ความคิดเห็นที่ 9 |
|
จากเมืองหลักซาว.....ชายแดนลาวและญวน....ผมขอวกกลับมาเล่าเรื่องลาวทางเหนือบ้าง.....หลังจากผมตั้งหลักหารูปประกอบการเดินทางได้แล้ว
.ผมก็จะเล่าให้ฟังไปทีละทริป...ให้จบไปทีละภาคนะครับ.....ผมเพิ่งเริ่มรู้จักกับเว็ปพันทิพนี่ได้3วันเอง....เลยรู้ว่าเขาแชร์สิ่งละกันพันละน้อยลงไปในเว็ป....(ก็มัวแต่ไปขี่รถเล่นจนไม่รู้ว่าโลกภายนอกเขาไปไหนกันแล้วนั่นเอง)......ผมจะแชร์สิ่งที่ผมเห็นให้เพื่อนๆอ่านกันไปได้ทุกวันอย่างน้อยก็2ปีครับกว่าจะหมดเรื่องที่สะสมไว้ในสมอง....ส่วนสำนวนที่เขียนลงไปให้เพื่อนๆอ่านกันนี้.....ไม่ได้เขียนแบบบันทึกประจำวัน....ผมเขียนด้วยอารมณ์รู้สึกจริงๆจากความเครียดในการเดินทาง....บางคำมันเลยออกจะตึงๆไปนิด...อย่าถือสานะครับ...สรุปกันแบบง่ายๆตรงนี้ว่า ผมขอยอ้นพาเพื่อนๆข้ามสะพานมิตตะพาบหนองคาย-ท่าบ่อ....พาไปลาวเหนือก่อน....เล่ากันให้เป็นกิจจะลักษณะไปเลย....ส่วนลาวใต้...จะพาไปตอนต่อๆไป...ไม่งั้นมันจะกระโดดแบบจับต้นชนปลายไม่ถูก หลังจากจ้างรถบรรทุกข้ามไปยังด่าตม.ท่าบ่อเรียบร้อยแล้ว.....ก็เหมือนเดิม...คือต้องทำประกันภัยเสียก่อน ไปเที่ยวนี้เราเสียค่าประกันภัยรถไป 70 บาทเท่าเดิมครับ จากด่านตม.ท่าบ่อ....เราจะต้องเดินทางเข้าไปในเมืองอีก22กม......ซึ่งตลอด2ฟากถนน นับตั้งแต่เลยด่านตม.มาได้สักครึ่งทาง...ก็จะเริ่มเข้าสู่ชุมชน....ถนนหนทางเริ่มแออัดขึ้น......และก็เช่นกันที่ความเจริญเริ่มกระจายออกมายังชานเมือง.... ตรงหัวโค้งก่อนเข้าเมืองนี้แหละ ผมเคยมาแวะพักครั้งหนึ่ง...เพราะเมื่อก่อนนั้นเราจะต้องเข้าไปพักโรงแรมในเมือง....แล้วแพงเอาเรื่องด้วย....ก็500บาท(เมื่อ10กว่าปีก่อนนั้นนะครับ).....โดยในปัจจุบัน...หากเราขี่รถเที่ยวในเมืองไทย...เช่นไปทางเมืองเหนือ...เรายังสามารถหาที่พักได้ในราคาคืนละ350บาทได้...มีน้ำอุ่นน้ำเย็นและโทรทัศน์ยูบีซีอีกต่างหากด้วย.... แน่นอนว่าเราจะต้องแวะพักโรงแรมชื่นจิตเลยหัวโค้งค่ายทหารจินายโม้ไปเล็กน้อยในราคามาตรฐาน 350 บาท แพงขึ้นมา50บาท แต่ดีกว่าโรงแรมสีสะหวาดเกสต์เฮ้าส์ ที่อยู่ในเมืองเวียงจันทน์เพราะในราคา 350 บาทนี้โรงแรมชื่นจิตมีห้องน้ำในตัว ไม่ต้องเดินไปอาบน้ำที่ห้องรวมเหมือนสีสะหวาดเกสต์เฮ้าส์ คราวนี้ ผมไม่ได้แวะซื้อยาธาตุน้ำแดงตรานักเลงจากร้านหัวมุมค่ายจินายโม้เหมือนกับทุกครั้ง เพราะมาคราวก่อนหน้านั้น ผมมาพบยาประดงพระสังข์ทรงช้างรุ่น"แบล็ค 99 "ซึ่งเป็นเหล้ามาตรฐานส่งนอกของลาวในราคาเพียงขวดละ 80 บาทไทยเท่านั้น เที่ยวนี้ผมเลยไม่จำเป็นต้องพกพายาดองติดท้ายไปให้หนักรถแต่อย่างใด สั่งมันจากร้านบาร์เบียร์ข้างๆห้องพักเรานั่นแหละ ซดไป 3-4 เฮือกก็ฟ้าแจ้งจางปางขึ้นมาทันตาเห็น แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว พอผมทดลองสั่งน้ำชีวจิตตราเสือ 11 ตัว เพื่อจะเอามาล้างตาหยั่งว่า
.เราก็สมหวังอีกครั้งนึงครับ
.ลาวเลิกผลิตไปแล้ว
แต่มีเหล้ารุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ เป็นเหล้ายี่ห้อ LION
.สงสัยว่าลาวเขาจะถือเคล็ดเอาเหล้าตราสิงห์โต มาข่มเหล้าไทยตราแมวดำ
.ผมลองสั่งมาซดเล่นขวดหนึ่ง ราคา 80 บาท ไม่ค่อยอร่อยครับ
.มันมีกลิ่นสาบๆคล้ายๆเหล้าฝรั่งตราบลูอีเกิ้ล
.แต่ก็แปลก ที่มันทำให้ผมหัวหมุนได้เหมือนกับกินเหล้ายังไงยังงั้น จากเมืองเวียงจันทน์ในวันรุ่งขึ้น ผมข้ามถนนไปที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยว
.จัดการสั่งเฝอมาซดน้ำล้างปากไปชามหนึ่งก็อิ่มแปล้
ส่วนน้านายห้างที่ไปด้วยกัน ซื้อข้าวเหนียวมาจิ้มแจ่วกินเปล่าๆ เนื่องจากเพื่อนซี้ซั้วของผมคนนี้กินอาหารแบบมังสะวิรัติ แกเลยพกน้ำพริกตาแดงไปเป็นอุปกรณ์เสริม ในช่วงที่หาอาหารเจไม่ได้ หลังจากมัดข้าวของติดท้ายรถกันจนมั่นคงดีแล้ว เราเริ่มเดินทางออกจากที่พักช่วงเช้าตรู่ บ่ายโฉมหน้าตรงดิ่งขึ้นไปทางเหนือด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเป็นระดับตบหน้ามัจจุราชได้สบายๆ(กร๊ากๆๆๆ) เพราะถนนในเมืองลาวก็ไม่ได้ดีขึ้นมาอีกสักเท่าไหร่ พอพ้นกำแพงพระนครออกไปทางเมืองวังเวียงก็เข้าอีหรอบเดิม(เขตเมืองเวียงจันทน์นี่ คนลาวเขาเรียกเต็มยศว่า"กำแพงพระนครเวียงจันทน์นะครับ คนที่ไม่มีวีซ่าจะออกนอกเมืองไม่ได้ แต่ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมาตรวจตราสักที ยกเว้นเฉพาะวันตรุษสำคัญๆของลาวเท่านั้น ที่จะมีด่านกวดกาสักครั้งหนึ่ง) คำว่าตรวจตรานั้น ภาษาลาวเขาเรียกแบบคนโบราณคือกวดกา เส้นทางเริ่มวกวนไปตามไหล่เขาและพื้นดินเริ่มเปียกชื้น ทั้งๆที่เป็นเดือนเมษายนนี่แหละ เสียงจั๊กจั่นและเรไรร้องกันระงมป่ารวมไปถึงผีเสื้อตัวเล็กๆบินตามกันเป็นหางไปตลอด แต่แปลกจริงๆที่เมืองลาวนี่ ผมไม่เคยเห็นวิหกนกกาเลยซักตัวเดียว สังเกตมานานแล้ว ไม่รู้ว่าคนลาวจับกินหมดไปแล้วหรืออย่างไร
.. อันนี้ผมอาจจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความให้ ตอนกลับมาถึงกรุงเทพฯหรือไงยังตัดสินใจไม่ถูกครับ ประมาณสัก 100 กิโลเมตรจากเมืองเวียงจันทน์ เราก็ผ่านเมืองวังเวียงและเมืองโพนฮง
..ที่นี่จะเป็นแหล่งปลาของชาวลาวเทิง(ลาวที่ราบสูง) เพราะส่วนนี้เป็นตอนบนของเขื่อนน้ำงึม มีปลาเล็กปลาน้อยและปลาร้าเยอะ กลิ่นตลบอบอวลไปทั้งถนน ผมไม่ซื้อ เพราะกินปลาร้าไม่เป็น ถ้าปลาแห้งละก็โอ.เค
..ที่นี่มีปลาเล็กๆแบบปลาสร้อยตากแห้งขาย ผมเลยซื้อติดมือมาครึ่งกิโล
20 บาทไทย เรา(ก็มีกันแค่2คน)หยุดพักกินข้าวกันที่สามแยกเมืองกาสี...... ผมซดก๋วยเตี๋ยวไก่ไปชามหนึ่งก็อิ่ม(ก๋วยเตี๋ยวในเมืองลาวเขานิยมใช้ไก่งวงครับ
.ไก่บ้านไม่ค่อยฮิต
ยกเว้นไก่ย่างเท่านั้นที่ไม่ใช้ไก่งวง
.ระยะหลังนี่คนลาวเริ่มหันมาเลี้ยงแพะเป็นอาหารโปรตีนแทนเนื้อวัวเสริมเข้าไปอีกอย่างนึง
..นัยว่าสมเด็จพระเทพฯท่านทรงประทานพันธุ์ให้ ) แล้วออกเดินทางต่อ แต่ก็ไม่รีบร้อนอะไรนัก เพราะมีระยะทางอีกเพียง 100 กม.ก็จะถึงสามแยกบ้านแม้ว(ชื่อจริงคือสามแยกพูคูน) สามแยกบ้านแม้วที่ว่านี้ ถ้าเราขี่รถแยกขวามือไปก็จะไปเข้าเมืองเชียงขวางที่ผมเคยพาคุณไปเที่ยวด้วยรถจี๊บในช่วงกลางปีที่ผ่านมา แล้วต่อไปเข้าทุ่งไหหินได้ในระยะทางอีก 200 กม. แต่เราจะไม่เข้าทุ่งไหหินทางเส้นนี้ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าทางมันจะเสร็จหรือยัง สอบถามชาวบ้านดู เขาบอกว่าทางเป็นตมอยู่ 5 หลัก....ก็หมายความว่าเป็นปลักนั่นแหละ เพราะฉะนั้น เราจะใช้วิธีเลยเข้าไปพักในเมืองหลวงพระบาง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ไปอีกประมาณ 100 กิโลจะดีกว่า เลยจากสามแยกบ้านม้งหรือสามแยกพูคูนนี้ไปประมาณ 50 กิโล ก็จะถึงเมืองเชียงเงิน
.เป็นทางสามแพร่งอีกเหมือนกัน ถ้าแยกออกไปทางซ้ายมือ ทางก็จะไปบรรจบกับเมืองไชยะบุรี ที่เราจะใช้เป็นเส้นทางขากลับในอีก 3-4 วันข้างหน้า สรุปแล้ว เราแยกซ้ายที่พูคูน จนไปถึงเมืองเชียงเงิน จากนั้นก็แยกขวามือเข้าไปยังหลวงพระบางตามลำดับ วันนี้เราแวะพักกันที่เกสท์เฮ้าส์ใกล้ๆแม่น้ำโขง ในราคามิตรภาพ 200 บาท.....ผมเคยสำรวจที่พักแห่งนี้มาแล้วเมื่อคราวที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่าในช่วงเย็นพระอาทิตย์อัศดง จะมีฝรั่งมานั่งกินอาหารและชมพระอาทิตย์ตกแม่น้ำโขงเยอะเหมือนกัน ผมฝาก ปลาแห้งที่ซื้อมาจากเมืองโพนฮงให้คนเฝ้าห้องพักไปทอดโดยเสียค่าบริการไป 20 บาท.....สบายปากไปพร้อมกับอาหารมื้อเย็นของวันนั้น กำลังนั่งกรึ่มยาธาตุน้ำแดงตรานักเลงตีกันไปได้สัก2-3 แก้ว ผมก็เห็นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง บินอย่างโคตรมหาช้าและสูงลิบจนเห็นตัวเครื่องเท่ากล่องไม้ขีดไฟตัดท้องฟ้าขึ้นไปทางด้านเหนือ
.คิดว่าจุดหมายปลายทางของเขาคงจะอยู่ที่เมืองหลวงน้ำทานั่นแหละ เพราะที่เมืองนั้นก็มีสนามบินเหมือนกัน
เรื่องนี้ผมยอมยกให้เมืองลาวครับ
.ประเทศไทยเราสู้เมืองลาวไม่ได้ก็ตรงที่เขามีสนามบินมากกว่าไทยเราหลายสิบขุม จะเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยอะไร
.ลาวมีสนามบินทุกแห่ง
. ทั้งนี้และทั้งนั้น ผมประเมินเอาได้อย่างง่ายๆว่า งบประมาณในการทำถนนของลาวมีไม่มากนัก สู้ทำสนามบินไม่ได้ แค่เกณฑ์คนงานมาถากหญ้าให้เรียบเป็นทางตรงๆไปสักกิโลหรือสองกิโลก็พอให้เป็นลานบินได้แล้ว เซฟงบประมาณของรัฐบาลไปได้นับเป็นพันล้านกีบ ส่วนเครื่องบินนั้นจะเป็นเครื่องบินปีกสองชั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั่นแหละ
.มันจะบินมากี่ชาติแล้วผมไม่ทราบ แต่ก็เห็นลาวยังใช้กันได้จนถึงยุคปัจจุบัน
. แต่เกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นยานยนต์ขั้นสูงทางเทคโนโลยีก็สามารถทำให้การเดินทางข้ามเมืองแต่ละแห่งของลาวลดเวลาลงได้เป็นวันๆเหมือนกันนะครับ ตัวอย่างง่ายๆที่ผมเคยขี่รถข้ามเมืองบ่อแก้วมายังเมืองหลวงน้ำทานั่นก็แล้วกัน
..ระยะทางแค่ 170 กิโลเมตรเท่านั้น ขี่ตั้งแต่เช้าตรู่มาถึงปลายทางเอาตอน 6 โมงเย็น
ส่วนขากลับ เราเผลอไปกินข้าวเช้ากันแบบลืมเวลา
เริ่มเดินทางขี่เอาตอน 10 โมง มาถึงกลางทางก็มืดมองอะไรไม่เห็น
.กว่าจะหลุดออกมาจากหลุมโลกพระจันทร์ถึงเมืองบ่อแก้วก็ตอกเข้าไปถึงสองยามเข้าไปนู่น ส่วนเครื่องบินมันบินลัดทางไปบนฟ้า ไม่มีหลุมบ่อให้จมปลักแต่อย่างใด
.ระยะ170 กิโลเมตรในป่าที่เราขับรถผ่านมานั้น อาจจะย่นย่อลงเหลือแค่ 70 กิโลเมตรก็ได้
.เครื่องบินใช้เวลาบินประมาณ 40 นาทีก็ถึง
ไม่ว่ามันจะบินช้าอย่างไรก็ตาม เพราะฉะนั้น
.หากคุณไปเมืองลาวและเห็นคนป่าสารพัดเผ่าขึ้นเครื่องบินก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ เพราะความจำเป็นในเรื่องเส้นทางมันบังคับให้คนลาวขึ้นเครื่องบินกันเป็นปกติวิสัย แล้วก็เอเย่นต์ขายตั๋วเครื่องบินนั้น มักจะเป็นร้านขายของชำประจำหมู่บ้าน
..ไม่ใช่อ็อฟฟิศติดแอร์แต่อย่างใด
. วันจันทน์พบกันใหม่นะเพื่อนๆ......กระทู้นี้ผมจะเอาไปโพส์ใหม่-กันไม่ให้เพื่อนๆตามกระทู้ไม่ทัน เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์...เพื่อนๆอาจจะไปเที่ยวกันไกลๆ...
จากคุณ |
:
น้าหยอย (kiengmoto)
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ส.ค. 53 19:56:21
|
|
|
|