทรัพย์ประกันตัวประมาณ 150,000 - 200,000 บาท) จากคุณ : shoxx23 (shoxx23) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 09:09:12

ความคิดเห็นที่ 5 ความรู้ดีๆ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : bejito เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 10:38:26

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณครับ.. จากคุณ : ถูกทิ้งที่รังสิต เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 11:09:04

ความคิดเห็นที่ 7 ได้ความรู้มากเลยค่ะ เราเองก็เพิ่งจะสังเกตุว่าข้อเสนอของแต่ละบริษัทที่เบี้ยประกันไม่เท่ากันก็เพราะความคุ้มครองไม่เท่ากันนั่นเอง เบี้ยถูกความคุ้มครองก็น้อยตามไปด้วย เมื่อก่อนก็จะเลือกบริษัทที่ไว้ใจได้ และเบี้ยถูกที่สุด แต่ตอนนี้ต้องดูเงื่อนไขความคุ้มครองอื่น ๆ ประกอบด้วย จากคุณ : แม่น้องมะปราง เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 11:11:08

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าคนชนมีประกันชั้น 1 แล้วคู่กรณีพิการ เราสามารถเรียกร้องเงินค่าชดเชยกรณีพิการ ได้จากบริษัทประกันรึเปล่าครับ หรือให้คู่กรณีเป็นคนติดต่อประกันให้ ี จากคุณ : pooly_a เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 11:25:23

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบคห.8 ครับ กรณีคนถูกชนได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะพิการหรือไม่ สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ทุกอย่าง(ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลละเมิด) ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาลในอนาคต ค่าขาดรายได้ ต่าสูญเสียโอกาส ค่าขาดไร้อุปการะหรือค่าที่ต้องจ่ายอุปการะผู้อื่นโดยเฉพาะพ่อแม่ บุตรสามีภรรยา ที่คนเจ็บดูแลรับผิดชอบอยู่ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุ เพียงแต่ต้องประเมินเป็นจำนวนเงินให้ได้และคนเจ็บหรือญาติสามารถเจรจาเรียกร้องจากประกันภัยได้โดยตรง หากการเจรจาต่อรองเป็นที่พอใจก็รับ ไม่พอใจก็ต้องดำเนินการในขั้นตอนต่อไปคือยื่นเรื่องข้อพิพาทต่อ คปภ. (กรมการประกันภัยเดิม) ซึ่งจนท.จะเชิญทุกฝ่ายเข้าเจรจาไกล่เกลี่ยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ หากยังตกลงกันไม่ได้ สามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปคือยื่นเรื่องต่ออนุญาโตตุลาการ คปภ. ซึ่งเข้าใจง่ายๆคือเหมือนศาลพิจารณา เนื่องจากคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น หากประกันภัยไม่จ่ายตามคำชี้ขาดนั้น ผู้เสียหายสามารถนำคำชี้ขาดดังกล่าวยื่นต่อศาลให้ศาลสั่งจ่ายได้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นไปตามคำชี้ขาดนั้น และกรณีนี้ประกันภัยจะถูกดำเนินคดีในข้อหาประวิงเวลาการจ่ายอีกต่างหากมีโทษปรับคดีละ 250,000 และ 500,000 หากมีประวัติครั้งที่สองขึ้นไป ดังนั้นจะเห็นได้ว่าประกันภัยมีข้อบังคับที่มีบทลงโทษค่อนข้างสูงส่วนมากจะจบในชั้นเจรจาของจนท.คปภ. หรือชั้นอนุญาโตตุลาการ ครับ และต้องไปดูด้วยว่าความคุ้มครองของกรมธรรม์ที่เราเรียกร้องนั้นมีวงเงินอยู่เท่าใด จะเรียกจากประกันภัยได้ไม่เกินนั้น ส่วนหากเรียกมากกว่านั้นต้องเรียกร้องโดยตรงกับผู้ที่กระทำผิด ซึ่งหากเจรจาแล้วเขาไม่จ่ายต้องฟ้องศาลภายใน 1  ปีนับจากวันที่เกิดเหตุครับ แถมท้าย การดำเนินการในชั้นอนุญาโดตุลาการไม่ต้องใช้ทนาย ผู้เสียหายดำเนินการเองได้ หรือมอบอำนาจให้คนอื่นทำแทนได้ มีค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่างๆกำหนดไว้ชัดเจน (ต่ำกว่าการให้ทนายดำเนินการแน่นอน) แถม คปภ. = สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย จากคุณ : NooM@Ratchada (shoxx23) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 12:55:20

ความคิดเห็นที่ 10 การเลือกประกันภัยควรคำนึงและให้น้ำหนัก - วงเงินความคุ้มครองที่พอเพียง   30% - ความมั่นคง การบริการเคลม ชื่อเสียง 30% - เบี้ยประกันภัย 20% - ตัวแทนหรือนายหน้า 20% เพราะตัวแทนหรือนายหน้านี่หล่ะที่จะต้องคอยดูแลผลประโยชน์ให้กับลูกค้า (ไม่ได้ดูแลผลประโยชน์ให้บริษัทประกันภัย) จากคุณ : NooM@Ratchada (shoxx23) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 13:01:03

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่พอใจก็ต้องดำเนินการในขั้นตอนต่อไปคือยื่นเรื่องข้อพิพาทต่อ คปภ. (กรมการประกันภัยเดิม) ซึ่งจนท.จะเชิญทุกฝ่ายเข้าเจรจาไกล่เกลี่ยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ หากยังตกลงกันไม่ได้ สามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปคือยื่นเรื่องต่ออนุญาโตตุลาการ คปภ. ซึ่งเข้าใจง่ายๆคือเหมือนศาลพิจารณา ---------------------------------------- ผมว่ามันเพี้ยนอยู่นะครับ สมัยนี้ไม่มีใครไปร้องคปภ.หรอกครับ เพราะผู้เสียหายจะฟ้องแพ่งพ่วงไปกับคดีอาญาแล้วครับ คปภ.ไม่มีอำนาจตัดสินหรือชี้ขาดใดๆในค่าสินไหม   ส่วนที่ร้องเรียน คปภ.ได้คือความขัดแย้งระหว่าง ผู้รับประกันกับผู้เอาประกันครับ จากคุณ : keaw_m เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 16:35:12

ความคิดเห็นที่ 12 คห. 11 เรียนไว้ว่าคปภ.ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยครับ ซึ่งอาจจะสามารถจบได้เร็วกว่าฟ้องศาล ส่วนกระบวนการอนุญาโตตุลาการ เร็วกว่ากระบวนการศาลแพ่งแน่นอนครับ ส่วนที่ท่านแจ้งว่าฟ้องแพ่งพร้อมกับอาญานั้น ส่วนมากยังไม่ใช่การฟ้องแพ่งเป็นการไกล่เกลี่ยก่อนพิพากษาลงโทษในคดีอาญามากกว่า กระบวนการฟ้องแพ่งจะต้องมีการวางเงินธรรมเนียมศาลตามข้อกำหนด และเป็นคดีแพ่งต่างหาก ลองไปที่ คปภ. จะเห็นว่าแต่ละวันมีผู้มายื่นข้อพิพาทมากพอควร ผู้ที่ได้รับความเสียหายและสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้จากกรมธรรม์ สามารถยื่นข้อพิพาทต่อคปภ.ได้ครับ ไม่ได้จำกัดแค่ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย จากคุณ : NooM@Ratchada (shoxx23) เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 11:49:08

ความคิดเห็นที่ 13 มายื่นแล้วได้อะไรกลับไปล่ะครับ เสือกระดาษชัดๆ ยิ่งวันนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐแล้วด้วย คปภ.วันนี้เป็นองกรอิสระ ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลองกรณ์ที่เกี่ยวกับการประกันภัย สังกัดกระทรวงการคลัง ไม่มีอำนาจในการตัดสินการจ่ายสินไหมตาม ฐานานุรูป ใช่ครับถ้าบริษัทประกันทำผิดกฎ ผิดระเบียบ คปภ.สามารถสั่งปรับหรือสั่งปิดได้ แต่ถ้าไม่ได้ทำผิดกฎละครับ บริษัทเขาจะจ่ายให้แต่จ่ายได้ไม่ตรงความต้องการของผู้เสียหาย คปภ.จะไปทำอะไรเขาได้ล่ะครับ เอาง่ายๆรถชนคนเจ็บ คนตาย เวลาตกลงยอมความกันไปที่ไหนครับ โรงพักหรือคปภ. ที่ท่านว่า เป็นการไกล่เกลี่ยก่อนพิพากษาลงโทษในคดีอาญามากกว่า การไกล่เกลี่ยมีคำสั่งให้จ่ายสินไหมเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้ด้วยหรือครับ คปภ.รับเงินเดือนจากไหนรู้ไหมล่ะครับ เคยได้ยินคำที่ว่า ใครรับเงินจากผมเป็นลูกน้องผมทั้งนั้นไหมครับ อันนี้บริษัทประกันเขาพูดกันนะครับ จากคุณ : keaw_m เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 13:40:00

ความคิดเห็นที่ 14 หากคุณเข้าใจคำว่าไกล่เกลี่ยก็จะเข้าใจสิ่งที่สื่อไปครับ เราแค่ต้องการสื่อให้ทราบถึงสิทธิของผู้เสียหาย ไม่ใช้สิทธินั้นก็ไม่ผิดครับ จากคุณ : NooM@Ratchada (shoxx23) เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:38:32