ขี่รถลุยลาวในอดีต{แตกประเด็นจาก V10134435}
|
|
มาแล้ว....เมื่อกี้ส่งเรื่องขี่รถลุยลาวใยอดีตไปแล้ว1ครั้ง........ไม่รู้ว่าหายไปไหน หรือว่าน้าหยอยซดยาธาตุน้ำแดงตรานักเลงเยอะไปก็หาทราบไม่.....กดส่งไปแล้ว ปรากฏว่าหายจ้อยเลย...เอาใหม่เด้อ
น้าหยอยก็ยืนยันอย่างนี้ แต่จะขอยกเว้นที่หลวงพระบางเอาไว้สักแห่ง เพราะผมขี่รถไปทั่วทุกแขวงในเมืองลาวแล้วครับ แต่สำหรับหลวงพระบางนั่น ผมติดใจในศิลปของเขาจนต้องย้อนกลับไปเที่ยวถึง4ครั้ง......
.
เมืองหลวงพระบางนั้น มันเป็นงานวิจิตรศิลป์ที่ถูกปกปิดมาหลายสิบปี(เพราะลาวหันไปรับเอาลัทธิคอมมิวนิวต์มาปกครองประเทศ บ้านเมืองของลาวก็เลยถูกล็อกกุญแจเอไว้แบบล็อกตายสัก30ปีเห็นจะได้
ย้อนหลังไปเมื่อ200ปีที่ผ่านมานั้น หลวงพระบาง คือเมืองหลวงของลาวมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
เมืองหลวงพระบางและกรุงศรีอยุธยาต่างเป็นคู่สงครามกับประเทศพม่ามาโดยตลอด บางช่วงที่ไทยมีกำลังกล้าแข็ง ก็สามารถเอาชนะพม่าได้ ทางหลวงพระบางก็จะหันมาญาติดีกับไทย
ช่วงไหนประเทศไทยถึงยุคตกต่ำ เมืองหลวงพระบางก็จะถูกพม่าตีชิงเอาไปเป็นเมืองขึ้น ซึ่งในยุคสมัยดังกล่าวนั้น หัวเมืองเหนือที่เลยจังหวัดอุตรดิตถ์ขึ้นไป ล้วนอยู่ในความปกครองของพม่าไปโดยตลอด
อันว่าเมืองหลวงพระบางนั้น อยู่ในแนวขนานกับเมืองเชียงรายและน่าน ไปทางทิศตะวันออก โดยมีระยะทางห่างจากเมืองน่านประมาณ 100 กม.เศษบนทางอากาศแบบตัดตรง
ดังนั้นการที่จะถูกพม่า (ซึ่งมีอาณาเขตการปกครองยาวมาถึงเชียงใหม่และเชียงราย) รุกรานเอาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวง่ายมาก ส่วนเรื่องที่หลวงพระบางจะส่งสารน์ให้ชาวสยาม
ซึ่งปลูกบ้านแปงเมืองอยู่ถึงอยุธยา ยกกำลังไปช่วยรบนั้น เป็นเรื่องลำบากลำบนเอาจนเหลือประมาณ เพราะเราจะต้องยกทัพข้ามน้ำข้ามภูเขาไปไกลถึง 600 กิโลแม้ว กว่าจะไปถึงต้องกินเวลาหลายเดือน ยกไปถึงก็น่าจะไปยืนดูพม่าหัวเราะอยู่บนกำแพงเมืองหลวงพระบางเอาเปล่าๆ
คิดได้ดังนั้นแล้ว บรรดาปุโรหิตและปุโรเหาทั้งหลายก็ลงคะแนนเสียงให้เจ้ามหาชีวิตอพยพเมืองหลวงมาตั้งหลักที่เวียงจันทน์ เพื่อให้ห่างลูกเสือลูกตะเข้อย่างพม่าซะให้รู้แล้วรู้รอดไป
เมืองหลวงพระบางก็ร้างราแต่นั้นมา
แต่ก็อย่างที่บอกไงครับว่าหลวงพระบางในสมัยนั้น ปกครองโดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ ถาวรวัตถุ หรือวัดวาอาราม ตลอดไปจนถึงศิลปะต่างๆบรรดามี จึงละเอียด บรรจงอย่างลงตัว โดยเฉพาะประชาชนพลเมืองนั้น เป็นชนต้นตระกูลของล้านช้าง ได้รับวัฒนธรรมดั้งเดิมควบคู่กับชาวล้านนา เหมือนคนชาวเหนือเป็นส่วนมาก
ภาษาพูดของคนหลวงพระบางจะคล้ายกับภาษาเชียงใหม่ แต่มีศัพท์บางคำที่เป็นของลาวเองอยู่เป็นปกติของคนต่างบ้านต่างภาษา แต่ที่แน่ๆก็คือมีการลงท้ายด้วยคำว่า เจ๊าเหมือนภาษาเหนือของเรา ผมประทับใจไม่รู้ลืมก็ตรงนี้แหละ
คงเป็นที่รู้กันแล้วละว่าเราสามารถใช้เงินไทยได้ทุกหนทุกแห่งในเมืองลาวทุกจังหวัดยกเว้นจังหวัดพงสาลีและบ่อเต็น (นี่คือข้อมูลของปี39)
.ผมไปครั้งหลังๆไม่ได้แวะซื้อของอะไรเลย เพราะรู้ข้อมูลแถวนี้หมดแล้ว เพียงแวะประทับตราพาสปอร์ตแล้วก็รูดไปเมือง12ปันนาเลย
ย้อนกลับมาที่ชายแดนไทยที่เราจะขับรถข้ามไปเมืองหลวงพระบางอีกครั้งนะครับ
คราวนั้น ผมข้ามไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์วิบากคู่ขาของเราทั้งหมด3คัน เป็นรถฮอนด้า FT400 2คันแล้วก็ ฟาโรห์600 อีก1คัน.....ไปเข้าเมืองลาวที่จังหวัดน่านแถวห้วยโก๋น (พ.ศ.2539)
ตรงนั้นเป็นด่านชายแดนของลาวชื่อด่านน้ำเงิน......ทางการกำลังถมดินเพื่อจะสร้างเป็นด่านถาวร
เราจัดการขอเอกสารมากรอกข้อความไปตามขั้นตอนที่มันควรจะเป็นแล้วก็ยื่นไปตามช่องที่กำหนด
โดยแนบพาสปอร์ตที่ประทับตราวีซ่าจากสถานทูตลาวไปจากกรุงเทพ โดยในเอกสารวีซ่ามีข้อกำหนดเอาไว้ว่า ให้เข้าไปเยี่ยมยามได้ 30 วัน และห้ามเฮ้ดเวียก (เฮ้ดเวียกนี่คือห้ามเข้าไปทำงานนะครับ) ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ในด่านไม่เคยเห็นพาสปอร์ตและวีซ่าอะไรสักอย่างหนึ่ง (ทั้งที่เอกสารและวีซ่าอะไรต่างๆนั่นก็เขียนเป็นภาษาลาวทั้งดุ้นเลยนะครับ)
พี่แกยื่นพาสปอร์ตกลับออกมาแล้วก็บอกผมอย่างง่ายๆว่า บ่เคยหันเด้อ ใบอะหยัง......เข้าลาวบ่ได้
อะไรฟะ ผมอุตสาห์วิ่งเต้นจนตีนขวิด เพื่อให้ได้เอกสารดังกล่าวมาและเสียเงินไปจมหู พอจะเอามาใช้งานจริง เพื่อนดันบอกว่าไม่เคยเห็นพาสปอร์ตซะอีก........ผมจะทำยังไงดีวะเนี่ย
หมดท่าเข้าจริงๆ ผมเลยบอกว่าให้ไปตามนายด่านมาคุยกะผมดีกั่ว อย่ามัวพูดแบบไม่รู้เรื่องอยู่เลย เดี๋ยวจะติดเที่ยงซะอีก
ปรากฏว่าพอเห็นหน้านายด่านของลาวเข้า ผมเกือบจะหมดศรัทธาที่จะถามไถ่อะไรต่อ.....โอย.......ผมจะบ้าตาย .....
ก็เสื้อผ้าของหมอนี่มันยับยู่ยี่ ยังกะไม่ได้โดนเตารีดมาตั้งแต่มันถูกผลิตมาให้มนุษย์ตนนี้ใส่ และส่วนหัวหูของไอ้น้องนายด่านคนนี้ก็ดูจะโกรธกับน้ำมันใส่ผมและหวีมาตั้งแต่ไอ้หมอนี่เป็นหนุ่มก็ไม่รู้ได้
ผมเผ้าของมันบานเป็นดอกเห็ดที่เกือบจะเน่าคาต้นอยู่รอมมะร่อ......โฮย.....บรรยายแล้วเหนื่อยใจ รูปนี้ไม่ต้องอธิบายเลยว่าผมบุกเข้าไปถึงไหน สุดจะพรรณา
จากคุณ |
:
เคี้ยงโมโต
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ม.ค. 54 21:15:57
|
|
|
|