ความคิดเห็นที่ 1 และมี ticket ID 248569  ตอบมาดังนี้ ... จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 02:25:10

ความคิดเห็นที่ 2 ประเด็นแรกที่จะชี้แจง คือ ดีที่สุดก็ขายดาวน์ไป ในกรณี รถใหม่  เช่น Altis  รถราคา 800,000 บาท ตอนซื้อคุณดาวน์มา 25% หรือ 200,000 บาท ผ่อนเดือนละ 15000 บาท 48 งวด คุณผ่อนมา 10 งวดแล้วผ่อนไม่ไหว   แบบนี้ส่วนใหญ่ผ่อนนไม่ไหวก็ต้องเลือกขายดาวน์ไป หักลบค่าเสื่อมราคาของรถใหม่ ขายดาวน์ไปก็ยังได้หลายเงิน ยังได้ทุนคืนมาบ้าง เปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อให้คนใหม่ไปผ่อนรถ จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 02:36:32

ความคิดเห็นที่ 3 หากผ่อนไม่ไหว  เลือกคืนรถให้บริษัทเช่าซื้อไป โดยไม่ค้างชำระค่างวดเลย กรณีนี้ ไม่ค่อยเกิด เพราะส่วนบริษัทเช่าซื้อรถ ต้องให้วางเงินดาวน์ ซึ่งจะประมาณว่าคุ้มค่าเสื่อมสภาพ และถ้าคนซื้อเลือกขายดาวน์ ก็สามารถได้เงินคืนมาด้วยแทนที่จะเป็นศูนย์ไม่ได้อะไรเลยและเป็นเรื่องเป็นความ ================================ แต่กรณีที่เป็นเรื่องส่วนใหญ่ทั้งหมด เกิดจากผ่อนไม่ไหว .. ขาดส่ง เค้ามายึดรถ บริษัทเอารถมาขายทอดตลาด   คำถามคือแล้วคุณจะต้องจ่ายเท่าไหร่ ถ้าเป็นเรื่องเป็นความในศาล เช่น ซื้อ altis 800,000 บาท ดาวน์ 25% 200,000 บาท ทีเหลือ 600,000 เอามาผ่อนที่ดอกเบี้ย 3.5% ผ่อน 4 ปี รวมต้นดอกอยู่ที่ 684,000 บาท ผ่อนไป 10 งวด (15,000x10=1.5 แสน) ผ่อนไม่ไหว ปล่อยขาดไป 4 เดือน แล้วโดนยึดรถ สมมติ บริษัทเอารถมาขายได้ 434,000 150,000 (ผ่อน) + 434,000 (ขาย) รวม 584,000 ยังคงค้างอีก 1 แสนบาท จากที่ทำสัญญาไว้ 684,000 บาท เราต้องจ่ายอีก 1 แสนหรือไม่ เราต้องจ่าย 15,000 x 4 งวดที่ค้างนั้นด้วยหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 03:12:27 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 03:05:33 จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 03:01:51

ความคิดเห็นที่ 4 ตัวอย่าง ... คำพิพากษาศาลฎีกาที่   3830 - 3831/2550 ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ อี 220 จากจำเลยในราคา 2,781,309 บาท ตกลงผ่อนชำระรวมค่าภาษีมูลค่าเพิ่มงวดละ 49,600 บาท เริ่มชำระวันที่ 27 มกราคม 2537 และงวดต่อไปทุกวันที่ 27 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบโดยมีโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โจทก์ที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลยรวม 34 งวด แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 35 จำเลยมีหนังสือขอให้ชำระหนี้บอกเลิกสัญญา แจ้งให้โจทก์ทั้งสองมาติดต่อชำระหนี้ตามสัญญาเช่า ซื้อภายใน 15 วัน นับถัดจากวันที่ลงในหนังสือ หากพ้นกำหนดให้ถือเอาหนังสือดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ที่ 1 ได้ติดต่อกับจำเลยภายในระยะเวลาที่จำเลยกำหนดแล้วสั่งจ่ายเช็คชำระเงินให้ แก่จำเลยรวม 5 ฉบับ ต่อมาเช็คฉบับที่สี่และที่ห้าเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยจึงยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากโจทก์ที่ 1 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า สัญญาเช่า ซื้อเลิกกันหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามสัญญาเช่าซื้อจะระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดถือว่าสัญญาเลิกกันทันทีโดย ไม่ต้องบอกกล่าวก่อน และผู้เช่าซื้อยอมให้เจ้าของริบบรรดาเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระทั้งหมดเป็นของเจ้าของ และผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของโดยพลัน แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าในการชำระค่าเช่าซื้อโจทก์ ที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดเวลาที่ระบุใน สัญญา จำเลยยอมรับค่าเช่าซื้อไว้ไม่ทักท้วง ตามใบเสร็จรับเงิน แสดงว่าคู่สัญญาไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตาม สัญญาเป็นสาระสำคัญ ต่อมาเมื่อโจทก์ที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 35 เป็นเวลา 9 งวด จำเลยมีหนังสือขอให้ชำระหนี้บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ทั้งสองแจ้งให้มาติดต่อ ชำระหนี้ภายใน 15 วัน นับถัดจากวันที่ลงในหนังสือ หากพ้นกำหนดขอถือเอาหนังสือดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญา การที่โจทก์ที่ 1 ได้ติดต่อกับจำเลยภายในกำหนดระยะเวลาตามหนังสือดังกล่าว และชำระหนี้ให้แก่จำเลยเป็นเช็ค 5 ฉบับ โดยกำหนดเวลาชำระตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2540 แล้วจำเลยยอมรับเช็คดังกล่าวไว้นำไปเรียกเก็บเงินได้ 3 ฉบับ แสดงว่าจำเลยยอมรับชำระหนี้จากโจทก์ที่ 1 ตามเงื่อนไขในหนังสือขอให้ชำระหนี้บอกเลิกสัญญาและยินยอมให้โจทก์ที่ 1 ครอบครองใช้รถยนต์ได้ ถือว่าจำเลยประสงค์จะให้สัญญาเช่า ซื้อมีผลบังคับกันต่อไป ครั้งเมื่อเช็คฉบับที่สี่และห้าเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ที่ 1 จึงผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อในงวดดังกล่าวอีก หากจำเลยประสงค์จะบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ที่ 1 จะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระภายในเวลาอันควร เสียก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เมื่อจำเลยยังไม่บอกเลิกสัญญา สัญญาเช่า ซื้อจึงยังไม่เลิกกัน และเนื่องจากกำหนดระยะเวลาการชำระค่าเช่าซื้อตาม สัญญาไม่เป็นสาระสำคัญ โจทก์ที่ 1 จึงยังไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากโจทก์ที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามเช็คในงวดเดือน ตุลาคม 2540 และเดือนพฤศจิกายน 2540 แล้ว จำเลยได้มายึดรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืน จากโจทก์ที่ 1 ซึ่งแม้โจทก์ที่ 2 จะไม่อยู่ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ที่ 1 แต่นายกนก ปานวงศ์ พยานจำเลยก็เบิกความว่าขณะขอยึดรถยนต์คืนเลขานุการของโจทก์ที่ 2 แจ้งว่าต้องรอติดต่อโจทก์ที่ 2 ก่อนหลังจากนั้นประมาณ 30 นาที ก็นำกุญแจรถยนต์มาส่งมอบให้และขอนำทรัพย์สินของโจทก์ที่ 2 ออกจากรถยนต์ พยานได้ทำหลักฐานใบรับมอบรถและแจ้งสภาพรถให้ไว้ ซึ่งโจทก์ที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่า วันยึดรถยนต์พนักงานของจำเลยได้ออกใบรับมอบรถให้โจทก์ที่ 1 ด้วย และพนักงานของจำเลยได้มอบหลักฐานใบรับมอบรถและแจ้งสภาพรถให้แก่โจทก์ที่ 2 แล้ว เจือสมข้อนำสืบของจำเลย ทั้งข้อเท็จจริงยังได้ความว่า หลังจากโจทก์ทั้งสองทราบว่า จำเลยมายึดรถยนต์คืน โจทก์ทั้งสองก็ไม่เคยโต้แย้งคัดค้านการยึดรถยนต์ที่เช่า ซื้อคืนจากจำเลยอย่างใด โจทก์ที่ 1 เพิ่งจะมอบให้ทนายความมีหนังสือขอให้จำเลยส่งมอบรถยนต์คืนเมื่อเวลาล่วงเลย มาถึง 5 เดือน เช่นนี้ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโดยไม่ คัดค้าน ถือว่าโจทก์ที่ 1 กับจำเลยสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง เมื่อสัญญาเลิกกันด้วยเหตุอื่นมิใช่เป็นการเลิกสัญญาที่มีผลมาจากฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งผิดสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อ คู่สัญญาจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอีกต่อไป การที่จำเลยยึดรถยนต์คืนจึงไม่ทำให้โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ที่เช่า ซื้อ โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกรถยนต์คืนหรือให้ใช้ราคาแทนและเรียกค่าเสียหายเป็นค่า ขาดประโยชน์จากจำเลยได้ ส่วนจำเลยก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าติดตามรถ ค่าขาดราคารถจากค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระโดย อาศัยข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งระงับไป แล้วได้ แต่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันนับแต่วันที่จำเลยได้ รับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 จะต้องใช้เงินเป็นค่าเสียหายแก่จำเลยในการใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อในระหว่างที่ยังไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนตามค่าแห่งการนั้น ๆ ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม ซึ่งปรากฏตามใบเสร็จรับเงินว่า โจทก์ที่ 1 ชำระค่าเช่า ซื้อครบถ้วนถึงงวดที่ 34 ประจำวันที่ 27 มกราคม 2540 แล้วผิดนัดตั้งแต่งวดที่ 35 และต่อมาจำเลยได้รับชำระค่าเช่าซื้อตามเช็ค อีก 3 ฉบับ รวม 3 งวด จำเลยย่อมได้รับความเสียหายขาดประโยชน์ในระหว่างที่โจทก์ที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อจนถึงวันยึดรถยนต์คืนเป็น เวลา 7 เดือน เมื่อคำนึงถึงราคารถยนต์เช่าซื้อประกอบค่าเช่าซื้อที่โจทก์ที่ 1 ได้ชำระไปแล้ว และทางได้เสียของจำเลยทั้งหมดแล้ว เห็นควรกำหนดค่าขาดประโยชน์ให้เดือนละ 20,000 บาท รวมเป็นค่าขาดประโยชน์ 140,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกับโจทก์ที่ 1 ต้องรับผิดค่าเสียหายดังกล่าวร่วมกับโจทก์ที่ 1 ด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”          พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ในสำนวนแรก ส่วนสำนวนที่สองให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 24 สิงหาคม 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 03:03:46

ความคิดเห็นที่ 5 อีกหนึ่งตัวอย่าง โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อพร้อม กระบะ ไปจากโจทก์ในราคา 1,508,904.72 บาท ตกลงชำระงวดละ 41,914.02 บาท รวม 36 งวด ชำระงวดแรกวันที่ 24 กรกฎาคม 2538 งวดต่อไปทุกวันที่ 24 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 20 เป็นต้นมา โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่คืนรถยนต์ให้โจทก์ จนวันที่ 20 มีนาคม 2541 โจทก์ติดตามยึดรถยนต์คืนได้และนำออกประมูลขายได้เงินเพียง 363,636.37 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดราคา 348,901.97 บาท และค่าเช่าซื้อค้างชำระรวม 12 เดือน เป็นเงิน 502,968.24 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 851,869 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์          จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ          จำเลยที่ 4 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 348,901.97 บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก          จำเลยที่ 4 อุทธรณ์          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ          จำเลยที่ 4 ฎีกา =========================== จนมาจบที่ฎีกาว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่   4644/2549 พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 248,901 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ. จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 03:16:49

ความคิดเห็นที่ 6 จากกรณี รถ benz จะเห็นว่า 1. ถ้ารถโดนยึดมีการส่งมอบกุญแจ (ไม่่ใช่เค้าเค้ามายกไป) ก็ถือสัญญาสิ้นสุด ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาแต่อย่างใด จะมาคิดค่าเสียประโยชน์หลังจากยึดรถไปแล้วไม่ได้ ก็ยกฟ้องไป ดังคำพิพากษาว่า โจทก์ที่ 1 เพิ่งจะมอบให้ทนายความมีหนังสือขอให้จำเลยส่งมอบรถยนต์คืนเมื่อเวลาล่วงเลย มาถึง 5 เดือน เช่นนี้ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโดยไม่ คัดค้าน ถือว่าโจทก์ที่ 1 กับจำเลยสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง เมื่อสัญญาเลิกกันด้วยเหตุอื่นมิใช่เป็นการเลิกสัญญาที่มีผลมาจากฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งผิดสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อ คู่สัญญาจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอีกต่อไป การที่จำเลยยึดรถยนต์คืนจึงไม่ทำให้โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ที่เช่า ซื้อ โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกรถยนต์คืนหรือให้ใช้ราคาแทนและเรียกค่าเสียหายเป็นค่า ขาดประโยชน์จากจำเลยได้ ส่วนจำเลยก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าติดตามรถ ค่าขาดราคารถจากค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระโดย อาศัยข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งระงับไป แล้วได้ ========================= 2. แล้วจ่ายเท่าไหร่ ไม่จ่ายตั้งแต่ มค. 41 ยึดรถ  พย. 41 จ่ายเช็คมาบ้างแต่รวมแล้วยังค้างอยู่ 7 เดือน ก่อนยึดรถเบนส์มาได้ ตามสัญญาคือผ่อนเดือนละ 49,600 ถ้าไม่ผ่อน 7 ก็ = 347,000 บาท ศาลพิพากษาว่าเห็นควรกำหนดค่าขาดประโยชน์ให้เดือนละ 20,000 บาท พร้อมดังเบี้ย จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 03:41:46

ความคิดเห็นที่ 7 คดีรถสิบล้อ ... ยึดมาแล้วขายแล้วยังขาดเงิน 348,901.97 บาท กว่าจะยึดรถมาได้ ค้างค่าเช่าชำระรวม 12 เดือน เป็นเงิน 502,968.24 บาท ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 851,869 บาท ฎีกาพิพากษา เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 248,901 บาท แก่โจทก์ แค่นั้นนอกนั้น อด จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 03:49:10

ความคิดเห็นที่ 8 สรุปคือ ถ้าคุณปล่อยให้โดนยึดแบบค้างชำระ  คุณจะต้องจ่ายแน่ ๆ แต่เท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลเรื่องของ รถจะทำประโยชน์ได้เท่าไหร่ก่อนยึดรถ ดังตัวอย่างด้านบน ======================== แต่.... ในกรณีที่ผมแนะนำ และ คุณ ticket ID 248569 ได้ตอบว่า ทีนี้กรณีเช่าซื้อ กรณีนี้คุณผิดนัด ชำระหนี้แล้ว ต่อให้คุณเอาเงินไปวางที่ สำนักงานรับวางทรัพย์ มันก็ไม่ทำให้ภาระหนี้ปลดเปลื้องไป เพราะ คุณผิดสัญญามาตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้น การชำระเงินค่าติดตามทวงถาม และบอกเลิกสัญญา ยึดทรัพย์ เจ้าหนี้เขาทำได้ทันที และ ถ้ายึดมาขายทอดตลาด ได้เงินไม่ครบ เขาเรียกจากลูกหนี้ หรอื ผู้ค้ำประกันได้เลย ขอให้เอาคำพิพากษาศาลฎีกา มาแสดงหน่อยครับว่า การเช่าซื้อรถ ถ้าจ่ายเงินงวดครบ  แล้วเอารถไปคืนบริษัท บริษัทเอามาขาย ยังขาดเงินบางส่วน ต้องจ่ายเงินส่วนขาดด้วย จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 03:58:12

ความคิดเห็นที่ 9 คำพิพากษาฎีกา ทั้งหมดมีสาระสรุปได้ดังนี้ 1. ไม่ว่าในสัญญาของบริษัทจะเขียนว่าถ้าผิดส่งค่าเบี้ย งวดใดงวดหนึ่ง ถือว่าผิดสัญญา แต่ถ้าเราเอาเงินไปจ่าย .. แล้วบริษัทรับเงินนั้นโดยไม่อิดออดไม่ว่างวดไหน หรือ ว่ายึดแล้ว เค้าจ่ายเงินแล้วเอารถให้ไปใช้ต่อ ถือว่ามีความประสงค์จะให้สัญญาเช่า ซื้อมีผลบังคับกันต่อไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4866/2550 หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อแล้ว จำเลยชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดเวลาที่ ระบุในสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ยอมรับค่าเช่าซื้อไว้โดยไม่ทักท้วง แสดงว่าคู่สัญญาไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตาม สัญญาเป็นสาระสำคัญ หากโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อประสงค์ จะเลิกสัญญาจะต้องบอกกล่าวไปยังผู้เช่าซื้อให้ ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระโดยกำหนดระยะเวลา พอสมควรก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4866/2550 โจทก์คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อให้จำเลยนำไปใช้ต่อ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์ยอมผ่อนผันการผิดนัดให้จำเลยโดยไม่ถือว่า สัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันที โจทก์และจำเลยยังคงประสงค์ให้สัญญาเช่าซื้อมี ผลผูกพันกันต่อไป สัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่เลิก คำพิพากษาศาลฎีกาที่   4866/2550 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าในการชำระค่าเช่าซื้อโจทก์ ที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดเวลาที่ระบุใน สัญญา จำเลยยอมรับค่าเช่าซื้อไว้ไม่ทักท้วง ตามใบเสร็จรับเงิน แสดงว่าคู่สัญญาไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตาม สัญญาเป็นสาระสำคัญ ==================================== 2. หน้าที่ของผู้เช่าซื้อ ถ้าผ่อนไม่ไหวค้างค่างวด  ก็ต้องส่งคืนในสภาพเรียบร้อย (ส่วนค่าเช่าซื้อที่ค้างส่งก็ไปตกลงกัน) ดัง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 386/2551 ว่า แม้ผู้เช่าซื้อยังชำระ ค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์บรรทุกยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้อ แต่ผู้เช่าซื้อก็มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ และมีหน้าที่ต้องส่งคืนรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อใน สภาพเรียบร้อยแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องคืน =========================== คุณ ticket ID 248569 ผมอาจจะหาคำพิพากษาศาลฎีกาไม่เจอว่า ถ้าจ่ายค่างวดครบ ผ่อนไม่ไหว  คนผ่อนเป็นคนซื่อออมากกก ไม่ขายดาวน์ แต่เอารถไปคืนบริษัท บริษัทนำมาขาย แล้วเงินยังขาด ศาลสั่งให้จ่ายส่วนที่ขาด ขอคำตัดสินนั้นหน่อยครับ จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 04:17:45

ความคิดเห็นที่ 10 อย่าไปสนใจพวก ตุ๊ด แต๋ว มากมายครับ และขอบคุณมากที่คุณยังใจเย็นๆ มาตอบ ทำให้เห็นถึงวุฒิภาวะและชาติตระกลูการที่ดี ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : Peem...morA เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 07:01:25

ความคิดเห็นที่ 11   แหม้......อยากจะชี้แจงแถลงไขให้คนได้รับรู้ในสิ่งที่ถูกๆ ทำไมต้องใช้วาจาเยี่ยงนั้นด้วย จากคุณ : แบนแล้วแบนอีก จนแบนแต๊ดแต๋ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 07:24:14 A:124.122.69.199 X: TicketID:164262

ความคิดเห็นที่ 12 ความรู้ดีๆอย่างนี้ ต้องเก็บเข้าคลัง ขอบคุณมากค่ะสำหรับความรู้ จากคุณ : ดินพอกหางหมู เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 07:27:00

ความคิดเห็นที่ 13 ดีครับ มีประโยชน์สำหรับผู้ไม่รู้ จากคุณ : ak47_gong เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 08:07:26

ความคิดเห็นที่ 14 มีประโยชน์มากครับ จากคุณ : fan-altis (fan-altis) เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 08:16:25

ความคิดเห็นที่ 15 มีประโยชน์มากเลยค่ะ ขอบคุณ จขกท นะคะ ... จากคุณ : DuskyDuck เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 08:32:27

ความคิดเห็นที่ 16 จขกท. เยี่ยมครับ ขอบคุณมากครับ ถ้ายังไง ผมขออนุญาตนำไปเผยแพร่ต่อนะครับ ปล. ไม่ต้องสนใจปากหอยปากปูหรอกครับ ที่บอกว่ารู้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้าย ตัวเองทั้งนั้นแหละครับที่กล่าวมา จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 08:57:58

ความคิดเห็นที่ 17   ขอถามด้วยนะครับ จากข้อความ "หลังจากโจทก์ทั้งสองทราบว่า จำเลยมายึดรถยนต์คืน โจทก์ทั้งสองก็ไม่เคยโต้แย้งคัดค้านการยึดรถยนต์ที่เช่า ซื้อคืนจากจำเลยอย่างใด โจทก์ที่ 1 เพิ่งจะมอบให้ทนายความมีหนังสือขอให้จำเลยส่งมอบรถยนต์คืนเมื่อเวลาล่วงเลย มาถึง 5 เดือน เช่นนี้ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโดยไม่ คัดค้าน ถือว่าโจทก์ที่ 1 กับจำเลยสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย" อย่างนี้แสดงว่าทั้งสองฝ่ายเขายินดีต่อสภาพการณ์นี้ สัญญาก็เลยยกเลิกไปโดยปริยาย แต่ถ้าเราเอาไปคืนที่ศาล แล้วไฟแนนท์เขาไม่เอาด้วยสัญญาจะยกเลิกหรือไม่ครับ ถ้ามีตัวอย่างตำพิพากษาด้วยจะขอบคุณมากๆ เลยครับ จากคุณ : มาใหม่อยากรู้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 09:07:07 A:112.142.102.148 X: TicketID:279503

ความคิดเห็นที่ 18   ประเด็นคือ การเอารถไปคืนที่ศาล ที่มีการถกเถียงกัน ในเมื่อคุณบอกว่า ต้องเอาไปคืนที่ศาล ผมก็ว่าตลกดี เพราะ การไปที่ศาลแล้วแจ้งว่าจะคืนรถให้เจ้าของเช่าซื้อ โดยจ่ายเงินครบแล้ว ตั้งแต่ทำงานด้านนี้มา ผมไม่เคยเห็นกรณีแบบนี้เหมือนกัน ศาลไม่ใช่ที่รับฝากรถครับ และไม่มีหน้าที่รับคืนรถ ผมว่ายังไงคุณก็เข้าใจผิดครับ เรื่องกฏหมายเช่าซื้ออย่างแรง ที่เขาท้วงมานั่นถูกต้องแล้วละครับ จากคุณ : เนย เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 09:17:27 A:203.148.187.139 X: TicketID:245687

ความคิดเห็นที่ 19 จขกท. อย่าคิดมากเลย  แค่ไม่มีอมยิ้ม  ก็ไม่น่าเชื่อถือไปครึ่งตัวแล้ว แล้วก็ชอบว่าคนอื่นโง่     ไม่น่าคบ จากคุณ : ติ๊กติ๊ก เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 09:32:08

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วยกับความคิดเห็นนนี้ครับ ประเด็นคือ การเอารถไปคืนที่ศาล ที่มีการถกเถียงกัน ในเมื่อคุณบอกว่า ต้องเอาไปคืนที่ศาล ผมก็ว่าตลกดี เพราะ การไปที่ศาลแล้วแจ้งว่าจะคืนรถให้เจ้าของเช่าซื้อ โดยจ่ายเงินครบแล้ว ตั้งแต่ทำงานด้านนี้มา ผมไม่เคยเห็นกรณีแบบนี้เหมือนกัน ศาลไม่ใช่ที่รับฝากรถครับ และไม่มีหน้าที่รับคืนรถ ผมว่ายังไงคุณก็เข้าใจผิดครับ เรื่องกฏหมายเช่าซื้ออย่างแรง ที่เขาท้วงมานั่นถูกต้องแล้วละครับ จากคุณ : เนย เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 09:17:27 A:203.148.187.139 X: TicketID:245687 จากคุณ : เทวดาหน้าโหด เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 09:50:40

ความคิดเห็นที่ 21 อยากจะรู้ขั้นตอนในการดำเนินการคืนรถให้ศาล เป็นอย่างไรครับ เหมือนกรณี อย่างเช่น การขายฝากที่ดิน หรือจำนอง แล้ว มันกำลังจะขาดหรือเปล่าครับ   ให้ศาล หรือที่ไหนครับ จากคุณ : todkey เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 10:06:36

ความคิดเห็นที่ 22   เห็นแล้วขัดใจ เจ้าของกระทู้ และคนที่ด่าๆ เรื่องบัตรผ่าน จนต้องไปสมัครบัตรผ่านมาตอบ 1. ประเด็นที่ ticket ID 248569 ตอบมา คือเรื่องที่คุณบอกว่า "ให้เอารถยนต์ไปคืนที่ศาล" แถมขีดเส้นใต้ไว้ขนาดนั้น ซึ่งตอบมาแบบนี้คนไม่รู้ว่าอ่านจะเข้าใจได้อย่างไร ว่าให้ไปคืนที่ศาลไหน ศาลแพ่ง ศาลอาญา หรือศาลไคฟง แล้วคืนอย่างไรก็ไม่บอก - สิ่งที่เรียกว่าเอาไปวางศาลนั้น ticket ID 248569 อธิบายไว้แล้วว่าคือการวางที่สำนักงานวางทรัพย์ ไม่ใช่ศาล และไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ใครที่ไหนก็เอาไปคืนได้ และที่เขาอธิบายมาว่ากรณีคุณผิดสัญญาเช่าซื้อแล้ว ต่อให้เอารถไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการผิดสัญญาก็ไม่ได้ระงับไป โดยเฉพาะกรณีสัญญาระบุให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดเมื่อผู้เช่าซื้อผิดสัญญายังไงก็ต้องรับผิดอยู่ดีฯ เรื่องของเรื่องคือ ticket ID 248569 แย้งคุณเรื่อง "เอารถไปคืนที่ศาล" ซึ่งคุณก็ยังไม่ได้อธิบายให้ชาวรัชดาฟังว่าที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร ticket ID 248569 อาจจะใช้ถ้อยคำที่รุนแรง ไม่น่าฟังเกินไป แต่ผมเห็นด้วยในหลายๆ ประเด็นของเค้านะครับ ส่วนประเด็นความระงับของสัญญาเช่าซื้อ และการปลดเปลื้องความรับผิด ผมขออนุญาตมาถกต่อตอนค่ำๆ ครับ ตอนนี้ขอทำงานก่อน ผมเห็นว่าผู้ที่มาความรู้กฎหมายควรมาร่วมกันให้ความเห็นในเรื่องนี้ เพื่อให้ท่านอื่นๆ ในที่นี้ที่ไม่ได้เรียนกฎหมายเข้าใจให้กระจ่างครับ เพื่อประโยชน์ของชาวรัชดา ปล. ผมเข้ามาอ่านที่นี่ทุกวัน แต่ไม่เคยมีอมยิ้มเพราะไม่ได้คิดจะ post อะไรจริงจังมาก่อน ยกเว้น topic นี้แหละครับ ที่ทำให้ผมอยากจะมา post กะเขาบ้าง จึงต้องสมัครบัตรผ่านมา หวังว่าคงไม่โดนรังเกียจ หรือกีดกันว่าเป็นแค่บัตรผ่านนะครับ จากคุณ : Galeon_212 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 10:09:03 A:172.20.28.166 X:203.130.145.98 TicketID:271530

ความคิดเห็นที่ 23 จริงๆ แล้วคำพิพากษาศาลฎีกาเอามาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้หรอก มันเป็นแค่แนวทางในการพิจารณาของศาล และไม่มีผลผูกพันกับบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่คู่ความ บางครั้งอาจมีประเด็นคล้ายๆ กัน หรือแทบจะเหมือนกัน ศาลฎีกาที่ตัดสินทีหลังยังตัดสินไม่เหมือนกันเลย ต้องดูประเด็นข้อเท็จจริงในคดีด้วยซึ่งส่วนมากจะไม่เหมือนกัน กรณีของ จขกท เข้าใจว่าต้องการจะสื่อว่าไม่ต้องคืนรถแล้วปล่อยให้ finance ฟ้อง เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ก็ค่อยไปคืนในศาล...ไม่รู้เข้าใจถูกรึป่าว จากคุณ : พลอยอนันท์ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 10:33:44

ความคิดเห็นที่ 24   พวกปัญญาอ่อนเท่านั้นที่ตีค่าของใครจากบัตรผ่าน บัตรผ่านแล้วไง ข้อความดีๆลดความหมายลง50%หรือครับ อมยิ้มแล้วไง โกหกยังไงก็น่าเชื่อถือหรือครับ ต่อไปก็ไม่ต้องอ่านข้อความกันแล้วโพสต์ไปที่wmเลยออกกฏยกเลิกบัตรผ่าน ให้เป็นสังคมคุณภาพอย่างที่อยากกันดีกว่าไหม อมยิ้มบัตรผ่านมันเรื่องงี่เง่า เอาเนื้อหานะอ่านแล้วคิดๆๆๆๆว่าอันไหนดีน่าเชื่อมากกว่า ดีไหม จากคุณ : อมยิ้ม? เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 10:44:09 A:183.89.181.72 X: TicketID:276584

ความคิดเห็นที่ 25   เข้ามาเก็บความรู้ครับ อยากรู้เรื่องประเด็นเอาไปคืนที่ศาลเหมือนกันครับ ผมเองก็พึ่งเคยได้ยิน ส่วนประเด็นอื่นๆขอบคุณ จขกท ที่เอามาให้ดูครับ จากคุณ : yakutew รูปหล่อ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 10:48:08

ความคิดเห็นที่ 26 -*- แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 11:05:15 จากคุณ : โรคจิตคอยแอบมองให้เธอมีรอยยิ้ม เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 10:51:53

ความคิดเห็นที่ 27 ขออธิบายละกันนะครับเกี่ยวกับคดีเช่าซื้อ เช่าซื้อคืออะไรทุกท่านคงพอเข้าใจกันได้นะครับ เข้าประเด็นปัญหาที่ว่ากันมาละกัน ในที่นี้ผมขอแยกกรณีเป็นกรณีๆไปนะครับ กรณีแรกที่บอกว่าให้เอารถไปคืนที่ศาลได้หรือไม่ ก็ขอตอบเลยว่า ไม่ได้ครับ เพราะการคืนรถ เป็นเรื่องของการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทางหนึ่ง ซึ่งตามกฎหมายแล้วถ้าผู้เช่าซื้อไม่ต้องการทรัพย์ที่เช่าซื้อกัน ในกรณีนี้คือรถยนต์ ผู้เช่าซื้อก็สามารถบอกเลิกสัญญาโดยการนำรถไปคืนผู้ให้เช่าซื้อ ซึ่งก็คือบริษัทไฟแนนท์ได้ ส่วนเงินค่างวดที่จ่ายไปแล้วก็จะไม่ได้รับคืน เปรียบเสมือนเป็นการจ่ายค่าเช่ารถยนต์ที่ได้ใช้ไปตลอดที่อยู่ในความครอบครองของผู้เช่าซื้อ เพราะชื่อสัญญามันก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าเป้นการ "เช่า" + "ซื้อ"  ค่างวดที่ยังไม่ได้จ่ายในอนาคตทั้งหลายก็ไม่ต้องรับผิดชอบอีกต่อไปครับ   อันนี้เป็นคร่าวๆของกรณีที่มีการคืนรถโดยผู้เช่าซื้อนะ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 11:11:00 จากคุณ : ทุกวันคือวันตายวันใหม่คือโบนัส เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 10:52:59

ความคิดเห็นที่ 28 เพิ่งเคยได้ยิน...ขอบคุณครับ ............................................................. จากคุณ : =Razzo= เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 10:56:37

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่แน่เสมอไป ฟอร์ดลิสซิ่ง ผมโดนยึดถึงบ้านรถต่อมามีหนังสือให้ไปรับเช็คคืน 33000 ทั้งที่ค้างจ่าย 4 งวด จากคุณ : phongp เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 10:57:09

ความคิดเห็นที่ 30 ticket ID 248569  ไปโกรธใครมาอ่ะ จากคุณ : zuntos เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 11:04:24

ความคิดเห็นที่ 31 ขอต่อกรณีที่สองนะครับ คือกรณีที่ผู้เช่าซื้อผ่อนไม่ไหว แล้วก็เบี้ยวค่าเช่าซื้อไปเลย ซึ่งทางผู้ให้เช่าซื้อก็จะมีการส่งจดหมายมาทวงค่าเช่าซื้อก่อน ถ้าทวงแล้วไม่จ่ายอีก ก็จะมีหนังสือบอกเลิกสัญญาตามมา ซึ่งผลของการบอกเลิกสัญญาก็จะคล้ายๆกับกรณีแรก คือต้องมีการคืนรถ และค่างวดที่จ่ายมาก่อนหน้านี้ก็จะไม่ได้คืน  แต่ถ้าในสัญญามีระบุไว้อีกว่า กรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาแล้วมีการบอกเลิกสัญญาขึ้น ถ้าผู้ให้เช่าซื้อเอาครอบครองรถแล้วนำออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบส่วนที่ขาดด้วย  ซึ่งกรณีของเงินส่วนที่ขาดนี่ตามกฎหมายไม่มีบัญญัติถึงไว้โดยตรงนะครับ ข้อที่ว่าผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบส่วนที่ขาดนี้ต้องทำเป็นข้อสัญญาให้ชัดเจน ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีอยู่ในสัญญาเช่าซื้อมาตราฐานของทุกบริษัทอยู่แล้ว กรณีนี้ก็ไม่ใช่กรณีไปคืนรถที่ศาลเช่นกัน จากคุณ : ทุกวันคือวันตายวันใหม่คือโบนัส เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 11:07:44

ความคิดเห็นที่ 32 กรณีถัดมา คืกรณีที่ไปถึงศาลกันล่ะ ผู้ให้เช่าซื้อจะฟ้องร้องต่อศาลก็คืกรณีที่ได้รถคืนแล้วขายทอดตลาดได้ราคาไม่เท่าตามสัญญาเช่าซื้อเดิม  กับกรณีที่ผู้เช่าซื้อไม่คืนรถเลย ขออธิบายกรณีที่ไม่คืนรถอยางเดียวนะครับ โดยผู้ให้เช่าซื้อก็จะทำการฟ้องผู้เช่าซื้อต่อศาล โดยคำขอท้ายฟ้องก็จะมีอยู่ไม่กี่ข้อ คือ 1. ให้ผู้เช่าซื้อคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ ถ้าคืนไม่ได้ก็ให้ใช้ราคา 2. ให้ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนมีการบอกเลิกสัญญา 3. ค่าเสียหายที่ผู้เช่าซื้อยังคงครอบครองรถยนต์หลังจากที่มีการบอกเลิกสัญญาแล้ว ซึ่งปกติก็จะขอเป้นรายเดือนเท่ากับค่างวด 4, ดอกเบี้ย ซึ่งกรณีนี้ก็คงกรณีตาที่ จขกท. พูดถึง คือการคืนรถที่ศาล  ซึ่งก็จะเป็นการที่ผู้เช่าซื้อมาพบกับผู้ให้เช่าซื้อที่ศาลในวันนัดพิจารณา แล้วมีการเจรจาตกลงกันไปว่าจะมีการคืนรถให้ภายในกี่วัน และมีการชำระค่าเสียหายกันเท่าไร ซึ่งถ้าคู่ความตกลงกันได้ก็จะมีการทำสัญญายอมความให้ศาลพิพากษาตามยอมต่อไปครับ ซึ่งถ้ามีการคืนรถและผู้ให้เช่าซื้อเอาไปขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่ครบอีก  ผู้เช่าซื้อก็ยังคงต้องรับผืดชอบในส่วนที่ขาดอีก ผมขออธิบายไว้เท่านี้นะครับ ใครมีข้อสงสัยก็ถามได้ครับ ยินดีให้คำตอบเท่าที่ยังจำได้อยู่ 55555 เนื่องจากไม่ได้ทำคดีเช่าซื้อมาสองปีแล้ว จากคุณ : ทุกวันคือวันตายวันใหม่คือโบนัส เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 11:22:19

ความคิดเห็นที่ 33 สงสัยจะได้กินมาม่าวุ้ย  - -* จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 11:30:26

ความคิดเห็นที่ 34 สัญญาเช่าซื้อ  เราเป็นคนเช่าซื้อ ก็ใช้ประโยชน์จากรถ วันถ้าผ่อนไม่ไหว  เอารถคืนเค้าไป ในสภาพที่สมบูรณ์ ถือว่าสัญญาจบ ดูจากคำพิพากษาฏีกาได้ครับ ================================== เรื่องที่ผ่อนครบ แต่ไม่อยากผ่อนต่อ และไม่ขายดาวน์ จะคืนบริษัท กรณีแบบนี้หายากมากกกก มีแต่ไม่ผ่อนแล้วโดนยึด คือไม่ผ่อนแล้วโดนยึด  หลักการที่ถูกต้อง และเวลาฟ้องถึงฏีกา ผลที่ออกมาคือ ผู้เช่าซื้อ จะต้องจ่ายค่าเสียประโยชน์ ให้เจ้าของรถ (บริษัทเช่าซื้อ) ในช่วงที่รถอยู่กับเรา   จนถึงวันที่คืนรถ (ส่วนใหญ่โดนยึด) พร้อมดอกเบี้ย 7.5% นับจนถึงวันฟ้องจนกว่าจะชำระหมด ==================================== กรณีที่จ่ายครบทุกงวด คืนรถแล้ว และมีหลักฐานการคืนรถ ถือว่า สัญญาสิ้นสุด   จริง ๆ ส่วนใหญ่บริษัทไม่อยากฟ้องหรอก เพราะสัญญาเช่าซื้อ ก็ฟ้องจบได้แต่ค่าขาดประโยชน์ คือ ช่วงเวลาที่รถอยู่กับเรา แต่เราไม่จ่าย ทางบริษัทขาดประโยชน์ แทนที่จะให้คนอื่นเอาไปเช่าใช้ แต่อยู่กับเรา แล้วเราไม่ได้ส่งเงินให้เค้า แล้วถ้าเราจ่ายครบ คืนรถแล้ว เค้าจะไปฟ้องเรียกร้อง ก็ไม่ได้อะไร ดูจากคำตัดสินศาลฎีกาที่ผ่านมาทั้งหมดก็ได้ ส่วนใหญ่คนที่ฟ้องคือทนาย หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยว เพื่อจะขู่เอาเงินเปอร์เซ็นต์จากส่วนที่จำเลยจ่ายคืนมาให้ ซึ่งผิดจรรยาบรรณทนายอย่างมาก ทนายไม่มีสิทธิและไม่ควรเรียกเก็บเงินใด ๆ เพิ่มเติมไม่ว่าจะแพ้หรือชนะคดี ว่าความคือการจ้างให้ทำของ  แพ้ชนะจรรยาบรรณคือได้เงินเท่าที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ตอนแรก แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าชนะคดี ... ได้เงินที่จำเลยจ่ายมา ต้องมาแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินที่ได้กับทนาย... ผิดจรรยาบรรณอย่างแรงงงง(s) ==================================== เน้นอีกที [b] กรณีที่จะกล่าวด้านล่างนี้คือ จ่ายครบ แต่อยากคืนรถ [b] ถ้าจ่ายครบแล้ว เป็นคนซื่อออออมากกกก  ไม่ขายดาวน์ต่อ จะคืนรถให้บริษัททำยังไง จริง ๆ แล้วจะ คืนที่ไหนก็ได้ ให้บริษัทมารับไป หรือไปคืนที่บริษัทก็ได้ เมื่อทั้งฝ่ายยินยอมที่จะคืนรถ ก็ถือว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา ก็จบกันไป (ยิ่งไม่ค้างชำระยิ่งหมดปัญหา) แต่... ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าคืนเอง คนที่มายึดรถ พวกนั้นไม่ใช่บริษัทเจ้าของรถ บริษัทจ้างพวกยึดรถมา เวลาเค้าฟ้องทีหลังเอาไปชี้แจงในศาล  บริษัทมันจะบอกเราว่า คืนรถกะใคร คุณไปคืนกะใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก ต้องมาเสียเวลาตามสืบพยาน และคุณอาจจะโดนอ้างว่า กว่าจะยึดรถมาได้ ใช้เวลา 3 เดือน หลังจากงวดสุดท้ายที่คุณชำระ ซึ่งคุณก็ต้องเสียค่าเสียประโยชน์ 3 เดือนนี้พร้อมดอกเบี้ยอีก   ซึ่งจะต้องเสียเวลาสืบสวนอีกว่าคุณคืนรถแล้วจริง คุณต้องมีหนังสือเป็นหลักฐานคืนรถให้เรียบร้อย ทำกับในนามบริษัทเท่านั้น ==================================== ถ้าบริษัทไม่รับคืน ... ก็ไปยื่นเรื่องที่ศาลผู้บริโภค  เรียกบริษัทเจ้าของรถมารับรถคืนไป ศาลนี้ไม่ต้องใช้ทนาย มีคนเขียนเรื่องให้คุณเสร็จสรรพ เมื่อบริษัทรับรถคืนไป คุณไม่ค้างจ่างเช่าซื้อใด ๆ รถสภาพสมบูรณ์ สัญญาก็ถือว่าจบไป จะมาฟ้องเรียกค่าเสียประโยชน์อะไรไม่ได้อีก   บริษัทไม่มีอะไรมากหรอก หน้าเลือดเลยอยากจะฟ้องหาเรื่องเอาเงิน คิดดูนะครับ ดอกเบี้ยที่บริษัทคิดก็เป็น flat rate แถมคิดล่วงหน้าไปรวดเดียวเลย เมื่อคืนสิ่งของเช่าซื้อคืนไปแล้วไม่ได้ใช้ ก็จะมาคิดค่าเสียหายอะไรอีก เช่น รถ 800,000  ดาวน์ 25% 250,000 ผ่อน 4 ปี ดอกเบี้ยปีละ 30,000 คิดรวดเดียวล่วงหน้าเลย 4 ปีรวม 120,000 บาท รวมกับเงินที่เหลือจากดาวน์คือ 600,000 เป็น 720,000 บาท คุณผ่อน 1 ปี ผ่อนไม่ไหวแล้ว คืนรถ (หรือแม้ยึดรถ) ไอ้ส่วนที่เป็นดอกเบี้ย ในอนาคต คือ ปีที่ 2 - ปีที่ 4 ที่คุณไม่ได้ใช้รถ และคืนไปแล้วนะ จะนำมาคิดไม่ได้ เพราะมันเงินในอนาคต ========================================= ศาลผู้บริโภคเพิ่งตั้งมาใหม่ ๆ เลย  และเริ่มตัดสินคดีแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ศาลนี้เป็นศาลไคฟง  ไม่ใช่เป็นศาลกล่าวหา มีสิทธิและควรจะเรียกสอบพยานผู้ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เองได้เลย แต่อย่างว่าครับ ศาลตั้งใหม่ครับ อย่าว่าแต่ทนายจะรู้เรื่องเลยครับ   ศาลเองยังไม่ทราบเรื่องทั้งหมดเลยว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ก็ต้องค่อย ๆ เรียนรู้กันไป ===================================== แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นธรรม  (ยุติ ด้วย ธรรม คือ ยุติธรรม) ถ้าขาดส่ง  ผ่อนไม่ไหว คืนรถในสภาพที่สมบูรณ์ให้บริษัท จ่ายค่าเสียประโยชน์ในช่วงที่รถอยู่กะคุณแล้วคุณไม่ได้จ่ายค่างวด นั่นคือสิ่งที่เป็นธรรมที่สุดครับ จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 12:14:05

ความคิดเห็นที่ 35   ผมอ่านฎีกาแล้ว อ่านกระทู้เก่าแล้ว ข้อเท็จจริงไม่ตรงกันครับ ในฎีกา ตกลงชำระวันที่ชัดเจน > ต่อมาถึงกำหนดชำระ ไม่ชำระ = ผลคือผิดนัด เรียกง่ายๆก็คือผิดสัญญา > เมื่อผิดสัญญา คนให้เช่าซื้อก็มีสิทธิทำตามสัญญาที่ตกลงไว้แต่แรก  ไม่ว่าจะยึดคืนฟ้องเรียกค่าเสียหาย เรียกค่าติดตามทวงถาม อะไรก็แล้วแต่.. > แต่บ.เบนซ์ ไม่ได้ทำตามข้อสัญญาก็คือไม่ได้ใช้หมัดน๊อค > แต่บ.เบนซ์ ใช้วิธีรักษาลูกค้า คือดันไปรับเงินจากเขาต่ออีก(รับเช็ค) >> แบบนี้ศาลตีความว่า เฮ้ย..ที่แกสองคนตกลงกันว่า การไม่ชำระเงินงวดทุก "วันที่ 27"  ถือเป็นการ "ผิดสัญญา" น่ะ  ฉันเห็นแล้วแกสองคนไม่ได้ยึดเอากำหนดวันชำระทุก วันที่ 27 เป็นสำคัญนี่   เพราะถ้าแกยึดเป็นสำคัญแกต้องใช้หมัดน๊อคเลยไม่ใช่ไปรับเงินเขาอีก     ..โอ้ยอย่างนี้ยังไม่ถือว่า คนเช่าซื้อเบนซ์ผิดสัญญานะ  ## เมื่อยังไม่ถือว่าผิดสัญญา สัญญาก็ใช้บังคับกันต่อไป##    ...แต่ เมื่อถึงสองงวดหลัง เช็คมันเด้ง 2 ใบ ..ตุ๊บ!! ตุ๊บ!!  เท่ากับว่าแกไม่จ่ายอีกแล้วนะ บ.เบนซ์เอาจริงแล้วนะ > ก็ไปยึดรถเขา และ เขาก็ยินยอมให้ยึดโดยดี  = ศาลมองว่า พฤติการณ์แบบนี้มันเจตนาจะเลิกสัญญานี่  เมื่อเจตนาเลิกกันดีๆ  สัญญาที่ทำกันไว้ ข้อตกลงจะขอค่าปรับ ค่าทวงถาม ค่าติดตาม ค่าอะไรก็แล้วแต่..  มันถูกทั้งสองคนนี้ร่วมกันฉีกทำลายทิ้งซะ ไม่เอาแล้วนะที่เคยตกลงกันไว้ > เมื่อไอ้สิ่งที่เคยตกลงไว้ ถูกยกเลิกแล้ว  แก..บ.เบนซ์  แกจะมาเรียกค่าต่างๆเหล่านี้จากฉันอีกไม่ได้นะเพราะสัญญามันถูกทำลายแล้วไม่มีอีกแล้ว  ระงับไปแล้ว  จะเรียกได้ก็แต่ค่าเสียหายระหว่างที่ฉันเอารถไปใช้ฟรีก่อนถูกบ.เบนซ์ยึด 7 เดือน ส่วนกระทู้ที่โพสไว้    ผิดนัดไม่จ่ายไม่ว่าจะอ้างอะไรก็เถอะ เขาทวงถาม ติดตาม ใช้หมัดน๊อคทันที  ไอ้การเอารถไปส่งก็หลังจากการมีการทวงถามใช่รึเปล่า..? (ตรงนี้ไม่มีคำตอบ เพราะจขกท. ไม่อยากให้มันยืดยาวมากขอสรุปสั้นๆว่า ไม่จ่าย 3 เดือน ) เห็นไหมว่ามันไม่เหมือนกัน ของเบนซ์เขาทำท่าจะเอาจริง แต่ของกระทู้ไฟแนนก้านคอเลย ไม่มีกรณียอมรับเงินหลังผิดนัดอีกแล้ว ส่วนรถบรรทุกนั่น   คุณมองในแง่คุณเป็นไฟแนนช์นะ คุณมีเงินก้อนนึงคุณอยากลงทุนอะไรดีให้ได้กำไร  เออก็ให้คนที่มันไม่ซื้อรถเงินสดมันยืมเราดีกว่า แล้วเราก็คิดดอกเบี้ยตามกฎหมาย  เดี๋ยวนะเราคิดก่อนเราจะเอากำไรเท่าไรดี..คิด คิด คิด ... โอเคคิดสะระตะกับหุ้นส่วนแล้ว ก็ให้เขายืมเท่านี้ผ่อนเท่านี้ ความเสี่ยงเราถ้ามันไม่จ่ายเท่านี้ ให้ใครมาค้ำประกันมันช่วยกันจ่ายเพื่อลดความเสี่ยงเรา โน้นนี่นนั่น   >>> ...ไฟแนนช์นะครับ ไม่ใช่องค์กรการกุศล เขาไม่ได้ทำเพื่อเรา เขาทำเพื่อแสวงหากำไร   เพราะฉะนั้นเมื่อคุณผิดนัดไม่จ่าย แผนที่เขาวางไว้  "พังหมด!!" >> ก็ถึงเวลาที่เขาจะทวงสิ่งที่เขาเสียไปคืน ดังนั้นค่าอะไรก็ตามที่บ.ไฟแนนช์ซ์้อต้องเสียไป เขาก็เรียกได้  = ดังนั้นข้อเท็จจริงในคดีเรียกค่าอะไรบ้างไม่ทราบ แต่เมื่อศาลใช้ดุลยพินิจดูแล้ว หรือคนฟ้องสืบไม่ได้ว่าเสียหายจริงๆเท่าไร มันก็ลดลง ซึ่งมันเป็นข้อเท็จจริงในคดี  จะสรุปว่าฟ้องเท่านี้ศาลจะให้น้อยกว่าทุกกรณีไปก็ไม่ได้ดอก ถ้าจะมีคำกล่าวที่ว่า มันโหดเกิน คุณเรียกเงินมากไปรึเปล่า อะไรก็แล้วแต่ ...ให้คุณกลับไปดูสัญญาที่คุณเซนต์ไปแล้ว ว่ามันมีอยู่รึเปล่า  ถ้ามันมั่วนิ่มก็อย่ายอม  แต่ถ้าเราตาไม่ดีไม่เห็นว่ามันมีอยู่ เราต้องโทษตัวเอง ป.ล. เป็นแค่ความคิดเห็นหนึ่ง ไม่ต้องเชื่อมาก ไม่ถูกใจขออภัยไว้ด้วยครับท่าน จากคุณ : เจ้าชายรองเท้าแตะ 655 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 12:15:07

ความคิดเห็นที่ 36 ผมเห็นด้วยกับบัตรผ่าน....บางทีการแนะนำให้คนเช่าซื้อทำอะไร  ควรต้องรู้ข้อเท็จจริงหรือรู้หลักกฎหมายให้แม่นครับ  ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้เค้าเสียหายได้  เพราะข้อตกลงอื่นๆในสัญญาเช่าซื้อบางอย่าง  เป็นข้อตกลงที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและไม่ขัดต่ิอความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเคยตัดสินมาว่าไม่เป็นโมฆะ ซึ่งผมเชื่อว่าสัญญาเช่าซื้อทุกฉบับในปัจจุบันนี้ต้องกำหมดค่าเสียหายส่วนนี้ไว้แน่นอน ....แต่ผู้เช่าซื้อไม่เคยอ่านดู คำพิพากษาฎีกาที่ 5022/2540  ค่าเสียหายที่สัญญาเช่าซื้อระบุว่า  เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง  เพราะผู้เช่าซื้อผิดนัด   นอกจากยอมให้ริบเงินที่ชำระไปแล้ว  ยังต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมดด้วยนั้นเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับและไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน  จึงไม่เป็นโมฆะ คำพิพากษาฎีกาที่ 6473/2541  กรณีที่สัญญาเช่าซื้อระบุว่า  ถ้าเจ้าของได้ขายทรัพย์ที่เช่าซื้อไปแล้วได้เงินไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญากับค่าเสียหายอื่นที่เกิดขึ้น  .......................................  เป็นข้อตกลงที่กำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้า  วิธีหนึ่ง  มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ  หากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงได้ ตาม ม.379 และ 383 ------------------------------------------------------------------- ขอตำหนิแนวร่วมด่าเอามันหน่อยนะครับ........บางทีการมาเสริม  เพื่อด่าบัตรผ่าน  หรือ ใครที่เห็นแย้ง  หรือใครที่ไม่ใช่พวก ....ผมว่าถ้าช่วยๆกันให้ห้องรัชดามีพวกนี้น้อยลง...คนที่มีความรู้ที่พอจะแนะนำอะไรให้   อาจจะเข้ามาตอบกันเยอะขึ้นนะครับ จากคุณ : ลูกเป็ดตกมัน เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 12:44:09

ความคิดเห็นที่ 37 อ้อ  ขอถามเจ้าของกระทู้อย่างนึง....ว่าอยู่ระหว่างเรียนหรือพึ่งจบหรือทำงานด้านนี้แล้วครับ    เพราะในการทำงานจริงมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะที่ต้องเจอ...ต้องหัดเป็นคนละเอียดและรู้ให้จริงรู้ให้มากๆไว้ก่อน   เวลาต่อสู้คดีแก้ต่างให้ลูกความจะได้ไม่เสียเปรียบ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 13:30:58 จากคุณ : ลูกเป็ดตกมัน เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 12:49:36

ความคิดเห็นที่ 38 ยินดีต้อนรับบัตรผ่าน  รำคาญพวกชอบอ้างระบบสมาชิก ที่นี่เวปบอร์ดเอกชน ไม่ใช่โรงลิเก จะมานั่งสนใจหัวโขนเครื่องแต่งกาย บัตรผ่านเขาทักท้วงถูกต้องแล้ว และคุณกลายใต้ก็ชี้แจงกำกวมในหลายประโยค  ไม่ใช่ภาษานักกฏหมาย เช่น "กรณีที่จ่ายครบทุกงวด คืนรถแล้ว และมีหลักฐานการคืนรถ ถือว่าสัญญาสิ้นสุด" จ่ายครบอย่างไร  มีผู้เช่าซื้อคนใดผ่อนครบแล้วเอารถไปคืนบ้าง ที่กล่าวถึงเขาไม่เรียกว่าจ่ายครบ เขาเรียกไม่ติดค้างค่างวด ยังเป็นหนี้สถาบันการเงินอยู่ เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าการแนะนำทาง กม. ถ้าไม่แน่ใจอย่าแนะนำดีกว่า เรื่องเครื่องยนต์กลไกก็อีก เห็นบาง คคห.ในหลายกระทู้แล้วปลง ใครดันไปเชื่อละก็...รถพังหนักเข้าไปอีก จากคุณ : 068 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 13:21:50

ความคิดเห็นที่ 39 ผมเขียนผิดหลายข้อหลายที่ครับ เช่น จริง ๆ แล้วจะ คืนที่ไหนก็ได้ ให้บริษัทมารับไป หรือไปคืนที่บริษัทก็ได้ เมื่อทั้งฝ่ายยินยอมที่จะคืนรถ ก็ถือว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา ก็จบกันไป (ยิ่งไม่ค้างชำระยิ่งหมดปัญหา) ตกคำว่า ไม่ ในก็ถือว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา สิ่งที่ผมเขียนมานี้ ก็ใช้เวลา 5-6 ชม. ในการเขียน จะให้ผมใช้ภาษากฎหมายทั้งหมดเพื่ออธิบายความในพันทิปเพื่อให้คนอื่นเข้าใจยาก ๆ  เพื่ออะไรครับ เพื่อให้ตัวเองดูดีว่ารู้กฎหมาย ? เพื่อให้ตัวเองดูว่าเก่ง ? เพื่อให้ป้องกันพวกที่เซียน ๆ นักกฎหมายมา แสดงภูมิ ? ==================================== ที่เขียนมานี้ ไม่ได้เขียนเพื่อเอาชนะคะคานอะไรใคร ไม่ได้เขียนมาเพื่อ ไอ้คนนี้โง่  ไม่รู้เรื่อง มรึงไม่ได้เรียนกฎหมาย จะไปรู้อะไร ego ทั้งนั้น ที่เขียนมาเพื่อบอกว่า อะไรคือความเป็นธรรม ยุติธรรม หรือ การยุติ ด้วย ธรรม ลึกซึ้งกว่าจะมาเล่นคำกับตัวบทกฎหมาย หรือกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมาย 1 2 3 4 สาระสำคัญคือต้องารจะสื่อกับสังคมต้องการรู้ว่า ในฐานะคนที่ต้องหาเช่ากินค่ำผ่อนรถ  มีสิทธิและหน้าที่อะไรบ้าง  จะรักษาสิทธิตัวเองอย่างไร สังคมต้องการความยุติธรรม ไม่ได้การนักกฎหมายเก่ง ๆ ครับ จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 13:50:10

ความคิดเห็นที่ 40 เป็นความรู้นี่ก็ดีอยู่แล้ว ยังจะมาทะเลาะเรื่องบัตรผ่านหรือสมาชิก....? บัตรผ่าน สมาชิค มันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ เรื่องความเชื่อถือ มันก็อยู่ที่คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่มีใครเดือดร้อน ถ้าไม่ใช่บัตรผ่านที่โดนว่าเหมารวม แต่นี่เขาก็เจาะจงมา.... แต่ที่ต่างคือ สไตล์การพิมพ์ หรือ วาจาการพิมพ์ จากที่ดู 248569 ใช้วาจาการพิมพ์ คุณก็ดูเอาแล้วกันครับว่า .... อารมณ์และนิสัยเป็นยังไง เราก็พอเดาๆกันได้ จากคุณ : Walker G-543 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 13:50:32

ความคิดเห็นที่ 41 จขกท.หวังดี แต่มันไม่ครอบคลุมทุกกรณี ทุกสัญญาครับ (สัญญารถผมก็มีนะ ให้ชำระส่วนที่ขาดหลังจากการขาย) แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 13:57:20 จากคุณ : - NPie - เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 13:56:06

ความคิดเห็นที่ 42 ==================================== ที่ เขียนมานี้ ไม่ได้เขียนเพื่อเอาชนะคะคานอะไรใคร ไม่ได้เขียนมาเพื่อ ไอ้คนนี้โง่  ไม่รู้เรื่อง มรึงไม่ได้เรียนกฎหมาย จะไปรู้อะไร ego ทั้งนั้น ที่ เขียนมาเพื่อบอกว่า อะไรคือความเป็นธรรม ยุติธรรม หรือ การยุติ ด้วย ธรรม ลึกซึ้งกว่าจะมาเล่นคำกับตัวบทกฎหมาย หรือกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมาย 1 2 3 4 สาระสำคัญคือต้องารจะสื่อกับ สังคมต้องการรู้ว่า ในฐานะคนที่ต้องหาเช่ากินค่ำผ่อนรถ  มีสิทธิและหน้าที่อะไรบ้าง  จะรักษาสิทธิตัวเองอย่างไร สังคม ต้องการความยุติธรรม ไม่ได้การนักกฎหมายเก่ง ๆ ครับ จาก คุณ : กลายใต้ ---------------------------------------------------------------------------- เข้าใจครับ...แต่การแนะนำแบบผิดๆ...จากที่จะเป็นการรักษาสิทธิของผู้เช่าซื้ออาจจะกลายเป็นเสียโดยใช่เหตุครับ    เพราะจากข้อแนะนำของคุณ...ถ้าเกิดมีผู้ทำตามเพราะเข้าใจว่าทำแบบนั้นแล้วอาจจะจบเรื่องจบราว....กับต้องกลายเป็นเสียค่าเสียหายหรือค่าอะไรๆก็ตามให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อเยอะขึ้นกว่าเดิม จากคุณ : ลูกเป็ดตกมัน เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 14:00:19

ความคิดเห็นที่ 43 ข้อแนะนำของคุณ...ถ้าเกิดมีผู้ทำตามเพราะเข้าใจว่าทำแบบนั้นแล้วอาจจะจบเรื่องจบราว....กับต้องกลายเป็นเสียค่าเสียหายหรือค่าอะไรๆก็ตามให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อเยอะขึ้นกว่าเดิม ^ ^ ส่วนใหนที่คำแนะนำผมผมทำให้ผุู้เช่าซื้อเสียหายเพิ่มขึ้นครับ ผมแนะนำว่า ถ้าคุณจ่ายครบทุกงวด ไม่ค้างชำระค่างวดเลย ถีงเวลาผ่อนไม่ไหว ถ้าไม่เลือกวิธีขายดาวน์ไป  คุณเอารถไปคืนบริษัทเค้า ในสภาพที่สมบูรณ์ เรียนถามคุณ ลูกเป็ดตกมัน  ว่าผู้เช่าซื้อ เสียหายเพิ่มขึ้นตรงไหนครับ จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 14:10:16

ความคิดเห็นที่ 44 อย่างน้อยเสียเวลาเพิ่มครับ (เวลาเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบางคนครับ) ความเสียหายจากขั้นตอนที่เพิ่ม-ผิด ทั้งของผู้เช้าซื้อและไฟแนน ซึ่งส่วนนี้ผู้ชนะคดีสามารถฟ้องร้องค่าดำเนินการรวมไปด้วยได้ครับ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 14:23:26 จากคุณ : - NPie - เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 14:22:15

ความคิดเห็นที่ 45   อดใจกลับเข้ามาตอบไม่ได้แฮะ คุณกลายใต้ครับ - จุดเริ่มเรื่องมันอยู่ที่เรื่องของการ "เอารถไปคืนที่ศาล" ที่คุณเป็นยกขึ้นมานั่นแหละ เจตนาคุณอาจจะดีครับ แต่การบอกแค่นี้มันไม่ได้ช่วยอะไรใครขึ้นมาเลย หรือว่ามีใครสามารถขับรถไปคืนที่ศาลแล้วเรื่องต่างๆ จบได้บ้าง? - ชีวิตจริงสัญญาต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจอย่างไฟแนนซ์ต้องตรวจทานอย่างดีไม่รู้กี่ร้อยเที่ยว เพื่ออุดช่องโหว่ไม่ให้บริษัทฯ เสียผลประโยชน์ อยู่ดีๆ อย่านึกว่าแค่คืนรถเค้าไปแล้วเรื่องมันจะจบ ข้อเท็จจริงแต่ละกรณีไม่เหมือนกันครับ ฟ้องคดีลักษณะเดียวกันไม่จำเป็นต้องจบเหมือนกัน - ไม่มีใครอยากฟังภาษากฎหมายดุ้นๆ หรอกครับ อ่านแล้วออกจะชวนง่วง (โดยเฉพาะเวลาอ่านฎีกา) แล้วก้ไม่ได้เป็นตัวชี้เลยว่าคนที่ใช้แต่ภาษากฎหมายเป็นคนเก่งกาจอะไร แต่การให้คำแนะนำข้อกฎหมายอะไรกับใครผมเห็นว่าควรจะมองไปที่ประเด็นของเรื่อง แต่ละเรื่องแล้วเอาข้อกฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริงจะเป็นคำแนะนำที่ตรงกับกรณีที่สุด - คำพิพากษาฎีกาเป็นแค่แนวทางการตัดสินของศาล และเป็นตัวอย่างให้นักเรียนกฎหมายใช้ศึกษาวิธีการใช้ดุลยพินิจของศาล ตามระบบกฎหมายไทยไม่ได้ถือเป็นกฎหมาย แล้วก็ไม่ได้มีผลผูกพันว่าศาลอื่นๆ ต้องๆ พิพากษาตามแนวฎีกาเดิม - การแนะนำหรือให้คำปรึกษาใครผมมองว่าควรมองไปที่หลักกฎหมายเรื่องนั้นๆ กับข้อเท็จจริงมากกว่า การพูดถึงหลักกฎหมายไม่ได้จำเป็นต้องพูดเป็นภาษากฎหมายเลย และเวลาจะแนะนำใครควรจะบอกและแนะนำให้ครบทุกเรื่อง ทุกประเด็น จะมายกข้อกฎหมายแค่เรื่องเดียวหรือฎีกาฉบับเดียวมาไม่ได้หรอกครับ เหมือนสมัยหนึ่งมีเรื่องใบขับขี่เป็นทรัพย์สินเจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจยึด (มองเฉพาะมุมมองตามกฎหมายแพ่ง) ซึ่งก็มีคนเชื่อตามเป็นจำนวนมาก โดยลืมมองไปว่าใบขับขี่เป็นเอกสารราชการ และเจ้าหน้าที่ยังมีอำนาจตามกฎหมายอื่นในการยึดได้ - ขออนุญาตวิจารณ์ตรงๆ ว่าคุณกลายใต้ขาดการมองประเด็นของเรื่อง และวิธีการให้คำแนะนำผู้อื่นนะครับ การจะให้คำแนะนำเรื่องกฎหมาย ควรจะบอกให้หมด ไม่คลุมเคลือและอธิบายปรับเข้ากับภาษากฎหมายที่ฟังง่ายๆ แต่ต้องตรงประเด็นครับ ด้วยความเคารพ จากคุณ : Galeon_212 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 14:32:19 A:172.20.28.166 X:203.130.145.98 TicketID:271530

ความคิดเห็นที่ 46 ทะเลาะกันไปทำไมครับ "คิดต่างได้ แต่อย่าแตกแยก" เลยนะครับ ข้อกฎหมายมันมีพลิกกันได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทางศาลที่ตัดสินใจคดีนั้นๆ ด้วยถูกไหมครับ? จากคุณ : Urban_Park เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 14:34:55

ความคิดเห็นที่ 47 ไม่มีใครทะเลาะแล้วครับ แลกเปลี่ยนความคิด รึ 46 จาเอา (เค้าล้อเล่น) แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 14:45:08 จากคุณ : - NPie - เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 14:44:20

ความคิดเห็นที่ 48   สัญญาเช่าซื้อ เราเป็นคนเช่าซื้อ ก็ใช้ประโยชน์จากรถ วันถ้าผ่อนไม่ไหว เอารถคืนเค้าไป ในสภาพที่สมบูรณ์ ถือว่าสัญญาจบ ดูจากคำพิพากษาฏีกาได้ครับ ............................................................................................... คำสภาพสมบูรณ์คุณกลายใต้ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยครับ สมมุติว่าผม ผมซื้อรถมาแปดแสนบาท ใช้รถมาแสนกิโล เข้าศูนย์ตลอด ไม่มีชน ใช้มาสองปี ผ่อนไม่ไหว เอารถไปคืน แบบนี้ถือว่ารถอยู่ในสภาพสมบูรณ์ใช่ไหมครับ หลังจากนั้นไฟแนนต์เอาไปขาย ขายได้แต่ไม่ได้ในราคาที่ผมหนี้ไฟแนนต์อยู่ แบบนี้ผมก็ไม่ต้องจ่ายส่วนต่างในส่วนนี้ก็ได้ใช่ไหมครับเพราะผมคืนรถในสภาพที่สมบูรณ์ตามคุณกลายใต้บอก ถือว่าสัญญาจบ ตามที่คุณกลายใต้บอก จากคุณ : นัท เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:04:02 A:222.123.250.243 X: TicketID:185294

ความคิดเห็นที่ 49   ขอตอบเรื่อง "เอารถไปคืนบริษัทเค้า ในสภาพที่สมบูรณ์" ว่ากันตามเฉพาะเรื่องกฎหมายเช่าซื้อ ถือว่าทำได้และเป็นเหตุหนึ่งของการเลิกสัญญาเช่าซื้อ และหากไม่มีเรื่องที่ผมจะกล่าวต่อไปก็ถือว่าเป็นอันจบกันระหว่างไฟแนนซ์กับผู้เช่าซื้อ ปัญหาคือสัญญาซึ่งไฟแนนซ์เป็นคนร่าง มักจะกำหนดความรับผิดของผู้เช่าซื้อไว้กรณีที่ผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญา หรือกรณีการนำรถมาคืน ซึ่งเป็นสามารถระบุในสัญญาให้ผู้เช่าซื้อจ่ายเงินเพิ่มเมื่อนำรถไปคืน ไม่ว่าจะเป็นค่าติดตาม ค่าเสืื่อมค่าราคา หรือค่าอื่นๆ ฯ ได้ พอดีเห็นคุณลุกเป็นตกมันยกตัวอย่างไว้เลยจะนำมาให้อ่านอีกรอบ คำพิพากษาฎีกาที่ 5022/2540 ค่าเสียหายที่สัญญาเช่าซื้อระบุว่า เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง เพราะผู้เช่าซื้อผิดนัด นอกจากยอมให้ริบเงินที่ชำระไปแล้ว ยังต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมดด้วยนั้นเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับและไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่เป็นโมฆะ คำพิพากษาฎีกาที่ 6473/2541 กรณีที่สัญญาเช่าซื้อระบุว่า ถ้าเจ้าของได้ขายทรัพย์ที่เช่าซื้อไปแล้วได้เงินไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญากับค่าเสียหายอื่นที่เกิดขึ้น ....................................... เป็นข้อตกลงที่กำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้า วิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงได้ ตาม ม.379 และ 38 ซึ่งฎีกาที่ 6473/2541 แสดงให้เห็นว่าศาลยอมรับการมีอยู่ของการกำหนดเบี้บปรับในสัญญา เพียงแต่หากสูงเกินไป ศาลมีอำนาจกำหนดให้ลดลงได้ คำแนะนำของคุณกลายใต้เป็นคำแนะนำที่มาจากเจตนาดีครับ แต่แนะนำไม่ครบ ผมเห็นด้วยกับเรื่องขายดาวน์ แต่ไม่เห็นด้วยว่าการเอารถไปคืนแล้วจะจบเรื่องทุกอย่างครับ จากคุณ : Galeon_212 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:07:22 A:172.20.28.166 X:203.130.145.98 TicketID:271530

ความคิดเห็นที่ 50   คุณกลายใต้..อย่าเพิ่งโกรธนะ ลองรับฟัง คคห.ของดิฉันดูนิดนึงได้ไหม กรณีตามฎีกาที่อ้างมา เป็นกรณีที่ถือว่าผู้เช่าซื้อยังไม่ผิดนัดชำระหนี้ เพราะคู่สัญญาไม่ได้ถือระยะเวลาชำระค่าเช่าซื้อเป็นสำคัญ เมื่อผู้เช่าซื้อนำเช็คมาชำระค่ารถ (ทั้งที่เกินกำหนดเวลาตามสัญญาแล้ว) แต่ผู้ให้เช่าซื้อรับไว้ และมีการยึดรถคืนโดยทั้งสองฝ่ายยินยอม จึงเป็นกรณีสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยไม่ถือว่าคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา แต่กรณีตามที่คุณกลายใต้แนะนำ น่าจะเป็นกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัด ชำระค่าเช่าซื้อล่าช้าแล้ว การที่ผู้เช่าซื้อจะใช้วิธีนำเงินไปวางศาล??? แล้วขอคืนรถ -ถ้าผู้ให้เช่าซื้อไม่ยอมรับเงินค่าเช่าซื้อ ก็ยังถือว่าผู้เช่าซื้อผิดสัญญาอยู่ -หรือถ้าผู้ให้เช่าซื้อยอมรับเงินค่าเช่าซื้อ แต่ยังคงส่งnotice เรียกดอกเบี้ยผิดนัด กรณีแบบนี้ก็น่าจะถือว่าผู้เช่าซื้อผิดสัญญาเช่าซื้อแล้วเหมือนกัน เหตุที่ดิฉันเห็นว่าผู้เช่าซื้อยังคงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ก็เพราะพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า ผู้ให้เช่าซื้อยังคงถือกำหนดระยะเวลาชำระค่าเช่าซื้อเป็นสำคัญอยู่ ซึ่งเป็นกรณีที่ต่างกับฎีกาที่คุณกลายใต้ช่วยหามาให้น่ะค่ะ -ในความคิดเห็นของดิฉัน (ซึ่งอาจจะผิดก็ได้??) ดิฉันยังนึกไม่ออก ว่าจะนำรถไปคืนที่ศาลอย่างไร มันคงจะทำได้ในกรณี ผู้เช่าซื้อและผู้ให้เช่าซื้อตกลงกัน (เป็นสัญญายอม ฯลฯ) ว่าให้นำรถไปคืนที่ศาลนั้น ศาลนี้ แต่ถ้าไม่มีการตกลงอะไรกับผู้ให้เช่าซื้อ อยู่ดีๆ ผู้เช่าซื้อจะขับรถไปที่ศาล แล้วบอกว่าขอคืนรถ เจ้าหน้าที่ศาลจะยอมรับรถไว้หรือคะ -เมื่อสักเดือนหนึ่งที่ผ่านมา ดิฉันไปศาล ได้ยินเจ้าหน้าที่ศาลถกเถียงกับคนที่มาขอคืนรถที่ศาล วันนี้จึงเพิ่งถึงบางอ้อ ว่ามันมีที่มาอย่างนี้นี่เอง... จากคุณ : มือใหม่หัดขับ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:09:46 A:124.157.242.214 X: TicketID:150038

ความคิดเห็นที่ 51 อ้างจาก  คคห.43 -------------- ----------------------------------------------------------------- ตรงที่แนะนำนี่แหละครับ...เพราะในความเป็นจริงมันไม่ได้จบง่ายๆแบบที่คุณคิด ในสัญญาอาจระบุข้อความต่างๆ เช่น  ถ้าเจ้าของได้ขายทรัพย์ที่เช่าซื้อไปแล้วได้เงินไม่ คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญากับค่าเสียหายอื่นที่เกิดขึ้น  ผู้ให้เช่าซื้อสามารถเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากผู้เช่าซื้อได้ พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าผู้เช่าซื้อจะชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนเสร็จสิ้น จากที่ผมเจอๆมา....ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องไปจนศาลมีคำพิพากษาแล้ว ส่วนมากจะชนะเพราะจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ (ส่วนมากจะเพราะไม่รู้หรือเพราะไม่สนใจ เนื่องจากคิดว่าคืนรถไปก็จบเรื่องตามคำแนะนำของคุณ)   จนถึงขั้นตอนที่บังคับคดี  ถึงค่อยรู้ --------------------------------------------------------------------------------- และจากคคห.34    ==================================== กรณี ที่จ่ายครบทุกงวด คืนรถแล้ว และมีหลักฐานการคืนรถ ถือว่า สัญญาสิ้นสุด   จริง ๆ ส่วนใหญ่บริษัทไม่อยากฟ้องหรอก เพราะสัญญาเช่าซื้อ ก็ฟ้องจบได้แต่ค่าขาดประโยชน์ คือ ช่วงเวลาที่รถอยู่กับเรา แต่เราไม่จ่าย ทางบริษัทขาดประโยชน์ แทนที่จะให้คนอื่นเอาไปเช่าใช้ แต่อยู่กับเรา แล้วเราไม่ได้ส่งเงินให้เค้า แล้วถ้าเราจ่ายครบ คืนรถแล้ว เค้าจะไปฟ้องเรียกร้อง ก็ไม่ได้อะไร question ดู จากคำตัดสินศาลฎีกาที่ผ่านมาทั้งหมดก็ได้ ---------------------------------------------------------------------------- ไม่ใช่ฟ้องได้แต่ค่าขาดประโยชน์ ดูต้องดูให้ครบครับ...และบางครั้งที่ไม่มีคำพิพากษาศาลฎีกาออกมา  คุณต้องเข้าใจก่อนว่าการที่คำพิพากษาถึงที่สุดมันไม่ใช่เฉพาะว่าต้องถึงที่สุดที่ศาลฎีกา  อาจจะเพราะว่าจำเลยไม่ได้อุทธรณ์....ไม่ได้ฎีกา   โจทก์ก็ร้องขอออกหมายบังคับคดีหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นถึงที่สุดก็ได้ครับ   จำเลยโดยบังคับยึดทรัพย์ขายทอดตลาดเยอะแยะไป จากคุณ : ลูกเป็ดตกมัน เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:12:10

ความคิดเห็นที่ 52 เรื่องเอารถไปคืนที่ศาล ... ที่ผมแนะนำไป คือกรณีใด สรุป(อีกที และ อีกที) ดังนี้ 1. ในกรณีที่คุณผ่อนมา  แล้วไม่ค้างชำระ แล้วผ่อนไม่ไหว เลือกที่จะคืนรถ แทนการเปลี่ยนสัญญาโดยการขายดาวน์ให้คนอื่น --------  และ  -------------- 2. บริษัทไม่รับรถคืน  หรือ คุณไม่แน่ใจว่า ถ้าคุณคืนรถด้วยตัวเอง หลักฐานอะไรต่าง ๆ ว่าคุณได้คืนรถเช่าซื้อให้กับเจ้าของไปแล้ว จะครบสมบูรณ์หรือไม่ คุณก็ขอไปคืนที่ศาลผู้บริโภค  ให้เจ้าของมารับทรัพย์สินคืนไป คุณก็ไม่ต้องผ่อนต่อ บริษัทจะมาเรียกร้องภายเรื่องการเสียผลประโยชน์ เนื่องจากคุณยังไม่คืนรถ หรือ ค้างชะรำค่างวด หรือ ขายรถทอดตลาดหลังจากคุณคืนรถแล้วมีเงินขาดอยู่ตามสัญญา ไม่ได้ (ถ้าใครบอกว่า ฟ้องได้ ชนะด้วย ช่วยเอาคำตัดสินศาลฎีกากรณีเช่นนี้มาให้ดูด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง ครับ) ชัดเจนนะครับประเด็นนี้  ยุติธรรม ทั้งสองฝ่าย --------------------------------------------------------- ส่วนประเด็นว่า ถ้าผ่อนไม่ไหว ไม่ค้างค่างวด แต่บริษัทไม่ยอมรับรถคืน แล้วจะให้ศาลเป็นคนสั่ง ศาลไหนจะมารับ คดีอะไรฟะเนี๊ยะ .. ผมแนะนำว่า ไปที่ศาลผู้บริโภค ก่อนดีมั๊ยครับ ก่อนจะด่าว่าคนอื่น .. ---------------------------------------------------------- ในกรณีที่ --> คุณไม่จ่ายค่างวด แล้วโดนยึดรถ  แบบนี้ไม่ต้องคืนแล้วครับรถโดนยึดไปแล้ว หรือ --> ในกรณีที่ ค้างชำะค่างวดอยู่  แต่อยากคืนรถ ก็คืนได้ แต่ค่างวดที่เหลือก็ต้องจ่ายด้วย ถ้าไม่จ่ายเกิดอะไรขึ้น ... ? ก็ถูกฟ้องร้อง และค่าเสียหาย ที่คุณจะต้องจ่ายคือค่าเสียประโยชน์ของเจ้าของรถที่ไม่สามารถหาประโยชน์ได้ ในระหว่างที่คุณครอบครองรถ แต่คุณไม่จ่ายค่างวดเค้า อันนี้จ่ายแน่นอน ตามการประเมินการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินนั้นของศาล พร้อมดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหมด ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าติดตามรถ ค่ายึดรถ ค่าเสียเวลา ขายแล้วยังขาดทุนเนื่องจากค่าดอกเบี้ยในอนาคต อยากให้คุณต้องจ่ายเพ่ิ่ม อันนี้แล้วแต่ดุลพินิจของศาลว่าจะให้คุณจ่ายเท่าไหร่   ยังไม่เจอคำตัดสินในศาลฎีกา คดีไหนไหนบอกว่า ให้ผู้เช่าซื้อต้องจ่ายค่าส่วนขายแล้วขาดทุนด้วย จากราคาที่รวมดอกเบี้ยในอนาคตไว้แล้ว  (ไม่ใช่ส่วนที่คุณค้างชำระก่อนยึดรถ) --------------------------------------------------------------------------- จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:18:37

ความคิดเห็นที่ 53   คุณ Galeon_212 จาก คห.ที่ 48 แสดงว่าเมื่อผมผ่อนต่อไม่ไหว ไฟแนนต์ยึดรถ นำรถไปขายต่อยังไม่ได้ราคา ผมก็ต้องจ่ายในส่วนต่างๆ เช่นค่าเสื่อมสภาพ ค่าติดตาม และค่าอื่นๆไม่ใช่อย่างที่คุณกลายใต้บอกไว้ว่า ถ้าผ่อนไม่ไหว เอารถคืนเค้าไป ในสภาพที่สมบูรณ์ ถือว่าสัญญาจบ ผมก็งงๆกับคุณกลายใต้อยู่เหมือนกันครับคำว่าสภาพสมบูรณ์ นำรถไปคืนถือว่าสัญญาจบ รถใช้แล้วมันจะสมบูรณ์ตรงไหนครับ ขอบคุณมากครับที่ให้ความรู้ จากคุณ : นัท เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:20:11 A:222.123.250.243 X: TicketID:185294

ความคิดเห็นที่ 54   คุณ Galeon_212 จาก คห.ที่ 48 แสดงว่าเมื่อผมผ่อนต่อไม่ไหว ไฟแนนต์ยึดรถ นำรถไปขายต่อยังไม่ได้ราคา ผมก็ต้องจ่ายในส่วนต่างๆ เช่นค่าเสื่อมสภาพ ค่าติดตาม และค่าอื่นๆไม่ใช่อย่างที่คุณกลายใต้บอกไว้ว่า ถ้าผ่อนไม่ไหว เอารถคืนเค้าไป ในสภาพที่สมบูรณ์ ถือว่าสัญญาจบ ผมก็งงๆกับคุณกลายใต้อยู่เหมือนกันครับคำว่าสภาพสมบูรณ์ นำรถไปคืนถือว่าสัญญาจบ รถใช้แล้วมันจะสมบูรณ์ตรงไหนครับ ขอบคุณมากครับที่ให้ความรู้ จากคุณ : นัท เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:20:36 A:222.123.250.243 X: TicketID:185294

ความคิดเห็นที่ 55 แต่กรณีตามที่คุณกลายใต้แนะนำ น่าจะเป็นกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัด ชำระค่าเช่าซื้อล่าช้าแล้ว การที่ผู้เช่าซื้อจะใช้วิธีนำเงินไปวางศาล??? แล้วขอคืนรถ -ถ้าผู้ให้เช่าซื้อไม่ยอมรับเงินค่าเช่าซื้อ ก็ยังถือว่าผู้เช่าซื้อผิดสัญญาอยู่ ^ ^ มิได้ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น  กรณีนี้เป็นคนละกรณีครับ   ที่คืนไม่ใช่ขอรถคืนจากผู้ให้เช่าซื้อ  เนื่องจากโดนยึดไป แต่คืนในกรณีผู้เช่าซื้อผ่อนไม่ไหว และไม่ค้างชำระค่างวด จะคืนรถให้กับเจ้าของเช่าซื้อครับ ------------------------------------------------------------------ -เมื่อสักเดือนหนึ่งที่ผ่านมา ดิฉันไปศาล ได้ยินเจ้าหน้าที่ศาลถกเถียงกับคนที่มาขอคืนรถที่ศาล วันนี้จึงเพิ่งถึงบางอ้อ ว่ามันมีที่มาอย่างนี้นี่เอง... ^ ^ คุณมือใหม่ไปที่ศาลไหนครับ และกรณีของคุณเป็นอย่างไรครับ เช่น ไม่จ่ายแล้วโดนยึด แล้วจะจ่ายเงินส่วนที่ค้างชำระค่างวดอยู่ เพื่อต้องการจะเอารถคืน (เพราะเมื่อได้รถคืนมา เอามาขายดาวน์ก็ยังดีกว่า) อย่างนั้นใช่มั๊ยครับ จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:29:32

ความคิดเห็นที่ 56   คุณกลายใต้คะ แลกเปลี่ยนความรู้กันนะ ^^ กรณีคืนรถที่ศาลผู้บริโภค -ต้องมีการฟ้องร้องก่อนหรือไม่ จึงจะสามารถคืนรถที่ศาลผู้บริโภคได้อ่ะค่ะ? หรือ แค่จ่ายต่อไม่ไหว ก็ไปขอคืนรถที่ศาลได้เลย (อันนี้ไม่ทราบจริงๆค่ะ) -ตอนนี้ยังไม่มีการตั้งศาลผู้บริโภคขึ้นมาเป็นศาลชำนัญพิเศษ คดีผู้บริโภคยังคงต้องขึ้นศาลธรรมดา แต่ใช้วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคเป็นกระบวนการในการพิจารณาคดีเท่านั้น ถ้าอย่างนั้น ก็คือต้องนำรถไปคืนที่ศาลธรรมดา เช่น ศาลแพ่ง ศาลจังหวัด... อย่างนั้นใช่ไหมคะ ส่วนเรื่องที่ดิฉันได้ยินมา เหมือนกับว่าผู้เช่าซื้อต้องการนำรถมาคืนให้ผู้ให้เช่าซื้อที่ศาลน่ะค่ะ (รู้สึกว่าจะไม่มีสัญญายอมด้วยนะ) ดิฉันได้ยินแล้วก็งงๆเหมือนกัน แต่ไม่ได้เข้าไปถามรายละเอียดจากผู้เช่าซื้อค่ะ ^^ อ้อ ศาลในกรุงเทพนี่ล่ะค่ะ ก็เลยสงสัยอยู่ว่าคืนรถให้ผู้ให้เช่าซื้อที่ศาลได้ด้วยเหรอ? จากคุณ : มือใหม่หัดขับ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:46:48 A:124.157.242.214 X: TicketID:150038

ความคิดเห็นที่ 57 คำสภาพสมบูรณ์คุณกลายใต้ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยครับ สมมุติว่าผม ผมซื้อรถมาแปดแสนบาท ใช้รถมาแสนกิโล เข้าศูนย์ตลอด ไม่มีชน ใช้มาสองปี ผ่อนไม่ไหว เอารถไปคืน แบบนี้ถือว่ารถอยู่ในสภาพสมบูรณ์ใช่ไหมครับ หลังจากนั้นไฟแนนต์เอาไปขาย ขายได้แต่ไม่ได้ในราคาที่ผมหนี้ไฟแนนต์อยู่ แบบนี้ผมก็ไม่ต้องจ่ายส่วนต่างในส่วนนี้ก็ได้ใช่ไหมครับเพราะผมคืนรถในสภาพที่สมบูรณ์ตามคุณกลายใต้บอก ถือว่าสัญญาจบ ตามที่คุณกลายใต้บอก ^ ^ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเช่นนั้นครับ - คุณจ่ายดาวน์ไป - คุณผ่อนครบ ไม่ค้างค่างวด - ผ่อนไม่ไหว ก็คืนรถที่สมบูรณ์ไป  จบการเช่าซื้อ รถที่สมบูรณ์คือรถที่เสื่อมสภาพไปตามการใช้งานปกติ เพราะอะไรครับ ก็เพราะว่า กฏหมายเช่าซื้อเป็นแบบนั้น และบริษัท มักจะคิดเผื่อ กำไรเสมอ อยู่แล้ว (ยกเว้นบริษัทอยากได้เงิน คิดดอกแพง ๆ และทำสัญญาโดยไม่ต้องดาวน์) ==> เช่น รถใหม่ 800,000 คุณต้องจ่ายเงินดาวน์  เช่น 25% คือ 200,000 ผ่อน 4 ปี เหลือ 600,000 ดอก 3.5% ประมาณเดือนละ 15,000 คุณ ซื้อมา ผ่อน 1 ปี แล้วคืนรถ เท่ากับว่าบริษัท ได้เงินไป 200,00 + 180,000 (15,000x12) = 380,000 บาท รถปีแรกหักค่าเสื่อมราคา และที่ผ่อนมาแล้ว รถที่คุณคืนเค้าไปตามปกติ ไม่ได้โดยยึด ไม่เสียหายจากการใช้งานปกติ มันขายได้ราคาสูงกว่า 800,000 - 380,000 = 420,000 บาท แน่นอน ผ่อน 2 ปีแล้วคืนรถ บริษัทได้เงินไปแล้ว 560,000 บาท ขายยังไงก็ต้องได้มากกว่า 800,000- 560,000 = 240,000 บาท ผ่อน 3 ปี ผ่อนไม่ไหว คืนรถ คุณจ่ายไปแล้ว 740,000 บาท รถ 3 ปี เค้านำไปขาย ได้มากกว่า 800,000 - 740,000 = 60,000 แน่นอน ส่วนต่างที่เค้าขายได้นั่นคือดอกเบี้ย ------------------------------- ในกรณีรถมือสอง  ผู้ให้เช่าซื้อ  ก็ต้องคิดว่าจะให้ราคาเท่าไหร่เพื่อความปลอดภัยในธุรกิจ เช่น 80% ราคาประเมิน หรือ ดอกเบี้ยแพงแพงหน่อย ตามความเสี่ยง ---------------------------------------------------- กรณีคืนแบบถูกต้องแบบนี้ไม่ค่อยเกิด  มีแต่เอาไปขายดาวน์ ได้เงินคืนด้วย ส่วนใหญ่เลยก็คือ  ไม่ก็ไม่จ่ายเลย ต้องให้บริษัทไล่ล่ายึดรถ   ซึ่งแบบนี้ก็ไม่เป็นธรรมต่อผู้ให้เช่าซื้อเช่นกัน ถูกมั๊ยครับ จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:53:47

ความคิดเห็นที่ 58 ยินดีครับที่ทุกท่านเถียงกันด้วยความรู้ ขอบคุณสำหรับความรู้ที่นำมาแบ่งปันกันครับ จากคุณ : basicball เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:11:46

ความคิดเห็นที่ 59 คห. 56 กรณีคืนรถที่ศาลผู้บริโภค -ต้องมีการฟ้องร้องก่อนหรือไม่ จึงจะสามารถคืนรถที่ศาลผู้บริโภคได้อ่ะค่ะ? หรือ แค่จ่ายต่อไม่ไหว ก็ไปขอคืนรถที่ศาลได้เลย (อันนี้ไม่ทราบจริงๆค่ะ) ^ ^ ^ ฟ้องว่าอย่างไรครับ   ฟ้องเราไม่ค้างชำระค่างวด แต่ผ่อนไม่ไหว อยากจะคืน แต่ บริษัทไม่ยอมรับรถคืนแบบนี้หรือเปล่าครับ ? จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:16:38

ความคิดเห็นที่ 60   ^ ^ คือ แค่สงสัยว่าที่คุณกลายใต้บอกว่าสามารถนำรถไปคืนที่ศาลได้น่ะค่ะ ถ้าวันนึง ผู้เช่าซื้อคิดว่าไม่ผ่อนต่อแล้วล่ะ จะเอารถไปคืนที่ศาลได้เลย หรือว่าจะต้องมีคดีความเกิดขึ้น ถึงจะสามารถนำรถไปคืนที่ศาลได้ล่ะคะ?? จากคุณ : มือใหม่หัดขับ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:23:43 A:124.157.242.214 X: TicketID:150038

ความคิดเห็นที่ 61 ไม่ค่อยรู้เรื่องข้อกฏหมาย  แต่อ่านแล้วก็รู้ว่าทำไมอเมริกา นักกฏหมายถึงมีรายได้ดีมากๆ จากคุณ : ฟากฟ้าสวย เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:29:52

ความคิดเห็นที่ 62 ด้วยความเคารพครับ ผมว่า คุณ จขกท. น่าจะเข้าใจอะไรผิด 1.ตามที่คุณกลายใต้อ้างว่า คำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเช่นนั้นครับ - คุณจ่ายดาวน์ไป - คุณผ่อนครบ ไม่ค้างค่างวด - ผ่อนไม่ไหว ก็คืนรถที่สมบูรณ์ไป  จบการเช่าซื้อ ผมว่ากรณีดีงกล่าวข้อเท็จจริงในคำพิพากษา กับข้อเท็จจริงที่คุณกลายใต้อ้าง มันคนละเรื่องกันเลย ในคำพิพากษาเป็นกรณีที่บริษัทไฟแนนซ์ เค้าไปตามยึดรถเอง แล้วคู่ความก็โต้เถียงกัน โดยมีประเด็นว่า สัญญาเลิกกันหรือยัง แต่ที่คุณบอกให้เอารถไปคืนบริษัทไฟแนนซ์ เป็นกรณีที่บริษัทไฟแนนซ์ ไม่ได้ตามยึดรถ แต่เราประสงค์จะขอเลิกสัญญากับไฟแนนซ์ ซึ่งโดยหลักแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าไฟแนนซ์จะยอมรับ หรือไม่ ถ้าไฟแนนซ์ไม่ยอมรับ ถึงแม้คุณจะเอารถไปจอดหน้า ไฟแนนซ์ สัญญาก็ยังไม่เลิก ยังมีหน้าที่ต้องผ่อนค่างวดตามสัญญาอยู่ดี ถ้าไม่จ่ายก็ถือว่าผิดสัญญา ผิดสัญญา ก็ ฟ้อง ก็ขายรถ ก็ ซวย 2. เอารถไปคืนที่ศาล หมายความว่าอย่างไร ตั้งแต่เรียนมา ทำงานมา ไม่เคยเจอเลยเคสแบบนี้ครับ เพราะว่าสัญญา เกิดขึ้นโดยเจตนาของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย การที่สัญญาจะเลิกกันได้นั้น จะต้องเป็นไปโดยความตกลงของคู่สัญญา หรือมีเหตุอื่นให้เลิกกันได้ตามที่กฎหมายกำหนด (กรณีเช่าซื้อ เช่น ผิดนัดค่างวด หรือบริษัืไม่ยอมส่งรถให้) คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะขอเลิกสัญญาแต่ฝ่ายเดียวไม่ได้ ซึ่งเมื่อขอเลิกสัญญาฝ่ายเดียวไม่ได้ ก็ไม่สามารถเอารถไปคืนได้ เพราะถือเป็นการบอกเลิกสัญญา และยิ่งเอาไปคืนที่ศาลด้วยแล้ว คิดว่า น่าจะโดนเค้าไล่กลับออกมา 3. ที่จะทำให้ ผู้ที่นำความคิดเห็นไปใช้เกิดความเสียหายคือ เค้าเอารถไปคืน แต่บริษัทไม่รับรู้ เค้าคิดว่าสัญญาเลิกกันแล้ว ไม่ต้องจ่ายค่างวดแล้ว แต่โดยกฎหมายแล้วสัญญายังไม่เลิกกัน ยังคงมีหน้าที่ต้องผ่อนค่างวดต่อ เมื่อไม่ผ่อนจึงผิดสัญญา แล้วก็โดนฟ้องในที่สุด 4. อาจารย์พร่ำสอนผมเสมอว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นการนำเอาหลักกฎหมายโรมัน ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกิดจากหลักสามัญสำนึกของมนุษย์มาบัญญัติไว้ ดังนั้นการตีความกฎหมายที่ขัดกับหลักสามัญสำนึก ย่อมไม่ถูกต้อง 5. สรุป ผมเห็นด้วยกับคุณ ห่วย คห1. เป็นอย่างยิ่ง 6. ใครจำไปใช้ ซวยแน่ จากคุณ : LaOngFong เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:30:04

ความคิดเห็นที่ 63 ขอภัยครับ  ตรวจสอบรายละเอียดแล้ว  มีผู้ให้ความเห็นว่า ศาลผู้บริโภค ไม่น่าจะรับเรื่องคืนรถได้ เพราะซื้อรถก็จริง แต่ซื้อรถ ไม่ใช่ความผิดที่เกิดจากสินค้าและการให้บริการ ต้องใช้ศาลแพ่ง เหมือนเดิม ส่วนขึ้นตอน คืนยังไง ให้ศาลเป็นคน เรียกให้บริษัทมารับยังไง (ในกรณีที่เราผ่อนตรง อยากคืน บริษัทไม่ยอมรับรถคืน) เดี๋ยวสอบถามรายละเอียดให้อีกทีครับ จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:36:03

ความคิดเห็นที่ 64 น่าจะโดนศาลท่านไล่กลับออกมานะ ถ้าเอารถไปคืนได้ โดยตรรกะ เดียวกัน ก็ต้องเอาของที่ ผ่อนมาทุกอย่างไปคืนที่ศาลได้ด้วยใช่ไหมครับ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 16:41:41 จากคุณ : LaOngFong เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:40:17

ความคิดเห็นที่ 65   จาก คห.ที่ 57 ถ้าเป็นไปอย่างที่คุณกลายใต้บอกมา ซึ่งจะโดนยึด ค้างคางวด หรือคิดว่าผ่อนไม่ไหวแล้ว รถไปอยู่ที่ไฟแนนต์ ไฟแนนต์นำไปขาย ซึ่งจากที่คุณคำนวนให้ผมดู ไฟแนนต์ก็ได้เงินส่วนต่างที่ขายเยอะพอสมควร ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาเรียกเก็บเพิ่ม แล้วเงินส่วนต่างที่ไฟแนนต์ขายได้ไปส่วนนี้ไฟแนนต์เค้าจะคืนให้เราหรือเปล่าครับ ดูจากตารางรถแปดแสนผมได้คืนแน่ๆ ....................................... คุณกำลังจะบอกเพื่อนๆในบอร์ดนี้ว่า โดนยึด ค้างคางวด หรือคิดว่าผ่อนไม่ไหวแล้ว ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มใดๆทั้งสิ้น ให้รถไปเป็นอันจบกัน หรือถ้ามีค่าใช้จ่ายใดๆ ตาม คห.ที่ 52 อันนี้แล้วแต่ดุลพินิจของศาลว่าจะให้คุณจ่ายเท่าไหร่ ถูกต้องใช่มั้ยครับ ....................................... มีใครในบอร์ดนี้เคยคืนรถ ยึดรถ แล้วไม่เสียค่าใช้จ่ายให้ไฟแนนต์เพิ่ม หรือได้เงินคืนมาจากไฟแนนต์จากการขายรถไม่ขาดทุนบ้างครับ ตามการคำนวน คห.ที่ 57 ของคุณกลายใต้บ้างครับ และถ้าเป็นเช่นที่คุณกลายใต้ว่ามาจริงๆ เราๆท่านๆสบายครับ ดาวน์ออกมา ไม่ไหว ปล่อยยึด ได้เงินคืน จากคุณ : นัท เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:50:31 A:222.123.250.243 X: TicketID:185294

ความคิดเห็นที่ 66   คุณกลายใต้ ไม่ได้เป็นทนาย อัยการ หรือผู้พิพากษา ใช่ไหมครับ คุณไปถามใครมาครับ กลับมาตอบคำถามที่ผมถามไปด้วยนะครับคุณกลายใต้ จากคุณ : นัท เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:59:48 A:222.123.250.243 X: TicketID:185294

ความคิดเห็นที่ 67   สงสัยอีกประเด็นนึงค่ะ -หลักของการเลิกสัญญา คือ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงเลิกสัญญากัน หรือไม่ ก็ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา อีกฝ่ายจึงใช้สิทธิเลิกสัญญา กรณีของคุณกลายใต้ ผู้เช่าซื้อคิดว่าผ่อนไม่ไหว จึงนำรถไปคืนศาล ถ้าผู้ให้เช่าซื้อไม่ยินยอม ผู้เช่าซื้อจะอ้างเหตุอะไรในการเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยนำรถไปคืนศาลคะ ถ้าสัญญาเช่าซื้อไม่ได้เปิดช่องไว้ให้ผู้เช่าซื้อเลิกสัญญาเองได้แต่เพียงฝ่ายเดียว??? จากคุณ : มือใหม่หัดขับ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 17:01:50 A:124.157.242.214 X: TicketID:150038

ความคิดเห็นที่ 68 คห. 65 คุณนัทครับ ผมหมายถึง ว่า ถ้าผู้เช่าซื้อไม่ค้างค่างวด จนรถโดนยึดมานะครับ ไม่รวมเอาประเด็น ผ่อนไม่ไหว ค้างชะรำมา แล้วคืนรถไปก็จบมารวม ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น และ หลาย ๆ คนชี้แจงไปแล้วว่ากรณีแบบนี้โดนแน่ ๆ --------------------------------------------------------- ตอนนี้ เหลือประเด็นถกเถียง (ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นกรณีเกิดขึ้นเลย) ว่า   ถ้าคุณไม่ค้างค่างวด ... ผ่อนไม่ไหว ... ไม่ขายดาวน์ด้วย (หยิ่ง ไม่เอาเงินดาวน์กลับ)  อยากจะคืนรถให้บริษัทเช่าซื้อไปเลย 1. -- > บริษัทไม่รับคืน ทำอย่างไร 2. --> จะต้องพึ่งศาล ได้หรือไม่ ให้เจ้าของรถรับกลับไป และขั้นตอนทำอย่างไรอย่างไร 3. --> ถ้าเราคืนรถแล้ว แบบไม่ค้างค่างวดเลย  จะโดนฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติมภายหลังได้หรือไม่ สัญญาแบบไหนถึงจะโดนแน่ ๆ แบบไหนไม่โดน เอาเป็นว่าเรามาถกกันในสามประเด็นนี้นะครับ ได้ประโยชน์กับผู้อ่าน จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 17:13:39

ความคิดเห็นที่ 69   ตกลงฟ้องศาลแผนกคดีผู้บริโภคได้จริงเหรอ? ไม่อยากยกข้อกฎหมายยาวๆ แบบนี้เลยแฮะ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา 3 “คดีผู้บริโภค” หมายความว่า (๑) คดีแพ่งระหว่างผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคตามมาตรา ๑๙ หรือตาม กฎหมายอื่น กับผู้ประกอบธุรกิจซึ่งพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องมาจาก การบริโภคสินค้าหรือบริการ (๒) คดีแพ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย (๓) คดีแพ่งที่เกี่ยวพันกันกับคดีตาม (๑) หรือ (๒) (๔) คดีแพ่งที่มีกฎหมายบัญญัติให้ใช้วิธีพิจารณาตามพระราชบัญญัตินี้ แล้วผู้ประกอบธุรกิจ, ผู้บริโภค มีนิยามว่าไง พรบ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ มีคำตอบ ผู้ประกอบธุรกิจ = ผู้ขาย ผู้ผลิตเพื่อขาย ผู้สั่งหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขายหรือผู้ซื้อเพื่อขายต่อซึ่งสินค้า หรือผู้ให้บริการ และหมายความรวมถึงผู้ประกอบกิจการโฆษณาด้วย ผู้บริโภค = ผู้ซื้อหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ซึ่งได้รับการเสนอหรือการชักชวนจากผู้ประกอบธุรกิจเพื่อให้ซื้อสินค้าหรือรับบริการ และหมายความรวมถึงผู้ใช้สินค้าหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจโดยชอบ แม้มิได้เป็นผู้เสียค่าตอบแทนก็ตาม เอาย่อๆ ดีกว่าเน๊าะ ยาวๆ อ่านยาก คดีผู้บริโภค 1. คดีแพ่งระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องมาจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ --- คดีเช่าซื้อรถยนต์ซึ่งผู้เช่าซื้ออยากจะคืนรถเพื่อเลิกสัญญาเข้าเงื่อนไขของนิยามนี้เหรอ ? 2. คดีแพ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย --- คดีระหว่างผู้เช่าซื้อกับผู้ให้เช่าซื้อผู้ผลิตไม่เกี่ยว ไม่เข้าเงื่อนไข 3, 4 ก็ไม่ใช่อีก แล้วคดีคืนรถเพื่อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อจะใช้องค์ประกอบข้อไหนเพื่อเข้าเงื่อนไขการดำเนินคดีในศาลแผนกคดีผู้บริโภค ? จากคุณ : Galeon_212 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 17:13:57 A:172.20.28.166 X:203.130.145.98 TicketID:271530

ความคิดเห็นที่ 70 อ่านไปอ่านมาเริ่มงง เอาไว้ว่างๆจะลองมาอ่านที่ทุกท่านแสดงความเห็นมาอีกที จากคุณ : ทุกวันคือวันตายวันใหม่คือโบนัส เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 17:24:31

ความคิดเห็นที่ 71   อ้าว ขอโทษครับกลับมาอ่านอีกทีเพิ่งเห็นว่าคุณกลายใต้ออกมาบอกว่าดำเนินคดีนี้ที่ศาลแผนกคดีผู้บริโภคไม่ได้ แล้วที่อุตส่าห์แนะนำอย่างมั่นใจที่ความเห็นที่ 34 ล่ะครับ เกิดมีใครบ้าจี้ทำตามขึ้นมาโดยไม่ได้อ่านหน้านี้ทั้งหน้าให้จบ ท่านจะว่ายังไงบ้างเนี่ย คุณนัทผมขออนุญาตปิดคอมกลับบ้านก่อนนะครับ ที่ถามผมไว้ที่ความเห็นที่ 54 เดี๋ยวจะกลับมาตอบให้ครับ ปล. ผมไม่ได้เป็นนักกฎหมายที่เก่งกาจอะไรที่ไหนนะครับ เป็นแค่คนที่พอจะมีความรู้ทางนี้อยู่บ้างเชื่อว่าในที่นี้มีคนเก่งๆ กว่าผมอีกเยอะ แต่ไม่รู้เป็นไรเวลามีคนออกมาให้ความเห็นแบบไม่ครบแบบนี้จะมันมือยังไงไม่รู้ ว่าจะไม่เข้ามาตอบจนกว่าจะเย็นแต่ก็แอบแว๊บมาเปิดจนได้ ถกกันแบบนี้สนุกดีครับ จากคุณ : Galeon_212 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 17:29:42 A:172.20.28.166 X:203.130.145.98 TicketID:271530

ความคิดเห็นที่ 72   คุณกลายใต้ครับ โอเคครับไม่รวมรถยึดเนื่องจากค้างค่างวด เพราะถ้ายึดแบบเราค้างค่างวด เราผิดสัญญา ไฟแนนต์มีสิทธิ์เรียกเก็บได้ แต่ที่คุณบอกผมตาม คห.ที่ 57 ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเช่นนั้นครับ - คุณจ่ายดาวน์ไป - คุณผ่อนครบ ไม่ค้างค่างวด - ผ่อนไม่ไหว ก็คืนรถที่สมบูรณ์ไป จบการเช่าซื้อ แล้วคุณก็อธิบายตัวอย่างให้ดู ก็ประมาณว่าเราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆถ้าเราคืนรถโดยเราไม่ค้างค่างวด เราคิดว่าเราผ่อนไม่ไหว คืนรถให้ไฟแนนต์ไป เป็นการจบการเช่าซื้อเมื่อเราคืนรถที่สมบูรณ์ไป ส่วนต่างที่เค้าขายได้นั่นคือดอกเบี้ย ผมพูดถูกแล้วนะครับ แล้วทำไมข้อความคุณครอปรูปมาหรือ คห.ที่31 กระทู้ต้นเรื่อง รถเช่าซื้อ เป็นสมบัติของบริษัทที่คุณผ่อน แล้วตกลงผมคืนรถโดยผมผ่อนไม่ไหว ไม่มีค้างค่างวด ผมคืนรถ ถ้าคิดแบบคุณผมไม่เสียค่าใช้จ่ายใช่มั้ยครับ ผมงงครับ กรุณาให้ความรู้ผมด้วยครับ ผมเป็นคนความรู้น้อยครับ จากคุณ : นัท เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 17:52:42 A:117.47.2.102 X: TicketID:185294

ความคิดเห็นที่ 73   **โทษนะครับ คห.ที่ 72 ข้อความมันไม่ครบครับ** เอาใหม่ บัตรผ่านอย่างผมแก้ไขไม่ได้ 5555 คุณกลายใต้ครับ โอเคครับไม่รวมรถยึดเนื่องจากค้างค่างวด เพราะถ้ายึดแบบเราค้างค่างวด เราผิดสัญญา ไฟแนนต์มีสิทธิ์เรียกเก็บได้ แต่ที่คุณบอกผมตาม คห.ที่ 57 ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเช่นนั้นครับ - คุณจ่ายดาวน์ไป - คุณผ่อนครบ ไม่ค้างค่างวด - ผ่อนไม่ไหว ก็คืนรถที่สมบูรณ์ไป จบการเช่าซื้อ แล้วคุณก็อธิบายตัวอย่างให้ดู ก็ประมาณว่าเราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆถ้าเราคืนรถโดยเราไม่ค้างค่างวด เราคิดว่าเราผ่อนไม่ไหว คืนรถให้ไฟแนนต์ไป เป็นการจบการเช่าซื้อเมื่อเราคืนรถที่สมบูรณ์ไป ส่วนต่างที่เค้าขายได้นั่นคือดอกเบี้ย ผมพูดถูกแล้วนะครับ แล้วทำไมข้อความคุณครอปรูปมาหรือ คห.ที่31 กระทู้ต้นเรื่อง รถเช่าซื้อ เป็นสมบัติของบริษัทที่คุณผ่อน === > ถ้าผ่อนไม่ไหว ก็คืนรถ แต่...อย่าไปคืนกับบริษัทรถ เพราะบริษัทจะเอาไปขาย หากขายแล้วยังขาดอยู่อีก คุณก็ยังต้องจ่ายส่วนที่เหลือด้วย ... แล้วตกลงผมคืนรถโดยผมผ่อนไม่ไหว ไม่มีค้างค่างวด ผมคืนรถ ถ้าคิดแบบคุณบริษัทมีแต่ได้ ผมไม่เสียค่าใช้จ่ายใช่มั้ยครับ ผมงงครับ กรุณาให้ความรู้ผมด้วยครับ ผมเป็นคนความรู้น้อยครับ จากคุณ : นัท เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 17:57:27 A:117.47.2.102 X: TicketID:185294

ความคิดเห็นที่ 74 พูดตรงๆเลยนะ ไปคืนที่ศาล ไม่มีเจ้าหน้าที่ประสานงานใ้ห้หรอกครับ แค่นี้งานก็โคตรจะเยอะอยู่แล้ว คดีเล็กน้อยต่อยใต้ตา นี่ก็ฟ้องกันจัง ทางที่ดีผมว่าคุยกับไฟแนนซ์ก่อนจะดีกว่านะครับ ( อาจจะใช้ทนายเป็นสักขีพยานก็ได้ถ้ากลัวเสียเปรียบ ) แต่ถ้าเราผ่อนไม่ใหวความผิดมันก็อยู่ที่เราเต็มๆตั้งแต่แรกแล้ว เพราะไม่ประเมินกำลังตนเอง ป.ล ปัญหาเยี่ยงนี้จะหมดไปถ้าเราเก็บตังค์แล้วค่อยซื้อ ( พูดไปงั้นตัวผมก็ผ่อน!!! ) จากคุณ : M.D.Luffy เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 18:32:16

ความคิดเห็นที่ 75 รถเช่าซื้อ เป็นสมบัติของบริษัทที่คุณผ่อน === > ถ้าผ่อนไม่ไหว ก็คืนรถ แต่...อย่าไปคืนกับบริษัทรถ เพราะบริษัทจะเอาไปขาย หากขายแล้วยังขาดอยู่อีก คุณก็ยังต้องจ่ายส่วนที่เหลือด้วย ... แล้วตกลงผมคืนรถโดยผมผ่อนไม่ไหว ไม่มีค้างค่างวด ผมคืนรถ ถ้าคิดแบบคุณบริษัทมีแต่ได้ ผมไม่เสียค่าใช้จ่ายใช่มั้ยครับ ^ ^ ถ้าคุณมีความรู้นัทน้อย ผมคงไม่มีเลยละครับ .. ประเด็นนี้ (เข้าใจว่า) ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย จ่ายทุกงวด ผ่อนไม่ไหว คืนให้บริษัทรถ แล้วบริษัทรถฟ้องค่าเสียหายส่วนที่ขายยังขาดทุน เพราะถ้าจ่ายครบ คนก็ขายดาวน์ ไปถูก ๆ คนก็รีบจ้องซื้อกันอยู่แล้ว ------------------------------------------------------ ผมก็ศึกษาจาก คำตัดสินของศาลฏีกา  4 คดี ที่ใกล้เคียงที่สุด ที่ใกล้เคียงคือว่า ไม่มีคดีไหน ที่ผู้เช่าซื้อผ่อนตรงเวลา แล้วผ่อนไม่ไหว ก็คืนรถให้บริษัทไป แล้วบริษัทมาฟ้องว่า ขายแล้วแต่ยังขาดเงินอยู่นะ มีแต่คดีจากจากคนผ่อนไม่ไหว ไม่ผ่อนต่อ ทิ้งไว้ปล่อยให้โดนยึดคือ สิ่งที่ได้จากคำตัดสินคือ ... --> ผู้เช่าซื้อต้องจ่ายค่าเสียประโยชน์ ช่วงที่ไม่จ่ายจนถึงโดนยึดรถแน่นอน --> เอาไปขายแล้วที่เหลือต้องจ่ายด้วยหรือไม่ อันนี้สู้กันให้ถึงฎีกา ไม่หนีไปไหน ผู้ซื้อได้เปรียบว่าไม่ต้องจ่าย เหมือนอย่างคำตัดสินของศาลฏีกา ยึดมาแล้วขายแล้วยังขาดเงิน 348,901.97 บาท กว่าจะยึดรถมาได้ ค้างค่าเช่าชำระรวม 12 เดือน เป็นเงิน 502,968.24 บาท โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินรวามทั้งสองอย่างจำนวน 851,869 บาท ศาลฎีกาให้จำเลยคืนเงินเพียง  248,901 พร้อมดอกเบี้ย คุณนัท อธิบายได้มั๊ยครับว่า ทำไมคืนเพียงเท่านั้น เป็นค่าเสียประโยชน์ ของโจทย์ 12 เดือน เดือนละ 20,xxx บาท ช่วงที่ไม่ได้รถคืน ? หรือเป็นค่าที่ขายแล้วไม่ได้เท่าราคาที่ตกลงกันไว้ในสัญญาครับ ? กรณีรถเบนส์  ศาลให้คืนเงินที่ขาดผลประโยชน์  7 เดือนคือช่วงก่อนโดนยึด ตีค่าที่ควรจะได้ประโยชน์ เดือนละ 20,000 รวม 140,000 บาทเท่านั้น ไม่ได้มีค่าอย่างอื่น --------------------------------------------------------------- แล้วตกลงผมคืนรถโดยผมผ่อนไม่ไหว ไม่มีค้างค่างวด ผมคืนรถ ถ้าคิดแบบคุณบริษัทมีแต่ได้ ผมไม่เสียค่าใช้จ่ายใช่มั้ยครับ ^ ^ ถ้ากฎหมายยอมให้ ขายแล้วไม่พอต้องจ่ายบริษัทอีก  มันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้มั๊ยครับ --> บริษัทไฟแนนซ์ก็เกิดขึ้นผุดเป็นดอกเห็ดเลย ไม่ต้องคิดอะไรมากปล่อยแบบไม่ต้องมีดาวน์ ไม่ต้องมีเผื่อไว้ค่าเสื่อม ปล่อยขายไปเลย ผ่อนไม่หมด ยึดมา ขายต่อ ฟ้องคนเช่าซื้อ คนค้ำ ขายเท่าไหร่ช่างมัน เพราะคนซื้อคนค้ำต้องจ่ายส่วนต่างอยู่ดี --> เป็นธรรมมั๊ยครับที่จะ ปล่อยให้บริษัทขายเอง ขายถูกขายแพงไม่สน หรือจะกดราคาเรา ด้วยวิธีใดก็ตาม เค้าไม่เสียประโยชน์  บริษัทอาจจะมีวิธีแอบกดราคาขายซื้อไว้เองถูก ๆ แล้วไปขายแพง ๆ ทีหลังอีกเด้งนึง --> เป็นธรรมมั๊ยครับ เช่นผ่อน 4 ปี ดอกเบี้ยปีละ 24000 แต่เราผ่อนไป 1 ปี คืนรถให้บริษัท แต่คิดดอกเบี้ย flat rate ส่วที่เหลือ 3 ปี 72,000 รวมไปด้วยแล้ว ซึ่งเป็นเงินในอนาคต เมื่อขายส่วนนี้เราก็ต้องชำระด้วย แปลว่า ถ้าเกิดไม่มีการฟ้องร้องต้องขึ้นศาล เพราะมีคำตัดสินมาอยู่แล้วว่าผู้เช่าซื้อต้องจ่ายส่วนต่าง ถ้าขายแล้วไม่ได้เท่าที่ทำสัญญากันไว้ เป็นอันว่า บริษัทได้กำไรเท่าเดิม เหมือนกับที่เค้าผ่อน 4 ปี ในระเวลาแค่ 1 ปี เองหรือไม่ ? ----------------------------------------------------- กฎหมายควรจะช่วยให้คนทำการค้าไม่หน้าเลือด  เห็นแก่ได้ ไม่ควรเปิดโอกาสทำให้คนกิเลสของคน  ไปซื้อของแพง  แม้ไม่มีตังค์ผ่อนได้ ซึ่งมันจะทำให้เกิตความ ยุติธรรมจริง ๆ ------------------------------ ท่าน ๆ เห็นว่าไงครับ ? แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 19:13:41 จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 19:04:59

ความคิดเห็นที่ 76   ตาม คห.ที่ 57 ที่คุณกลายใต้บอกตัวอย่างมา เรื่องรถ 800000 บาท ที่ผมถามไปว่าถ้าผมไปคืนต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนต่างอะไรบ้าง ทำให้คุณกลายใต้ยกตัวอย่างที่มั่วมากก ถึงมากที่สุด ท่านๆที่อ่านมาถึง คห.นี้ก็ย้อนกลับไปดูตัวอย่างที่คุณกลายใต้ยกมาเองนะครับ ผมไม่ยกมา กลัวมันยาวเกินไป 200,000 บาท อย่าเอาไปรวมให้ไฟแนนต์ครับ ให้ทำไมครับส่วนนี้ต้องจ่ายกับบริษัทรถ หักไปจะได้ยอดจัดที่เราจะเป็นหนี้กับไฟแนนต์ ไม่ใช่เอาไปรวมเข้าไปอีก ส่วนเรื่องคืนรถที่ศาลก็ตามคุณ ห่วย คุณGaleon_212 คุณLaOngFong ใครจำของคุณไปใช่นะตามที่คุณLaOngFong ซวยครับ ผมจะไม่แย้งคุณละครับ ทนายก็ไม่ใช่ อัยการก็ไม่ใช่ ผู้พิพากษาก็ไม่ใช่ ไปถามใครมาก็ไม่รู้ ตามที่คุณบอกตามความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : นัท เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 19:20:21 A:117.47.2.102 X: TicketID:185294

ความคิดเห็นที่ 77   ได้ความรู้ดีครับ แต่อย่าหยาบคายอย่างความเห็นแรก ๆ ด้านบนนะครับ ไม่ดี แปลกดีนะ รถทุกคันที่ไฟแนนส์ยึด พอขายแล้วบอกขาดทุนทุกที ต้องเรียกค่าเสียหายต่ออีก แต่เวลาไปซื้อตามเต้นท์ ทำไมแพงโคตร มันต้องมีอะไรกันแน่ ๆ พวกไฟแนนส์เนี่ย จากคุณ : SPORTERO (SPORTERO) เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 19:33:53

ความคิดเห็นที่ 78 จะคุยกับผู้พากษา จะคุยกับอัยการเท่านั้นก็ไม่เป็นไรครับ ผมคนไม่มีความรู้เท่าก็คนเหล่านั้นก็แค่อย่างจะช่วยให้สังคมเป็นธรรมเท่านั้นเอง ***------------------------------ ส่วนที่บอกอธิบาย finance ไม่เคลียร์  งั้นผมไม่เอากรณี Totata ทำ finance เองก็ได้ แต่บริษัทอื่นรับทำ Toyata ก็รับเงินดาวน์ไป ที่เหลือมาจัดยอด เช่น รถใหม่ 800,000 คุณต้องจ่ายเงินดาวน์  เช่น 25% คือ 200,000 ผ่อน 4 ปี จัดยอด 600,000 ดอก 3.5% รวม 720,000 ผ่อนประมาณเดือนละ 15,000 คุณ ซื้อมา ผ่อน 1 ปี แล้วคืนรถ เท่ากับว่าบริษัท ได้เงินไป 180,000 (15,000x12) = 180,000 บาท สรุป ปีที่ 1 คงเหลือกับบริษัท  540,000 (รวมดอกเบี้ย จากเรากู้เค้าเงินต้นมา 600,000) สิ้นปีที่ 2 เหลือเงินค้างกับบริษัท 360,000 สิ้นปีที่ 3 เหลือเงินค้างกับบริษัท  180,000 สิ้นปีที่ 4 ก็หมด แบบไหนก็ได้ครับคนอื่นดูเอาได้ว่า ผ่อนไปปีนึง บริษัทไฟแนนซ์ยึดรถมายังขายมีกำไรไหรือไม่ (ในกรณีที่มีเงินดาวน์อยู่) เราควรทำอย่างไร จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 19:48:04

ความคิดเห็นที่ 79 เดี๋ยวขอเอาตามกรณี  ขอคืนรถที่ศาลก่อนนะครับ - การที่คุณจะให้ศาลดำเนินการอะไรให้เรา...จะต้องทำเป็นคำฟ้อง คำร้อง คำขอ คำแถลง  ....ศาลถึงจะดำเนินการให้คุณได้ - ถ้าอยู่ๆคุณเอารถไปคืนที่ศาล...คืนอย่างไร  ขั้นตอนแบบไหนครับ  ???? ----------------------------------------------------------------------------- กรณีตาม คคห 75   คุณอย่าไปคิดแทนข้อกฎหมาย ...ว่าอะไรยุติธรรมไม่ยุติธรรมเพราะกว่าจะบัญญัติกฎหมายออกมาได้แต่ละมาตรา....ต้องผ่านหลายขั้นตอน....เหรียญมีสองด้านเสมอ   - มองในมุมผู้บริโภค ....ถ้ากฎหมายให้สิทธิผู้ให้เช่าซื้อฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการขายทรัพย์แล้วไม่พอ   ก็หาว่าไม่ยุติธรรม   - มองในมุมผู้ประกอบการ ....การประกอบธุรกิจมันต้องคำนึงถึงผลกำไรที่จะได้รับ....ซึ่งถ้ามองจริงๆแล้วผู้เช่าซื้อยอมผูกพันตนเข้ารับภาระมาเองตั้งแต่ต้น...แต่ถ้าอยู่ๆจะบอกเลิกสัญญา  โดยที่จะไม่ให้คิดเอาอะไรกับผู้เช่าซื้อเลย...คุณว่าเป็นธรรมเหรอ จากคุณ : ลูกเป็ดตกมัน เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 19:56:22

ความคิดเห็นที่ 80 อ่านแล้วยังงงๆ ขอบคุณคุณกลายใต้มีเริ่มต้นกระทู้ อยากให้มีคนมีความรู้เรื่องกฏหมายเข้ามาอธิบายเพิ่มอีก จากคุณ : C2minus เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 20:21:11

ความคิดเห็นที่ 81   แรกเริ่มเข้าทำสัญญา มีใครบังคับหรือไม่ ถ้าไม่มีทั้งสองฝ่าย ต่างก็ต้องผูกพันตามสัญญาที่ทำ หากข้อตกลงใดในสัญญา ที่ทำขัดต่อกฎหมายเช่น เรียกดอกเบี้ยสูงเกินไป กำหนดเงื่อนไข ให้อีกฝ่ายหนึ่งมากเกินควร ถ้าขัดต่อกฎหมาย ทั้งกฎหมายทั่วไป และกฎหมายพิเศษ เช่น ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ฯ ข้อตกลงนั้น ก็ใช้บังคับไม่ได้ จะเห็นว่ารัฐเองก็กำหนดกลไก ปกป้องคุ้มครอง ผู้บริโภคในระดับหนึ่ง ยิ่งปัจจุับัน ตั้งแต่มี พรบ.วิธีพิจารณาคดี ผู้บริโภค ออกมา ยิ่งได้รับความคุ้มครองจากศาลและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องอีก ประเด็น คือเริ่มแต่ทำสัญญาก็ไม่มีใครบังคับ ข้อตกลงในสัญญา ก็ระบุไว้ จะบอกว่าไม่อ่านก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าผู้ประกอบการ เขียนสัญญาหมกเม็ด ก็ต้องถูกปรับ ศาลก็ไม่บังคับให้ ดังนั้น เมื่อตกลงเข้าเป็นคู่สัญญา แล้วก็ต้องปฏิบัติตามที่ระบุ ไว้ในสัญญา โดยทั่วไป ถ้ารถผ่อนไม่ไหว ถูกยึดไป ไฟแนนซ์ก็จะเอาไป ขาย สัญญาก็เลิก เนื่องจากไฟแนนซ์เป็นผู้มีสิทธิเลิกสัญญา ส่วนใหญ่ค้างชำระติดต่อกันสองงวด ขายได้เท่าไร ก็นำเงิน มาลดหนี้ที่มีอยู่ หนี้มาจากไหน มาจากตอนคุณเช่าซื้อไฟแนนซ์ เขาเอาเงินไปจ่ายบริษัทรถให้ สมมุติว่าจัดไฟแนนซ์ สี่แสน แปลว่าเขาเอาเงินลงทุนไปให้ก่อนสี่แสน แล้วคนซื้อก็ไปผ่อน กับไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยที่กำหนดนั่นแหละคือรายได้ของไฟแนนซ์ ทีนี่เงินที่เราผ่อนในแต่ละเดือน จะถูกนำไปชำระเงินต้นและ ดอกเบี้ย ซึ่งอาจมองแยกเป็นว่า ค่าซื้อ บวก ค่าเช่าก็ได้ ในกรณีที่ผ่อนไม่ไหวถูกยึุดไป ไฟแนนซ็์ส่วนใหญ่ก็ฟ้อง เต็มที่ ไม่มีใครฟ้องน้อยกว่าตามที่ระบุไว้ในสัญญา ถ้าฟ้องน้อย ศาลก็ให้ไม่เกินที่ฟ้องแหละ แต่ถ้าฟ้องมาก ศาลลดให้ทุกราย ซึ่งศาลเองมีอำนาจ ทีนี้มาดูกันว่าโดยทั่วไป ศาลจะพิจารณาจากตรงไหนหลักก็คือ คุณผ่อนมาแล้วเท่าไร ขายรถได้เท่าไรไฟแนนซ์เรียกค่าเสียหายเท่าไร แต่มีอีกตัวหนึ่งที่ ศาลจะถาม และทนายต้องบอก คือ ขาดทุนเงินสดเท่าไร เช่น จัดไฟแนนซ์ สี่แสน จ่ายแล้วหักเงินต้นได้สองแสน ขายรถได้ หนึ่งแสน ขาดทุนเงินสด หนึ่งแสนบาท แต่เวลาฟ้องเขาก็ฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ตามสัญญาที่ ระบุไว้นั่นแหละ แต่ศาลจะปรับลดให้ทุกราย โดยคำนึงถึงต้นทุนที่ไฟแนนซ์ จ่ายจริงกับดอกเบี้ยในจำนวนพอสมควร แต่ปัญหาที่แท้จริงโดยทั่วไป ที่ลูกหนี้ส่วนใหญ่เจอ คือรถที่ถูกยึดและนำ ไปขาย ส่วนใหญ่จะราคาไม่ดี ทำให้นำมาลดหนี้ตามสัญญาได้น้อย ซึ่ง ตรงนี้ ลูกหนี้หลายรายก็นำไปสู้ในศาล และศาลก็รับฟังโดยให้น้ำหนักเยอะ ด้วย ดังนั้น ในคดีเช่าซื้อ ศาลจะปรับลดให้เป็นจำนวนมากพอสมควร และเท่าที่ผ่านมา ที่โดยส่วนใหญ่ก็ทำคดีเช่าซื้อมาพอสมควร อยากบอก ว่า ไฟแนนซ์เองก็มิไ้ด้จับเสือมือเปล่า เขาเองก็ต้องลงทุน เพราะฉะนั้น การขอไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยก็ต้องสูง เพราะมีความเสี่ยงสูง ยิ่งรถเก่าด้วย แล้วดอกเบี้ยสูงมาก เมื่อตกลงใจเข้าทำสัญญา โดยที่ไม่มีใครบังคับ ก็ต้องเคารพและปฏิบัติตามสัญญาที่ทำ หากเห็นว่าสัญญานั้นไม่เป็นธรรม ก็มีสิทธิปฏิเสธ หรือทำไปแล้วยังมีรัฐที่ช่วยกำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรม หรือหากทำไม่ไหว ก็ต้องลองเจรจาต่อรองและหาทางแก้ไขกับอีกฝ่าย หากไม่สามารถตกลงกันได้ ก็ต้องปกป้องสิทธิ เช่น ไปดูแลติดตามการ ขาย หรือเวลาเป็นคดีก็ต้องต่อรอง ไม่ใช่ปล่อยไปเรื่อย ๆ ถ้าคุณเป็นฝ่ายผิดสัญญา อีกฝ่ายปฏิบัติตามสัญญา และเขาใช้สิทธิ ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งรัฐเองก็คอยกำกับดูแลพวกนี้อยู่ ทั้งทาง ตรงและทางอ้อม มันก็ต้องเคารพในกรณีที่อีกฝ่ายเขาใช้สิทธิที่มีอยู่ ตามกฎหมาย กรณีคืนรถที่ศาล ผมก็ไม่เคยเห็นและตามหลักกฎหมาย การเช่าซื้อ กรรมสิทธิยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้ออยู่ จนกว่าจะผู้เช่าซื้อจะชำระงวด สุดท้ายถึงกรรมสิทธิจะโอน จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องวางทรัพย์ชำระหนี้ ได้ เพราะกรรมสิทธิไม่ใช่ของผู้เช่าซื้อ ต้องคืนแก่ผู้เช่าซื้อถูกต้อง แล้วเพราะเลิกสัญญา ก็ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าคืนในสภาพที่ สมบูรณ์ หากไม่ส่งมอบ และยังยึดถือทรัพย์ไว้ ก็ต้องถูกเรียกค่า เสียหายหรือค่าขาดประโยชน์ ยิ่งคืนช้าค่าขาดประโยชน์ยิ่งมากขึ้น การที่นำไปคืนเร็ว นับแต่นั้นอีกฝ่ายจะเรียกค่าขาดประโยชน์ที่ยัง ไม่ได้รถคืนมาไม่ได้แล้ว ก็แค่นั้นเอง ก็หวังว่าคงพอจะถูกบ้างไม่มากก็น้อย เพราะไม่ได้จับหนังสือมา เป็นเวลานานแล้ว แต่ก็พอเข้าใจระบบบ้าง จึงพยายามจะอธิบาย ให้เห็นกันอีกแง่มุมหนึ่ง หมายเหตุ ปัจจุบันมีศาลผู้บริโภคแล้วหรือ ทำไมไม่เห็นรู้ ส่วนใหญ่ ฟ้องที่ศาลแขวง ศาลจังหวัด ศาลแ่พ่ง ต่าง ๆ แต่เขาจัดเป็นคดีผู้บริโภค ไม่ได้กวน แต่ไม่ทราบจริง ๆ จากคุณ : tuba เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 20:30:45 A:58.9.79.108 X: TicketID:272957

ความคิดเห็นที่ 82 --- การให้ความรู้เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ต้องมั่นใจด้วยว่าเป็น "การรู้จริง" ถ้าไม่เช่นนั้น เวลาตั้งกระทู้ ให้เขียนไปเลยว่า "ขอแสดงความคิดเห็นและขอแลกเปลี่ยนความเห็น"  จะดีกว่าครับ เข้าใจว่าคุณกลายใต้ มีเจตนาที่ดีครับ แต่กรณีนี้ต้องรอบคอบให้มากครับ จากคุณ : myth เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 20:42:45

ความคิดเห็นที่ 83 จขกท. เคยใช้วิธีที่แนะนำนี้หรือป่าวคับ จากคุณ : รีไรเตอร์ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 22:03:29

ความคิดเห็นที่ 84   คุณ tuba อธิบายไว้ชัดเจนแล้วครับ ส่วนคุณกลายใต้ขออนุญาตชี้ประเด็นนิดนึงนะครับ ประเด็นในหัวข้อกระทู้ 1. คุณบอกว่าห้ามเอารถไปคืนที่บริษัทฯ เพราะบริษัทจะเอารถออกขายแล้วขาดเท่าไหร่จะจะเรียกเอาจากผู้เช่าซื้อในส่วนที่ขาด --- การที่ไฟแนนซ์เรียกเอาส่วนที่ขาดจากผู้เช่าซื้อเป็นเรื่องที่ทำได้โดยส่วนใหญ่ข้อกำหนดนี้มักระบุเป็นข้อหนึ่งของสัญญาอยู่แล้ว 2. อยู่ดีๆ คุณก็บอกให้เอารถไปคืนที่ศาล โดยไม่บอกอะไรเลยต่อเลย แม้จะเป็นเจตนาที่ดีหวังจะแนะนำแต่การแนะนำครึ่งๆ กลางๆ ในกระทู้เดิมจะมีคนมาทักท้วงก็ไม่แปลกอะไรครับ แต่ผมก้ไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีการใช้ถ้อยคำของคุณ ticket ID 248569 นะครับ 3. ต่อคุณก็ยกมาเป็นตุเป็นตะว่าถ้าอยากให้เอาไปคืนที่ศาลให้ไปที่ศาลผู้บริโภคอย่างน้อยก็ตามความเห็นที่ 34 กับ 52 มีการแถมบอกว่าให้ไปที่ศาลคดีผู้บริโภคก่อนจะมาด่าว่าคนอื่นด้วย เกิดมีคนเชื่่อและอ่านกระทู้นี้ไม่จบจำไปใช้ผิดๆ ขึ้นมาผมว่าอันตรายนะครับ 4. ที่สำคัญที่สุดคือหลักกฎหมายเรื่องเช่าซื้อ และนิติกรรมสัญญาซึ่งเป็นหลักที่ยังไงก็ไม่เปลี่ยนง่ายๆ ส่วนคำพิพากษาฎีกาเป็นแนวทางการศึกษาการใช้ดุลยพินิจของศาล ไม่ได้ผูกพันศาลในคดีอื่นๆ ต้องยึดหรือพิพากษาตาม ผมเคยมีประสบการณ์ตรงที่เจ็บแสบมากกรณีคนรู้ไม่จริงแล้วมาแนะนำกฎหมายให้ สมัยเป็นเด็กมีตอนแรกมีจดหมายเตือนให้ชำระหนี้ไปที่ญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของผมเนื่องจากผิดนัดชำระหนี้จำนวนหลักหมื่น (จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่) ท่านก็ไปปรึกษาเพื่อนที่เป็นนิติกรที่ทำงาน ท่านนิติกรใหญ่ให้คำแนะนำได้น่าตื๊บมากว่า ไม่ต้องสนใจอะไรปล่อยไว้อย่างนั้นแหละธนาคารทำอะไรเราไม่ได้หรอก ผ่านจดหมายหลายฉบับไป จนกระทั่งมีคำฟ้องส่งมาที่บ้าน ท่านนิติกรใหญ่ก็ยังบอกว่าไม่ต้องสนใจ ต่อให้ศาลนัดไปก็บอกว่าไม่ต้องทำอะไรอยู่นั่นแหละ สุดท้ายศาลก็มีคำพิกพากษาให้ธนาคารเป็นฝ่ายชนะคณะคดีโดยที่จำเลยขาดนัด จากหนี้หลักหมื่นธนาคารบวกโน่นบวกนี่จนกลายเป็นหลักแสนและศาลก็พิพากษาให้ตามนั้น เพราะจำเลยไม่ได้ยื่นทั้งคำให้การ และขาดนัดศาล ซึ่งกว่าผมจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรทุกอย่างก็สายเกินแก้แล้ว ซึ่งทำให้ผมแค้นใจท่านนิติกรใหญ่ท่านนั้นมาตลอด ที่ให้คำแนะนำอะไรไม่เข้าท่าเลย ทั้งๆ ที่ญาติผมซึ่งไม่มีความรู้กฎหมายเลยนับถือนิติกรท่านนั้นมาก ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงไม่อยากให้ใครมาแนะนำอะไรผิดๆ กันโดยเฉพาะในเรื่องกฎหมายครับ จากคุณ : Galeon_212 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 22:12:35 A:183.89.235.26 X: TicketID:271530

ความคิดเห็นที่ 85 ทะแนะ เยอะนะครับ ผมก็เคยเจอมา เมื่อยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เจอคดี ให้รวบรวมกำลังใจให้มั่น ค่อยๆศึกษา เหตุการ์ณนั้นอย่างดี รับมือเหตุการ์ณในขั้นตอนต่างๆ ด้วยความเข้าใจ "ของตัวเอง" อย่า อย่า อย่า ทำตามคำแนะนำ โดยรู้สึกว่า ฉันฝากความหวังไว้กับทะแนะคนนี้ได้ ทนายดีๆ ยังแนะนำผม โดยการให้ทางเลือกเลยครับ ว่าแล้วแต่เรา ที่สำคัญ เขามักถามว่า เป้าหมายเราในคดีนั้นๆ คืออะไร จากคุณ : konkruad เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 22:55:42

ความคิดเห็นที่ 86 ขอสรุปประเด็นทั้งหมดดังนี้ การกล่าวว่าผมแนะนำมั่ว ๆ ไม่รู้กฎหมายจะทำให้ผู้เช่าซื้อเสียหายนั้น  อันนี้คุณกล่าวได้แต่เกินเจตนาของผมครับ แม้นว่าหากผมไม่รู้กฎหมายเลย แต่ผมจะไม่แนะนำให้ทำผิดหลักศีลธรรม และจริยธรรมซึ่งอยู่เหนือกฎหมาย ผุ้เช่าซื้อ และผุ้ให้เช่าซื้อต้องได้ที่สิ่งที่ควรได้ สิ่งที่ผมแนะนำคือ 1. ดีที่สุดขายดาวน์ไป คุณอาจจะขาดทุน แต่คุณก็ได้เงินคืนมาบ้าง 2. ถ้าขายดาวน์ไม่ได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ (ซึ่งโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก) ให้นำรถคืนบริษัท ในสภาพสมบูรณ์ และไม่ค้างชำระ เจตนารมณ์คือ ไม่ต้องการให้คุณไปต้องโกงใคร เมื่อคุณต้องการความยุติธรรมคุณก็ต้องให้ความยุติธรรมแก่บริษัทด้วย --------------------------------------------------------------- ส่วน คห. 1 กล่าวว่าผมโง่และอวดฉลาด   ผมน้อมรับข้อนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้งครับ -------------------------------------------------------------- ส่วนที่ผมบอกว่า  หากคุณผ่อนไม่ไหว ไม่ค้างค่างวด เมื่อฟ้องร้องแล้ว ถ้ามีค่าใช้จ่ายหักลบแล้วหาก บริษัทจะให้คุณต้องจ่ายเพิ่ม คุณไม่ต้องรับผิดชอบ ส่วนนี้ผมผิดครับ  คือคุณจะต้องรับผิดชอบ  คือรับผิดและรับชอบด้วย รับผิด แปลว่า ถ้าบริษัทเอารถที่คุณคืนไปขายโดยสุจริตได้ราคาอย่างเหมาะสมแล้ว หากมี ส่วนที่ขาดจากส่วนที่คุณควรจะ (เน้นว่า ควรจะ)ต้องจ่าย คุณก็ต้องจ่าย ในขณะเดียวกันหากมีส่วนเกินมา  คุณก็ควรจะได้รับ ในเงินจากการขายที่เกินมาด้วย สมมติว่า รถ 8 แสน ดาวน์ 200,000  ผ่อนเดือน 15,000 บาท ดอกเบี้ย 3.5% = 21,000 ต่อปี รวม 4 ปี = 84,000 บาท รวมกู้ 600,000  รวมดอก 4 ปี เป็น 684,000 คุณผ่อนมา 1 ปี ชำระไปแล้ว 180,000 บาท ยังค้าง 504,000 บาท คุณผ่อนไม่ไหว คืนรถให้โดยไม่ค้างค่างวด สมมติว่าแม้นรถคุณซื้อมา 800,00 และอายุเพียง 1 ปี  แต่คุณใช้ไป 100,000 กิโล ทำให้เมื่อขายแล้ว ได้เงินมาเพียง 400,000 บาทเท่านั้น กรณีนี้ คุณก็ต้องรับผิดชอบจ่ายส่วนที่เหลือยังค้างอยู่ 504,000 - 400,000 = 104,000 บาทด้วย หากผู้เช่าซื้อเห็นว่าแบบนี้ไม่ยุติธรรม เพราะว่าบริษัทคิดดอกเบี้ย 3 ปีล่วงหน้ารวมไปด้วย 21,000x3 = 63,000 บาท แค่คุณใช้รถไปเพียง 1 เดียว จะมาคิดดอกปีที่ 2-4 โดยที่คุณไม่ได้ใช้รถเลยไม่ได้ ก็ฟ้องร้องเรียกความเป็นธรรมได้ เช่นเดียวกัน หากขายรถได้ 650,000 บาท และคุณมีหนี้เพียง 504,000 บาท บริษัทก็ควรจะจ่ายคืนส่วนที่เกินคืนให้แก่ผู้เช่าซื้อด้วย จะอ้างว่าต้องหักค่าใช้จ่ายในการขาย ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ตามความเหมาะสม กรณีที่กล่าวมา ไม่เหมือนกับคุณค้างค่างวด โดนยึดแล้วโดนฟ้องซึ่งคุณจะต้องเสียค่าทำประโยชน์ในระหว่างที่ไม่จ่ายค่างวดจนถึงโดนยึดรถอีก ทั้งนี้ทั้งนั้น ศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่า คุณควรจะเสียเท่าไหร่ และบริษัทควรจะได้เท่าไหร่จึงจะเป็นธรรม ============================= ในกรณีที่ ไม่ค้างค่างวด แต่ผ่อนไม่ไหว รถอยู่ในสภาพสมบูรณ์   ไม่ขายดาวน์ แต่จะคืนรถให้บริษัทเลย แต่บริษัทเจ้าของไม่รับ จะทำอย่างไร ให้ศาลสั่งให้รับ ไกล่เกลี่ยหรือทำอย่างไรได้บ้าง ศาลไหนรับ กรณีนี้ ผู้ที่ผมเรียนปรึกษาสองสามท่าน ก็ได้ความว่า เรื่องตัดสินคดีเช่าซื้อมีกันทุกวันอยู่แล้วไม่แปลก  แต่กรณี ผู้เช่าซื้อผ่อนไม่ค้างค่างวด อยากคืน ไม่ขายดาวน์ แต่เจ้าของไม่รับคืน ไม่เคยมีกรณีแบบนี้  ส่วนใหญ่มาแต่โดยวิธียึดรถ  หรือไม่ก็ขายดาวน์ไป ดังนั้นตอบไม่ได้ว่าขึ้นตอนเป็นอย่างไร ถ้ากรณีนี้เกิด ส่วนประเด็นจะใช้ศาลคุ้มครองผู้บริโภค ในการไกล่เกลี่ยได้หรือไม่ อย่างเช่นกรณีบัตรเครดิตที่มาศาลนี้  เนื่องจากกรณีนี้ไม่เคยเกิดขึ้นว่าผู้เช่าซื้อไม่รับรถคืน  เพราะมีแต่ร้อยทั้งร้อยโดนยึด ขาดส่ง หรือขายดาวน์ก็จบกันไป ดังนั้น ก็ต้องขอนำไปศึกษาต่อไป -------------------------------------------------------------- ขอบคุณครับ จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 01:07:22

ความคิดเห็นที่ 87   ^ ^ คุณกลายใต้คะ กรณีที่ผู้เช่าซื้อผ่อนไม่ไหว ไม่ค้างค่างวด มีการฟ้องร้อง หากบริษัทผู้ให้เช่าซื้อขายรถได้เงินมากกว่ายอดหนี้ที่ยังค้างอยู่ ซึ่งคุณกลายใต้บอกว่าบริษัทผู้ให้เช่าซื้อควรจ่ายเงินส่วนที่เกินมาคืนให้ผู้เช่าซื้อด้วย อันนี้ยังสงสัยค่ะ เพราะเมื่อเป็นสัญญาเช่าซื้อ กรรมสิทธิ์ในรถยังเป็นของบริษัทผู้ให้เช่าซื้ออยู่ หากเขาขายไปแล้วได้ราคาเกินกว่าจำนวนหนี้ที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระ เงินส่วนเกินดังกล่าวน่าจะตกเป็นของผู้ให้เช่าซื้อในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์นะคะ ผู้เช่าซื้อจะอ้างสิทธิใดในการขอรับเงินส่วนเกินล่ะคะ?? ปล.เชื่อว่าคุณกลายใต้พยายามค้นหาข้อมูลมาหลายทาง ขอบคุณค่ะที่เอาประเด็นทางกฎหมายมาถกเถียงกัน สำหรับดิฉันนะ รู้สึกว่าสนุกดีค่ะ ได้ลับสมองดี ^^ จากคุณ : มือใหม่หัดขับ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 08:24:23 A:124.157.242.19 X: TicketID:150038

ความคิดเห็นที่ 88   "รถเช่าซื้อ เป็นสมบัติของบริษัทที่คุณผ่อน ถ้าผ่อนไม่ไหว ก็คืนรถ แต่...อย่าไปคืนกับบริษัทรถ เพราะบริษัทจะเอาไปขาย หากขายแล้วยังขาดอยู่อีก คุณก็ยังต้องจ่ายส่วนที่เหลือด้วย ... ต้องไปคืนที่ศาลเท่านั้น .... จ่ายให้ครบเดือนที่ค้างชำระอยู่ จนถึงเดือนปัจจุบันที่จะคืนรถ แล้วไปที่ศาลแจ้งว่าจะคืนรถให้กับเจ้าของที่เช่าซื้อมา โดนไม่มีการค้างค่างวด แค่นั้นก็จบ แม้นบริษัทจะอ้างว่า ขายรถทอดตลาดไปแล้ว แต่เงินที่ได้ก็ยังไม่พอค่ารถ.... คุณก็ไม่ต้องรับผิดชอบ" การที่คุณมั่วโคดๆ แล้วไปแนะนำคนอื่นให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เช่นประเด็นคืนรถที่ศาล ทำให้ทุกคนงงกันไปใหญ่ เกิดอะไรขึ้น ? ศาลมีที่เก็บรถพอเหรอ นั่นคือ ประเด็นที่ทำให้ผมต้องออกมาด่า พวกตีนโรงตีนศาล แบบคุณ คือ ไม่รู้เรื่องเชี่ยอะไร แล้วยังมาเศือกแนะนำ ! แถมยังมาขยายความ เอา พ.ฎีฎา มาอ้างอย่างนั้นอย่างนี้ อพิโธ่อพิถัง ผมอ่านดูคร่าวๆก็รู้ว่า คุณพยายามยกให้คนอื่น "เชื่อ" คุณโดยการอ้างกฏหมายขึ้นมาอีกดอกเป็นคำรบที่สอง ! คุณไปดูที่ผมเขียน สั้นๆ ด่ากระชับ ได้ใจความ ไม่ต้องยกผักบุ้งมาให้น้ำท่วมทุ่ง เพราะว่า ทุกอย่างมันอยู่ในหัวหมดแล้ว จะเอาเรื่องไหน? ปพพ. วิแพ่ง วิอาญา ว่ามา ไม่ต้องเงอะงะไปหาข้อมูล แบบที่คุณ กว่าจะโพสต์ ก็ไปถามคนรู้(ไม่จริง) แล้วก็เอามาโพสต์อีกที แถมผิดอีกต่างหาก ! ตาม #34 "ถ้าบริษัทไม่รับคืน ... ก็ไปยื่นเรื่องที่ศาลผู้บริโภค เรียกบริษัทเจ้าของรถมารับรถคืนไป ศาลนี้ไม่ต้องใช้ทนาย มีคนเขียนเรื่องให้คุณเสร็จสรรพ" อยากจะขำให้พอ ศาลแพ่งธรรมดารับคืนรถ ไม่พอ ยังเวียนไปศาลผู้บริโภค สุดท้าย พอคนท้วงเข้า คุณก็แก้ต่าง ดังจะเห็นได้จาก # 63, #68 ดันอ้างเรื่องศาลผู้บริโภคขึ้นมา สุดท้ายก็มาแก้ตัวอีกว่า อ้างผิด ! เออ ! เอากะมัน ถามจริง LA101 เคยเรียนหรือเปล่า? ดังนั้น การ แนะนำมั่วๆ ทำให้คนอื่นหลงเชื่อผิดๆ นี่มัน คล้ายตีนโรงตีนศาล นี่คุณคิดว่า คุณยังแย่ไม่พออีกเหรอ? ถ้าคนไม่รู้ นึกว่า คุณเป็นนักกฏหมายแล้วทำตาม ไม่ยิ่งไปกันใหญ่เหรอ มีสมองตรองบ้างไหม? คุณจะโกรธผมหรือ ใครจะโกรธเพราะว่าผมเป็นเพียงบัตรผ่าน"ไม่น่าเชื่อถือ" ช่างแม่ม ผมไม่ได้มาขอข้าวพวกคุณกิน ! แต่เรื่องคำพูดสถุลของผม แน่นอน ต้องมีคนรับไม่ได้ แต่ กับการทะแนะ ที่ผิดๆ คุณลองเทียบกันว่า ถ้ามีคนไปทำตาม "ใครเสียหายกว่ากัน" ผมด่า ให้รู้สำนึก จะได้ ไม่ต้องเสล่อ แนะนำเรื่องที่ตัวเองอวดฉลาดอีก จะได้จำใส่กะลาหัว ไม่ใช่ พูดจาดีสุภาพ แต่ Content แม่มผิดหมด ฟาย ! ยังดีที่คุณยังพอมีสำเหนียก ออกมารู้สึกตัวว่า "ผิด" และยอมรับ (แม้ว่า ทีหลังจะพยายามเบี่ยงเบนประเด็น การเอารถมาคืนศาลก็ตาม เพราะรู้ว่าผิด และคนโจมตีเยอะ) แม้ว่า คห. ต้นๆ 1-17 จะด่าผม แถมมีการจะเอาไปเผยแพร่(อันตรายมากเข้าใจผิดๆ) คิดดู ถ้ามีคนเอาไปเผยแพร่เป็น fwd mail ว่า คืนรถให้ไปคืนที่ศาล ไม่ต้องรับผิดชอบเงินที่ขาด ว่าไง? เห็นอันตรายหายนะที่คุณ "ก่อ" ขึ้นหรือยัง? เจตนาคุณดี ผมเข้าใจ แต่การที่พูดโดยไม่รู้จริง และเป็นเรื่องสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคน ทำให้เขาต้องสูญเสียเงินทองโดยเข้าใจผิด มันทำให้คนเข้าใจผิดได้อย่างมาก และหวังว่า คุณคงไม่แนะนำอะไรที่มันมั่วๆ แบบนี้อีก ถ้าคุณจะแนะนำในสิ่งที่คุณ "รู้จริง" และ"ทดลอง" มาก่อน จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนสมาชิกอย่างมาก ! และในเมื่อคุณยอมรับในสิ่งที่ผมได้พูดไป ก็ขอให้เป็นบทเรียน และจำไว้ นะครับ เรื่องกฏหมายเช่าซื้อ ไปอ่านตาม #27-#32 ก็คงพอได้ตามนั้นถือว่า ถูกต้องแล้วครับ จริงๆ มันไม่ได้ยากเย็นอะไร มีอีกประเด็นที่ผมอยากเพิ่มเติม คือเรื่อง ผู้ค้ำประกัน กับลูกหนี้ แม้ว่า หลักกฏหมาย ปพพ.จะให้ไปฟ้องลูกหนี้ก่อนก็ตาม แต่ว่าในสัญญาไฟแนนซ์มักจะเติมข้อยกเว้นนี้ไว้ ดังนั้น จึงมีหลายกรณี ที่ คนค้ำประกันต้องใช้หนี้แทนลูกหนี้ที่หนีไป เพราะต้องรับผิดแบบลูกหนี้ร่วม ขอบคุณสำหรับ Login และ บัตรผ่าน ที่ได้ฉุกคิดเรื่องที่ผมให้ความเห็น เริ่มตั้งแต่คุณ Galeon_212 ที่รู้สึกทะ:-)ๆขึ้นมา และท่าน Login อีกหลายท่าน ที่ไม่ดูถูก"บัตรผ่าน" เหมือนพวกขี้ครอกอีกหลายคน และหลายท่านได้ให้คำแนะนำทำให้หลายคนตาสว่าง และหายโง่ ขึ้นอีก เพราะผมพูดแต่ "เรื่องหลักกฏหมาย ที่เป็นจริง" เท่านั้น ถ้ากรณีนี้ไม่มีคนมาปอกเปลือก จขกท. จนล่อนจ้อน จนแต้มกับข้อเท็จจริง แบบนี้ ก็คงเป็นอีกวันนึงที่ผม โดนด่าอีกตามเคย(ชินแล้ว) จากคุณ : ห่วย เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 09:18:52 A:210.203.191.213 X: TicketID:248569

ความคิดเห็นที่ 89 สรุป ถ้าผ่อนไม่ไหวแล้ว ขายดาวน์ต่อไม่ได้ หาคนมาผ่อนต่อไม่ได้ ลองเข้าไปคุยกับไฟแนนซ์ว่าขอคืนรถ ขอเลิกสัญญา + ขอให้ไฟแนนซ์ไม่เรียกค่าใช้จ่าย ค่าเสียหายจากเราเพิ่มเติมอีก ถ้าเค้ายอมก็จบ (แต่ต้องทำสัญญาเป็นหนังสือด้วย) ถ้าเค้าไม่ยอม ก็ต้องผ่อนต่อไป เพราะไฟแนนซ์ไม่ได้ผิดสัญญาเรา เราจะขอเลิกฝ่ายเดียวไม่ได้ จากคุณ : LaOngFong เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 09:20:30

ความคิดเห็นที่ 90   หากผมทำให้ทุกท่านระคายเคืองในความปากสุนัขของผม และไม่พอใจต้องขอโทษด้วยครับ ตอบคุณ LaOngFong "สรุป ถ้าผ่อนไม่ไหวแล้ว ขายดาวน์ต่อไม่ได้ หาคนมาผ่อนต่อไม่ได้ ลองเข้าไปคุยกับไฟแนนซ์ว่าขอคืนรถ ขอเลิกสัญญา + ขอให้ไฟแนนซ์ไม่เรียกค่าใช้จ่าย ค่าเสียหายจากเราเพิ่มเติมอีก ถ้าเค้ายอมก็จบ" ไม่มีไฟแนนซ์ที่ไหน ยอมทำตามที่คุณต้องการหรอกครับ ถ้าคุณขอคืนรถ เขาก็เอารถไปขายทอดตลาด เกือบทุกกรณีจะได้น้อยกว่า จำนวนเงินที่เขาจะได้จากคุณเมื่อครบสัญญาเท่าไร เขาก็เรียกเพิ่มครับ ไม่ว่าจากคุณ หรือ ผู้ค้ำประกันก็ได้ และแถมด้วย ค่าทวงถาม ค่าปรับ ค่าจอดรถ(เจอมาแล้ว วันละ พันบาท บ้ามะ) ดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องจนถึงวันชำระ ถ้ากรณีขึ้นสู่ศาลครับ รับรองอ่วม จากคุณ : ห่วย เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 09:41:35 A:210.203.191.213 X: TicketID:248569

ความคิดเห็นที่ 91 ผมคงซื้อใช้รถมือสอง พยายามเก๊บเงินจ่ายสดดีกว่า จะได้ไม่ปวดหัว ครับ จากคุณ : D-FUJIMA เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 10:14:23

ความคิดเห็นที่ 92   ว่ากันตามตรงผมถูกใจประเด็นที่คุณ TicketID:248569 ว่ามานะ แล้วก็เห็นด้วย อ่านแล้วขำๆ ภาษาปากสุนัขแบบที่เจ้าตัวว่ามาดี อ่านแล้วรู้สึกเจ็บๆ คันๆ ขำๆ เหมือนโดนพวกรุ่นพี่ที่คณะด่า แต่เชื่อเหอะรับรองงานนี้ TicketID:248569 โดนเละแน่ ส่วนคุณกลายใต้ คนเราผิดพลาดกันได้ครับแค่แสดงความแมนหน่อยนึง รับว่าแนะนำผิดไปในตอนต้น หรือแนะนำไม่ครบ ไม่ได้ดูมาให้ดีก่อน ทุกคนในนี้คงไม่มีใครว่าอะไรคุณหรอกครับ กระทู้แบบนี้สนุกดีครับมีโอกาสได้ลับสมอง ส่วนตัวผมมองว่าถึงเวลาที่ท่านผู้รู้กฎหมายที่แวะเวียนเข้ามากระทู้นี้ ช่วยกันตกผลึกความคิดให้เพื่อนๆ ชาวรัชดา ได้แนวทางการปฏิบัติดีกว่าว่า "จะทำอย่างไรเมื่อผ่อนรถต่อไปไม่ไหว" ตอนนี้ผมขออนุญาตกลับไปปั่นงานตามเดิมครับ แล้วว่างๆ จะแอบแวบมาใหม่ จากคุณ : Galeon_212 เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 10:35:36 A:172.20.28.166 X:203.130.145.98 TicketID:271530

ความคิดเห็นที่ 93   ไปเจอเรื่อง "คดีผู้บริโภค" ที่น่าสนใจมา เนื่องจากคุณกลายใต้เปิดประเด็นอย่างมั่นอกมั่นใจเรื่องให้ไปศาลผู้บริโภค จนหลังๆ เสียงอ่อนมาว่าคดีนี้ขึ้นศาลผู้บริโภคไม่ได้ หรือยังไม่เคยมีกรณีผู้เช่าซื้ออยากจะคืนรถให้ไฟแนนซ์จนต้องไปฟ้องศาล ผมเลยไปศึกษาดูว่าผู้เช่าซื้อรถยนต์แบบเราๆ ถ้าอยากจะใช้วิธีพิจารณาแบบคดีผู้บริโภคบ้างจะได้หรือไม่ ก่อนอื่นรู้จักคดีผู้บริโภคกันก่อน ตาม พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ คดีผู้บริโภค” หมายความว่า (๑) คดีแพ่งระหว่างผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคตามมาตรา ๑๙ หรือตาม กฎหมายอื่น กับผู้ประกอบธุรกิจซึ่งพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องมาจาก การบริโภคสินค้าหรือบริการ (๒) คดีแพ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย (๓) คดีแพ่งที่เกี่ยวพันกันกับคดีตาม (๑) หรือ (๒) (๔) คดีแพ่งที่มีกฎหมายบัญญัติให้ใช้วิธีพิจารณาตามพระราชบัญญัตินี้ และมาตรา 8 บัญญัติไว้ว่า "กรณีมีปัญหาว่าคดีใดเป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่ ให้ประธานศาลอุทธรณ์ เป็นผู้วินิจฉัยฯ" ผมไปลองหาคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ ในกรณีนี้มานั่งอ่านดูสุดท้ายไม่เจอเรื่อง ผู้เช่าซื้ออยากจะคืนรถให้ไฟแนนซ์จนต้องไปฟ้องศาล หรือกรณีผู้เช่าซื้อฟ้องผู้ให้เช่าซื้อเพื่อบังคับให้เป็นไปตามสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ เจอแต่ไฟแนนซ์ฟ้องผู้เช่าซื้อ แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้พอจะเทียบเคียงกันได้ว่าถ้าเกิดกรณีเราอยากจะฟ้องไฟแนนต์เพื่อให้เป็นไปตามสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อบ้างจะได้หรือไม่ เช่นกรณีนี้อยากจะเลิกสัญญา คำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ ที่ 102/2551 โจทย์ (ไฟแนนซ์) ฟ้องจำเลย (ผู้เช่าซื้อ) เนื่องจากจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ตามสัญญา โจทย์บอกเลิกสัญญาและนำรถออกขายทอดตลาดได้ราคาน้อยกว่าราคาตามสัญญาเช่าซื้อ ฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย - กรณีนี้เป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่ ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการเนื่องจากการที่โจทก์เรียกเก็บดอกเบี้ยตามสัญญาเช่าซื้อ และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากจำเลย ซึ่งประมวลรัษฎากรกำหนดว่าผู้หน้าที่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้แก่ ผู้ประกอบการซึ่งขายสินค้าหรือบริการฯ ดังนั้นโจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการ จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อจึงเป็นผู้บริโภค เมื่อโจทก์เรียกให้จำเลยชำระค่าเสียหายจากการเช่าซื้อจึงถือเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องมาจากการบริโภคสินค้าฯ นอกจากนี้มีคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ ที่ 1/2551 ที่วินิจฉัยไปในแนวทางเดียวกัน ผมอาจจะย่อมาไม่ดีเท่าไหร่ ลองไปอ่านเพิ่มดูครับ คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อถือเป็นคดีผู้บริโภค ดังนั้นควรเทียบเคียงได้ว่ากรณีผู้เช่าซื้ออ้างสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อเพื่อบังคับให้เป็นไปตามสิทธิตามกฎหมายควรเป็นคดีผู้บริโภค และใช้วิธีพิจารณาตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ - ย่อหน้าข้างบนเป็นความเห็นของผมที่ได้เทียบเคียงกับคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ หากท่านใดมีข้อโต้แย้ง หรือมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมช่วยกรุณาชี้แนะด้วยครับ และตอนนี้อาจจะยังไม่มีผู้เช่าซื้อที่ไหนใช้วิธีพิจารณาแบบผู้บริโภค แต่หากมีท่านไหนมีประสบการณ์หรือมีความรู้เรื่องนี้ ช่วยเพิ่มเติมความรู้ด้วยครับ จากคุณ : Galeon_212 เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 11:21:21 A:172.20.28.166 X:203.130.145.98 TicketID:271530

ความคิดเห็นที่ 94   เออ...คือแบบว่า...อยากให้น้าๆช่วยสรุปคำตอบใรคห.ที่3ให้หน่อยครับ แบบว่าอ่านแล้วงงครับ จากคุณ : nero-rosso เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 11:29:18

ความคิดเห็นที่ 95 #93 ครับ ตามความเห็นผมการที่ผู้บริโภคจะฟ้องขอคืนรถกับบริษัท มันก็คือการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อนั้นเอง คดีนี้น่าจะเป็นคดีผู้บริโภคเช่นกัน จากคุณ : ทุกวันคือวันตายวันใหม่คือโบนัส เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 11:47:09

ความคิดเห็นที่ 96 เอ่อ ลืมเรื่องศาลผู้บริโภคไป ปัจจุบันยังไม่มีการตั้งศาลผู้บริโภคนะครับ การฟ้องคดีบริโภคในศาลชั้นต้นก็ฟ้องที่ศาลแพ่ง ศาลจังหวัด หรือศาลแขวงตามแต่ทุนทรัพย์ เพียงแค่คดีประเภทนี้จะถูกแยกออกมาและใช้กระบวนพิจารณาพิเศษอย่างคดีผู้บริโภค ตามที่คุณ tuba #81 บอกไว้ แต่ในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาได้มีการเปิดเป็นแผนกคดีผู้บริโภคไว้ด้วย จากคุณ : ทุกวันคือวันตายวันใหม่คือโบนัส เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 11:50:58

ความคิดเห็นที่ 97 ผมชอบคุณห่วยว่ะ....ปากสุนัขแต่มีประโยชน์  555+ จากคุณ : ลูกเป็ดตกมัน เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 12:32:14

ความคิดเห็นที่ 98   ผมอ่านแล้วบอกได้คำเดียวว่า ยอมเถอะ   อ่านๆมาเยอะแบบนี้ผมเชื่อว่าพี่น้องชาวรัชดา หรือใครที่ไม่ได้ทราบเรื่องกฎหมายมาอ่าน รับรองว่าเห็นแล้ว"อ่านไม่หมด" ถึงแม้อ่านหมดก็"ไม่เข้าใจ" เพราะส่วนใหญ่เป็นการโต้ตอบข้อกฎหมายไปมาในประเด็นซ้ำๆ ประมาณว่ากำลังจี้จุดเดิมแต่เปลี่ยนข้อความใหม่เท่านั้นเอง  เห็นด้วยว่าควรตกผลึกเป็นประเด็นเลยครับ จากคุณ : เจ้าชายรองเท้าแตะ 655 เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 13:18:55

ความคิดเห็นที่ 99   TicketID:248569 ห่วย เทพๆๆๆ ชาบูๆๆๆๆๆๆๆ จขกท.แมนๆเปิดอีกกระทู้ขอโทษจะเป็นไรไปครับ ให้คนได้เข้าใจถูกๆ จากคุณ : นัท เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 13:29:21 A:222.123.170.253 X: TicketID:185294

ความคิดเห็นที่ 100 ทู้นี้สาระล้วนจริงๆ ตั้งแต่เข้าห้องนี้มาเพิ่งเจอนี่แหละ จากคุณ : - NPie - เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 13:39:04

ความคิดเห็นที่ 101   # 95 นั่นน่ะสิครับ ผมก็เห็นว่ากรณีการคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อ หรือฟ้องบังคับให้เป็นไปตามสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายแพ่ง โดยมีไฟแนนซ์เป็นผู้ประกอบการ มีผู้เช่าซื้อเป็นผู้บริโภค ถ้าจะเทียบเคียงตามนัยคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ที่ผมยกมาใน #93 ผมเห็นว่ากรณีนี้ควรเป็นคดีผู้บริโภคครับ จากคุณ : Galeon_212 เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 13:52:12 A:172.20.28.166 X:203.130.145.98 TicketID:271530

ความคิดเห็นที่ 102   อ่านแล้วงงตอนแรก  ตอนนี้..เข้าใจแล้วครับ จากคุณ : ลูกข่ายชล เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 14:08:08

ความคิดเห็นที่ 103   พี่ID248569 ของแรงจริงๆ ชอบๆ...ดุ เด็ด เผ็ด มันส์ ถึงใจมากๆ ปล. พี่ต้องเข้าใจ ว่าคนในนี้เค้าตีราคาความคิดความเห็นแค่ มีหรือไม่มีอมยิ้มเหลืองๆนั่นแหละครับ ลัทธิบูชาอมยิ้ม 5555 จากคุณ : bamboo เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 14:53:55 A:58.64.72.246 X: TicketID:219328

ความคิดเห็นที่ 104 คุณห่วย TicketID:248569   ขอแสดงนับถือ นับถือจริง ๆ   เพระคุณเล่นได้ตรงประเด็น ว่าในชีวิตจริงในทางปฏิบัติจริง ควรจะเป็นอย่างไร   ส่วนเรื่องขวานผ่าซาก ปากสุนัข ถือเป็นเรื่องประเด็นรอง ข้าพเจ้ารู้สึกเฉยๆ  เพราะคิดว่าเรื่องแค่นี้หากใครทนแค่ นี้ไม่ได้ก็อย่ามาเล่นพันทิพดีกว่า ประเภทร้อนวิชา หลังพิงตำรา แต่ขาดประสบการณ์ แต่มาสร้างภาพให้ดูน่าเชื่อถือ แนะนำทำให้คนหลงเชื่อทำตามนี่   อาจทำให้สังคมส่วนรวมเสียหายใหญ่หลวงได้พอ ๆ กับประเภทไม่ฉลาดแล้วขยันนะจะบอกให้ จากคุณ : sutabotea เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 15:23:01

ความคิดเห็นที่ 105 อ่านมาทั้งสองกระทู้ แต่ กระทู้นี้ ผมมองว่าเกิดจาก การใส่ใจผิดประเด็น เลยนำมาให้เกิดการหาข้อมูลเพื่อจะมาหักล้าง สิ่งที่มันควรจะเป็นจริงครับ คุณ ห่วย ตอบในกระทู้ที่แล้วผมว่าชัดเจน และมันน่าจะเคลียร์ แต่เสียที่ว่า ภาษาอ่านแล้วไม่สบายตา กระทบกระเทียบ คนอ่าน ไม่พอใจ เลยพยายามหาข้อมูลมาหักล้างกันเกิดขึ้น มากกว่าจะหามาหักล้างเพราะที่คุณห่วย พูดผิด ซะด้วยซ้ำไป กรณีนี้คล้ายๆ มีคนมาขอความช่วยเหลือบางอย่างแต่พิมพ์ผิด คนเราก็พากันเฮไปว่าเค้าว่าไปเขียนภาษาไทยให้ถูกก่อนไป !!! นั่นไง!!! นอกจะไม่ช่วยคนเดือดร้อนแล้ว ยังตอบไปตรงประเด็นซะอีก เอวัง จากคุณ : panda_bs เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 16:38:43

ความคิดเห็นที่ 106 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 17:51:14 จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 17:46:02

ความคิดเห็นที่ 107 เรื่องเอ่ยปากจะขอโทษ ไม่ยากเลยครับสำหรับผม เพราะการอ่อนน้อมถ่อมตน  รู้จักผิด รู้จักขอโทษ ego ลดลงเท่าไหร่ก็จะเห็นค่าของคนอื่น และสังคมมากขึ้น ================================== แต่ให้ผมขอโทษเรื่องอะไรครับ ?? เรื่องผมโง่ที่ไม่รู้ว่า (ตอนนี้) ถ้าคนผ่อนชำระตรง แต่ผ่อนไม่ไหว ไม่อยากขายดาวน์ด้วย แต่จะคืนเจ้าของ เจ้าของรถไม่รับ ให้คืนที่ศาล ... ศาลไหน ก็ศาลผู้บริโภค   แล้วศาลรับมั๊ย ... จขกท. ไปทำแบบนี้มาแล้วเหรอ ... ไอ้ฟาย (ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีใครรู้เพราะยังไม่มีใครทำ และเรื่องแบบนี้ยังไม่มี) แต่เจตนาผมคืออะไร ก็คืออยากให้ผู้เดือดร้อนมีทางออก และไม่ต้องการให้หาทางออกแบบผิด ๆ ================================ เน้นอีกทีครับ ผมไม่ได้แนะนำให้คนทำผิดจริยธรรมเลย ผ่อนไม่ไหวก็คืนรถเค้า ผมอาจจะผิดที่บอกว่า ให้ไปคืนรถที่ศาล แต่ขณะนี้ไม่รู้ศาลไหนจะรับคดีนี้ เพราะมันไม่เคยเกิด ผมขอโทษได้ครับ สำหรับความมั่นใจของผมว่าศาลคุ้มครองผู้บริโภค ควรจะรับเหมือนกับ คห. 93 แต่มันอาจจะไม่ได้ก็ได้  แล้วทำให้เกิดมีผู้ไปร้องเรียนที่นั่นแล้วเสียเวลา ผมผิดที่แนะนำอะไรที่ไม่รู้จริง  ก็เพราะว่าเรื่องที่มันยังไม่เกิดกรณีขึ้น ในขณะเดียวกัน  แล้วคุณทราบหรือครับว่า ศาลไม่รับคืน ? ศาลผู้บริโภค ไม่รับกรณีแบบนี้ ?? แล้วคุณลองแล้วเหรอครับ ? ในทางกลับกัน ถ้าศาลรับมา ศาลช่วยเหลือกรณีแบบนี้ได้ ผมต้องด่ากลับ คนที่บอกว่าไม่ได้มั๊ยครับ ว่า ไอ้ฟาย  ไม่รู้เรื่องเลย จะดีกว่ามั๊ยครับถ้าผมบอก เรื่องนี้ทำได้นะครับ เป็นแบบนี้ ๆ นะครับ ทางออกนี้ดีมากเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย =============================== ชื่นชม คนอย่างคุณ  Galeon_212 , คุณมือใหม่หัดขับ และอื่น ๆ อีก สร้างบรรยากาศที่ดีในการเสนอความเห็นเพื่อหาทางออกที่ดีให้สังคมด้วยการคิดดี ใช้วาจาดี อย่างคุณ คห. 87 ถามว่า ขายแล้วขาดทุน เราต้องเอาเงินคืนให้บริษัท แต่ถ้าหากว่า บริษัทขายรถทอดตลาดแล้วได้กำไร ได้เกินสิ่งที่เค้าควรจะได้คือ ดอกเบี้ยแล้ว  คนผ่อนกลับไม่ได้ส่วนนั้นมา เพราะอะไร เพราะกฎหมายใช่มั๊ยครับที่บอกว่า บริษัทเป็นเจ้าของรถ คุณคือคนเช่าซื้อ ไม่มีสิทธิในรถนั้น เราคืนรถให้บริษัทเอง โดยไม่ค้างผ่อน รถสภาพสมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็น ขายแล้วขาดทุนเราออกส่วนที่ยังขาดให้  ขายได้กำไรเกินราคาที่เราต้องจ่าย ทั้งหมด แต่บริษัทบอกว่ากรูไม่คืน  รถเป็นกรรมสิทธิ์กรู ตามกฎหมายรถเรา เราขายได้เท่าไหร่ก็เรื่องของกรู แต่เค้าไม่ได้นึกถึงว่าเราทำนงานผ่อนบอกเบี้ยให้บริษัท ผ่อนทุกงวด รถไม่เสียหาย แต่เราผ่อนไม่ไหวแล้ว จะต้องคืนรถ ผมก็กลับมองว่า ความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน ? อยู่ที่กฎหมายที่มนุษย์เขียน หรือจริยธรรม จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบริษัทคืนเงินส่วนเกินให้   เรารับผิดชอบส่วนขาดให้ถ้าบริษัทขายรถแล้วขาดทุน สังคมจะน่าอยู่ขึ้นหรือไม่ ? มองแม้กระทั่งว่า  น่าจะมีหน่วยงานรับรถ บ้านหรือทรัพย์สินที่ผ่อนไม่ไหว ให้ผู้บริโภค จัดตลาดกลางหาเพื่อหาคนรับผ่อนหรือซื้อสินค้าต่อ ก่อนที่จะค้างชำระแล้วต้องโดนยึด ก็ทำให้ผู้บริโภคได้ราคาสูงขึ้น บริษัทก็ได้เงินมากขึ้น ========================= ผมไม่ได้โกรธนายห่วยจะด่า  ว่าผมโง่ อวดรู้ อะไรเลยครับ ดีซะอีก ผมจะได้ศึกษามากขึ้น แต่ผมมองแปลก ๆ อย่างนึง  มีคนบางคนในสังคมสนับสนุน  คนเก่งแต่ พูดจาผรุสสวาท ?? ถ้าการศึกษาทำให้คนคงเป็นคนเก่ง  แต่คิดดี พูดดี ทำดี ไม่ได้ผมว่าการศึกษานั้นล้มเหลวอย่างยิ่ง พื้นฐานการคิดดี  ก็พูดดี  พื้นฐานการคิดดีก็ ก็ทำให้ทำดี สนับสนุนคนคิดดี  พูดดี ทำดี ทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น ดีกว่าครับ ========================= จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 17:53:41

ความคิดเห็นที่ 108 สรุปยังไงหว่า แต่ที่แน่ๆจ่ายแบบไม่ค้าง แล้วจบ ผมว่าไม่น่าใช่ ไม่งั้นคนไปออกฟรีดาวน์ เปลี่ยนอะไหล่ จ่ายเดือนแรก (รถเครื่อง) ไม่สบายไปหน่อยหรือ จากคุณ : ตาแป๊ะหวานเย็น เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 19:12:57

ความคิดเห็นที่ 109 ผมว่าคุณห่วยพูดถูกนะครับ... ไปคืนที่ศาล ศาลก็ไม่รับคืนหรอกครับ... หลายประเด็นที่พิมพ์ๆกัน ถ้ามันไม่ถูกต้อง แล้วมีคนที่เขาไม่รู้อ่านไปแล้วก็เก็บไปจำว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้และเป็นเรื่องจริง มันก็จะทำให้การวางแผนชีวิตของคนนั้นผิดพลาดได้นะครับ.. จากคุณ : ลุงบุญคำ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 19:28:18

ความคิดเห็นที่ 110 หลายประเด็นที่พิมพ์ๆกัน ถ้ามันไม่ถูกต้อง แล้วมีคนที่เขาไม่รู้อ่านไปแล้วก็เก็บไปจำว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้และเป็นเรื่องจริง มันก็จะทำให้การวางแผนชีวิตของคนนั้นผิดพลาดได้นะครับ.. ^ ^ ผิดพลาดอย่างไรครับ .. ? เรากำลังไปเปรียบเทียบ ว่าผมแนะว่าให้ไปทำวิธีนู้น วิธีนี้ซิ  ต้องใช้กฎหมายแบบนี้ซิ  ถ้าแบบนั้น ผิดไปจะเกิดปัญหาได้ แต่นี่คือ  ในเมื่อเรื่องไม่เคยเกิด แนะตามตามหลักจริยธรรมศีลธรรม กรณีแบบนี้ลองไปที่ศาลดู น่าจะมีทางออก ดีกว่าจะ ปล่อยให้รถโดนยึด ไล่ฟ้องกันตามหลังกันกราวรูด เดือดร้อนกันไปหมด   ในทางกลับกัน ไม่คิดบ้างเหรอครับว่า ถ้าเรื่องนี้ ทำได้ และเป็นทางออกที่ดี ไม่มีเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงกับสังคมผู้บริโภคหรือครับ ?? จากคุณ : กลายใต้ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 19:39:53